ทฤษฎีสถาปัตยกรรม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

บทความนี้ต้องการ ตรวจสอบ ปรับปรุง แก้ไขรูปแบบหรือภาษา ในหลายส่วนด้วยกัน
คุณสามารถช่วยตรวจสอบ และแก้ไขบทความนี้ได้ด้วยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน
กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไข
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วิธีการแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือการเขียน และ นโยบายวิกิพีเดีย และเมื่อแก้ไขตามนโยบายแล้ว สามารถนำป้ายนี้ออกได้

Architecture, Creativity, Economy And Critical Studies of Architectural Design เรียบเรียงใหม่ จาก Arkaraprasertkul, N. 2004, ‘Architecture Now: Creativity and Economy’, Art4D Magazine (September 2004): Bangkok, Corporation4D Publisher. ได้รับอนุญาติจากผู้เขียน อาจารย์ นน อัครประเสริฐกุล

จุดเริ่มต้นของความเข้าใจในความหมายของ สถาปัตยกรรม

ความน่าสนใจของการที่นักเรียนมัธยมปลายสักคนจะเลือกเข้าเรียนวิชาสถาปัตยกรรมในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งก็คือกลายๆว่าเป็นการเลือกแนวทางในการออกไปประกอบอาชีพในอนาคตนั้น คือเรื่องของปัจจัยในการตัดสินใจของนักเรียนเหล่านั้น ทำไมถึงอยากเข้าสู่วิชาชีพที่เป็น วิชาชีพจริงๆ หรือที่ใช้ภาษาสากลว่า Professional degree ศึกษาเพื่อออกไปปฏิบัติหน้าที่ที่ต้องมีการรับรองของผู้เชี่ยวชาญ และเกี่ยวข้อง มีความรับผิดชอบต่อสังคม เช่นเดียวกับ วิชาชีพแพทย์ หรือ วิศวกร โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนวิชาสถาปัตยกรรมนั้นโดยมากเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐฯที่นักเรียนที่อยากเข้าเรียนต้องผ่านระบบการสอบวัดความรู้ทั่วประเทศ หรือ การสอบเอ็นทรานซ์ สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ วิชาที่ใช้สอบในการเข้าเรียนทางด้านสถาปัตยกรรมดูจะมีลักษณะเฉพาะที่เอื้อประโยชน์ต่อนักเรียนหลายๆกลุ่มที่ไม่อยากอ่านหนังสือสอบมาก เพราะข้อกำหนดของการเข้าเรียน คือ การสอบวิชาที่เกี่ยวเนื่องกับทางวิทยาศาสตร์เพียงวิชาเดียว คือ ฟิสิกส์ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เลือกเรียนวิชา สถาปัตย์ด้วยความที่ไม่ต้องการจะทำข้อสอบวิชาที่ไม่มีความเข้าใจเลยสักนิดอย่าง เคมี และชีววิทยา จะให้โยกไปสอบ ความถนัดทางวิศวกรรมก็คล้ายๆจะมองเห็นภาพของโศกนาฏกรรมให้เห็นอยู่เนืองๆ ก็เลยไม่เอาดีกว่า จึงมาลงเอยที่การสอบวิชาสถาปัตย์ที่ดูเหมือนไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก ประกอบกับการที่มีพื้นฐานทางการขีดๆเขียนๆอยู่แล้ว จึงได้ตบเท้าเข้าไปเรียนในสถาบันการศึกษาในวิชาเอกทางสถาปัตยกรรม เหมือนกับนักเรียนอีกหลายๆคน

ถามว่าผู้เขียนเองมีความเข้าใจในวิชาสถาปัตยกรรมว่าจะช่วยเสริมสร้างความพร้อมในการประกอบอาชีพด้านไหนให้แก่ตัวเอง หรือ มีความเข้าใจในจุดประสงค์ของการเรียนทางสถาปัตยกรรมไหม คำตอบที่ได้ ไม่เฉพาะตัวผมแต่จากการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างนักเรียนสถาปัตยกรรมในปีต้นๆ และนักเรียนมัธยมปลายที่เตรียมตัวในการสอบเอ็นทรานซ์ พบว่าความเข้าใจเป็นไปอย่างหลากหลาย ที่สำคัญที่สุดก็คงไม่พ้นเรื่องที่ “ไม่มีใครมีความเข้าใจความเป็นไปของวิชาชีพนี้อย่างจริงๆจังๆเลย” ความหมายของคำว่า “สถาปนิก หรือ นักออกแบบสถาปัตยกรรม” ในเบื้องต้นเป็นภาพของผู้ออกแบบอาคารคอนกรีตที่ไม่ต่างจากผู้รับเหมานั่นเอง จะกล่าวไป การที่ผู้ที่สำเร็จการศึกษาทางสถาปัตย์หลายๆท่านออกไปประกอบอาชีพทางอื่นที่นอกเหนือจากวิชาชีพสถาปนิก เช่น ดารา นักร้อง นักแสดง หรือ ทำธุรกิจส่วนตัว อาจจะเป็นภาพ หรือ อิมเมจ (Image) ของคนในศึกษาด้านนี้ในส่วนน้อย แต่ให้ผลในการรับรู้ของคนส่วนใหญ่อย่างมหาศาล และด้วยธรรมชาติของการประกอบอาชีพที่อาจจะเกี่ยวข้องกับสื่อที่คนส่วนมากได้รับ และ การมีทรัพย์สินเงินทองและฐานะทางสังคมเป็นที่ยอมรับ ทำให้นักเรียนที่เลือกเรียนสถาปัตยกรรมมองว่า ภาพนั้นคือ ความเป็นสถาปัตยกรรมที่แท้จริง ขณะที่ภาพสำคัญของการเรียนวิชานี้อย่างการประกอบอาชีพเป็น สถาปนิก นั้น ดูจะเป็นภาพที่ลางเลือง และไม่สามารถจับต้องได้เพียงพอที่จะโน้มน้าวให้ใครให้ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นเช่นนั้น

