โยฮันน์ สเตราส์ บิดา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โยฮันน์ สเตราส์ ที่หนึ่ง (หรือที่รู้จักกันในนามของ โยฮันน์ สเตราส์ ซีเนียร์) (เกิดเมื่อวันที่14 มีนาคม ค.ศ. 1804 เสียชีวิตเมื่อวันที่25 กันยายน ค.ศ. 1849) เป็นคีตกวีชาวออสเตรีย ผลงานที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักได้แก่เพลงวอลซ์ และเพื่อทำให้เพลงประเภทนี้เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น โยเซฟ แลนเนอร์ จึงได้ (โดยไม่ตั้งใจ) จัดตั้งมูลนิธิขึ้นเพื่อให้บุตรชายของเขาสืบสานอาณาจักรดนตรีต่อไป อย่างไรก็ดี บทเพลงของเขาที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดเห็นจะได้แก่ ราเด็ตสกี้มาร์ช (ตั้งชื่อตามโยเซฟ ราเด็ตสกี้ ฟอน ราเด็ตส์) ในขณะที่เพลงวอลซ์ที่เลื่องชื่อที่สุดของเขาได้แก่ Lorelei Rhine Klänge โอปุสที่ 154
[แก้] ชีวิตและงาน
โยฮันน์ สเตราส์ ที่หนึ่ง เป็นบิดาของโยฮันน์ สเตราส์ ที่สอง โยเซฟ สเตราส์ และ เอ็ดวาร์ด สเตราส์ เขายังมีบุตรสาวอีกสองคน ได้แก่ แอนนา ที่เกิดในปีค.ศ. 1829 และ เทเรซ ที่เกิดในปีค.ศ. 1831 รวมถึงบุตรชายคนที่สาม เฟอร์ดินาน ที่เกิดในปีค.ศ. 1834 และมีชีวิตอยู่ดูโลกได้เพียงแค่สิบเดือน
บิดามารดาของสเตราส์เป็นผู้ดูแลกระท่อม และแม้ว่าเหตุร้ายจะมาเยือนครอบครัวของเขา เมื่อมารดาเสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดเมื่อเขาอายุได้เพียงเจ็ดขวบ เมื่อเขามีอายุได้สิบสองปี บิดาของเขาชื่อฟร้านซ์ บอร์เกียส ก็ได้เสียชีวิตอีกคนจากการจมน้ำในแม่น้ำดานูบ แม่บุญธรรมของเขาได้จัดการให้เขาไ้ด้ไปฝึกหัดงานเย็บเล่มหนังสือกับโยฮันน์ ลิชต์ไชเดิ้ล แต่เขากลับหาเวลาว่างไปหัดไวโอลินกับวิโอล่า และสามารถหางานในวงออเคสตร้าท้องถิ่นของคนชื่อไมเคิ่ล พาร์มเมอร์ได้ จากนั้นเขาก็ออกจากวงเพื่อไปร่วมวงสตริงควอเต็ตที่เป็นที่นิยม ชื่อว่าวง แลนเนอร์ ควอเต็ต ตั้งขึ้นโดยโจเซฟ แลนเนอร์คู่แข่งในอนาคตของเขา และสองพี่น้องตระกูลดราเก้นเฮก ชื่อคาร์ลกับโยฮันน์ วงสตริงควอเต็ตนี้เล่นเพลงวอลซ์แบบเวียนนา และเพลงเต้นรำลูกทุ่งแบบเยอรมัน และได้ขยับขยายไปเป็นวงสตริงออเคสตร้าในปีค.ศ. 1824 ในขณะที่มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนร่วมวง เขาไม่เคยทิ้งงานฝึกหัดเป็นช่างเย็บเล่มหนังสือ เขายังได้เีรียนดนตรีกับโยฮันน์ โปลิชานสกี้ (Johann Polischansky) ในช่วงฝีกหัดงานอีกด้วย
ต่อมาเขาได้เลื่อนขั้นเป็นผู้แทนวาทยากรในวงออเคสตร้าที่เขาเล่นอยู่ และในปีค.ศ. 1825 ก็ได้จัดตั้งวงดนตรีของตนเองขึ้นและเริ่มประพันธ์เพลงสำหรับเล่นเองในวง เขาได้กลายเป็นนักประพันธ์เพลงเต้นรำที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและเป็นที่รักของผู้ฟังมากที่สุดคนหนึ่งในเวียนนา และได้นำวงของเขาออกเดินสายเปิดการแสดงในเยอรมนี เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม อังกฤษ และ สก็อตแลนด์ ในขณะเดินทางต่อไปยังประเทศฝรั่งเศส เขาได้ยินเพลงควอดริลและเริ่มแต่งมันขึ้นมาเอง และเป็นผู้ที่ทำให้เพลงประเภทนี้เป็นที่รู้จักในออสเตรีย
