สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

บทความนี้ต้องการ ตรวจสอบ ปรับปรุง แก้ไขรูปแบบหรือภาษา ในหลายส่วนด้วยกัน
คุณสามารถช่วยตรวจสอบ และแก้ไขบทความนี้ได้ด้วยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน
กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไข
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วิธีการแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือการเขียน และ นโยบายวิกิพีเดีย และเมื่อแก้ไขตามนโยบายแล้ว สามารถนำป้ายนี้ออกได้

สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก

[[ภาพ:king0l.jpg]king0.jpgบทนำ “จะกล่าวถึงเจ้านายซึ่งเปนประถม เป็นต้นสกูลเจ้าฟ้าแลพระองค์เจ้า หม่อมเจ้าหม่อมราชวงษ์ แลเจ้าราชนิกุลที่เรียกนามว่าคุณหม่อมมีบันดาศักดิ์ เนื่องในพระบรมราชวงษ์นี้ซึ่งบัดนี้เปนจำพวกต่าง ๆ อยู่ จะให้รู้ให้แจ้งว่าเนื่องมาแต่ท่านผู้ใดพระองค์ใดเปนเดิมแต่แรกตั้งกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทรมหินทรายุทยานี้มา พึงรู้โดยสังเขปว่าบุรุษนารีมีบันดาศักดิ์ ซึ่งเรียกว่าเปนจำพวกเจ้า คือเจ้าฟ้าแลพระองค์เจ้า หม่อมเจ้าหม่อมราชวงษ์ทั้งปวงนั้น ล้วนปฏิพัตพัวพันธ์สืบต่อลงมา แต่องค์สมเด็จพระบรมมหาไปยกาธิบดี คือ องค์สมเด็จพระชนกนารถพระเจ้าหลวงของพระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถ ซึ่งปรากฏพระนามในบัดนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์...เปนเดิมทั้งสิ้นเรียกว่าสกูลเจ้าเปนอย่างหนึ่ง” ข้อความที่ยกมาเบื้องต้นนี้ เป็นส่วนหนึ่งของความนำพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเรื่อง “ประถมวงศ” ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระศรีสุนทรโวหาร (ฟัก) เจ้ากรมพระอาลักษณ์บันทึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๓ เพื่อให้พระบรมวงศานุวงศ์ทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในได้ทรงทราบเรื่องราวของพระบุรพการีของพระบรมราชจักรีวงศ์ “สมเด็จพระบรมมหาไปยกาธิบดี” หรือตามที่เฉลิมพระนามขึ้นภายหลังว่า สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ทรงมีพระนามเดิมว่า ทองดี ประสูติที่บ้านสะแกกรังจังหวัดอุทัยธานีในราวรัชกาลของพระพุทธเจ้าเสือ หรือต้นรัชกาลพระเจ้าท้ายสระ ประวัติราชินิกุลบางช้าง เลขที่ ๑๙๙ จดหมายเหตุของราชสกุลชุมสาย ซึ่งบัดนี้ตกทอดมาถึง ม.ล.มานิจ ชุมสาย และเอกสารเก่าอีกบางชิ้นกล่าวว่าบิดาของท่านคือ พระยาราชนิกุล (ทองคำ) ท่านจะรับราชการอยู่ที่ใดแน่นั้นยังคงสับสนอยู่ หลักฐานบางชิ้นกล่าวว่ารับราชการอยู่ในกรมนา บ้างก็ว่า กรมมหาดไทย แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาเอกสารเหล่านี้ร่วมกับพระราชหัตถเลขา ๒ ฉบับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานไปยัง เซอร์ จอห์น เบาริง เกี่ยวกับ “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแต่ครั้งโบราณ แห่งพระบรมราชวงศ์ปัจจุบันซึ่งครอบครองกรุงสยาม” และ “เรื่องราวที่ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังจากบิดามารดา และบรรพบุรุษของข้าพเจ้า ตลอดจนวงศ์ตระกูลอื่น ๆ ที่สนิทสนมกันมาช้านาน ซึ่งข้าพเจ้าได้คุ้นเคยด้วย เมื่อท่านเหล่านั้นยังทรงพระชนม์ชีพอยู่หรือมีชีวิตอยู่” ยุติต้องตรงกันว่าตระกูลของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก สืบทอดมาจากเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เสนาบดีพระคลังในสมัยสมเด็จพระเพทราชา ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นออกพระวิสุทธสุนทร และได้เดินทางไปถวายพระราชสาส์นของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชยังราชสำนักของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๘ พระราชหัตถเลขาดังกล่าวและจดหมายเหตุของราชสกุลชุมสายได้กล่าวไว้ด้วยว่าพระบุรพบุรุษของพระราชวงศ์จักรีนั้น เป็นชาวมอญกรุงหงสาวดีรับราชการฝ่ายทหาร ต่อมาได้อพยพครอบครัวมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ตามเสด็จกลับมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพระนครศรีอยุธยาสืบมา พระราชพงศาวดารของไทยให้รายละเอียดเพิ่มเติมถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า เมื่อพระเจ้านันทบุเรงขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อจากพระเข้าบุเรงนองในพ.ศ. ๒๑๒๗ ได้ทรงเล็งเห็นว่า สมเด็จพระนเรศวรทรงพระปรีชาสามารถในการรบยิ่งนัก ทั้งมีพระสติปัญญาหลักแหลมกล้าหาญ ต่อไปภายภาคหน้าอาจเป็นเสี้ยนหนามแก่กรุงหงสาวดีได้ จึงคิดอุบายลวงขึ้นโดยแจ้งข่าวมายังสมเด็จพระมหาธรรมราชาว่ากรุงอังวะเป็นกบฏ จะขอให้ไทยยกทัพมาช่วยหงสาวดีทำสงครามกับอังวะ หากสมเด็จพระนเรศวรเสด็จมาใกล้หงสาวดีแล้ว พระเจ้าหงสาวดีก็จะโปรดให้พระยาเกียรติ พระยาราม ลงไปรับเสด็จ พระองค์เองจะทรงยกทัพหลวงออกดีด้านหน้า ให้พระยาเกียรติ พระยารามตีกระหนาบจากด้านหลัง แล้วให้จับสมเด็จพระนเรศวรปลงพระชนม์เสียให้ได้ พระยาเกียรติและพระยารามได้เล่าความจริงให้พระมหาเถรคันฉ่องผู้เป็นอาจารย์ฟังโดยตลอดครั้นสมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปถึงเมืองแครงพระมหาเถรจึงพาพระยาทั้งสองไปเฝ้ากราบทูลสมเด็จพระนเรศวรให้ทรงทราบอุบายลวงของพระเจ้านันทบุเรง สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงตัดสินพระทัยประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นต่อกรุงหงสาวดีตั้งแต่บัดนั้น และได้เลิกทัพกลับกรุงศรีอยุธยาโดยมีพระมหาเถรคันฉ่อง พระเกียรติ พระยาราม และครอบครัวมอญตามเสด็จพระราชดำเนินกลับมาด้วย พระเกียรติ พระยาราม ได้รับพระราชทานเจียดทอง เต้าน้ำทอง กระบี่บั้งทอง เงินตรา เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เครื่องอุปโภคและบริโภคเป็นอันมาก ทั้งได้พระราชทานให้เป็นหัวหน้าควบคุมดูแลครัวมอญอพยพซึ่งโปรดให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลบ้านขมิ้น วัดขุนแสน ครัวมอญบางส่วนคงจะโยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานแถบวัดพนัญเชิง ตามที่จดหมายเหตุขุนหลวงหาวัดกล่าวไว้ว่า “...แล้วพระนเรศร์จึงสร้างพระองค์หนึ่งจึงถวายนามเรียกพระบรมไตรโลกนารถ สมาธิหน้าตัก ๒ ศอก ทำด้วยทองเหลืองหล่ออยู่วัดเจ้าพระแนงเชิง พระนเรศร์ให้ช่างรามัญทั้งปวงทำฝีมือมอญ ฝ่ายมอญจึงเรียกวัดพระแนงเชิงอยู่ทางทิศใต้เมือง แล้วจึงทำการฉลองเป็นหนักหนา ครั้นแล้วพระนเรศร์จึงซ่องสุมทำนุบำรุงทหารและโยธาบรรดาที่มาแต่หงสา อันมีความชอบจงรักภักดีต่อพระองค์นั้น พระนเรศร์ก็ประทานบำเหน็จรางวัลทั้งไพร่และผู้ดีทั้งสิ้น บ้างก็ได้เลื่อนที่เลื่อนทาง แล้วประทานชื่อเสียงเรียงตัวกันทั้งสิ้น” แกมป์เฟอร์ แพทย์ชาวเยอรมันประจำคณะทูตเนเธอร์แลนด์ซึ่งออกเดินทางจากปัตตาเวียเพื่อไปเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับญี่ปุ่นได้แวะเข้ามาเยือนกรุงศรีอยุธยาเมื่อกลางปี พ.ศ.๒๒๓๓ ได้สำรวจแผนผังกรุงศรีอยุธยาตีพิมพ์ไว้พร้อมกับหนังสือที่เขาเรียบเรียงขึ้นเล่มหนึ่ง ในแผนที่นี้จะพบว่าสถานที่ตั้งของวัดพนัญเชิงอยู่ใกล้เคียงกับบริเวณที่แกมป์เฟอร์ระบุว่าเป็นชุมชนมอญ ญี่ปุ่นและมลายู จึงน่าเชื่อว่าบางทีจะเป็นชุมชนมอญอพยพซึ่งมีถิ่นฐานเก่าแก่มาแต่ครั้งสมเด็จพระนเรศวร ภายหลังเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริจะซ่อมสร้างพระอารามเก่าในอยุธยา ได้โปรดให้ลงรักปิดทองพระพุทธรูปในพระอุโบสถวัดพนัญเชิงที่ชำรุดร้าวอยู่ขึ้นใหม่ทั้งพระองค์ด้วยทรงคำนึงว่า เป็นวัดที่พระบุรพบุรุษของพระราชวงศ์จักรีได้บูรณปฏิสังขรณ์ไว้ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานี