โดโด้
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Dodo | โดโด้ |
---|---|
คลิกเพื่อดูรูปใหญ่ |
|
Raphus cucullatus ( ชื่อเดิม Didus ineptus Linn. ) |
|
สถานภาพ | สูญพันธุ์ ( 1681 ) |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
Kingdom อาณาจักร | Animalia (สัตว์) |
Phylum ไฟลัม | Chordata (มีกระดูกสันหลัง) |
Class ชั้น | Aves (นก) |
SubClass ชั้นย่อย | {{{subclass}}} |
Order ตระกูล | Columbiformes (ตระกูลนกพิราบ) |
Family วงศ์ | Raphidae (วงศ์โดโด้) |
Genus สกุล | Raphus (สกุลโดโด้) |
Species สปีชีส์(ชื่อวิทยาศาสตร์) | Raphus cucullatus ( ชื่อเดิม Didus ineptus Linn. ) |
ร่วมใช้แม่แบบนี้ / ใช้แม่แบบหลัก |
โดโด้ (dodo) เป็นนกท้องถิ่น พบได้เฉพาะบน หมู่เกาะมัวริเทียส ( Mauritius ) ในมหาสมุทรอินเดีย เป็นนกที่บินไม่ได้ ในตระกูลเดียวกับ นกพิราบ ชื่อวิทยาศาสตร์ Raphus cucullatus
ในปี 1505 ชาวโปรตุเกสเป็นชาวยุโรปพวกแรกที่พบ เพียงประมาณปี 1681 ก็ถูกเร่งให้สูญพันธุ์ โดยมนุษย์ และโดยสุนัขล่าเนื้อ หมู หนู ลิง ที่ถูกนำเข้าโดยชาวยุโรป
โดโด้ ไม่ใช่เพียงชนิดเดียว ของนกแห่งมัวริเทียส ที่สูญพันธุ์ในศตวรรษนี้ กว่า 45 ชนิดที่พบบนเกาะ เพียง 21 ชนิดเท่านั้นที่เหลือรอด
มีนก 2 ชนิดซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดกับโดโด้ ก็สูญพันธุ์ไปเช่นกัน คือ Reunion solitaire ( Raphus solitarius ) ประมาณปี 1746 และ Rodrigues solitaire ( Pezophaps solitaria ) ประมาณปี 1790
เมื่อทศวรรษ 1990 วิลเลียม จ.กิบบอนส์ นำคณะสำรวจขึ้นเขา บนเกาะมัวริเทียส เพื่อค้นหา ก็ไม่มีใครค้นเห็นแล้ว เป็นอันว่าประกาศการสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการ
สารบัญ |
[แก้] ลักษณะทางกายภาพ
- น้ำหนัก : โตเต็มที่หนักประมาณ 23 กิโลกรัม ( 50 ปอนด์ )
- สูง : ประมาณ 1 เมตร
ความรู้ปัจจุบันเกี่ยวกับโดโด้ มาจากทั้ง บันทึกและข้อเขียนของกะลาสีและกัปตันเรือที่ขึ้นฝั่ง มัวริเทียส เมื่อศตวรรษ 16-17 ภาพวาดจากผู้คนน้อยนิดที่เคยเห็นขณะพวกมันมีชีวิต ( แม้ว่าจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าศิลปินเหล่านั้นตอกไข่ใส่สี โดโด้ จากที่เห็นบ้างหรือไม่ )
