เซลิน ดิออน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ภาพของ เซลิน ดิออน
ภาพของ เซลิน ดิออน

เซลิน ดิออน (Celine Dion) (30 มีนาคม พ.ศ. 2511) เป็นนักร้องชาวแคนาดา ร้องเพลงแนวป๊อบเป็นหลัก อยู่สังกัด Sony BMG

สารบัญ

[แก้] ประวัติ

Céline Dion - จากเศษธุลีเสี้ยวเล็ก ผันผ่านสู่ดาวจรัสแสง

การเดินทางอันยาวไกลนี้ เริ่มต้นที่ครอบครัวเล็ก ๆ ในชนบทของแคนาดา เด็กสาวเชื้อสายฝรั่งเศส - แคนาเดี้ยน "ซีลีน ดิออน" ก้าวมาสู่การเป็นนักร้องระดับซุปเปอร์สตาร์ พร้อมสมญานามว่า The Premier Contemporary Pop Vocalist Of The Nineties เธอได้ทำลายสถิติต่าง ๆ มากมาย พร้อมสร้างโกดังเก็บรางวัลที่ได้จากการเข้ามาสู่โลกอุตสาหกรรมทางดนตรี ทั้ง Grammy Awards จากอเมริกา, Juno และ Felix Awards จากแคนาดา และ World Music Awards จากทางยุโรป ถึงตอนนี้เธอได้พิสูจน์ตัวเองให้โลกเห็นถึงจิตวิญญาณแห่งดนตรีในตัวเธอ ให้ประจักษ์ผ่านเสียงร้อง และบทเพลงของเธอแล้ว และนี่คือตลอดชีวิตที่เธอได้เติบโตขึ้นมา


ซีลีนเกิดที่ ชาเลอมาณ เมืองเล็ก ๆ ทางตะวันออกของเขตมอนทรีอัล รัฐควิเบก ประเทศแคนาดาเธอเป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 14 คน ที่กระจุกอยู่กับสภาพครอบครัวในแบบฉิ่งฉับทัวร์ ทั้งพี่ ๆ ทุกคนก็ต่างเป็นนักดนตรี เปิดแสดงโชว์ในคลับเล็ก ๆ ที่บ้านตัวเอง โดยทุกวันหยุด ทุกคนจะพร้อมหน้ากันแสดงดนตรีให้กับชาวบ้านที่เข้ามาในร้านฟัง เมื่อเธออายุเพียง 5 ขวบ ซีลีน เป็นเหมือนนักร้องตัวน้อย ๆ ที่มีพัฒนาการในการร้องเพลงอย่างก้าวกระโดด จนเมื่ออายุ 12 ปี ด้วยความช่วยเหลือจากแม่ และทางบ้าน เธอได้แต่งเพลงภาษาฝรั่งเศสขึ้นมาเองหนึ่งเพลง และนั่นเป็นเพลงที่เปลี่ยนชีวิตเธอ และครอบครัวไปตลอดกาล...


เทปตัวอย่างที่ทำขึ้นมาส่งไปถึงมือ เรเน่ แองเจลลิน ผู้จัดการค่ายเพลงเล็กๆในแคนาดา เมื่อ มกราคม 1981 ทันทีที่ได้ฟังเทปนั้น เรเน่รู้ทันทีว่าเธอนี่แหละจะเป็นดาวดวงใหม่ในวงการเพลงโลก ด้วยพรสวรรค์ที่มากมาย และเสียงร้องที่บาดใจคนฟัง เรเน่ยอมจำนองบ้านให้กับไฟแนนซ์ เพื่อนำเงินทุนมาสร้างอัลบั้มเพลงชุดแรกของซีลีน


ตั้งแต่ปี 1982 เป็นต้นมา ไม่มีชาวแคนาดาคนไหนไม่รู้จักชื่อ ซีลีน ดิออน เธอชนะเลิศการประกวดร้องเพลง Yamaha World Song Festival ที่ญี่ปุ่น พร้อมตำแหน่ง Coveted Musician's Award for Top Performer (รางวัลขวัญใจนักดนตรี จากการโหวตของนักดนตรีแบ็กอัพ) มาครอบครอง ต่อมาในปี 1983 เธอก็ได้จารึกชื่อไว้ว่า เป็นนักร้องแคนาเดี้ยนคนแรกที่ได้รับรางวัล Gold Record รางวัลอันทรงค่าของเหล่านักร้องเพลงภาษาฝรั่งเศส จากประเทศฝรั่งเศส