ส่วนวัดขุนแสนนั้น โปรดให้ปฏิสังขรณ์พระวิหาร และให้ก่อพระเจดีย์ใหญ่สวมพระเจดีย์องค์เดิมไว้ จากพระราชหัตถเลขาถึงเบาริง ทำให้ทราบว่าในรัชสมัยของพระองค์ท่าน ยังคงปรากฏให้เห็นพระพุทธรูป และจารึกของเดิมซึ่งมอญครั้งนั้นสร้างไว้ น่าเสียดายที่ปัจจุบันสูญสลายไปแล้ว ครัวมอญอันมีพระยาเกียรติ พระยาราม เป็นหัวหน้าคงจะรับราชการสมัยสมเด็จพระนเรศวรในรูปกองทหารอาสา ดังมีค่าเรียกต่างกันไปตามเชื้อชาติ เช่น อาสาญี่ปุ่น อาสาญวน อาสาจาม ฯลฯ เป็นต้น มีตัวอย่างเอกสารชั้นหลังบางชิ้นเช่น โคลงยอพระเกียรติ พระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งนายสวน มหาดเล็กเป็นผู้แต่ง เมื่อจะกล่าวถึงสมเด็จพระบวรราชาเจ้ามหาสุรสิงหนาทในสมัยที่ยังทรงเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพิษณุโลก (แผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรี)ก็เรียกว่า “เจ้าพระยาอนุชิต เชื้ออาสา” ดังนี้เป็นต้น เรื่องราวของบุรพการีของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกปรากฏชัดเจนอีกครั้งในช่วงรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชตามหลักฐานชาวต่างประเทศจำนวนมากที่กล่าวถึงเจ้าพระยาโกษาธิบดี(เหล็ก) และ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) บันทึกของราชสกุลชุมสายได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ลูกหลานของพระยาเกียรติผู้หนึ่งได้แต่งงานกับสตรีสกุลสูงในราชสำนัก ซึ่งมีนามว่า “บัว” และให้กำเนิดบุตรชาย ๒ คน คือ พระยา พระคลังทั้ง ๒ ท่านนี้ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชได้ทรงกล่าวเสริมไว้เช่นกันว่า “พระบุรพบุรุษเป็นพระบรมราชวงศ์จักรีมาแต่หม่อมเจ้าบัว คือที่สมญาว่า “เจ้าแม่วัดดุสิต” เป็นราชตระกูลครั้งกรุงทวาราวดี (กรุงเก่า) สืบต่อมาถึงสมเด็จพระมหาชนก” เมื่อคำนึงถึงฐานันดรศักดิ์ของเจ้าแม่วัดดุสิตโดยพิจารณาห้วงเวลาประกอบ สันนิษฐานว่าท่านคงเป็นราชนิกุลที่สืบสายมาจากสมเด็จพระมหาธรรมราชา อันถือเป็นพระวงศ์เก่าก่อนราชวงศ์ปราสาททอง หลักฐานในสมัยหลัง เช่นสร้อยนามบรรดาศักดิ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อรับราชการในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีมีวรรคหนึ่งที่ว่า “นเรศวรราชสุริยวงศ์” เจมส์โลว์ ทูตอังกฤษซึ่งเดินทางมายังนครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๗ ได้แปลเอกสารที่ได้จากนครศรีธรรมราชไว้บางส่วนซึ่งเอกสารนั้นกล่าวถึง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และ พระอนุชา ว่า “พี่น้องสองคนแห่งราชตระกูล” ควรสังเกตด้วยว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้โปรดให้ตั้งการพระราชพิธีปราบดาภิเษกขึ้น ซึ่งตามคัมภีร์ปัญจราชาภิเษกของอยุธยาระบุไว้ชัดเจนว่าผู้จะกระทำพิธีนี้ต้องเป็น “ตระกูลกษัตริย์ขัติยราช” เท่านั้น พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา และบันทึกของชาวต่างชาติสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เช่น ลาลูแบร์ และ แชร์แวส เล่าว่าเจ้าแม่วัดดุสิตได้เป็นพระนมเอกของสมเด็จพระนารายณ์ ส่วนสมญาของท่านที่เกี่ยวพันกับวัดดุสิตนั้น อธิบายความตามพระราชพงศาวดารฉบับดังกล่าวได้ว่า เพราะท่านตั้งตำหนักอยู่ริมวัดดุสิตนั่นเอง อันการที่พระราชวงศ์ฝ่ายในจะย้ายมาปลูกสร้างที่ประทับภายนอกเมื่อมีพระชนมายุสูงขึ้นพบได้อีกหลายครั้ง พระขนิษฐาและพระธิดาของสมเด็จพระนารายณ์ คือ กรมหลวงโยธาทิพ และ กรมหลวงโยธาเทพ ซึ่งทรงเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายฝ่ายขวาของสมเด็จพระเพทราชา เมื่อล่วงรัชกาลแล้วก็เสด็จออกมาประทับอยู่ที่พระตำหนักใกล้วัดพุทไธศวรรย์ ส่วน ตำหนักวัดดุสิต นี้ภายหลังเมื่อ เจ้าแม่วัดดุสิตสิ้นพระชนม์ในพ.