ซากฟอสซิลเล็กน้อย ที่ขุดค้นได้จากเกาะ ซึ่งถูกเก็บรักษาที่ British Museum รอยเท้า รอยจิก ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ที่ อ็อกซ์ฟอร์ด จากบันทึกและภาพเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์และนักปักษีวิทยา ร่วมกันปะติดปะต่อรายละเอียดที่ประกอบขึ้นเป็น โดโด้
ธันวาคม 2005 พบหลักฐานสำคัญบนเกาะ มัวริเทียส Dublin's Natural History Museum รวบรวมข้อมูลจาก กระดูกเท้าและหัวที่ยังไม่บุบสลาย ซึ่งบรรจุเนื้อเยื่ออ่อนของสัตว์ชนิดนี้ ซากโดโด้สต๊าฟชิ้นสุดท้ายที่ Oxford's Ashmolean Museum ถูกเผาในปี 1755 เท้าและหัวกู้ได้และถูกจัดแสดงถึงปัจจุบัน
โดโด้ ตัวใหญ่ อ้วนปุ๊กลุ๊ก ตัวใหญ่มาก หนักถึง 23 กิโลกรัม ( 50 ปอนด์ ) มีขนสีเทาถึงน้ำเงิน 23 เซนติเมตร ( 9 นิ้ว )
หัวมีสีเทาเทาอ่อนกว่าตัว ตาเล็กสีเหลือง ปากโต โค้งและเป็นตะขอ สีเขียวอ่อนหรือเหลืองเพล อันเป็นจุดเด่นที่สุด จะงอยปากค่อนข้างดำ มีจุดแดงเรื่อ ปกคลุมด้วยขนสีเทาอ่อนนุ่ม มีปุยสีขาวหยิกชูเชิดเป็นหาง
โครงสร้างหน้าอกไม่รองรับการบิน ปีกไร้ประโยชน์ที่เล็กมาก บอบบางเกินจะยกโดโด้ขึ้นจากพื้น จึงบินไม่ได้ ผู้คนที่เคยเห็นมักคิดว่ามันไม่มีปีก อย่างที่เขาเรียกว่า ปีกเล็กที่เล็ก ( little winglets ) เพราะเป็นนกบนพื้นดิน ที่วิวัฒนาการมาเฉพาะนิเวศวิทยาของเกาะ ซึ่งไม่เคยมีสัตว์นักล่า อย่างไรก็ตาม การศึกษาจากกระดูก โดโด้อาจใช้ปีกง่ายกว่าการบิน นั่นคือใช้ว่ายอย่างปีกเพนกวิน
ขาสั้น อ้วนเตี้ย หนาแข็งแรง สีเหลือง มีนิ้วเท้าหนากลม 4 นิ้ว 3 นิ้วข้างหน้าและ 1 นิ้วโป้งอยู่ข้างหลัง มีเล็บสีดำ
ใครเห็นต่างก็ประหลาดใจในรูปร่างและขนาดพิลึกกึกกือ
[แก้] แหล่งที่อยู่
หมู่เกาะแห่ง มัวริเทียส เป็นบ้านของแหล่งนิเวศหลากหลาย ทั้งที่ราบ ภูเขาลูกเล็ก ป่าโปร่ง ป่าดิบ และแนวปะการังขนานตลอดชายฝั่ง ป่าดงดิบเขตร้อน ป่าละเมาะเขตร้อน ทุ่งหญ้าสะวันนาเขตร้อน
แม้ว่าภาพและเรื่องประมาณมากมายจะสื่อว่า โดโด้ อยู่ตามชายฝั่งทะเลของ มัวริเทียส แต่ที่จริง มันเป็นนกป่า โดโด้ ทำรังอย่างง่ายๆ บนพื้นป่า
[แก้] อุปนิสัยการกิน
เชื่อว่า กินผลไม้เป็นอาหาร กะลาสีบางคนคุยว่าเคยเห็นโดโด้ลุยลงสระน้ำไปจับปลา อ้างว่า มันเป็นนักล่าที่แข็งแรงและจอมเขมือบ ซึ่งกล่าวเกินจริง
อย่างไรก็ตาม อาจเป็นความจริงที่ว่า โดโด้กินหินและก้อนโลหะบ่อยๆ อย่างไม่เดือดร้อน คาดว่าหินช่วยให้ย่อยง่าย ( ซึ่งเป็นธรรมดาพบเห็นได้บ่อย ที่สัตว์กินพืชเช่นนกหรือวัว กลืนหินลงกระเพาะ เพื่อช่วยบดพืชซึ่งย่อยยาก )