การเป็นที่รู้จักของคนหมู่มาก พึ่งจะเริ่มขึ้น ในปี 1988 ซีลีนเป็นที่รู้จักของทุกคนในแคนาดา เธอได้รับการสนับสนุนอย่างมากมายจากชาวเมืองควิเบก ในฐานะบ้านเกิด จนเรเน่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งใน โซนี่ย์ มิวสิก และในที่สุดเธอก็โกอินเตอร์ได้สำเร็จด้วยการออกอัลบั้มภาษาอังกฤษชุดแรก กับค่าย 550/Epic Records ในชื่อชุด Unison เมื่อปี 1990


กันยายนปี 1990 อัลบั้มภาษาอังกฤษชุดแรกใต้ร่มไม้ชายคา โซนี่ย์ มิวสิก ชื่อ Unison ได้วางขายและได้ปล่อยซิงเกิ้ลแรก "Where Does My Heart Beat Now" เข้าถล่มชาร์ทท็อป 5 ในบิลบอร์ด


ซีลีนได้รับความรู้จักเพิ่มขึ้นอีกอย่างกว้างขวาง เมื่อเพลง "Beauty and the Beast" ได้ออกสู่โสตคนฟัง โดยเพลงนี้ได้บรรจุอยู่ในอัลบั้มภาษาอังกฤษชุดที่ 2 ของเธอ แถมยังเจ๋งถึงกับคว้ารางวัลแกรมมี่มาครองด้วย ในอัลบั้มชุดที่สองที่ใช้ชื่อว่า Celine Dion ยังมีซิงเกิ้ลดังบรรจุไว้อีกมากมายทั้ง "Love Can Move Mountains," "Water From The Moon," "If You Asked Me To" และ "Did You Give Enough Love" ซึ่งในแคนาดาที่เดียวชุดนี้ก็กวาดไปแล้ว 6 แผ่นทองคำขาว และแน่นอน รางวัล Juno Awards ปี 1992 ไม่พลาดที่จะเป็นของเธอ


17 ธันวาคม 1994 ซีลีน และเรเน่ ได้แต่งงานกันที่ โบสถ์บาสิลิกา ในเมืองมอนทรีอัล ซึ่งในช่วงนั้น ซิงเกิ้ลจากอัลบั้มชุดที่สามของเธอ "Think Twice" จากอัลบั้ม The Colour Of My Love ก็ได้แผ่อิทธิฤทธิ์ แปะเป็นอันดับหนึ่งในชาร์ทในอังกฤษอยู่ถึง 5 สัปดาห์ ซึ่งถือว่าติดอันดับหนึ่งนานมากที่สุดเทียบเท่าจากที่บีทเทิ่ลทำไว้เมื่อ ปี 1965 แถมยังติดที่หนึ่งต่อไปอีก 2 สัปดาห์ รวมทั้งหมดเป็นติดชาร์ทอันดับหนึ่ง 7 สัปดาห์ซ้อน พ่วงตำแหน่ง นักร้องหญิงคนล่าสุดที่ขายซิงเกิ้ลได้ถึงหนึ่งล้านแผ่น ในอังกฤษ ไปกอดนอน


พร้อมกันนั้น D'eux อัลบั้มเพลงภาษาฝรั่งเศส อันดับถัดมา ก็ได้ทำให้โลกได้รู้ว่า ดนตรีไร้พรมแดนมีจริง ด้วยการที่ตัวอัลบั้มไต่เข้าชาร์ทอังกฤษได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ตอนนี้โลกก็เป็นของเธอไปเรียบร้อยโรงเรียนซีลีน เพราะเสียงที่สามารถส่งเข้าถึงทุกหัวใจบนโลกได้อย่างไม่ยากเย็น เธอทำการทลายกำแพงด้านชนชาติ และภาษาได้สำเร็จ แถมเธอยังได้อุทิศเพลง Vole ให้กับการก่อตั้งมูลนิธิ Canadian Cystic Fibrosis Foundation เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับแครีน หลานสาวของเธอที่จากไปด้วยโรคร้าย


