เพลงยาวบัตรสนเท่ห์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
![]() |
|
เพลงยาวบัตรสนเท่ห์ | |
---|---|
กวี : | พระมหามนตรี (ทรัพย์) |
ประเภท : | บัตรสนเท่ห์ |
คำประพันธ์ : | กลอนเพลง |
ความยาว : | 54 คำกลอน |
สมัย : | ต้นรัตนโกสินทร์ |
ปีที่แต่ง : | รัชกาลที่ 3 |
ชื่ออื่น : | เพลงยาวบัตรสนเท่ห์แต่งว่าจมื่นราชามาตย์ |
ลิขสิทธิ์ : | |
![]() |
เพลงยาวบัตรสนเท่ห์ หรือ เพลงยาวบัตรสนเท่ห์แต่งว่าจมื่นราชามาตย์ เป็นเพลงยาว ที่ พระมหามนตรี (ทรัพย์) แต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 (ระหว่าง พ.ศ. 2367 - พ.ศ. 2394) เพื่อเสียดสีและเปิดโปง จมื่นราชามาตย์ หรือ พระยามหาเทพ (เดิมชื่อนายทองปาน) เพลงยาวฉบับนี้ไม่มีชื่อ จึงเรียกตามเนื้อหาและลักษณะของกลอน นั่นคือแต่งเป็นบัตรสนเท่ห์แล้วไปทิ้งไว้ให้ผู้คนอื่นทั่วไปได้อ่าน เพื่อเป็นการประจานหรือเปิดโปงผู้ที่ถูกกล่าวไว้ในกลอน แต่เนื้อหาไม่หยาบคาย จึงเป็นที่กล่าวถึงและท่องจำกันได้ในหมู่ผู้นิยมกาพย์กลอน
[แก้] ความเป็นมา
แม้เพลงยาวฉบับนี้จะเป็นบัตรสนเท่ห์ ซึ่งไม่ระบุชื่อผู้แต่ง แต่ผู้คนในเวลานั้นย่อมรู้ดีว่าเป็นฝีปาก หรือสำนวนของใคร ด้วยในสมัยนั้น การพิมพ์ยังไม่แพร่หลาย ผู้คนมีจำนวนไม่มาก พอจะรู้และคุ้นสำนวนกันอยู่ ว่ากลอนของใคร อีกอย่างหนึ่ง พระมหามนตรีก็เป็นกวีที่มีชื่อเสียงอยู่ในเวลานั้น (ท่านยังมีชื่อเสียงจากบทละครล้อเลียนเรื่อง ระเด่นลันได ด้วย) จึงโจษจันกันว่าผู้แต่งคือพระมหาเทพนั่นเอง ทว่ามิได้มีการแจ้งความฟ้องร้องแต่อย่างใด
บัตรสนเท่ห์ฉบับนี้ แต่งแล้วได้นำไปปิดไว้ที่ระเบียงโรงตำรวจในวัง อันเป็นที่ทำการของจมื่นราชามาตย์นั่นเอง จมื่นราชามาตย์ผู้นี้ มีตำแหน่งเป็นปลัดกรมพระตำรวจในซ้าย ถือศักดินา 800 ภายหลังได้เลื่อนยศเป็นพระยามหาเทพเสพกษัตริย์ ตำแหน่งเจ้ากรมพระตำรวจในซ้าย ถือศักดินา 2,000
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเล่าไว้ว่า ในครั้งนั้น น่าจะมีคนชังพระยามหาเทพ (ทองปาน) ผู้นั้นอยู่มาก เมื่อได้อ่านเพลงยาวบัตรสนเท่ห์ฉบับนี้ก็มิได้ฟ้องร้องแต่อย่างใด
[แก้] เนื้อหาและคำประพันธ์