วิชาชีพสถาปัตยกรรม

การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะเข้าสู่วิชาชีพสถาปัตยกรรมนั้น คงไม่ใช่เพียงแต่ความคิดที่อยากจะทำงานออกแบบอาคารสวยๆ และเลือกที่จะเข้าสู่ระบบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยด้วยความสบายใจ และจบการศึกษาได้ประกอบวิชาชีพ ออกแบบอาคารขนาดใหญ่ระดับมาสเตอร์พีสซ์ (Masterpieces) ได้เลยในทันที หากแต่การเข้าสู่วิชาชีพนี้นั้น หมายถึงการเตรียมตัวการฝึกฝนฝีมือในการสื่อสารความคิดสร้างสรรค์ตั้งแต่แรกเริ่ม ปลูกฝังความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับวิชาชีพ การเข้าศึกษาและใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยนานกว่าปกติของการศึกษาวิชาอื่น เรียนและศึกษาค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมมากมาย จนกระทั่งจบการศึกษาออกมาสอบใบประกอบวิชาชีพ ฝึกงาน เริ่มทำงานด้วยตำแหน่งผู้ที่ทำหน้าที่พัฒนาแบบแนวความคิดให้เป็นแบบที่สามารถนำไปสร้างได้จริง จนกระทั่งมีความชำนาญในการดำเนินการเขียนแบบ จึงจะได้เลื่อนระดับเป็นผู้ออกแบบ หรือ สถาปนิก ต่อไป

จริงหรือไม่? รูปแบบนี้อาจจะเป็นแนวทางในอุดมคติของการศึกษาสถาปัตยกรรมของเราในปัจจุบัน ซึ่งหากจะตีความในแง่ของความเหมาะสมก็คือในแง่ของการสร้างคนเพื่อเข้าสู่วิชาชีพ เป็น “สถาปนิก” (Architect) ด้วยความเข้าใจและการฝึกฝน สามารถสร้างแบบก่อสร้างอาคารที่มีประสิทธิภาพในการนำไปสร้างได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาในระบบการศึกษาทางสถาปัตยกรรมที่เป็นสากลนั้นใช้เวลาราว 5-6 ปี รวมกับการพัฒนาทักษะจากการประกอบอาชีพอีกไม่ต่ำกว่า 3-4 ปี ทำให้หนึ่งทศวรรษนั้นเป็นระยะเวลาพื้นฐานของการสร้าง “สถาปนิก” หนึ่งคนในวิชาชีพนี้ทีเดียว แต่หากพลิกมามองในอีกแง่ของการเป็น “ผู้สร้างสรรค์” แล้วอาจจะเหมือนการเดินทางที่อ้อมค่อนข้างมาก ทั้งยังอาจจะไปไม่ถึงที่หมายเสียอีก ในเมื่อสถาปนิกบางคนก็ได้มีโอกาสสร้างสรรค์งาน “สถาปัตยกรรมในระดับสูง” (Advanced architectural design) ซึ่งก็คือ การออกแบบสถาปัตยกรรมในระดับความคิดที่สูง มีความซับซ้อนทางความคิด และมิติที่สอดประสานกันของความเป็นอาคารเพื่อการใช้สอยและความงาม ทั้งที่ยังมีอายุหรือประสบการณ์การออกแบบไปทำงานจริงน้อย โดยอาศัยพลังการสร้างสรรค์ทางความคิด โดยมิได้ผ่านการการฝึกฝนทางวิชาชีพเท่าไรนัก คิดสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องพะวง หรือคำนึงถึงข้อจำกัดต่างๆที่ผู้ที่เรียนรู้มาในระบบการประกอบวิชาชีพที่จะต้องนำมาเป็นขอบเขตในการออกแบบของตนเองเสมอ