ศ. ๒๒๓๒ แล้ว กรมพระเทพามาตย์ พระอัครมเหสีเดิมของสมเด็จพระเพทราชาได้เสด็จอยู่ต่อมา น่าเสียดายที่เราไม่มีหลักฐานชัดเจนในส่วนที่เกี่ยวกับพระสามีของเจ้าแม่วัดดุสิตท่านคงเป็นเชื้อสายพระยาเกียรติที่เข้ามาสัมพันธ์กับพระราชวงศ์และเป็นราชนิกูลด้วยกันดังที่เอกสารบางแห่งกล่าวไว้ แต่อย่างน้อยควรจะอนุมานได้ว่าท่านคงทำราชการอยู่ในตำแหน่งสูงก่อนหรือต้นราชการสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง สังเกตได้ว่าในจดหมายเหตุของชาวต่างชาติยุคนั้น มักปรากฏเรียกนามของเจ้าพระยาโกษาธิบดี(ปาน) อย่างลำลองว่า “หม่อมปาน” บรรดาศักดิ์ “หม่อม” นี้ ลาลูแบร์ อัครราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ บันทึกไว้ว่าเป็นคำที่ใช้เรียกบุตรของขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งถือเป็นบุตรผู้มีบรรดาศักดิ์ (จะพบตัวอย่างทำนองนี้ได้อีก เช่น หม่อมปีย์ โอรสบุญธรรมของสมเด็จพระนารายณ์ หม่อมเสมพระภัสดาของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี พระเจ้าพี่นางเธอของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ก็มีคำเรียกว่า หม่อมหน เช่นกัน) หม่อมเหล็ก บุตรชายคนใหญ่ของเจ้าแม่วัดดุสิตได้รับราชการเป็นที่เจ้าพระยาโกษาธิบดี ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ชื่อเสียงและเกียรติคุณของท่านเป็นที่ประจักษ์ในหมู่ชาวต่างประเทศยุคนั้นอย่างกว้างขวางชาวต่างชาติผู้หนึ่งบันทึกไว้ว่า เจ้าพระยาพระคลัง “เป็นคนโดดเด่นทั้งบุคลิกและการทำงาน มีความบริสุทธิ์ยุติธรรมต่อชาวต่างประเทศ และเป็นที่ชื่นชมในหมู่ชาวสยามมากเสียจนมีคำกล่าวว่าเขาอาจจะเป็นกษัตริย์ได้ถ้าปรารถนา” เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ถึงแก่อนิจกรรมและได้รับพระราชทานเพลิงศพเมื่อ วันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๒๒๖ ส่วนหม่อนปานนั้น ได้รับราชการภายใต้บังคับบัญชาของพี่ชายเป็นเวลาถึง ๑๕ ปี ก่อนที่สมเด็จพระนารายณ์จะโปรดให้เป็นราชทูตเดินทางไปเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เมื่อพ.ศ. ๒๒๒๘ ทั้งนี้คงเป็นไปตามที่ลาลูแบร์ กล่าวไว้ว่า “ตำแหน่งหน้าที่ราชการทุกตำแหน่งนั้น ชอบที่จะให้เป็นตำแหน่งสืบตระกูล” เชอวาเลีย เดอโชมอง ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ได้บันทึกว่า “ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเห็นพระวิสุท ข้าพเจ้าก็ทราบได้ทันทีว่าเป็นคนมีตระกูล และเป็นคนฉลาด ข้าพเจ้าได้พูดกับพระยาวิชเยนทรว่าชายคนนี้แหละ สมควรที่จะเป็นราชทูตออกไปเมืองฝรั่งเศส” เดอโชมองได้ยกย่องคณะทูตไทยต่อไปอีกว่า “ทูตานุทูตชุดนี้เป็นคนดีที่สุดในโลก เป็นคนเฉยได้เคยรับการศึกษาอย่างดี เป็นคนอ่อนน้อมและอารมณ์ดี หวังว่าเขากับข้าพเจ้าคงเป็นมิตรสหายที่สนิทสนมกันต่อไป” ออกพระวิสุทธสุนทร ได้เป็นที่ เจ้าพระยาโกษาธิบดี ในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา ท่านถึงอนิจกรรมเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๒๔๓ ได้ทราบจากบันทึกของเคเมอเนในเดือนมกราคม พ.ศ.๒๒๔๔ หลังจากที่เขาได้พบกับเจ้าพระยาพระคลังคนใหม่แล้วว่า “เจ้าพระยาพระคลังคนที่เคยไปฝรั่งเศสนั่นได้ถูกเฆี่ยนตายเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีกลายนี้แล้ว” วาระสุดท้ายของเจ้าพระยาพระคลังผู้เรืองนามจะเป็นอย่างไรแน่นั้น มีแต่บันทึกของมิชชันนารีฝรั่งเศสชื่อ โบร์ด กล่าวไว้ว่า “เขาพูดกันว่าที่ตายนี้ก็เพราะ ถูกเฆี่ยนตาย ทั้งเสียใจที่ตัวต้องถูกเฆี่ยน และถูกลงอาญาบ่อย ๆ ด้วย เพราะเมื่อ ๔ ปีมาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินทรงกริ้วขึ้นมาก็ได้เอาพระแสงดาบตัดปลายจมูกเจ้าพระยาพระคลัง ตั้งแต่นั้นมาเจ้าพระยาพระคลังก็ต้องรับพระราชอาญาเรื่อยมา เพราะพระเจ้าแผ่นดินไม่ทรงไว้พระทัยเสียแล้ว