โรคพาร์กินสัน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โรคพาร์กินสัน เป็นโรคทางระบบประสาทที่พบได้บ่อย เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ คนไทยเรียกว่าโรคสั่นสันนิบาต โรคพาร์กินสันเป็นโรคที่รู้จักกันครั้งแรกในวงการแพทย์ในปี พ.ศ.2360 หรือเกือบ 200 ปีมาแล้ว โดยนายแพทย์เจมส์ พาร์กินสัน ชาวอังกฤษ เป็นผู้รายงานโรคพาร์กินสันเป็นคนแรก
บุคคลที่มีชื่อเสียงที่เป็นโรคพาร์กินสัน ได้แก่ สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นปอลที่สอง โมฮัมเหม็ด อาลี ไมเคิล เจ. ฟ็อกซ์ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ยัสเซอร์ อาราฟัต ดัดลีย์ มัวร์ จอนนี่ แคช
โรคพาร์กินสันเกิดจากการเสียสมดุลของสารโดปามีนในสมอง เซลล์สมองส่วนที่สร้างโดปามีนตายไปมากกว่าร้อยละ 80 โดปามีนเป็นสารเคมีในสมอง ทำหน้าที่ควบคุมระบบการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อสมองขาดโดปามีน จึงเกิดอาการเคลื่อนไหวผิดปกติขึ้น
สารบัญ |
[แก้] กลไกการเกิดโรค
โรคพาร์กินสันเกิดจากการตายของเซลล์สมองที่เรียกว่า Substantia nigra pars compacta (SNpc) สาเหตุการตายของเซลล์มีหลายทฤษฎี ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในปัจจุบัน คือทฤษฎีออกซิเดชั่น ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุ ได้แก่ ปัจจัยทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อมบางอย่าง และอาจเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัสบางชนิด
สารเคมีในสมองที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ได้แก่ โดปามีน และอะซิทิลโคลีน ซึ่งอยู่ในภาวะสมดุล เมื่อเซลล์สมองที่สร้างโดปามีนตายไป สมดุลดังกล่าวก็เสียไป ร่างกายจึงเกิดความผิดปกติขึ้น ปรากฏเป็นอาการของโรคพาร์กินสัน
[แก้] อาการของโรค
โรคพาร์กินสันทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการทางระบบประสาทที่เด่นชัด 3 ประการ ได้แก่ อาการสั่น เกร็ง และเคลื่อนไหวช้า
อาการสั่น มักเกิดขึ้นขณะอยู่เฉยๆ มีลักษณะเฉพาะคือ สั่นมากเวลาอยู่นิ่งๆ แต่ถ้าเคลื่อนไหว หรือยื่นมือทำอะไร อาการสั่นจะลดลงหรือหายไป มักเกิดขึ้นที่มือข้างใดข้างหนึ่ง สังเกตได้จากมือสั่นเวลาผู้ป่วยเดิน
อาการเกร็ง มักมีอาการแข็งตึงของแขนขา และลำตัว ทำให้เคลื่อนไหวลำบาก ปวดตามกล้ามเนื้อ
อาการเคลื่อนไหวช้า ทำอะไรช้าลงไปจากเดิมมาก ไม่กระฉับกระเฉงว่องไวเหมือนเดิม เดินช้าและงุ่มง่าม แบบสโลว์โมชั่น สังเกตได้ว่าแขนไม่แกว่ง และผู้ป่วยมักบ่นว่าแขนขาไม่มีแรง
อาการอื่นๆ
[แก้] การวินิจฉัยโรค
โดยทั่วไปหากผู้ป่วยปรากฏอาการชัดเจน สามารถวินิจฉัยได้จากลักษณะอาการและการตรวจร่างกายทางระบบประสาทอย่างละเอียด การตรวจภาพรังสีและการตรวจเลือดไม่ช่วยในการวินิจฉัยโรค อาจใช้เพื่อวินิจฉัยแยกโรคในบางรายเท่านั้น