ในเดือนมีนาคม 1996 อัลบั้ม Falling Into You ได้สร้างประวัติศาสตร์เป็นอัลบั้มที่ขายได้มากที่สุดจากการรวมยอดขายทุกอัลบั้มที่ออกในปีนั้น ตัวอัลบั้มขึ้นสู่อันดับสูงสุดในชาร์ทถึง 11 ประเทศด้วยกัน และได้รับรางวัลแกรมมี่ อวอร์ด ในประเภท อัลบั้มเพลงป็อปยอดเยี่ยมแห่งปี ในงานประกาศผลแกรมมี่ประจำปี ครั้งที่ 39 ตัวอัลบั้มทำยอดขายได้สูงถึง 25ล้านก็อบปี้ จากการขายทั่วโลก


อัลบั้มต่อมา Let's Talk About Love ได้รับรางวัลแกรมมี่ย์ถึง 2 ตัว เพลงในอัลบั้มได้บันทึกเสียงใน ลอนดอน นิวยอร์ก และลอสแองเจลลิส อัลบั้มนี้ซีลีนได้ผู้ร่วมทำงานมากมาย ทั้งนักร้อง นักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์มือดี


นอกจากนี้ตัวอัลบั้มยังได้วางแผงในวันเดียวกับอัลบั้มรวมเพลงประกอบภาพยนตร์ไททานิค ซึ่งอัลบั้มทั้งคู่ได้บรรจุเพลง "My Heart Will Go On" เพลงประกอบภาพยนตร์ที่ตรึงใจผู้ชม และผู้ฟังได้อย่างยากที่จะถอนตัว เพลงนี้ได้ออกมาจากปลายปากกาของ เจมส์ ฮอร์เนอร์ และได้รับการอำนวยเพลงโดย เจมส์ ฮอร์เนอร์ และวอลเตอร์ เอฟฟานาซีฟ ตัวเพลงได้รับเลือกให้ใช้เปิดในงานแต่งงานจากเหล่าแฟนเพลงของซีลีนมากที่สุด


จากการที่เป็นงานอมตะ Let's Talk About Love ขายได้ซ้ำแล้วซ้ำอีกในทั่วทุกมุมโลก จนยอดขายรวมสูงถึง 27ล้านก็อบปี้ ตัวอัลบั้มประกอบหนัง ขายได้มากกว่า 27ล้านแผ่น ทั่วโลกเช่นกัน จนบัดนี้ได้ขึ้นแท่นเป็นอัลบั้มเพลงบรรเลงที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์โลกไปเรียบร้อยเช่นเคย ซีลีนยังได้ร้องเพลง My Heart Will Go On โชว์ในงานประกาศรางวัลตุ๊กตาทองครั้งที่ 70 ซึ่งถ่ายทอดสดไปทั่วโลก และรางวัลออสการ์ตัวที่สองก็ตกเป็นของเธอจากเพลงนี้ หลังจากที่เคยได้รางวัลมาแล้วจากเพลง Beauty And The Beast


อัลบั้มภาษาฝรั่งเศสอัลบั้มใหม่ S'il suffisait d'aimer ที่ใช้เวลาอัดเสียงเพียง 7 วัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 1998 วางแผงพร้อมกันทั่วโลกในวันที่ 8 กันยายนปีเดียวกัน ซิงเกิ้ลแรก "Zora sourit" ได้รับการตอบรับอย่างดีจากสถานีวิทยุทั่วโลก ซึ่งซีลีนได้แนะนำเพลงไตเติ้ลแทร็กอย่าง "S'il suffisait d'aimer" ให้แฟนเพลงได้รู้จักตั้งแต่การออกเดินสายคอนเสิร์ต Let's Talk About Love World Tour แล้ว