สถาปัตยกรรม และความคิดสร้างสรรค์

Maya Lin ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงไม่น้อยไปกว่าสถาปนิกผู้ใดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์วงการสถสถาปัตยกรรมของโลก เมื่อครั้งที่Maya เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ Yale ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ให้กรณีศึกษาที่สำคัญที่สุดของการใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้าง “ทางลัด” เข้าสู่วิชาชีพสถาปัตยกรรม เมื่อ Maya สามารถชนะการประกวดออกแบบอนุสรณ์สถานทหารผ่านศึกเวียดนามที่วอชิงตัน ดี ซี (Vietnam veteran memorial in Washington DC) ซึ่งเป็นการประกวดแบบระดับโลกเลยก็ว่าได้ในขณะนั้น สำหรับสถานที่ซึ่งมีความสำคัญทั้งทางประวัติศาสตร์ สังคม ความเป็นชาติ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงของประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งๆที่ในขณะนั้น Maya เป็นเพียงนักศึกษาสถาปัตยกรรมคนหนึ่งเท่านั้นเองหาใช่สถาปนิกที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไม่ โดยที่แบบของ Maya ได้คะแนนความสร้างสรรค์สูงมากในแง่ของการคิดออกนอกกรอบ (Think-out-of-The-Box) ที่ใครๆเคยคิดว่าการออกแบบอนุสรณ์สถานสำหรับทหารก็คือการออกแบบอนุสาวรีย์ที่มีรูปปั้นเป็นประธานอยู่ตรงกลาง แสดงความเป็นทหารในแง่ของการเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นแบบอย่าง เป็นวีรบุรุษ Maya มองคนละมุม สงครามไม่ใช่สิ่งที่เธอชื่นชม เช่นเดียวกันทหารก็เป็นเครื่องมือของการล้างผลาญ เธอใช้แกนของสถานที่สำคัญสองแห่งของเมืองหลวงเป็นสร้างโครงร่างของงานออกแบบ สร้างความรู้สึกร่วมแก่ผู้เข้าชมอนุสรณ์สถานด้วยการใช้ทางลาดลงโดยมีชื่อของทหารที่เสียชีวิตอยู่เคียงข้างผนังทางลาด ยิ่งผู้เข้าชมก้าวเดินลงไปบนทางลาด ก็จะพบว่าจำนวนชื่อนั้นเพิ่มมากขึ้นๆ กดดันและสร้างความรู้สึกร่วมในการต่อต้านสงครามและการสูญเสียเลือดเนื้อ พื้นผิวของหินแกรนิตที่มันวาวสะท้อนภาพของผู้เยี่ยมชมเองซ้อนทับอยู่บนชื่อของทหารที่สูญเสียชีวิตทำให้เข้าใจถึงมรณกรรมของเหล่าทหารหาญนั้นว่าหาใช่การจากไปของใครหากส่วนหนึ่งของตัวเอง ส่วนหนึ่งของจิต และวิญญาณของคนอเมริกัน ที่สูญเสียไปกับสงครามที่ไร้เหตุผล Maya ถ่ายทอดความรู้สึกสะเทือนใจรุนแรงของสงครามโดยหาได้มีอนุสาวรีย์ของทหารเลยแม้แต่น้อย อีกทั้ง Maya ยังใช้ประโยชน์จากแกนของเมือง วอชิงตัน ดี ซี ที่มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อยู่รายล้อม สร้างการตัดกันของแกนสองแกนซึ่แกนหนึ่งมุ่งไปยังอนุสรณ์สถาน วอชิงตัน (Washington Memorial) และอีกแกนหนึ่งมุ่งไปยังอนุสรณ์สถานของประธานาธิบดีลินคอร์น (Lincoln Memorial) ผู้ที่เยี่ยมชมจึงเสมือนเดินจากสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งผ่านแกนไปยังอีกสถานที่หนึ่งโดยมีอารมณ์สะเทือนใจของสงครามเป็นบรรยากาศที่พรางตัวอยู่ในอณูของบรรยากาศเป็นจัวเร่งปฎิกิริยาและความรู้สึกของสถานที่ จากกรณีศึกษาที่ว่านี้พบว่า แม้ Maya เองก็เป็นนักศึกษาวิชาสถาปัตยกรรมที่ได้รับการปลูกฝังความรู้ในสถานศึกษาที่มุ่งเน้นการสร้างบุคลากรสู่ระบบการประกอบอาชีพสถาปัตยกรรมเฉกเช่นเดียวกับของเรา (มหาวิทยาลัย Yale เป็นสถาบันการศึกษาระดับสูงของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มุ่งเน้นสร้างบุคลากรเข้าสู่วงการวิชาชีพ โรงเรียนสถาปัตยกรรมของ Yale เองก็มีปณิธานการเรียนการสอนในรูปแบบเดียวกัน คือมุ่งที่จะให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในศาสตร์ของความงาม และการก่อสร้างไปควบคู่กัน) แต่อะไรคือความแตกต่างของการเรียนรู้ที่สร้างให้เธอมีความคิดสร้างสรรค์? ทะลุกฎเกณฑ์ของการเป็นสถาปนิกที่ต้องมีขั้นตอนต่างๆนานากว่าจะประสบความสำเร็จเมื่ออายุล่วงเลยไปพร้อมๆกับประสบการณ์ประกอบวิชาชีพที่มากขึ้น (โดยเฉพาะในบางครั้ง สถาปนิกจะได้รับการยอมรับเมื่อมีอายุสูงขึ้นแล้วเท่านั้น)