ภาพของโดโด้นั้น อ้วน งุ่มง่าม ถูกค้านโดย แอนดรูว์ คิทเชนเนอร์ นักชีววิทยาจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติสกอตแลนด์ ในรายงานข่าวของเนชันแนลจีโอกราฟฟิค กุมภาพันธ์ 2002 ใครจะเชื่อว่า วาดเขียนเก่าแก่ทั้งหลาย วาดเกินจริง
ขณะที่ มัวริเทียส อยู่ระหว่างฤดูฝนและหนาว โดโด้อาจจะอ้วนขึ้น ด้วยผลไม้สุกเมื่อปลายฤดูฝน เพื่อให้รอดตลอดฤดูหนาวที่อาหารขาดแคลน ในรายงานเดียวกัน อ้างถึงคำกล่าวอ้างที่ว่า นกพวกนี้กินอย่างตะกละตะกรามหิวกระหาย ด้วยเหตุนี้ ขณะที่นกยังหาอาหารได้ ก็จะกินเกินพิกัดได้ง่ายๆ
พวกมันมีชีวิตอยู่เป็นเวลากว่า 1,000 ปี บนมัวริเทียส โดยปราศจากนักล่า ซ้ำยังเป็นสัตว์ตัวใหญ่สุดบนเกาะ ( ก่อนหน้านี้มัวริเทียสไม่เคยมีมนุษย์ชนพื้นเมืองมาก่อน )
การวิจัยเมื่อเร็วๆนี้ได้ค้านคำอธิบายที่สืบเนื่องกันมา จากการตรวจวัดกระดูกจาก oxford ร่วมกับอีกกว่า 100 ชิ้นที่สะสมใน Natural History Museum and the Cambridge Zoology Museum นำมาคำนวณว่า น้ำหนักเท่าไหร่ที่มันจะแบกไหว
พบว่า โดโด้ที่อ้วนมาก จะหนักเกินกว่ากระดูกจะรับได้ ถึงขั้นกระดูกหัก ปะติดปะต่อใหม่ได้ว่า โดโด้ต้องผอมบางกว่าที่จินตนาการ
[แก้] การสืบพันธุ์
เฉพาะการจับคู่และระยะเวลาฟักไข่ ที่ไม่รู้ หลายคนอ้างว่า รังนกโดโด้ อยู่ลึกในป่า ในรังหญ้า
ที่นั่น ตัวเมียจะวางไข่ 1ฟอง ซึ่งมันจะปกป้องและเลี้ยงดู กะลาสีผู้หนึ่งเล่าว่า ได้ยินเสียงร้องของลูกโดโด้ที่อยู่ในรัง เสียงเหมือนลูกห่าน
[แก้] พฤติกรรม
ที่มาของชื่อ โดโด้ มีแนวคิด 2 ทาง ที่ยอมรับกันทั่วไปคือ ภาษาดัชท์ dodaar หมายถึง เฉื่อยชา
อีกแนวคิดหนึ่งว่า มาจาก ภาษาโปรตุเกส doudo หมายถึง โง่เง่าตัวตลก
กะลาสีที่ขึ้นฝั่ง มัวริเทียส พบความขบขันยิ่งนัก เมื่อเฝ้าดูพฤติกรรมงุ่มง่ามของ โดโด้ มีเรื่องเล่าถึง โดโด้ที่พยายามวิ่งลนลาน ขณะที่มันกำลังเดินโซเซ พุงของมันจะลากไปกับพื้น ทำให้มันวิ่งช้า ทั้งโดโด้ก็ไม่กลัวคนด้วย
ส่วนใหญ่แล้ว โดโด้ ถูกกล่าวถึงในแง่ความเฉื่อยชา ค่อนข้างไปทางตลกโง่เง่า มันไม่มี กลไกการป้องกันตัวจากผู้ล่า ที่เห็นได้ชัด เว้นแต่ จะงอยปากใหญ่โต ซึ่งกัดได้อย่างน่ากลัว ถ้ามีจังหวะ แต่ปกติก็ไม่ค่อยได้ใช้ นอกจากเพื่อปกป้องตัวเองและลูกน้อย
ประกอบกับที่มันบินไม่ได้ด้วย เหตุผลเหล่านี้รวมกัน ทำให้ถูกล่าโดยง่าย
[แก้] ความสำคัญต่อมนุษย์ และ เหตุการณ์สูญพันธุ์