ระยะแรกเริ่ม อาจวินิจฉัยยาก จำเป็นต้องวินิจฉัยแยกโรคก่อนเสมอ
ผู้ที่สงสัยว่าจะป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยจากอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยา หรือที่เรียกว่าประสาทแพทย์ (neurologist)
[แก้] แนวทางการรักษา
- หลักการรักษาที่สำคัญ คือเพิ่มระดับของสารโดปามีนในสมอง โดยเลือกใช้ยาที่ออกฤทธิ์ต่างๆกัน หรือรักษาโดยการกระตุ้นเซลล์สมองให้สร้างโดปามีนมากขึ้น
- เป้าหมายสำคัญของการรักษา เพื่อบรรเทาอาการต่างๆของโรค และป้องกันโรคแทรกซ้อน
- การรักษาด้วยยา - ยาที่ใช้บ่อยๆ ได้แก่ เลโวโดป้า, ยาในกลุ่ม dopamine agonists, ยาที่ออกฤทธิ์ต้านเอ็นซัยม์ MAO-B และยาออกฤทธิ์ต้านเอ็นซัยม์ COMT ตัวอย่างชื่อการค้าของยา ได้แก่ Sinemet, Parlodel, Comtan, Eldepryl, Symmetrel
เลโวโดป้า (Levodopa) หรือชื่อย่อว่า L-Dopa เป็นยาขนานแรกๆ ที่รักษาโรคพาร์กินสัน ซึ่งเมื่อยาเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกแปลงเป็นโดปามีน เพื่อเสริมให้เซลล์สมองที่ไม่สามารถผลิตสารนี้ได้มากพอ สาเหตุที่ไม่สามารถให้โดปามีนได้โดยตรง เนื่องจากโดปามีนไม่สามารถซึมเข้าสมองได้ ยาเลโวโดปามักจะต้องให้ควบคู่กับยาขนานอื่น เช่น ควบกับ คาร์บิโดปา ซึ่งจะช่วยขนส่งยาไปถึงสมองได้มากขึ้น และจะทำให้ยาออกฤทธิ์ได้นานขึ้น เนื่องจากลดอัตราการถูกทำลาย ยาเลโวโดปาสามารถลดอาการส่วนใหญ่ของผู้ป่วยได้ โดยเฉพาะอาการเคลื่อนไหวช้า และอาการเกร็ง บางครั้งอาจต้องใช้ควบกับยาชนิดอื่นๆ เมื่อยาเริ่มออกฤทธิ์ไม่เพียงพอที่จะยับยั้งอาการ ตัวอย่างชื่อการค้าของยาเลโวโดปา ได้แก่ Sinemet, Sinemet CR, Atamet, Larodopa, Lodosyn
- การผ่าตัด - ในระยะที่ใช้ยาไม่ได้ผล สมัยก่อนการผ่าตัดจะทำลายสมองบางส่วน ปัจจุบันนิยมรักษาโดยการฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าในสมอง เรียกว่า deep brain stimulation (DBS) วิธีการนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยในระยะท้ายๆ และรักษาด้วยยาไม่ได้ผลอีกต่อไป ผู้ป่วยก่อนรักษามีอาการแขนขาสั่นมากจนควบคุมไม่ได้ ร่างกายแข็งเกร็ง เคลื่อนไหวลำบาก หลังรับการรักษาจะมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน จนสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ แม้การรักษานี้จะได้ผลดีเยี่ยม แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูงมากในขณะนี้ ประมาณ 800,000 - 1,000,000 บาท