สถาปัตยกรรมและผลตอบแทน

คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าความหมายของการเป็นสถาปัตยกรรมที่ประหยัดและก่อสร้างได้จริง (Economy and Construction) คือ ความหมายสำคัญของงานออกแบบของสถาปนิก แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น ความหมายของการเป็นผู้สร้างสรรค์คือการสร้างงานที่มีคุณค่าทางศิลปะ วิศวกรรมศาสตร์ หรือ ประวัติศาสตร์ เพราะสถาปัตยกรรมคือสิ่งที่สะท้อนถึงสังคม วัฒนธรรม อารยะธรรม หรือ ตัวตนของความเป็นเรา เช่น มหาวิหารต่างๆใน เมืองเอเธนส์ ประเทศกรีซ และ อุทธยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ที่สะท้อนลักษณะวิถีชีวิต และคุณค่าของการมีชีวิตของคนในยุคนั้นๆผ่านกระบวนการศึกษาทางโบราณคดี การสร้างสรรค์งานที่มีคุณค่าจึงหมายถึงงานที่กลั่นกรองออกมาโดยมีความสร้างสรรค์เป็นตัวกำหนดมากกว่าขอบเขตในแง่พาณิชย์ งานสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่าหลายๆงานก็เป็นงานที่มีค่าก่อสร้างสูงลิบลิ่ว และ กระบวนการกรรมวิธีการก่อสร้างที่แสนจะซับซ้อน ในแง่ของผลตอบแทนที่กลับมาสู่ทั้งผู้ออกแบบและผู้ลงทุนแล้วยิ่งต้องมองว่างานสถาปัตยกรรมมีความสำคัญมากและเสมือนตัวขับเคลื่อนให้กิจกรรมของสถานที่นั้นๆดำเนินขึ้นได้ เช่น พิพิธภัณฑ์ศิลปะกูเกนไฮม์ (Guggenheim museum in Bilbao) ซึ่งนับว่าเป็นอภิมหาโครงการทางสถาปัตยกรรมของศตวรรษที่ 20 เงินลงทุนไปหลายพันล้านบาทไม่เพียงแค่สร้างความสนใจให้แก่คนทั่วโลกทั้งในแง่ของศิลปะ วัฒนธรรม สังคม ยังสร้างคุณค่าของการเป็นงานสถาปัตยกรรมหลังสมัยใหม่ที่แสดงอีก “มิติ” หนึ่งของงานออกแบบที่ข้ามขอบเขตความเข้าใจของงานสถาปัตยกรรมออกไป ว่าจากนี้เป็นต้นไป “โครงสร้างหาได้เป็นอุปสรรคที่จะขัดขวางจินตนาการอีกต่อไป ขีดจำกัดทั้งหมดทางการก่อสร้างจะสูญสหายไปพร้อมกับความสำเร็จของอาคารที่มีรูปทรงแสนจะพิลึกกึกกือนี้” ซึ่งนอกจากโครงการนี้จะคืนทุนในเชิงพาณิชย์ในระยะเวลาอันสั้นแล้ว (เทศบาลเมือง Bilbao เองได้รับคำชมและผู้มาเยี่ยมเยือนจากทุกสารทิศในระยะเวลาหลังจากเปิดไม่นาน เหตุหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ด้วย ปัจจุบันงานสถาปัตยกรรมปรากฏอยู่ในสื่อทุกแขนง รวมไปทั้งวงการแฟชั่นที่มักจะใช้สถานที่สำคัญเหล่านี้เป็นฉากหลังให้กับแบบ) ยังให้ผลแก่เมืองในเรื่องของความเป็นอยู่ของคนที่ดีขึ้นเนื่องจากรายรับที่มาจากการท่องเที่ยว ผู้คนรู้จักและให้การสนับสนุนงานศิลปะ เป็นการสร้างความเข้าใจในสุนทรียรสของการเสพงานศิลป์ในสังคม (ศ.