ก่อนที่เจ้าพระยาพระคลังจะตายนั้นบุตรสาวคนใหญ่คนหนึ่ง บุตรชายสองสามคนกับภรรยาน้อยของเจ้าพระยาพระคลังได้ถูกจับไป และถูกชำระ จึงได้เกิดลือกันว่า เจ้าพระยาพระคลังมีความเสียใจนัก จึงได้เอามีดแทงชายโครงฆ่าตัวเองตาย การที่เจ้าพระยาพระคลังตายนี้ พระเจ้าแผ่นดินก็ออกตัวได้ดีได้ทรงแกล้งทำเสียพระทัยว่าเจ้าพระยาพระคลังได้อสัญกรรมเสียแล้ว จึงได้โทษว่าหมอจีนซึ่งเป็นผู้รักษาเจ้าพระยาพระคลังได้เอายาพิษให้เจ้าพระยาพระคลังรับประทาน จึงให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนหมอคนนั้น และให้เฆี่ยนทั้งหลังและท้องด้วย เวลากลางคืนได้ยกศพเจ้าพระยาพระคลังไปฝังไว้ยังวัด หาได้มีการทำบุญให้ทานอย่างใดไม่ และมิได้ทำการศพให้สมกับเกียรติยศ ซึ่งต้องมีการแห่ศพไปไว้ยังโรงทึมและเผาตามธรรมเนียม นี่แหละเป็นสิ้นชื่อของอัครราชทูตสยามที่ได้ไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศฝรั่งเศส และเป็นอัครมหาเสนาบดีของเจ้าพระแผ่นดินสยามองค์ปัจจุบันนี้ด้วย” ในช่วงปลายรัชกาล สมเด็จพระเพทราชา เหตุการณ์บ้านเมืองระส่ำระสาย ทรงหวาดระแวงว่าขุนนางผู้ใหญ่จะเป็นขบถ จึงได้ลงพระอาญาประหารชีวิตเสียหลายท่าน เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ทรงระแวงและไม่ไว้วางพระราชหฤทัยอีกต่อไป น่าเชื่อว่าเหตุการณ์นี้ คงมีส่วนผลักดันให้ครอบครัวของเจ้าพระยาโกษาธิบดีต้องประสบภาวะบ้านแตกสาแหรกขาดลี้ราชภัยออกจากกรุงศรีอยุธยาไปอาศัยอยู่ชั่วคราว ณ เมืองอุทัยธานี อันเป็นสถานที่ประสูติของ สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก สันนิษฐานว่าเมื่อล่วงรัชกาลสมเด็จพระเพทราชาแล้ว ซึ่งก็เป็นระยะเวลาเพียง ๓ ปี หลังจากมรณกรรมของเจ้าพระยาพระคลัง ครอบครัวบุตรหลานของท่านคงจะได้กลับคืนสู่กรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง บุตรชายคนหนึ่ง ชื่อ ขุนทอง ซึ่งก่อนหน้านี้เคยรับราชการเป็น พระยาอัษฎาเรืองเดช จางวางพระตำรวจในกรมพระราชวังบวรในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชาก็ได้กลับเข้ารับราชการใหม่ เมื่อกรมพระราชวังบวรพระองค์นั้นได้ขึ้นเสวยราชย์เป็น สมเด็จพระพุทธเจ้าเสือ และในแผ่นดินใหม่นี้ พระยาอัษฎาเรืองเดชได้เลื่อนขึ้นเป็น เจ้าพระยาวรวงศาธิราช ส่วนหน้าที่ราชการของท่านนั้นเอกสารบางแห่งกล่าวว่าเป็นเสนาบดีที่พระคลัง บางแห่งว่าเป็นที่กรมท่า และบางแห่งก็ว่าที่กลาโหม ส่วนบุตรชายของเจ้าพระยาวรวงศาธิราชชื่อ ทองคำ ก็คงจะเคยรับราชการมาก่อนเช่นกัน แต่ไม่เป็นที่ยุติว่า ท่านเป็นหัวหมื่นมหาดเล็กในพระพุทธเจ้าเสือ หรือในกรมพระราชวังบวรเจ้าฟ้าเพชร แต่ภายหลังได้เลื่อนเป็น พระยาราชนิกูล ในรัชกาลพระเจ้าท้ายสระ เอกสารบางแห่งว่ารับราชการกรมนาบางแห่งก็ว่ากรมมหาดไทย พระยาราชนิกูลนี้ คือ บิดาของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้น ในส่วนของ สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ได้ทรงเริ่มรับราชการในแผ่นดินพระเจ้าท้ายสระได้เป็นที่ พระอักษรสุนทรสาสน มีหน้าที่แต่งพระราชสาส์น และท้องตราที่มีไปมากับหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งเป็นผู้เก็บรักษาตราพระราชสัญจกร สำหรับราชการนั้น ด้วยท่านตั้งบ้านเรือนอยู่ภายในกำแพงพระนครด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้บริเวณป้อมเพชรอันเป็นที่อยู่ของพระชายานาม ดาวเรือง หรือ หยก ซึ่งเป็นธิดาของคหบดีชาวจีนผู้มั่งคั่งแผนผังกรุงศรีอยุธยาที่ แกมป์เฟอร์ ทำไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๓ ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า อาณาบริเวณดังกล่าวเป็นย่านพำนักของชาวจีน ทั้งสองพระองค์มีโอรสธิดา ๕ พระองค์ คือ ๑. สมเด็จเจ้าฟ้า กรมพระยาเทพสุดาวดี พระนามเดิมว่า สา ประสูติปีใดไม่ทราบชัด เสกสมรสกับ หม่อมเสม ที่พระอินทรรักษา เจ้ากรมตำรวจใหญ่ซ้าย ฝ่ายพระบวรราชวัง ๒. พระนามเดิมไม่ปรากฏ ทราบแต่เพียงว่ารับราชการเป็นที่ ขุนรามณรงค์ และสิ้นพระชนม์ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะเสียแก่พม่าใน พ.