กะลาสี ล่ามันมาเป็นอาหารอยู่บ่อยๆ เมื่อครั้งยังไม่สูญพันธุ์บนเกาะมัวริเทียส แม้จะมักถูกกล่าวถึงว่า เนื้อโดโด้ ไม่อร่อย แต่ก็ยังถูกล่ามากมาย เพราะจับง่าย บางครั้งกะลาสีนำกลับมาได้ถึง 50 ตัวในครั้งเดียว ถ้ากินไม่หมด ก็ดองและนำกลับไปด้วย
เกาะนี้ถูกค้นพบครั้งแรกโดยชาวโปรตุเกส แต่ชาวดัชท์เป็นผู้ยึดครองอย่างถาวรแท้จริง เชื่อว่า กะลาสีกลุ่มแรกที่มาถึง มัวริเทียส เป็นชาวโปรตุเกส นำโดยกัปตัน มาสคาแร็กนาส ในปี 1505-1507 พวกเขาตั้งใจไปตั้งถิ่นฐานด้วยความหวังในแอฟริกาใต้ แต่ติดพายุทำให้ติดเกาะและลงเอยที่ มัวริเทียส คณะเดินทางอื่นๆ หลังจากโปรตุเกสในปีต่อๆมา มีทั้งดัทช์ บริติช และอื่นๆ
นกโดโด้ กะลาสีได้พบขบขัน และเมื่อพวกเขาขาดอาหารประทังชีวิต ก็ได้อาหาร ชาวดัทช์ ประกาศ มัวริเทียส เป็นอาณานิคม เรือนำแมว สุนัข หมู และลิง มาพร้อมกับผู้คนกลุ่มหนึ่ง สัตว์ต่างถิ่นแพร่พันธุ์และรุกรานป่าอย่างรวดเร็ว เหยียบย่ำรังนก ทำให้นกเสียขวัญ ล่าทำลายไข่กับลูกอ่อนของโดโด้
ทั้งการล่าเป็นอาหารอย่างต่อเนื่องจากมนุษย์ ประกอบกับการแทรกแซงจากสัตว์ต่างถิ่น นำมาสู่การสูญพันธ์ ประมาณปี 1693
เดวิด โรเบิร์ตส์ ( David Roberts ) แถลงว่า การสูญพันธุ์ของโดโด้ ถูกประกาศอย่างเป็นทางการถึง การยืนยันการพบเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1662 ที่รายงานโดยกะสาสีเรืออับปาง วอลเกนต์ เอเวอร์ตซ ( Volkert Evertsz ) ซึ่งถูกค้นพบต่อมาในปี 1681
โรเบิร์ตชี้ว่า จากการที่คำบอกเล่าของอธิการโบสถ์ปี 1638-1662 ดูเหมือนว่ามันจะหาได้ยากแล้วเมื่อทศวรรษ 1660 อย่างไรก็ตาม ทางสถิติวิเคราะห์ จากบันทึกการล่าของ ไอแซค โจน ลาโมเทียส ได้คะเนเวลาที่สูญพันธุ์ ในปี 1693 และเชื่อมั่นถึง 95% ว่าเกิดขึ้นในช่วงปี 1688-1715
ที่แน่ชัดคือ โดโด้ถูกฆ่ามาภายใน 100 ปี หลังการค้นพบสปีชีส์นี้ ไม่มีตัวอย่างที่สมบูรณ์ถูกรักษาไว้ แม้แต่สักพิพิธภัณฑ์ที่จะเก็บกระดูกมันไว้ ไข่โดโด้ 1 ใบถูกจัดแสดงที่ East London museum ในแอฟริกาใต้
หลักฐานทางพันธุกรรมมาจากสิ่งนี้ เมื่อวิเคราะห์ DNA ยืนยันว่าโดโด้เป็นญาติใกล้ชิดกับนกพิราบ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดคาบเกี่ยวกัน คือในแอฟริกาถึงเอเซียใต้
ไม่มีใครสนใจอย่างจริงจังในการสูญพันธุ์ของมัน กระทั่งถูกเอาชื่อไปเป็นตัวละครในนิยาย อลิซผจญภัยในแดนมหัศจรรย์ ของลูอิส คาร์รอลล์ ทำให้เกิดแสลงว่า ตายอย่างโดโด้