อัลบั้มชุดต่อมาที่ออกในปีเดียวกัน These Are Special Times อัลบั้มพิเศษกับ 16 เพลงถอดใจร้องเพื่อเทศกาลคริสมาสต์ พรั่งพร้อมด้วยเพลงคริสมาสต์สุดคลาสสิก อย่าง "Blue Christmas" และ "The Christmas Song (Chestnuts Roasting On An Open Fire)" เพลงตามประเพณีของศาสนาคริสต์อย่าง "O Holy Night" และ "Adeste Fidelis (O Come All Ye Faithful)" และที่เด็ดสุดคืออัลบั้มชุดนี้มีเพลงที่ได้ทำงานร่วมกันกับโปรดิวเซอร์มือทองอย่าง อาร์ เคลลี่ย์ ที่ทั้งร่วมร้อง และโปรดิวซ์ให้กับเธอในเพลง "I'm Your Angel" ตัวเพลงขึ้นอันดับหนึ่งบนบิลบอร์ดชาร์ตนานถึง 4 สัปดาห์ พร้อมกันนี้ยังมีเพลงจากนักแต่งเพลงมือวางอันดับหนึ่งอย่าง ไดแอน วอร์เรน มาจรดปากกากับเพลง "These Are Special Times" ให้เธอร้อง แถมด้วยการร้องร่วมท้ากระบังลมใน "The Prayer" กับนักร้องเสียงเทนเนอร์ แอนเดรีย บ็อคเชลลี่


ในปีเดียวกัน (อีกแล้ว) สำนักพิมพ์ Dundurn Press ได้รับสิทธิ์ในการตีพิมพ์หนังสือชีวประวัติของซีลีนออกจำหน่าย ในชื่อ Celine...The Authorized Biography หลังจากที่ได้ติดสอยห้อยตามทัวร์กับซีลีนไปทุกที่ กว่าหนึ่งปีกับการเก็บข้อมูลแบบกระชั้นติดประชิดตัวของ จอร์จ เฮอร์เบิร์ต เกอร์เมน เขาถ่ายทอดชีวิตของนักร้องสาวเสียงทองผ่านปลายปากกาด้วยตัวเขาเอง หลังจากนั้นในปี 2000 ซีลีนและจอร์จ ได้ร่วมมือกันทำหนังสือออกมาอีกเล่มในชื่อ Celine Dion...My Story, My Dream โดยในเล่มนี้ ซีลีนเป็นคนเล่าเรื่องราวในชีวิตเธอที่กลั่นออกมาจากหัวใจด้วยตัวของเธอเอง อัตประวัติของเธอในเล่มนี้ ยังเต็มไปด้วยรูปภาพสวย ๆ มากมาย ส่งตรงจากหลังเวทีคอนเสิร์ต บนรถทัวร์ รวมถึงในห้องอัดด้วย


อัลบั้มรวมฮิตของเธอ All The Way...A Decade Of Song วางแผงครั้งแรกในปี 1999 โดยบรรจุเพลงจากซิงเกิ้ลดังจัดไว้มากมายอย่าง "The Power Of Love," "Because You Loved Me," "I'm Your Angel," และเพลงพ่วงแกรมมี่ย์ โคตรดังอย่าง "My Heart Will Go On" นอกจากนี้ยังมี "Beauty And The Beast," "It's All Coming Back to Me Now" และ "If You Asked Me To" พร้อมกับ 7 เพลงใหม่ที่อัดเสียงเพื่อบรรจุไว้ในชุดนี้โดยเฉพาะ กับไตเติ้ลแทร็กอย่าง "All The Way" การนำเพลงของ แฟรงค์ ซินาทรา นักร้องหนึ่งในดวงใจของเธอมาร้องใหม่


ในวันสิ้นปีของปีนั้น ซีลีนได้แสดงโชว์คอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายในมอนทรีอัลบ้านเกิด ก่อนจะหลบหายเข้ากลีบเมฆไปชั่วคราวเพื่อเพิ่มพูนกิจกรรมใกล้ชิดกระตุกสายสัมพันธ์กันในครอบครัวอย่างเงียบ ๆ และโขกกอล์ฟกับสามีให้เป็นที่รื่นเริง ระหว่างที่เธอกำลังตีพุงพักไม่ต้องทำงาน แต่ก็ทรัพย์ยังไม่จาง เพราะในเดือนตุลาคม ปี 2000 The Collector's Series...Volume One อัลบั้มรวมเพลงตามใจชั้น ที่ต้นสังกัดเข็นออกมาขัดตาทัพ ขายได้ดี พอกพูนเงินในกระเป๋าเธอได้อีกโข จุดขายกลับเป็นการงัดเพลงโคตรเก่าอย่าง "The Power of the Dream" เพลงที่เธอร้องให้ใช้สำหรับเป็นเพลงในพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ ที่แอตแลนต้าในปี 1996 มารวมอยู่ในอัลบั้ม พ่วงด้วย "All By Myself" ในแบบภาษาสเปน