คำประพันธ์ในเรื่องเป็นกลอนเพลงยาว หรือกลอนแปด ขึ้นต้นด้วยวรรครับ มีความยาวเพียง 54 คำกลอน (27 บทกลอน) มีการใช้ภาษาที่ไพเราะ และรัดกุม เจาะจงเล่าเหตุการณ์และความรู้สึกที่ผู้คนมีต่อจมื่นราชามาตย์ เสียดสีและเยาะเย้ย ความหยิ่งยโส อวดดี การวางอำนาจ และยังเอ่ยชื่อโดยตรงทั้ง "ราชามาตย์" และ "นายทองปาน" นอกจากนี้ยังเอ่ยถึงบริวารอีกสามคน คือ "ไชยภักดี", "ศรีสังหาร" และ "แสนใจรบ" เมื่อเอ่ยถึงอย่างชัดเจนเช่นนี้ ผู้คนย่อมจะนึกออกได้ทันที ว่าหมายถึงผู้ใด ขณะเดียวกัน ก็ได้พรรณนาพฤติกรรมต่างๆ อย่างชัดเจนเช่นกัน
เพลงยาวเรื่องนี้เป็นที่กล่าวอยู่เนืองๆ พร้อมกับประวัติของผู้แต่ง ทว่าไม่ค่อยจะมีการตีพิมพ์ให้ได้อ่านกัน ในที่นี้จึงนำมาใส่ไว้ในหน้านี้ เพื่อจะได้อ่านเสียทีเดียว
มิเสียทีที่เขามีวาสนา | ||
แต่เห็นเห็นที่เขาเป็นขุนนางมา | ไม่เหมือนราชามาตย์ในชาตินี้ | |
ประกอบหมดยศศักดิ์และทรัพย์สิน | เจ๊กจีนกลัวกว่าราชาเศรษฐี | |
เมื่อชาติก่อนได้พรของหลวงชี | จึงมั่งมีดูอัศจรรย์ครัน | |
เขาชมบุญเรียกเจ้าคุณราชามาตย์ | แต่ร้ายกาจเกือบยักษ์มักกะสัน | |
ลงนั่งยังนาวาเหมือนชาละวัน | ขึ้นบกตกมันเหมือนสิงห์ทอง | |
จะเข้าวังตั้งโห่เสียสามหน | ตรวจพลอึกทึกกึกก้อง | |
ห่อผ้ากาน้ำมีพานรอง | หอกสมุดชุดกล้องร่มค้างคาว | |
นุ่งปูมเขมรใหม่วิไลเหลือ | สวมเสื้อได้ประทานห่มส่านขาว | |
ลงจากหอกลางหางหงส์ยาว | เมียชมว่างามราวกับนายโรง | |
ช่างหมดจดงดงามถึงสามอย่าง | จะได้วางกิริยาก็อ่าโถง | |
แต่ใจโตกว่าตับคับซี่โครง | เมื่อเดินโคลงโยกย้ายหลายทำนอง | |
ถนนกว้างสี่วามาไม่ได้ | กีดหัวไหล่ไกว่แขนให้ขัดข้อง | |
พวกหัวไม้เห็นกลัวหนังหัวพอง | ยกสองมือกราบอกราบดิน | |
ด้วยอำนาจราชศักดิ์นั้นหนักหนา | ถ้าเข้าคาแล้วแต่ล้วนเป็นสัตย์สิ้น | |
มีทหารชาญไชยใจทมิฬ | ดังจะกินเนื้อมนุษย์สุดพิภพ | |
ไชยภักดี ว่าที่ขุนต่างใจ | ทั้งนอกในไวเวรก็เจนจบ | |
ศรีสังหาร พนักงานจำการครบ | แสนใจรบ รับเรียกค่าฤชา | |
ทั้งสามนายยอมตายในใต้ท้าว | มิเสียทีมีบ่าวคราววาสนา | |
เคยเชื่อใจไว้วางต่างหูตา | รู้อัธยาอาศัยน้ำใจนาย | |
หยุดที่ทิมกรมวังนั่งสูบกล้อง | ดูทำนองกรุ้งกริ่งหยิ่งใจหาย | |
พวกลูกความตามหมอบเทียวยอบกาย | กลัวกว่าพระยานายบ้านเมืองดี | |
หมอจีนดูไว้ในตำรา | ดวงชะตาขึ้นเมษราศี | |