การผ่าตัดรักษาโรคพาร์กินสัน โดยเทคนิคใหม่ที่ไม่ใช้กรอบยึดกะโหลกศีรษะ ถือเป็นวิธีการที่ทันสมัยล่าสุด เมื่อก่อนจะใช้วิธีใส่กรอบยึดศีรษะ แต่วิธีใหม่จะไม่ใช้กรอบยึดศีรษะ หลักการคือการหาตำแหน่งและพิกัดสมองเพื่อฝังอิเล็กโตรด เพื่อไปกระตุ้นการทำงานของสมองด้วยกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่ฝังอยู่ที่หน้าอก ซึ่งการหาพิกัดของตำแหน่งสมองที่จะต้องใส่อิเล็กโตรดนั้น วิธีปัจจุบันจะต้องใช้การใส่กรอบยึดศีรษะ แต่วิธีใหม่จะใช้การฝังหมุดแล้วค่อยตรวจหาพิกัดแทน โดยจะใช้วิธีใส่หมุดที่ศีรษะก่อนผ่าตัดได้ 1 วัน ประหยัดเวลา หมุดมีขนาดเล็กมากมำให้ลดความเจ็บปวด มีพลาสติกครอบกันหลุด สามารถวางแผนการผ่าตัดล่วงหน้าได้ 1 วัน และผ่าตัดซ้ำได้โดยยังไม่ต้องถอดหมุด ศีรษะผู้ป่วยสามารถขยับได้ไม่ยึดติดกับเตียง
- ความก้าวหน้าใหม่ๆ - การศึกษาวิจัยปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์ เพื่อรักษาโรคพาร์กินสัน ขณะนี้คืบหน้าไปมากแล้ว
การรักษาโดยการปลูกถ่ายเซลล์ ใช้เซลล์จากทารกในสมองส่วนที่ร้างสารโดปามีน จากการศึกษาวิจัยหลายสถาบัน รวบรวมผู้ป่วยประมาณหนึ่งพันราย พบว่าผลการรักษายังไม่ดีนัก อาการของโรคดีขึ้นมากในผู้ป่วยกลุ่มที่มีอายุไม่มาก ต่ำกว่า 60 ปี ที่สำคัญมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่มีอาการหยุดยาแล้วสั่น ระยะหลังได้นำเซลล์เยื่อบุจอตาชนิดมีรงควัตถุ เป็นเซลล์ที่ทำการปลูกถ่าย พบว่าได้ผลดี แต่จำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้ยังน้อยอยู่
การรักษาด้วยวิธียีนบำบัด กำลังอยู่ในขั้นทดลองวิจัย ผลการศึกษาในสัตว์ทดลอง พบว่าได้ผลดีพอสมควร โดยเฉพาะการสอดใส่ยีนที่สร้างเอ็นซัยม์ กลูตามิก แอซิด ดีคาร์บอกซิเลส (GAD) เข้าไปในเซลล์ที่ ซับธาลามัส ผลที่ได้คือสมองสามารถสร้าง GABA เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
การรักษาด้วยสารกระตุ้นเซลล์ ที่มีชื่อเรียกว่า GDNF ได้ผลดีในสัตว์ทดลอง และกำลังอยู่ระหว่างการวิจัยเฟสที่ 3 ในมนุษย์ หลักการคือสารดังกล่าว เมื่อเข้าไปในสมอง จะกระตุ้นเซลล์สร้างสารโดปามีน ทำให้อาการของโรคพาร์กินสันดีขึ้นมาก
[แก้] สิ่งที่มักเข้าใจผิด
- เข้าใจผิดว่าโรคพาร์กินสันรักษาให้หายขาดได้ไม่ยาก จริงๆแล้วการใช้ยาในโรคพาร์กินสัน มีความยุ่งยากหลายประการ ผู้ป่วยส่วนหนึ่งเมื่อใช้ยาไปแล้ว การตอบสนองของยาอาจจะไม่ดีเหมือนเมื่อเริ่มรักษา การปรับเปลี่ยนชนิดและขนาดของยาจึงมีความสำคัญมาก และแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ในอดีตโรคนี้รักษาไม่ได้ และทำให้มีอาการเป็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถเคลื่อนไหวไม่ได้ ผู้ป่วยต้องนอนอยู่กับเตียงตลอด จนในที่สุดก็จะเสียชีวิตเพราะโรคแทรกซ้อน ในปัจจุบันความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้สามารถรักษาโรคนี้ได้อย่างดี ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ที่ป่วยเป็นโรคพาร์กินสันดีขึ้นมาก