ความสุขที่สุดในชีวิตของเธอได้เริ่มต้นอย่างแท้จริง เมื่อความหวังของการที่จะได้เป็นแม่คน เป็นจริง... เรเน่ ชาร์ลสฺ แองเจลลิน ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอกับเรเน่ โผล่หัวออกมาดูโลกใน บ่ายโมงตรงของวันที่ 25 มกราคม 2001 ด้วยน้ำหนักตัวกำลังกินที่ 6 ปอนด์ 8 ออนซ์ และได้เข้ารับพิธีศีลมหาสนิท ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2001 ด้วยวัย 6 เดือน ณ โบสถ์บาสิลิกา ที่ที่พ่อแม่ของเจ้าหนูได้เซย์ ไอดู กันนั่นเอง


หลังจากพักกันอย่างเต็มที่ถึง 2 ปี การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของอัลบั้มชุดใหม่ A New Day Has Come ที่วางแผงเมื่อ มีนาคม 2002 หลังจากวางแผงเพียง 2 สัปดาห์ ตัวอัลบั้มได้เข้าไปยึดอันดับหนึ่งของชาร์ทอัลบั้มขายดีกว่า 17 ประเทศทั่วโลก ทั้งใน ออสเตรเลีย ออสเตรีย แคนาดา ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส อิตาลี่ นอร์เวย์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ตัวอัลบั้มเต็มไปด้วยเพลงที่เป็นตัวแทนความหมายของสิ่งดี ๆ ที่จะเข้ามาในสหัสวรรษใหม่ อย่าง "A New Day Has Come" บัลลาดโศกกระหน่ำอย่าง "Have You Ever Been In Love" กับ "I Surrender" ปลิดลมหายใจยาวมายังเพลงแด๊นซ์กระจายกับ "Sorry For Love" ไพล่มาถึงเพลงเก่าร้องใหม่แบบ "At Last" และ "Nature Boy" ปิดท้ายด้วยเพลงดีที่ต้องฟัง "I'm Alive" "Goodbye's (The Saddest Word)" และ "Rain, Tax (It's Inevitable)" พร้อมกับการออกเดินสายแบบไม่มีกลับคืน บนหน้าจอโทรทัศน์ พร้อมให้สัมภาษณ์กับนิตยสารไปทั่วทุกมุมโลก


มีนาคม 2003 เธอได้เซ็นสัญญาสำหรับการโชว์ 5 คืนต่อสัปดาห์ ณ โคโลสเซียม ที่ซีซ่าร์ พาเลส ในลาสเวกัส ที่เดียวเท่านั้น เป็นเวลา 3 ปี กับอารีน่าสมรภูมิสาดเสียงขนาดใหญ่ กว่า 4,000 ที่นั่ง ที่จัดไว้ให้โชว์ของเธอโดยเฉพาะ โดยตลอดการแสดงระยะเวลา 90 นาที A New Day... โชว์ จะพรั่งพร้อมไปด้วย แสง สี เสียง ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา


25 มีนาคม 2003 ในวันเดียวกัน กับโชว์รอบแรกที่ลาสเวกัส อัลบั้ม One Heart ถูกวางแผงออกอาละวาดไปทั่วโลก พร้อมซิงเกิ้ลแรก "I Drove All Night" ที่คัฟเวอร์เพลงแด๊นซ์สุดคลาสสิกของ รอย ออบินสัน มาทำใหม่ได้ระทึกหูไม่แพ้ต้นฉบับ ในอัลบั้มเต็มไปด้วยเพลงใหม่จากโปรดิวเซอร์มือดีที่มาร่วมกันทำสังฆกรรม สังคายนาเพลงในชุดนี้ ทั้ง ริก เวค, แอนเดอร์ เบ็กก์, คริสเตียน ลันดิน, เพียร์ อาร์มสทรอม, แม็กซ์ มาร์ติน, มาร์ค เทเลอร์, อีริค เบนซิ และเจ้าเก่า ฮัมเบอร์โต้ การ์ติก้า