คงจะถึงพานทองในสองปี | ถ้าเต็มทีผิดคาด ราชรองเมือง | |
ข่าวนอกพูดกันขันเต็มที | ว่ากลางคืนรัศมีสีเนื้อเหลือง | |
ดูในเรือนเหมือนแสงแมงคาเรือง | คนลื่อเลื่องพูดมากปากวัดวา | |
พระยาบำเรอบริรักษ์ได้ซักถาม | ว่าเดิมความโด่งดังขึ้นวังหน้า | |
สมภารวัดลิงขบคบภรรยา | ไปพูดจากันที่วัดน่าอัศจรรย์ | |
ครั้นพิเคราะห์ดูความเห็นงามแน่ | ชนชาวแพโรงเหล้าเหล่าบางยี่ขัน | |
ต่างนิยมชมชื่นตื่นกันครัน | ว่าเหมือนพระพิมพ์สวรรค์ผู้รุ่งฟ้า | |
ช่างสมบูรณ์ทั้งท่านคุณผู้หญิงใหญ่ | งามลักษณวิไลดังเลขา | |
งามละม้ายคล้ายแสงสุริยา | เทวดาดลใจจึงได้กัน | |
หม่อมชาวเมืองสุรินทร์ชื่อสิลลา | เป็นเทือกเถาเหล่าพระยาขุขันธ์ | |
หม่อมทับทิมเดนเลือกเทือกรามัญ | หม่อมลูกจันทน์เป็นลาวชาวอัตปือ | |
ตกลงมาอยู่กรุงพุงโรป่อง | แต่ลงท้องตาลอยอยู่น้อยหรือ | |
รอดด้วยยาเข้าอึ่งกับกึ่งกือ | พึ่งจะรื้อจากไข้ได้สามเดือน | |
ซื่อสัตย์สุจริตสนิทสนม | คุณชายชมหนักหนาหาไม่เหมือน | |
โปรดให้เป็นที่สองรองแม่เรือน | ได้ตักเตือนดูแลแม่น้อยน้อย | |
ให้คลานศอกคลานเข่าจนเคล่าคล่อง | ถูกทำนองนางในไว้ใช้สอย | |
พนักงานของใครก็ใครคอย | ได้ระเบียบเรียบร้อยทั้งถ้อยคำ | |
เวลาเจ้าคุณออกจากที่เฝ้า | ให้ร้องเรื่องอิเหนาเมื่อเข้าถ้ำ | |
ฝ่ายหม่อมที่คะนองร้องลำนำ | จนท้องน้ำเลื่องลือระบือชา | |
นั่งอวดสบเสียให้เมียกลัว | เกิดเป็นตัวกูนี้มีวาสนา | |
เครื่องเสวยคาวหวานประทานมา | กินหน้าหน้าเลื่องลือออกอื้ออึง | |
ฝ่ายหม่อมภรรยาบรรดานั่ง | ครั้นได้ฟังกลัวขลาดไม่อาจหึง | |
อีสาวสาวเหล่าพวกช่างสะดึง | มันกีดอยู่นิดหนึ่งดอกกระมัง | |
คิดว่าจะให้หัดมโหรี | เด็กเด็กเสียงดีมีอยู่บ้าง | |
ถึงวันพระไม่ได้ชำระความในวัง | ออกมานั่งหอนอกออกแขกเมือง | |
พวกทหารเรียนรายของกำนัล | เจ็กนั่นจีนนี่มีหลายเรื่อง | |
เฮ้ยบ่าวอุปราชใครขาดเคือง | พวกหัวเมืองขัดสนขนไปกิน | |
ปลูกเรือนเหมือนกับถวายฎีกา | นึกคอยวาสนาเมื่อหน้ากฐิน | |
ปัญญาท่านแทงลอดตลอดดิน | ควรจะภิญโญยศปรากฏไป | |
คนนอกพูดกันนั้นไม่เห็น | เมื่อครั้งเป็นนายทองปานท่านสงสัย | |
ข้าพเจ้าได้ส่องกล้องเป่าไฟ | ไม่ใกล้ไกลดอกกลัวฝากตัวเอยฯ | |