มีความพยายามที่จะนำ โดโด้ กลับมามีชีวิต ถ้าสำเร็จ ผู้ดำเนินการจะได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวดูนกที่ไม่เหมือนใครทั่วยุโรป แสดงพวกมันในกรง และสาธิต นกกินหินกินเหล็ก ดังที่ตำนานอ้างไว้
[แก้] วงศ์ ราฟิเด และนกสายพันธุ์ใกล้กัน
โดโด้ถูกจัดหมวดหมู่ไว้ใน ตระกูล Raphidae แบ่งย่อยมาอยู่ในวงศ์ Columbiformes ซึ่งเป็นวงศ์หนึ่งจาก 2 วงศ์ที่อยู่ในตระกูลนี้ อีกวงศ์หนึ่งคือ Columbidae ซึ่งได้แก่ นกพิราบและนกเขาทั้งหลาย
นกตระกูลเดียวกับโดโด้ ที่เรียกว่า นกช้อน หรือ โซลิแตร์ ถูกรายงานโดยกะลาสีที่อาศัยบนเกาะใกล้ๆมัวริเทียส ปี 1613 พบ Reunion solitaire หรือ Raphus solitarius บนเกาะรียูเนียน ( reunion ) และปี 1691 พบ Rodrigues solitaire หรือ Pezophaps solitarius บนเกาะร๊อดริเกส ( rodrigues ) ซึ่งพันธุ์หลังได้สูญพันธ์เช่นกัน ระหว่างปี 1760
ไม่มีหลักฐานใดรองรับการมีอยู่ของ Reunion solitaire นักปักษีวิทยาเชื่อว่า นกที่เห็นแท้จริงคือ นกช้อนบินไม่ได้บนเกาะรียูเนียน หรือ Threskiornis solitarius ซึ่งก็สูญพันธุ์ไปเช่นกัน เพราะมันสืบพันธุ์ด้วยกัน จึงถูกเรียกว่า โดโด้สีขาว อย่างที่นักเดินทางอธิบายว่า นกช้อนบินไม่ได้ ที่ถูกต้องเป็นสีขาวเป็นหลัก และอย่างที่ปรากฏใน ภาพเขียนบางชิ้น ของโดโด้สีขาว เชื่อว่าแสดงถึง โดโด้ตัวปลอมที่ถูกทึกทักแห่งเกาะรียูเนียน
อย่างไรก็ตาม คำพรรณนาน้อยนิดที่ให้ความชัดเจนว่า ปีกและหางของ Reunion solitaire มีสีดำ เหมือนที่พบได้ใน นกช้อนคอถุง ( Sacred Ibis ) ญาติใกล้ชิด ขณะที่ภาพวาดแสดงให้เห็นว่านกเป็นสีขาวทั้งตัว ( ไม่นับว่ากรณีเป็นไปได้ว่าเป็นรอยเปื้อนสกปรกของขน )
ภาพวาดส่วนมาก เป็นนกที่ขังในโรงเลี้ยงชาวยุโรป จะแสดงปากที่เป็นวง ไม่ใช่แค่ตะขอ ดูเหมือนใช้เป็นสัญญาณเตือนป้องกันผู้บุกรุก ( นักเดินทางอ้างว่า ถ้าต้อนเข้ามุมโดโด้จะกัดโมโหร้ายทีเดียว ขนาดคาดหวังให้เฝ้าสินค้าสำคัญทั้งกองได้ )
ภาพวาดโดโด้สีขาวจากแหล่งที่คล้ายกันส่วนใหญ่มี โดโด้เผือก เพียงน้อย บางทีอาจมีเพียงหนึ่ง ที่ถึงมือชาวยุโรปและถูกเก็บรักษาอย่างสนใจใคร่รู้
ดร.อลัน คูเปอร์ กับ ดร.เบธ ชาปิโร จาก ศูนย์ชีวโมเลกุลโบราณเฮนรีเวลคัมแห่งอ๊อกซ์ฟอร์ด, ดร.ดีแอน ซิบธอร์ปี, แอนดรูว์ แรมบอต, ดร.แกรแฮม แวรกก์, ดร.โอลาฟ บ.อีมอนด์ส กับ ดร.แพทรีเซีย ลี จากภาควิชาสัตววิทยาแห่งอ๊อกซ์ฟอร์ด, และ ดร.เจเรมี ออสติน จากพิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติลอนดอน ร่วมกันวิจัย ในปี 2000-2002 สกัดชิ้นส่วนเล็กน้อยของ DNA โดโด้ ตัวอย่างถูกนำมาจาก หลักฐานชิ้นเดียวซึ่งมีเนื้อเยื่ออ่อน อายุ 300 ปีที่หลงเหลือ จากพิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด
ทั้งสกัด DNA จากกระดูกของ โซลิแตร์ ด้วย กระดูกขุดจากถ้ำบนเกาะ ร็อดริเกส ผลลัพธ์การวิเคราะห์แสดงว่า โดโด้ และ โซลิแตร์ เป็นญาติใกล้ชิดกันมาก และแยกมาเล็กน้อยจากวงศ์ของ นกพิราบ
ผลของ DNA สรุปว่า โดโด้ และ โซลิแตร์ ที่จริงเป็นอยู่ในตระกูลเดียวกับ ตระกูลนกพิราบ และเป็นญาติใกล้ชิดกับ พิราบนิโคบาร์ หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Caloenus nicobarica
ในปี 1973 นักวิทยาศาสตร์พบว่า พันธุ์ไม้บนมัวริเทียสที่ชื่อ ต้นโดโด้ หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Sideroxylon grandiflorum หรือ Calvaria major กำลังผลัดใบ มีเพียง 13 ตัวอย่าง ที่ไม่พบรายงาน และพวกมันทั้งหมดอายุประมาณ 300 ปี นับจากโดโด้ตัวสุดท้ายถูกฆ่า
พบว่า นกโดโด้ กินเมล็ดของ ต้นโดโด้ แล้ว เมล็ดก็ผ่านทางเดินอาหารของโดโด้ ออกมาทางอุจจาระ และตื่นตัวเริ่มงอก หลังจากที่พบว่า เกิดผลแบบเดียวกันกับการให้ไก่งวงกินเมล็ดนี้ พันธุ์ไม้นี้จึงยังคงอยู่รอด
อย่างไรก็ตาม รายงานเมื่อเร็วๆนี้สืบพบว่า ตัวอย่างพืชรุ่นใหม่ ไม่ได้ด้อยลง อาจเป็นไปได้ที่ นกแก้วจะงอยกว้างที่สูญพันธุ์แล้ว หรือ Lophopsittacus mauritianus ต่างหาก ที่มีความสำคัญต่อการกระจายเมล็ด ยิ่งกว่า โดโด้ รายละเอียดเพิ่มเติม ให้ศึกษาจากบทความเกี่ยวกับ ต้นโดโด้ ( dodo tree )
[แก้] กลายเป็น สัญลักษณ์ และความนิยม
- ปรากฏอยู่บน เสื้อเกราะของกองกำลังแห่งมัวริเทียส [[1]]
- เป็นตรายี่ห้อของ Brasseries de Bourbon ผู้ผลิตเบียร์ยอดนิยมบนเกาะรียูเนียน
- เป็นสัญลักษณ์ และ มาสคอตนำโชคของ กองทุนอนุรักษ์สัตว์ป่าเดอร์เรล และเขตสงวนสัตว์ป่าเจอร์ซี่ ที่ก่อตั้งโดย Gerald Durrell
- เป็นชื่อเล่น, สัญลักษณ์ และมาสคอตนำโชคของ องค์กรสิ่งแวดล้อมฟินนิช
- ปรากฏเป็นที่รู้จักครั้งแรก ในนิยาย Alice's Adventures in Wonderland ของ Lewis Carroll ในปี 1865
หนังสือมีตัวละครเป็นนกโดโด้ ที่ชื่อเรียบๆว่า โดโด้ ตัวละครนี้สะท้อนถึงตัวผู้ประพันธ์เอง
- ปี 1938 Bob Clampett กำกับการ์ตูนของ Looney Tunes ชื่อ Porky in Wackyland