14 ตุลาคม ในปีเดียวกัน การรอคอยกว่า 5 ปี ด้วยอัลบั้มภาษาฝรั่งเศส 1 fille & 4 types ที่ได้ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของอัลบั้ม D'eux และ S'il suffisait d'aimer อย่าง ฌอง คาร์ก โกลด์แมน มารวมระดมความคิดกับ ฌ้าค เวเนรุสโซ่, อีริก เบนซิ และ นักกีต้าร์มือฉมัง กิลด๊าส อาร์เซล เพื่อสร้างประสบการณ์ทางดนตรีด้วยซาวด์แบบลูกทุ่งฝรั่งเศส ให้อบอวลไปทั้งอัลบั้มฟังสบายนี้ ตัวอัลบั้มวางขายปุ๊บ ก็ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ทเพลงของที่ แคนาดา ฝรั่งเศส และสวิตเซอแลนด์ทันที ซิงเกิ้ลแรก "Tout l'or des hommes" สร้างประวัติศาสตร์ เป็นเพลงภาษาฝรั่งเศสที่ถูกเปิดบ่อยที่สุดทางสถานีวิทยุแคนาดา


ปีต่อมา ในวันที่ 15 มิถุนายน 2004 ซีลีนได้นำอัลบั้มการแสดงสด ที่ทุกคนต่างตั้งตารอคอย ในนาม 'A New Day...Live in Las Vegas' ออกขาย ตัวอัลบั้มบรรจุ 2 เพลงใหม่ อย่าง "You And I" และ "Ain't Gonna Look The Other Way" พร้อมเพลงที่บันทึกจากการแสดงสดที่ลาส เวกัส 13 เพลง อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มชิมลางที่ทำให้แฟนเพลงที่ไปดูโชว์ของเธอ ได้สามารถเก็บความประทับใจไว้ และนำกลับมาฟังได้ทุกเมื่อ


จากการร่วมมือกันกับตากล้องถนัดถ่ายภาพทารกฝีมือดีอย่าง แอน เกดเดส ซีลีนได้ร่วมกันสร้างปรากฏการณ์อันมหัศจรรย์ ในโปรเจ็คสุดหรู ชื่อ Miracle ที่ใช้เวลาหลายเดือนในการสร้างสมุดภาพ และเพลงความหมายดี ๆ ที่เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างแม่ กับทารก ที่ได้วางจำหน่ายในเดือน ตุลาคม ปี 2004 งานชิ้นนี้มีวางจำหน่ายทั้งซีดี ที่บรรจุ 13 เพลงสุดไพเราะ รวมทั้งเพลงสุดคลาสสิกอย่าง "Beautiful Boy" และ "What A Wonderful World" ไว้ในอัลบั้ม แล้วก็ยังมีแบบซีดี พร้อมดีวีดีเบื้องหลังการสร้างโปรเจ็คนี้ มาพร้อมกับสมุดรวมภาพ แบบ 60 หน้า ให้เลือกซื้อ พร้อมอีกหนึ่งของสะสม สมุดรวมภาพเซ็ตใหญ่ ขนาด 180 หน้า พร้อมซีดี และดีวีดีเบื้องหลังการสร้างงานนี้ ก็ได้เข้าไปอยู่เป็นส่วนหนึ่งการจัดอันดับหนังสือขายดี ของนิตยสาร นิวยอร์ก ไทมส์


ในเดือนตุลาคม 2005 อัลบั้มรวมฮิตเพลงภาษาฝรั่งเศสในชื่อ 'On ne change pas' ก็ได้วางแผง ในรูปแบบซีดีแผ่นคู่ ที่รวบรวมเอาทุกเพลงดัง ในแบบของเพลงภาษาฝรั่งเศส และเพลงใหม่ 3 เพลง ได้แก่ "Je ne vous oublie pas," "Tous les secrets" และ "I Believe In You" ที่ได้ร้องคู่กับวงอิล ดิโว่ (Il Divo) พร้อมทั้งมี ดีวีดี รวมมิวสิกวีดิโอ พร้อมเบื้องหลังในการทำอัลบั้มเพลงภาษาฝรั่งเศสต่าง ๆ ไว้ร่วมชั่วโมง วางขายตามออกมา