- เข้าใจผิดว่าคนไทยไม่ค่อยเป็นโรคพาร์กินสัน สถิติอุบัติการณ์เกิดโรคนี้จะพบราว 1-5 % ในผู้ที่มีอายุเกิน 50 ปี
- ในอดีตเข้าใจผิดว่าโรคพาร์กินสัน มีความผิดปกติที่ไขสันหลัง แต่ในปัจจุบันเป็นที่ทราบแน่ชัดแล้วว่า พยาธิสภาพของโรคพาร์กินสัน เกิดขึ้นที่ในเนื้อสมองส่วนลึก
- อาการของโรคพาร์กินสันในระยะแรก แพทย์อาจยังไม่สามารถให้การวินิจฉัยได้ เมื่อติดตามผู้ป่วยไปสักระยะหนึ่ง อาการต่างๆถึงจะปรากฎเด่นชัดขึ้น
[แก้] คำแนะนำในการดูแลผู้ป่วย
- ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจำเป็นต้องมีผู้ดูแลใกล้ชิด
- ป้องกันการหกล้มโดยเลือกรองเท้าที่มีพื้นรองเท้าเป็นยาง ทางเดินในบ้านไม่ควรมีของเล่นหรือสิ่งของ หรือเปื้อนน้ำ ควรติดราวไว้ในห้องน้ำ ทางเดิน บันได
- ผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องการทรงตัวและการเดิน แนะนำให้ก้าวยาวๆ ยกเท้าสูง และแกว่งแขน เมื่อรู้สึกว่าเดินเท้าลาก ให้เดินช้าลงแล้วสำรวจท่ายืนของตัวเอง ท่ายืนที่ถูกต้องต้องยืนตัวตรง ศีรษะไหล่และสะโพกอยู่ในแนวเดียวกัน เท้าห่างกัน 8-10 นิ้ว
- ช่วยให้ผู้ป่วยได้ออกกำลังกาย หรือบริหารร่างกาย ตามสมควรและสม่ำเสมอ จะช่วยให้อาการต่างๆดีขึ้น และช่วยให้ผู้ป่วยไม่เกิดอาการซึมเศร้าตามมาอีกด้วย
- ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันอาจท้องผูกได้ง่าย เนื่องจากการทำหน้าที่ของระบบประสาทอัตโนมัติบกพร่อง ทำให้การบีบตัวของลำไส้ผิดปกติ เกิดอาการท้องผูก 3-4 วันถึงจะถ่ายอุจจาระครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ผู้ป่วยที่ใช้ยา Artane และ Cogentin ก็เป็นสาเหตุให้ท้องผูกได้
- ผู้ป่วยในระยะท้ายจะมีปัญหาเรื่องการกลืน วิธีการที่จะลดปัญหาได้แก่ ตักอาหารพอคำแล้วเคี้ยวให้ละเอียด กลืนให้หมดก่อนที่จะป้อนคำต่อไป ควรจะมีแผ่นกันความร้อนรองเพื่อป้องกันไม่ให้อาหารเย็น และ ควรเลือกอาหารที่เคี้ยวง่าย
- ผลข้างเคียงของยาเลโวโดปา ตัวอย่างเช่น Sinemet, Sinemet CR ที่สำคัญคือเวลาใช้ยาไปสักระยะหนึ่ง อาจจะต้องเพิ่มยาเพื่อควบคุมอาการ แต่ก็อาจจะเกิดผลข้างเคียงของยาได้เช่น คลื่นไส้อาเจียน ความดันโลหิตต่ำ ควบคุมการเคลื่อนไหวไม่ได้ คือมีการเคลื่อนไหวแบบกระตุก สั่นๆ ผ้ป่วยอาจมีอาการสับสนหลังจากที่ใช้ยาระยะยาวและมีขนาดสูงจึงอาจเกิดอาการผิดปกติ โดยก่อนกินยาจะมีอาการเกร็งมาก เมื่อรับประทานยาอาการจะดีขึ้น ระยะเวลาที่ดีขึ้นจะสั้นลง สั้นลง การแก้ไขภาวะนี้ให้รับประทานยาถี่ขึ้นแต่มีขนาดยาน้อยลง
![]() |
โรคพาร์กินสัน เป็นบทความเกี่ยวกับ การแพทย์ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหา หรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น |