มีเจ้าหมูกำลังล่าโดโด้ตัวสุดท้ายไปทั่วทั้งดินแดนพิศดาร wackyland เจ้าโดโด้ในเรื่องสติเฟื่องพอกับถิ่นของมัน และมันก็หนีเจ้าหมูได้ทั้งเรื่อง ทศวรรษ 1990 การ์ตูน Tiny Toon Adventures มีตัวละครเป็นนกโดโด้ชื่อ Gogo Dodo เป็นตัวละครที่ค่อนข้างเถื่อนและชอบรัดกอด และเป็นลูกชายของเจ้าโดโด้จากเรื่อง Porky in Wackyland
- หนึ่งในทีมแพทย์ จากเรื่อง Doctor Who ในปี 3 ( 1966 ) มีชื่อเล่นว่า Dodo
เธอฉลาดและร่าเริง ไร้เดียงสา เป็นตัวของตัวเอง ทำให้นึกถึงบุคลิกของนกโดโด้
- ปี 1987 หนังสือเรื่อง Dirk Gently's Holistic Detective Agency โดย Douglas Adams
ในเรื่อง ศาสตราจารย์ Chronotis ว่าการที่โดโด้สูญพันธุ์ เพราะเขาเอาเวลาไปโหมให้กับการอนุรักษ์ ปลาซีลาแคนธ์
- ตอนหนึ่งของเรื่อง The Goodies ตัวละคร Bill Oddie ค้นพบสาเหตุการสูญพันธุ์ของโดโด้ คือพวกมันอร่อย
- การ์ตูนเรื่องยาวของดัชท์ เจ้าโดโด้ Douwe Dabbert เปิดบริษัทท่องเที่ยว ในที่สุดก็พบ โดโด้ตัวเมียตัวสุดท้าย
- ตอนท้ายของการ์ตูนดัชท์-ญี่ปุ่นเรื่องยาวเรื่อง Alfred J.Kwak
Alfred เจอความลับ ใต้ทะเลเป็นแหล่งอพยพโดโด้จากการสูญพันธุ์
- ปี 1981 วง Genesis แต่งเพลงในอัลบั้ม Abacab ชื่อเพลง โดโด้/นักซุ่ม
ปี 1995 อัลบั้มรวมชุด Sound+Vision ของ David Bowie ซึ่งรวมเพลงเก่าที่ยังไม่เคยจำหน่ายตั้งแต่ 1973-1984 พร้อมเพลงใหม่ชื่อ โดโด้ ชุดนี้จำหน่ายซ้ำในปี 2003
- ปี 1996 ตอนหนึ่งของการ์ตูนเรื่องยาว The Simpsons ( ตอน Homer the Smithers )
คุณเบิร์น สั่งให้ โฮเมอร์ เตรียมไข่โดโด้เป็นอาหารกลางวัน เป็นมุกหนึ่งที่สื่อว่าตัวละคร คุณเบิร์น หลุดโลกาภิวัฒน์
- ปี 1999 Aimee Mann เขียนถึงโดโด้ในอัลบั้ม Bachelor No.2 หรือ The Last Remains of the Dodo
แต่ไม่มีเพลงใดเกี่ยวกับโดโด้เลย
- ปี 2001 วีดีโอเกม Grand Theft Auto III
เครื่องบินชื่อ Fully-winged Dodo บินอยู่เหนือเมือง ณ สนามบิน Liberty City แม้ว่าจะดูบินไม่ได้ เพราะปีกหัก เป็นมุกล้อนกโดโด้ แต่เครื่องนี้ผู้เล่นก็ขับบินได้ ( อย่างยากเย็น ) เครื่องบินโดโด้ ปรากฏตัวอีกครั้งใน The Dodo reappears in Grand Theft Auto: San Andreas เป็นฉากสนามบิน Las Venturas
- ปี 2002 ภาพยนตร์การ์ตูน Ice Age กล่าวถึง กองทัพโดโด้ ในยุคน้ำแข็ง
ที่พยายามเอาตัวรอดจากการสูญพันธุ์ โดยสะสมแตงโมในยามฉุกเฉิน ปรากฏว่าเหลือแตงโมแค่ 3 ลูก ในที่สุดทั้งหมดก็ตกลงเหวไปพร้อมโดโด้จำนวนหนึ่งที่พยายามปกป้องแตงโม เป็นมุกว่าความเซ่อซ่าของมัน เป็นเหตุให้ใกล้สูญพันธุ์