ศิลป์ พีระศรี กล่าวไว้ว่า ผู้ใดที่มีความเข้าใจในศิลปะ ผู้นั้นได้ยกระดับจิตใจของตนให้สูงส่งขึ้น เป็นคนที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัว และเข้าใจในความงามของโลกเป็นความสุขที่มากมายกว่าการมีเงินทอง ซึ่งก็ดูจะมีเหตุที่พ้องกับผล โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนคิดเองว่าหากวันหนึ่งเราตื่นนอนในตอนเช้าและพบว่า เราสามารถมองหาความงามและคุณค่าเชิงสุนทรียศาสตร์ได้ในทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา ความสุขอื่นใดก็คงไม่จำเป็นอีกต่อไป ปัจจัยของการแสวงหาคือ เงิน ซึ่งจะนำมาซึ่งความสุขในการได้พบเห็นสิ่งสวยงามก็คงจะหมดคุณค่าไป) ในแง่ของการสถาปัตยกรรม การได้ออกแบบและทำการก่อสร้างโครงการระดับนี้ ทำให้ทั้งสถาปนิกและวิศวกรเรียนรู้ร่วมกันที่จะทำงานที่มีความซับซ้อนและอยู่เหนือขอบเขตการสร้างสรรค์แบบปกติที่ทำได้อยู่แล้ว ทำให้เทคโนโลยีและวิทยาการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ในสมัยนั้น ความคิดของสถาปนิก แฟรงค์ เกรี่ (Frank Gehry) เองก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำความเข้าใจได้ง่ายๆ จนกระทั่งผู้ลงทุนทุบโต๊ะและมั่นใจว่าความคุ้มค่าที่จะได้มานั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้และคุ่มต่อการ “เสี่ยง” (แบบเดียวกับตอนที่ ประธานาธิบดี ฟรังซัวร์ มิสเตอรองค์ ของฝรั่งเศสลั่นวาจาที่จะดำเนินอภิมหาโครงการทั้งหลายในฝรั่งเศส ทำให้วงการสถาปัตยกรรมของเราได้มี ศูนย์วัฒนธรรมปอมปิดู หรือ พีระมิดที่พิพิธภัณฑ์ลูฟท์ เป็นผลงานชิ้นสำคัญของวงการสถาปัตยกรรมเช่นทุกวันนี้) ท่ามกลางเสียงหัวเราะของหลายๆคนที่มองว่าเป็นไปไม่ได้และสุดท้ายก็คงจะต้องปรับแบบเปลี่ยนแปลงไปตามโครงสร้าง แต่ที่เราเห็นกันชัดเจนก็คือความสามารถของมนุษย์ในการคิดค้น ประยุกต์เทคนิควิทยาการเข้ากับกระบวนการออกแบบ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการออกแบบเครื่องบินก็ถูกนำมาเข้ามาร่วมในการคำนวณโครงสร้าง ท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็ได้แต่อ้าปากค้างในความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้น จนทุกวันนี้เราเห็นลายเซ็นของสถาปนิกท่านนี้อยู่ทั่วโลกด้วยการออกแบบสไตล์เดียวกัน (Disney Concert Hall เป็นเหมือนภาคต่อของ Guggenheim ที่ได้รับคำวิจารณ์ว่าเยี่ยมไม่แพ้กับภาคแรกอย่างไรอย่างนั้น ) สถาปนิก แฟรงค์ เกรี่ เองเป็นสถาปนิกที่ไม่ได้ดังตั้งแต่ตอนหนุ่ม อาจจะกล่าวได้ว่ากว่างานออกแบบชิ้นแรกของเขาจะเป็นที่ยอมรับก็เมื่ออายุก้าวข้ามเลขหกไปเรียบร้อยแล้ว แต่งานออกแบบหลายๆงานของเขากลับสะท้อนลักษณะความคิดที่มีความสนุกสนานของวัยรุ่นออกมา ในที่ยี้ขอกล่าวถึง ดร.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ซึ่งเป็นสถาปนิกคนสำคัญอีกคนของโลกยุคปัจจุบันที่ใช้ความคิดที่เป็นเด็กอยู่เสมอในงานออกแบบ ดั่งที่ท่านได้กล่าว ปรัชญะวาจา (Philosophy quote) ที่สร้างความประทับใจมากไว้คำหนึ่งว่า “เมื่อผมเป็นเด็ก ผมคิดเหมือนเด็ก ตอนนี้ผมโตเป็นผู้ใหญ่ ผมก็ยังคิดเหมือนเด็ก”