สเตราส์ได้เข้าพิธีสมรสกับมาเรีย แอนนา สไตรมในปีค.ศ. 1825 ที่โบสต์แห่งหนึ่งในเมืองไลช์เทนธัล ชานกรุงเวียนนา ชีวิตสมรสของเขาไม่ค่อยจะราบรื่น และการออกตระเวนเปิดการแสดงในต่างประเทศบ่อยทำให้เขาห่างเหินจากครอบครัวขึ้นทุกที และทำให้เขารู้สึกเป็นคนแปลกหน้าขึ้นเรื่อยๆ และต่อมาเขาก็ได้มีภรรยาน้อยชื่อ เอมิล แทรมบุช ในปีค.ศ. 1834 ที่เขามีบุตรด้วยถึงแปดคนด้วยกัน เหตุผลส่วนตัวของสเตราส์อาจเป็นสาเหตุให้โยฮันน์ สเตราส์ ที่สอง ได้พัฒนาเป็นนักประพันธ์เนื่องจากโยฮันน์ บิดาได้ห้ามมิให้บุตรชายเรียนดนตรีเมื่อไรก็ตาม ด้วยการประกาศยอมรับบุตรสาวที่เกิดจากเอมิลอย่างเปิดเผย มาเรีย แอนนาได้ฟ้องหย่าในปีค.ศ. 1844 และได้อนุญาตให้โยฮันน์ จูเนียร์ได้เรียนดนตรีอย่างจริงจัง โยฮันน์ บิดา เป็นผู้ที่ยึดกฏระเบียบเคร่งครัด และบังคับให้บุตรของตนประกอบอาชีพที่ไม่เีกี่ยวข้องกับดนตรี ความคิดส่วนตัวของสเตร้าส์ไม่ค่อยชัดเจนนักเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับคนในครอบครัว แต่เขาก็เข้าใจความลำบากที่นักดนตรีที่กำลังก่อร่างสร้างตัวต้องเผชิญเป็นอย่างดี
นอกเหนือจากปัญหาครอบครัวแล้ว เขายังได้ไปเปิดการแสดงในเกาะอังกฤษบ่อยครั้ง และเตรียมที่จะเขียนบทเพลงให้กับองค์กรการกุศลที่นั่น เพลงวอลซ์ของเขาพัฒนาจากระบำชาวนาในจังหวะสาม/สี่ เป็นสี่/สี่ และมีส่วนนำ และไม่ีีค่อยมีการอ้างถึงโครงสร้างเพลงวอลซ์แบบห้า/สองที่ตามมา และมักจะมีท่อนสร้อยสั้นๆ อีกทั้งท่อนจบที่เร่งเร้า ในขณะที่โยฮันน์ สเตราส์ จูเนียร์ ผู้เป็นบุตร ได้ขยายโครงสร้างเพลงวอลซ์และใช้เครื่องดนตรีมากกว่าบิดา และแม้ว่าสเตราส์ ผู้เป็นบิดาจะไม่มีความสามารถทางดนตรีที่เก่งกาจเช่นบุตรชายของเขา หรือไม่มีหัวการค้าเท่าไรนัก เขาก็เ็๋ป็็นหนึ่งในนักประพันธ์เพลงเพี่ยงไม่กี่คน (รวมทั้งโยเซฟ แลนเนอร์ที่แต่งเพลงพร้อมตั้งชื่อแยกต่างหาก ทำให้ผู้คนจดจำได้ง่าย อีกทั้งยังเพิ่มยอดขายของโน้ตแผ่นอีกด้วย
โยฮันน์ สเตราส์ บุตร มักจะเล่นเพลงที่บิดาเป็นคนแต่ง และยังบอกว่าชอบมันอย่างเปิดเผย ถึงแม้ว่าจะเป็นที่ทราบกันในสังคมชาวเวียนนาว่าบิดาเขามีคู่แข่งมากแค่ไหน อีกทั้งยังมีสื่อมวลชนช่วยโหมกระพือกระแส โดยส่วนตัวแล้ว โยฮันน์ สเตราส์ ที่หนึ่ง ปฏิเสธที่จะเปิดการแสดงอีกที่คาสิโนของนายดอมมาเยอร์ ที่เสนอให้บุตรชายของเขาเริ่มอาชีพวาทยากรและคอยช่วยเหลือให้ก้าวหน้าในอาชีพการงานตลอดชีวิต และในภายหลัง ชื่อเสียงของบุตรชายก็บดบังผู้เป็นบิดา ในแง่ของความนิยมในส่วนของดนตรีคลาสสิก
สเตราส์เสียชีวิตที่กรุงเวียนนา ในปีค.ศ. 1849 จากโรคไข้แดง (scalett fever) ศพของเขาถูกฝังที่สุสานเมืองโดบลิง (Döbling) ข้างกับแลนเนอร์ เพื่อนของเขา และก่อนปีค.ศ. 1904 ศพของทั้งสองได้ถูกย้าย ไปที่หลุมฝังศพแห่งเกียรติยศ ที่เมืองเซนทรัลไฟรด์ฮอฟ สุสานเมืองโดบลิงได้กลายเป็นสวน สเตราส์-แลนเนอร์ในปัจจุบัน เอกเตอร์ แบร์ลิออซ ได้ยกย่อง'บิดาของเพลงวอลซ์เวียนนา' ด้วยคำกล่าวที่ว่า 'กรุงเวียนนาที่ปราศจากสเตราส์ ก็เหมือนออสเตรียที่ปราศจากแม่น้ำดานูบ'