เดือนเดียวกันนี้ ก็มีการวางขายหนังสือ รวมทุกสิ่งที่เกี่ยวกับชีวิตของซีลีน ในชื่อ 'Celine Dion: For Keeps' ที่ทุกคนจะได้สัมผัสกับความเป็นตัวตนของเธอ ตั้งแต่วัยเด็ก จวบจนโชว์ที่ลาสเวกัส ในปัจจุบัน พร้อมด้วยภาพที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน บทคอลั่มสัมภาษณ์โดยนักเขียนมีชื่อ เจนน่า เกลตเซอร์ เกี่ยวกับตัวซีลีน ครอบครัวของเธอ รวมถึงเพื่อนรัก และทุกคนที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จตลอดระยะทางสายบันเทิงของเธอ อย่างละเอียดจุใจ เหมาะสำหรับแฟนเพลงที่จะเก็บไว้ในคอลเลกชั่นของสะสมของนักร้องในดวงใจของทุกคน


ทุกครั้งที่ซีลีนได้สร้างสรรค์ดนตรีสู่โสตโลก เธอแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นนักร้องที่สามารถพิสูจน์ตัวเอง นำตัวเองขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของโลกดนตรีได้ ใครจะไปนึกถึง ว่าเด็กสาวจากควิเบกที่ไม่มีใครอยากรับรู้ว่าเธอมีตัวตนอยู่ในโลกนี้หรือไม่ จะสามารถกุมหัวใจคนทั้งโลกไว้ในกำมือได้อย่างที่ทุกคนอยากไขว่คว้าทุกดวงดาวบนฟากฟ้ามาครอบครอง...

[แก้] อัลบั้ม

อัลบั้มภาษาอังกฤษ

  • 1990: Unison
  • 1992: Celine Dion
  • 1993: The Colour of My Love
  • 1996: Falling Into You
  • 1997: Let's Talk About Love
  • 1998: These Are Special Times
  • 1999: All The Way... A Decade of Song
  • 2000: The Collector's Series Volume One
  • 2002: A New Day Has Come
  • 2003: One Heart
  • 2004: A New Day... Live in Las Vegas
  • 2004: Miracle

อัลบั้มภาษาฝรั่งเศส

  • 1981: La Voix Du Bon Dieu
  • 1981: Céline Dion Chante Noel
  • 1982: Tellement J'ai D'amour...
  • 1983: Les Chemins De Ma Maison
  • 1983: Chants Et Contes De Noel
  • 1983: Du Soleil Au Coeur
  • 1984: Mélanie
  • 1984: La Oiseaux Du Bonheur
  • 1984: Les Plus Grands Succes De Céline Dion
  • 1985: C'est Pour Toi
  • 1985: Céline Dion En Concert
  • 1986: Les Chansons En Or
  • 1987: Incognito
  • 1991: Dion Chante Plamondon / Des Mots Qui Sonnent
  • 1994: A l'Olympia
  • 1995: D'eux / The French Album
  • 1998: S'il Suffisait D'aimer (If Only Love Could Be Enough)
  • 1999: Au Coeur Du Stade
  • 2003: 1 Fille & 4 Types
  • 2005: On Ne Change Pas

[แก้] วิดีโอ / ดีวีดี

  • 1990: Unison
  • 1995: The Colour of My Love Concert
  • 1997: Live in Memphis
  • 1999: Au Coeur Du Stade
  • 2000: All The Way... A Decade of Song & Video
  • 2005: On Ne Change Pas

[แก้] เว็บไซต์


  เซลิน ดิออน เป็นบทความเกี่ยวกับ ชีวประวัติ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหา หรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น
ข้อมูลเกี่ยวกับ เซลิน ดิออน ในภาษาอื่น สามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ๆ ด้านซ้ายมือ

th:ซีลีน ดิออน