มาถึงตรงนี้แล้ว อาจจะมองภาพได้ชัดเจนมากขึ้นถึงสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสของวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมในโลกปัจจุบัน ผู้เขียนมิได้สนับสนุนรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ไม่มีการอ้างอิงความเข้าใจในระบบการก่อสร้างเดิมๆที่เราได้ฝึกฝนผ่านโรงเรียนสถาปัตยกรรม อาคารคอนกรีตที่มีรูปแบบเรียบ พื้นที่ใช้สอยเยอะ ก่อสร้างง่าย เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่มุ่งประสิทธิผลในการใช้พื้นที่สูงที่สุด แต่ที่นี้อย่างที่ได้ตั้งประเด็นไว้ แล้วเศรษฐศาสตร์ในแง่ของการกระตุ้นความสนใจ เศรษฐกิจ ตลอดจนคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมล่ะ จะเรียกว่าเป็น การออกแบบที่ใช้หลักเศรษฐศาสตร์ฝั่งซ้ายก็ได้ (ในที่นี้ถือว่าแนวทางที่ดำเนินกันมาเป็นแนวทางความเข้าใจพื้นฐานที่ทุกคนมีบนรากฐานเดียวกัน คือ ฝั่งขวา)

โรงเรียนสอนสถาปัตยกรรม

การฝึกฝนผ่านโรงเรียนสถาปัตยกรรม ในแนวทางที่เราร่วมสร้างกันขึ้นมา แต่แนวความคิดของการสร้างสรรค์งาน สถาปัตยกรรม ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็น งานศิลป์ รูปแบบหนึ่งนั้น จำเป็นมากแค่ไหนที่จะมีการให้ขอบเขตของการเรียนรู้และการสร้างสรรค์บนพื้นฐานของการอยู่ในโรงเรียนสถาปัตยกรรมเพียงอย่างเดียว? มองออกเป็น 2 แง่ แง่หนึ่งคือ เป็นไปได้ไหมที่ผู้ที่มีความสามารถทางการศิลปกรรม เช่น การปั้น หรือ การวาด จะผันตัวเองโดยการนำความเข้าใจในศิลป์มาสร้างสรรค์เป็นงานสถาปัตยกรรม หรือ ผู้ที่ไม่ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนสถาปัตยกรรมแต่มีประสบการณ์ได้สัมผัสกับงานสถาปัตยกรรมที่สำคัญๆต่างๆ ขมวดปมความรู้มาออกแบบเองบ้าง ซึ่งเป็นที่แน่แท้ว่างานสถาปัตยกรรมที่ออกมาคงไม่สามารถสร้างความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเชิงของแบบก่อสร้าง (แบบว่าแบบอาจจะงงๆ เป็นความเพ้อ เป็นความฝัน) ได้เท่ากับผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมาในโรงเรียนสถาปัตยกรรม แต่ในเรื่องของความคิดล่ะ? เราให้ความสำคัญกับสิ่งไหน หรืออาจจะมีอีกหลายแง่ที่อาจไม่ได้กล่าวถึงในที่นี้ ในวงการการศึกษาสถาปัตยกรรมของหลายๆประเทศในปัจจุบันเองก็ให้ความสำคัญกับการเปิดหลักสูตรการให้การสร้างนักออกแบบที่มีพื้นฐานความรู้จากสาขาอาชีพอื่น หรือที่เราเรียกกันในระบบการปศึกษาแบบอเมริกันว่า “Master of Architecture Option I” คือการที่ทางสถาบันการศึกษาเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความสนใจที่จะศึกษาวิชาการทางด้านสถาปัตยกรรมในระดับปริญญมหาบัณฑิตเพื่อเป็นสถาปนิก ซึ่งไม่เคยได้รับการศึกษาในระดับปริญญาตรีทางด้านสถาปัตยกรรมมาก่อนมาเรียน ทางสถาบันการศึกษามองเห็นโอกาสที่เกิดขึ้นจากการ “มองต่างมุม” ของผู้ที่เข้ามาเรียนจากหลากหลายสาขา จะแสดงการเข้าถึงงานสถาปัตยกรรม(Approach to architecture) ด้วยแนวทางที่แตกต่างออกไป เพราะผู้ที่เคยศึกษาทางสถาปัตยกรรมมาแล้วก็จะมีความเป็นตัวของตัวเองอยู่ในระดับหนึ่ง และข้อจำกัดที่ได้รับจากความเข้าใจในมุมมองที่สืบเนื่องจากความเข้าใจที่เคยได้ศึกษามา ซึ่งต่างจากมองในแนวทางของผู้ที่ไม่ได้พื้นฐานทางสถาปัตย์มาก่อน ที่จะให้โอกาสความคิดได้ปลดปล่อยไปตามความเข้าใจไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมในแนวของ นักรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจจะมองที่ว่าง (Space) เป็นบทสนทนาเชิงสังคมนิยมที่สร้างปฏิสัมพันธ์ของพื้นที่บนความขัดแย้งที่ประนีประนอมได้ การมองสถาปัตยกรรมในแนวทางของนักวาดภาพ ซึ่งอาจจะมองงานสถาปัตยกรรมเป็นเสมือนการจัดองค์ประกอของความงามเพื่อเร้าความสะเทือนใจ งานสถาปัตยกรรมอาจจะอยู่บนรากฐานของความไม่มีเหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ก็เป็นได้ หรือแม้แต่ มองในแนวทางของนักภาษาศาสตร์ ที่พยายามจะรื้อประเด็นความเข้าใจศาสตร์และศิลป์ของสรรพสิ่งในรูปแบบของระบบระเบียบที่พร้อมที่จะถูกแซะขึ้นมาเพื่อสังเคราะห์อะไรลงไปใหม่ ซึ่งเป็นมูลเหตุที่ทำให้เกิดงานสถาปัตยกรรมแบบ Deconstruction ขึ้น หรือ แม้แต่มองในแนวทางของแพทย์ ฯ!! ความน่าสนใจเหล่านี้เป็นสิ่งที่โรงเรียนสอนสถาปัตยกรรมกำลังให้ความสำคัญ หรืแม้แต่ตัวผู้เขียนเองก็มีความรู้สึกอยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในสังคมการเรียนรู้ที่ว่านี่สักครั้งหนึ่ง เพราะเชื่อว่าความคิดที่ถูกระดมลงมาบนขอบเขตของงานสถาปัตยกรรมในแต่ละรากฐานน่าจะสร้างและกระตุ้นต่อมความคิดสร้างสรรค์ให้ผลักดันคุณค่าอะไรบางอย่างออกมาได้ไม่มากก็น้อย