- ปี 2003 อัลบั้มของ Dave Matthews ชุด Some Devil begins มีเพลงชื่อ Dodo
เป็นฮาร์โมนิกนุ่มๆ เนื้อเพลงทำให้เป็นไปได้ว่ารู้สึกถึง อารมณ์ของโดโด้ตัวสุดท้ายมีชีวิตในโลก ไม่มีการสื่อถึงนัยลักษณะของโดโด้ แต่ก็เป็นเพลงเปิดอัลบัมที่ดีทีเดียว
- ในหนังสือ สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ ( Fantastic Beasts and Where to Find them )
ซึ่งสมมติว่าเป็นหนังสือจากห้องสมุดของโรงเรียนพ่อมด จากนิยาย Harry Potter โดโด้ถูกเขียนถึงในชื่อ ดิริคอว์ล ( Diricawl )
หนังสืออ้างว่า มันเป็นสัตว์วิเศษ ที่สามารถหายตัวจากที่หนึ่ง ไปปรากฏอีกที่ได้ ทำให้ มักเกิ้ล ( คนที่ไม่มีเวทมนตร์ ) เข้าใจผิดว่าว่า ดิดริคอว์ลหรือโดโด้ สูญพันธ์ และพ่อมดก็เก็บความลับไว้ต่อไป เพราะความเชื่อเรื่องการสูญพันธุ์ ทำให้มักเกิ้ลระมัดระวังในการล่าสัตว์
- ในตอนหนึ่งของการ์ตูน Superman: The Animated Series ชื่อตอน The Main Man
ตัวร้ายชื่อ The Preserver มีโดโด้ที่มีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมจำลอง ตอนจบ ซุปเปอร์แมนนำโดโด้กลับสู่เขตสงวน
- สำนักพิมพ์ DC Comics ทำการ์ตูนเรื่องยาว ตั้งแต่ทศวรรษ 1940-1960 ในชื่อ The Dodo and the Frog
มีโดโด้ชื่อ Dunbar ที่ทึ่มและทำตามแผนของกบชื่อ Fennimore อยู่บ่อยๆ ภาค2 ในทศวรรษ 1980 เกี่ยวกับ กัปตัน Carrot และลูกเรือสวนสัตว์อัศจรรย์ของเขา
- ใน Underground Humor magazine เรียก กองทัพอากาศสหรัฐว่า โดโด้ ซึ่งล้อตรามาสคอตนำโชครูปนกอินทรี
ปีต่อๆมา คำว่า โดโด้ ก็ถูกเซ็นเซอร์และสงวนโดย ผู้นำกองทัพ ตั้งแต่นิตยสารดีพิมพ์ในปี 1957 แต่ที่เห็นชัดที่สุดคือในอินเทอร์เน็ต eDoDo ที่ถูกใช้ไม่ขาดโดย บัณฑิตและนักเรียนนายร้อยที่เล่นเว็บบอร์ด
- ในการ์ตูนเรื่องยาวเรื่อง โปเกมอน มีตัวละครหนึ่งเป็นนกโดโด้ ชื่อว่า Doduo มีสองหัว
และสามารถวิวัฒนาการเป็นสามหัว ชื่อว่า Dodrio
- ในวิดีโอเกม Blazing Dragons หนึ่งในตัวร้ายใช้โดโด้ขนส่งภาคพื้นดิน
เพื่อนำเครื่องบินเครื่องจักรไอน้ำของ Flicker ไปยังปราสาทของ Sir George หลังจากที่ นกอินทรีขนส่งทางอากาศของเขา ออกจาหน้าต่าง โดยไม่ได้นำเครื่องบินของเขาไปด้วย
- ในนิยาย The Thursday Next ของ Jasper Fforde
Thursday มีโดโด้เป็นสัตว์เลี้ยง ซึ่งโลกในหนังสือ โดโด้ถูกเพาะเป็นสัตว์เลี้ยง ด้วยการโคลนจาก DNA
[แก้] ดูเพิ่ม
- สูญพันธุ์
- ((อังกฤษ)) Extinction
- ((อังกฤษ)) Extinct_birds