ศ. ๒๓๑๐ ๓. สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ พระนามเดิมว่า แก้ว ไม่ทราบปีประสูติเช่นกันพระภัสดาของท่านคือ เจ้าขรัวเงิน มีโอรสธิดาด้วยกัน ๖ พระองค์ แต่ควรเอ่ยพระนามสักพระองค์หนึ่ง คือ สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี พระนามเดิมว่า บุญรอด ทรงเป็นพระอรรคมเหสีในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ๔. พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระนามเดิมว่า ด้วง ทรงพระราชสมภพในรัชกาลพระเจ้าบรมโกษฐ์ เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๒๗๙ ในประวัติราชนิกูลบางช้าง เลขที่ ๑๔๘ ซึ่งเป็นบันทึกจากปากคำของผู้ได้เคยทราบการชำระบัญชีราชนิกูลบางช้างครั้งรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ กล่าวว่า พระวงศ์ของสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ พระอรรคมเหสี เป็นราชนิกูลเก่าของอยุธยาเช่นกัน ๕. สมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาสุรสิงหนาท พระนามเดิมว่า บุญมา ทรงพระราชสมภพในรัชกาลพระเจ้าบรมโกษฐ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๘๖ สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ทรงมีโอรสธิดาอีก ๒ พระองค์ คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนรินทรเทวี พระนามเดิมว่า กุ พระชนนีเป็นพระน้องนางของพระชายาองค์แรกที่สิ้นพระชนม์ไปก่อน ในสมัยรัตนโกสินทร์ปรากฏพระนามเรียกลำลองว่า “เจ้าครอกวัดโพธิ์” เพราะประทับอยู่ใกล้วัดพระเชตุพนฯ ทรงเป็นต้นราชสกุล นรินทรกุล ณ อยุธยา พระโอรสอีกองค์หนึ่ง คือ สมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงจักรเจษฎา พระนามเดิมว่า ลา ทรงเป็นต้นราชสกุลเจษฎางกูร ณ อยุธยา ประสูติแต่บาทบริจาริกาผู้หนึ่ง เรียกกันว่า คุณมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงไว้ตามคำเล่าขานว่า บาทบริจาริกาท่านนี้เป็นน้องนางของสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ แต่ต่างวัยกันมาก จึงเข้าใจว่า จะเป็นน้องร่วมบิดาเท่านั้น เมื่อพม่าเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาในคราวจะเสียกรุงนั้น สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ดำริจะชักชวนพระโอรสธิดาทุกพระองค์เสด็จออกจากพระนคร แต่เนื่องจากพระโอรสธิดาทรงเสกสมรสแยกย้ายกันไปในที่ต่าง ๆ เช่น พะบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกประทับอยู่ ณ แขวงเมืองสมุทรสงครามต่อเมืองราชบุรี ล้วงทรงมีโอรสธิดาเกี่ยวข้องอีกหลายพระองค์ ยากที่จะรวบรวมให้พร้อมเพรียงได้ จึงทรงพาพระโอรสองค์เล็กและมารดาของพระโอรสนั้นเสด็จขึ้นไปยังพิษณุโลก ในเวลานั้น เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ ครอบครองอาณาเขตตั้งแต่พิษณุโลกจนถึงปากน้ำโพเมืองนครสวรรค์ ได้ตั้งให้สมเด็จพระปฐมฯ เป็น เจ้าพระยาจักรี ที่สมุหนายกอรรคมหาเสนาบดี เจ้าพระยาพิษณุโลกตั้งตัวเป็นเจ้าโดยไม่ประกอบพิธีราชาภิเษกได้ไม่นานก็ถึงพิราลัย เมืองพิษณุโลกจึงตกอยู่ในอำนาจของพระพากุลเถร (มหาเรือน) พระราชาคณะแห่งเมืองสวางคบุรีหรือที่เรียกกันว่า เจ้าพระฝาง สมเด็จพระปฐมฯ ได้ประทับอยู่ในพิษณุโลกต่อมาและได้ประชวรเสด็จสวรรคตในระหว่างที่บ้านเมืองเป็นจลาจลวุ่นวายอยู่นั้น สมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงจักรเจษฎา และพระมารดาจึงได้จัดการถวายพระเพลิงพระบรมศพตามกำลังในเวลานั้นแล้วอัญเชิญพระบรมอัฐิพร้อมด้วยพระมหาสังข์อุตรวัตอันเป็นของสืบตระกูลกลับลงมาทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อยังประทับอยู่ ณ กรุงธนบุรี เล่ากันว่าพระบรมอัฐิบรรจุมาในพระมหาสังข์นั่นเอง ลักษณะของพระมหาสังข์องค์นี้เป็นสังข์เวียนซ้าย ความยาว ๒๐ เซนติเมตร ริ้วเวียนรอบหัวสังข์และปากสังข์เลี่ยมทองคำสลักลายฝังพลอย ข้างในท้องสังข์มีดอกมะเขือฝังนพเก้า ร่องปลายปากสังข์จารึกอักขระ อุมีมังสีทองคำลงยารองรับ ในรัชกาลต่อ ๆ มาจนถึงรัชกาลปัจจุบันทรงใช้พระมหาสังข์เดิมองค์นี้หลั่งน้ำพระราชทานแก่ราชสกุลขั้นหม่อมราชวงศ์ หม่อมหลวง ราชสกุลและราชนิกุล เช่น งานสมรส พระราชทาน กราบถวายบังคมลาไปปฏิบัติราชการ ณ ต่างประเทศ เป็นต้น ครั้น พ.ศ. ๒๓๓๘ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิขึ้นด้วยปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ว่า “ในปีเถาะ สัปต ศก จุลศักราช ๑๑๕๗ (พ.ศ.๒๒๓๘) นั้น การทัพศึกว่าลง ทรงพระราชดำริจะถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิสมเด็จพระชนกาธิบดีสนองพระเดชพระคุณ เพราะเมื่อสมเด็จพระชนกาธิบดีสวรรคตเป็นเวลาบ้านเมืองเกิดจลาจล พระราชวงศานุวงษ์กระจัดพลัดพรากกัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระพี่นาง สมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ก็หาได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระชนกาธิบดีไม่ จึงโปรดให้สร้างพระเมรุมาศขนาดใหญ่ และเครื่องมหารสพสมโภชเหมือนอย่างการพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงเก่า” งานพระเมรุครั้งนั้นนอกจากจะจัดขึ้นในช่วงที่บ้านเมืองปลอดจากศึกสงครามดังพระราชปรารภที่ได้ยกมากล่าวแล้ว ยังกระทำในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา ภายหลัง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสานต่อพระราชนิยมนี้สืบมาปรากฏความใน พระราชหัตถเลขาเล่าพระราชทานสมเด็จกรุงกัมพูชา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๗ ตอนหนึ่งว่า “ก็ที่จริงในปีนี้นั้น ข้าพเจ้าได้กำหนดไว้ว่าจะทำบุญฉลองพระบรมอัฐิพระเจ้าอยู่หัวที่ล่วงแล้วทั้ง ๓ พระองค์ แลพระอัฐิท่านที่เปนต้นพระวงษ์แลสมเด็จฝ่ายใน ตามอย่างการซึ่งเคยมีในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ เมื่อเวลาพระชนมายุท่านครบ ๖๐ ปี ได้มีการฉลองพระบรมอัฐิเดิมเปนอย่างมา บัดนี้ข้าพเจ้าอายุครบ ๖๐ ปี จึงได้ศรัทธาจะทำบุญฉลองพระบรมอัฐิเปนการใหญ่ครั้งนั้น” งานพระเมรุถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิ สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ครั้งนี้ ได้รวมพระบรมอัฐิของสมเด็จพระราชมารดาไว้ด้วยนับเป็นงานพระเมรุครั้งแรกในกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างราชรถขึ้น ๗ หลัง สำหรับเข้ากระบวนพระราชอิสริยยศ ตามที่กรมหลวงนรินทรเทวีไว้ทรงบันทึกไว้ คือ พระมหาพิชัยราชรถ ราชรถพระ ราชรถโยง ราชรถโปรยข้าวตอกดอกไม้ ราชรถรอง และ ราชรถจันทน์อีก ๒ หลัง ส่วนเจ้ากรุงเวียดนามและกัมพูชาเมื่อได้ทราบข่าวก็ได้แต่งทูตคุมสิ่งของเข้ามาช่วยในการพระเมรุด้วย ครั้นพระเมรุมาศแล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๒๓๙ จึงได้แห่พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งเข้าใจว่าพระยาทวายอัญเชิญมาทูลเกล้าฯ ถวายเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๔ ออกสู่พระเมรุ มีการมหรสพสมโภชเป็นพุทธบูชา ๗ วัน ในกระบวนแห่พระบรมอัฐินั้น สมเด็จพระสังฆราช (สุก) วัดมหาธาตุ ทรงราชรถพระอ่านอภิธรรมพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงราชรถโยงพระบรมอัฐิ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาททรงราชรถโปรยข้าวตอกดอกไม้ พระบรมวงศานุวงศ์ทรงรถรูปสัตว์ตั้งสังเค็ดผ้าไตรเข้ากระบวนแห่ตามเสด็จมาด้วยหลายพระองค์ มีรถรูปราชสีห์ คชสีห์ เสือ ละมั่ง กิเลน วัว แรด