ดังนั้นการฝึกฝนในเชิงสถาปัตยกรรมในโรงเรียนสถาปัตยกรรมที่นักศึกษาต้องใช้เวลาถึง 5 ปีเพื่อได้มาซึ่งความรู้ในเชิงสถาปัตยกรรมเพียงอย่างเดียวนั้นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เอื้อประโยชน์ต่อทั้งผู้เรียนและอนาคตการพัฒนาทางสถาปัตยกรรมของประเทศเสมอไป การเรียนสถาปัตยกรรมเพื่อไปประกอบอาชีพเขียนแบบก่อสร้างอาคารด้วยความเข้าใจในระบบโครงสร้างไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการศึกษาถึง 5 ปี (เมื่อพิจารณาจากหลักสูตรสถาปัตยกรรมโดยเฉพาะในประเทศไทยแล้ว มีความซ้ำซ้อนกันของรายวิชาและการเรียนรู้ที่อาจจะไม่มีความจำเป็นสำหรับแต่ละบุคคลค่อนข้างมาก ซึ่งหากจะเน้นในวิชาที่เป็นแกนสำคัญของการเรียนรู้แล้ว ระยะเวลา 2-3 ปีก็น่าจะให้ความเข้าใจในวิถีของการเป็น “สถาปนิก” ได้ แต่สุดท้ายแล้วที่เรียนมาทั้งหมดก็ไม่เท่าการเข้าไปทำงานในสำนักงานเพื่อปรับตัวเองให้เข้ากับกระบวนการก่อสร้างที่แท้จริง สุดท้ายก็มาจบที่การปฏิบัติงานอยู่ดี) การศึกษาการก่อสร้างมักจะเป็นวิชาคู่ขนานที่ต้องศึกษาควบคู่ไปกับวิชาที่ฝึกฝนการเรียนรู้ สร้างสรรค์ เช่น วิชา การออกแบบ (Design) เสมอ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อนักศึกษาพยายามที่จะรวมเอาความฝันของตนที่เกิดจากจินตนาการเข้ากับรูปแบบทางโครงสร้าง สิ่งที่ตามมามักจะเป็นการยอมความให้การก่อสร้างเป็นตัวนำเสมอไป ซึ่งนับหนึ่งอาจจะเป็นด้วยความไม่อยากตอบคำถามในเรื่องโครงสร้างให้มากมาย ในเมื่อประโยชน์ใช้สอยก็ไม่ต่างกัน การพัฒนาทางความคิดจึงเหมือนจะหยุดชะงักไป ซึ่งก็อาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ หากเราไม่ได้ถูกฝึกฝนมาให้เห็นความสำคัญของความคิดสร้างสรรค์ในเชิงศิลป์ หาไม่ได้ถูกฝึกฝนให้ “ดื้อแพ่ง” ในแนวความคิดของตนที่อยู่บนเหตุผล ซึ่งแน่นอนว่าในภาวะที่ประชากรในประเทศเราที่ต้องต่อสู้กับความขาดแคลน ระบบเศรษฐกิจที่เป็นรอง ปากกัดตีนถีบแบบทนได้ทนไป จะมองแง่ของประโยชน์ใช้สอยและความเป็นไปได้ มาก่อน เรื่องของศิลปะ ซึ่งผู้เขียนเองก็ไม่ปฏิเสธว่าเป็นเช่นนั้นในสมัยที่เป็นนักศึกษา

การแสวงหาบ่อเกิดแห่งความคิดสร้างสรรค์

ทีนี้สิ่งที่น่าจะเป็นข้อเสนอแนะที่ดีได้ ก็คือ การเรียนรู้จากนอกตำราและกล้าๆหน่อย ความคิดหลักของนักออกแบบมากมายที่ไม่ได้มาจากพื้นฐานและแนวทางทางสถาปัตยกรรม แต่มาจากพื้นฐานและแนวทางของศิลปะ สังคมและ วัฒนธรรม หากนักศึกษาทางสถาปัตยกรรมศึกษาศิลปะมากขึ้นก็จะเข้าใจถึงสุนทรียภาพและความสำคัญของการจัดองค์ประกอบในงานศิลป์มากขึ้น อัตราส่วนการเข้ามาแทนที่ทางการตัดสินใจการชั่งน้ำหนักความสำคัญของ ความคิดสร้างสรรค์ และ การก่อสร้างก็จะเปลี่ยนไป ที่นี้เมื่อไรที่เกิดการออกแบบ เราอิงให้จินตนาการและให้ตัวความคิดสร้างสรรค์เดินนำหน้า อยู่เหนือความคิดที่ว่าอะไรก่อสร้างง่าย อะไรเป็นไปได้ (เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนคิดว่า อะไรก็เป็นไปได้ “Impossible is an opinion” ความเป็นไปไม่ได้ นั้นเป็นเพียงความคิดเห็น ดั่งเช่นโฆษณา Adidas เมื่อมีผู้ใดมาบอกเราว่าสิ่งนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก ก็เป็นพียงความคิดเห็นของเขา ตัวเราเท่านั้นที่จะรู้และประเมิณความเข้าใจได้ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่) ผู้เขียนมั่นใจว่า ไม่มีใครคิดว่าอาคารที่สุดแสนจะถอดแบบมาจากยานอวกาศของเหล่าผู้มาเยือนจากต่างดาวจาก Kunsthaus Graz ของ Peter Cook จะเกิดขึ้นได้ฉันใด งานออกแบบที่มีความคิดสร้างสรรค์เป็นตัวชูธงนำ ก็เกิดขึ้นได้ฉันนั้น ท้ายที่สุดเรื่องของเทคนิคการก่อสร้าง ความเป็นไปได้และเทคโนโลยีก็จะตามมาเอง “จินตนาการ คือสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าความรู้” ผู้เขียนขอยกอีกอมตะวาจาหนึ่งของนักวิทยาศาสตร์ของโลก อย่าง อัลเบริต์ ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เพื่อโน้มน้าวให้เกิดความเชื่อในความคิดของเรา ว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่มักจะเกิดจากพลังความคิดที่ผลักดันผ่านกระบวนการของจินตนาการ สร้างความเข้าใจบนพื้นฐานของความเป็นไปได้ แล้วจึงศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อจะดึงความฝันนั้นลงมาก่อร่างสร้างให้เป็นความจริง

บทส่งท้าย

นักคิด VS นักทำ

ก่อนจะจบขอเสริมความเข้าใจอีกนิดนึง เป็นการยกตัวอย่างในเรื่องของการเรียนการสอนดั่งที่ได้กล่าวมาข้างต้น ผู้เขียนขอยกตัวอย่างในต่างประเทศเองอย่างเช่นที่ประเทศอังกฤษ ก็มีจะมีโรงเรียนที่เน้นการสอนทั้ง 2 แนวทาง คือ ในแนวความคิดสร้างสรรค์แบบสุดๆ เน้นการใช้จินตนาการในการออกแบบมาก โดยให้เรื่องของความเป็นไปได้ในการก่อสร้างเป็นเรื่องรอง ใช้การทดลองเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์ (Experimental Style) อาจจะเรียกได้ว่าพอใจในการสร้างทฤษฎีหรือรูปแบบของงานที่อาจจะเป็นได้เพียงแนวความคิดบนแผ่นกระดาษที่ให้อิทธิพลแก่ผู้คนเฉกเช่นงานเขียนของกวีที่รังสรรค์พลังในการดำเนินชีวิตให้แก่ผู้คน ซึ่งสถาบันซึ่งเป็นผู้นำในแนวทางนี้ได้แก่ Architectural Association หรือที่เรียกกันว่า AA และ Bartlett, Faculty of Built Environment ซึ่งเป็นคณะหนึ่งของ University College London มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศอังกฤษ โดยมากผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันในแนวทางนี้ก็จะเป็นนักคิด อาจารย์ในสถาบันการศึกษา รวมไปถึงนักออกแบบที่มากกว่าการเป็นสถาปนิก หรือ Architect ผู้เขียนขอใช้คำว่า นักออกแบบสถาปัตยกรรม หรือ Architectural Designer เพราะสิ่งที่สร้างสรรค์ขึ้นมานั้นเป็นผลงานการออกแบบที่วางบทบาทของความเป็นงานศิลป์ในเชิงปรัชญาและความคิดมากกว่าบทบาทของการเป็นผู้ออกแบบสิ่งก่อสร้าง นักออกแบบสถาปัตยกรรมที่เป็นผลผลิตของการเรียนในแนวความคิดนี้ เช่น Sir Richard Rogers, Rem Koolhaas และ Zaha Hadid อีกแนวทางได้แก่ แนวทางการศึกษาแบบอนุรักษ์นิยม (Conservative Style) ซึ่งอาจจะไม่อนุรักษ์แบบสุดโต่งคือยืนตรงข้ามกับแนวทางแรก แต่ยังเน้นรูปแบบการเรียนการสอนสถาปัตยกรรมแบบประเพณี คือ การเรียนรู้การออกแบบ โครงสร้าง ทฤษฎี ประวัติศาสตร์ และ ปรัชญาในการออกแบบไปพร้อมๆกัน เพื่อมุ่งผลิตสถาปนิก หรือ Architect ที่ไปประกอบวิชาชีพในสำนักงานอย่างแท้จริง สถาบันซึ่งเป็นผู้นำในแนวทางนี้ได้แก่ มหาวิทยาลัย Cambridge ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมหาวิทยาลัย Liverpool ซึ่งมีโรงเรียนสถาปัตยกรรมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน Sir James Stirling เป็นผลผลิตที่มีคุณค่าแก่การพัฒนางานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของโลกของมหาวิทยาลัย Liverpool นี้เอง แนวทางนี้อาจจะใกล้เคียงกับแนวทางของการศึกษาของประเทศเรามากที่สุด แต่ข้อดีของมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษคือการเชื่อมโยงความเป็นเครือข่ายข้อมูลที่นักศึกษาเองสามารถเข้ารับการแลกเปลี่ยนข้อมูลจากต่างสถาบันได้โดยไม่มีการกีดกัน ไม่มีค่านิยมเป็นตัวแบ่ง การมีสถานที่สำคัญทางศิลปวัฒนธรรม เช่น พิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ อยู่มากมาย รวมไปถึงการเห็นคุณค่าของวิชาชีพจึงมีกิจกรรมทางสถาปัตยกรรมจัดขึ้นมากมายให้นักศึกษาได้รับการเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ รวมไปถึงการที่นักศึกษาเองต้องไปฝึกงานเพื่อให้ได้มาซึ่งประสบการณ์การทำงานจริงๆก่อนเป็นเวลาถึง 2 ปี ก่อนที่จะกลับมารับปริญญาด้วยการเรียนปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัย ซึ่งช่วงฝึกงานนี่เองที่การศึกษาทั้งสองแนวทางดูจะรวมกันเป็นหนึ่ง เพราะในสำนักงานหนึ่งๆจะมีสถาปนิกจากหลากหลายสถาบัน นักศึกษาจะเริ่มแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ผ่านทางการทำงาน ระบบไหนเหมาะกับงานประเภทไหน ความคิดสร้างสรรค์จะปรับให้เข้ากับงานจริงๆอย่างไร ความเป็นไปได้ขอการก่อสร้างสำคัญแค่ไหนงานออกแบบ เป็นต้น ลองจินตนาการถึงสังคมของนักออกแบบและสถาปนิกที่แลกเปลี่ยนทัศนคติกันผ่านทางงานออกแบบที่ท้ายสุดแล้วสามารถเข้าไปเดินดูได้ วิเคราะห์ได้สิครับ เป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญที่ทำให้การพัฒนาทางการศึกษาและวิชาชีพของประเทศอังกฤษก้าวหน้า จนนักศึกษาเราหลายๆคนต้องเลือกที่จะไม่ศึกษาที่ประเทศไทย เดินทางไปเป็นส่วนหนึ่งเพื่อให้ได้รับความรู้ในมาตรฐานเดียวกัน