ครุฑ ช้าง หงส์ ฯลฯ ล้วนเป็นสัตว์หิมพานต์ในดินแดนเขาพระสุเมรุทั้งสิ้น ในเวลาถวายพระเพลิงพระบรมอัฐินั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และสมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ ได้ช่วยกันทรงเชิญพระจิตกาธานซึ่งประดิษฐานพระบรมอัฐิไว้ด้วยพระหัตถ์จนถวายพระเพลิงเสร็จ รุ่งขึ้นจึงโปรดให้แห่พระอังคารไปลอยตามพระราชประเพณี งานมหรสพสมโภชพระบรมอัฐิครั้งนี้นับเป็นงานใหญ่เอิกเกริกยิ่ง มีรายละเอียดอยู่ในโคลง ถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิพระเจ้าหลวง พระนิพนธ์พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นศรีสุเรนทร์ พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปรากฏมีการแสดงโขนรามเกียรติ์ตอนหนุมานถวายแหวน และตอนพระลักษณ์ต้องศร การแสดงหุ่นเรื่องโสวัด และไชยทัต ละครเรื่องอิเหนาตอนลักนางบุษบา และเรื่องอุณรุท ตอนอุ้มสมงิ้วจีนแสดงตำนานเทียนต๊ก ละครชาตรีเรื่องรถเสน มอญรำ หุ่นจีน ลาว ทวาย มอญ พม่า เทพทอง โหม่งครุ่น ไม้หก แพนรำ ไต่ลวด ลอดบ่วง ญวนหก ญวนเล่นโตล่อแก้ว มวยปล้ำ กระบี่กระบอง นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทิ้งฉลากทานอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งเงินทองและสิ่งของมีช้าง วัว ม้า ควาย ไถ แอก เรือ เกวียน เป็นต้น เมื่อเสร็จพระราชพิธีถวายพระเพลิงแล้วได้อัญเชิญพระบรมอัฐิ กลับมาประดิษฐาน ณ หอพระสุราลัยพิมาน ในพระบรมมหาราชวังสำหรับให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทได้กราบถวายบังคมในวันถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เช่นเดียวกับที่พระราชวงศ์และขุนนางข้าราชการสมัยกรุงเก่าต้องถวายบังคมพระเชษฐ์บิดรซึ่งเป็นพระปฏิมากรรูปสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ในวันถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาสืบต่อกันมาจนสิ้นกรุง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกยังได้โปรดฯ ให้หล่อพระพุทธปฏิมากรปางห้ามสมุทร หุ้มทองคำประดับเนาวรัตน์ขึ้งองค์หนึ่ง ถวายพระนามว่า พระพุทธจักรพรรดิ ทรงอุทิศส่วนพระราชกุศลถวายแด่ สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พระพุทธรูปฉลองพระองค์นี้ประดิษฐานไว้ ณ หอพระในพระบรมมหาราชวัง เช่นกัน อนึ่ง สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก เมื่อครั้งทรงรับราชการอยู่ในกรุงศรีอยุธยาได้ทรงเป็นทายกบริจาคทรัพย์สร้าง วัดสุวรรณดาราราม ซึ่งเป็นวัดในบริเวณใกล้เคียงกับนิวาสสถานของท่าน พระมหากษัตริย์ในพระราชวงศ์จักรี รัชกาลต่อ ๆ มาจึงได้ทรงถือเอาวัดสุวรรณดารารามเป็น พระอารามประจำพระราชวงศ์ และทรงมีพระราชศรัทธาทะนุบำรุงสืบเนื่องมาเป็นลำดับ ส่วน พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ จังหวัดอุทัยธานีนั้น ชาวเมืองอุทัยธานีได้ริเริ่มจัดสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๔ โดยคณะรัฐมนตรีได้ร่วมอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้าง ณ บริเวณ เขาแก้ว ซึ่งเป็นเทือกเขาเตี้ย ๆ ทอดขนานกับแม่น้ำสะแกกรัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดพระบรมราชานุ สาวรีย์ เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๒๒ และใน วันที่ระลึกมหาจักรี ๖ เมษายน ของทุก ๆ ปี ชาวจังหวัดอุทัยธานีจะจัดพิธีถวายสักการะ พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก เพื่อน้อมรำลึกถึงพระเดชพระคุณของพระองค์ผู้ทรงเป็นปฐมแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และด้วยเหตุที่ได้ทรงพระราชสมภพ ณ บ้านสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี จึงนับได้ว่าดินแดนแห่งนี้เป็นมงคลสถานสำคัญแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย