เสือ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สำหรับเสือ ที่หมายถึงปลา ดู ปลาเสือ
เสือโคร่ง (Tiger)
สถานะอนุรักษ์: ถูกคุกคาม
เสือเบงกอล
เสือเบงกอล (Panthera tigris tigris)
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Animalia
ไฟลัม: Chordata
ชั้น: Mammalia
อันดับ: Carnivora
วงศ์: Felidae
สกุล: Panthera
ชนิด: P. tigris
ชื่อทวินาม
Panthera tigris
L., 1758

เสือ เป็น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในวงศ์ Felidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับ แมว แต่มีขนาดที่ใหญ่กว่า ขนาดของลำตัวประมาณ 168 - 227 เซนติเมตรและหนักประมาณ 180 - 245 กิโลกรัม รูม่านตากลม เป็นสัตว์กินเนื้อกลุ่มหนึ่ง มีลักษณะและรูปร่างรวมทั้งพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากสัตว์ในกลุ่มอื่น หากินเวลากลางคืน มีถิ่นกำเนิดในป่าและส่วนใหญ่ยังคงรักษาความสามารถในการปีนป่าย ต้นไม้ (ยกเว้นเสือชีต้า (Cheetah)) เสือทุกชนิดมี กราม ที่สั้นและแข็งแรง มี เขี้ยว 2 คู่สำหรับกัดเหยื่อ ทั่วทั้ง โลก มีเสืออยู่ประมาณ 37 ชนิด ซึ่งรวมทั้ง แมว บ้านด้วย เสือแบ่งเป็นหลายชนิด ได้แก่

  • เสือดาวหิมะ (Snow Leopard)
  • เสือจากัวร์ (Jaguar)
  • เสือชีตาห์ (Acinonyx jubatus)
  • เสือแคสเปียน หรือ เสือเปอร์เซีย (Panthera tigris virgata)
  • เสือชวา (Panthera tigris sondaica)
  • เสือบาหลี (Panthera tigris balica)

ซึ่งโดยทั่วไปถ้าเอ่ยถึงเสือ เพียงคำเดียว มักหมายถึง เสือโคร่ง ซึ่งเสือชนิดนี้มีชื่อทาง วิทยาศาสตร์ ว่า Panthera Tigers (หมายความว่า เสือโคร่งจัดอยู่ในสกุล Panthera และมีชื่อเฉพาะว่า Tigers)

เสือโคร่งเป็นสัตว์ที่ชอบน้ำซึ่งแตกต่างจากเสือชนิดอื่น ๆ
เสือโคร่งเป็นสัตว์ที่ชอบน้ำซึ่งแตกต่างจากเสือชนิดอื่น ๆ

เสือส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในป่าและทุ่งหญ้า ส่วนใหญ่ไม่ชอบ น้ำ เช่นเดียวกับ แมว ทั่วไป มีเพียง เสือโคร่ง และ เสือจากัวร์ เท่านั้นที่ชอบ น้ำ ยิ่งกว่านั้นสถานที่ที่พบเสือโคร่งบ่อยที่สุดมักจะเป็นแอ่งน้ำ ทะเลสาบ หรือ แม่น้ำ เสือเป็นสัตว์ที่หากินโดยลำพัง อาหารหลักมักจะเป็นสัตว์กินพืชขนาดกลางอย่างเช่น กวาง, หมูป่า และ ควาย ซึ่งจะล่าเหยื่อด้วยวิธีการเดิน ย่อง วิ่งไล่และตะครุบเหยื่อ อย่างไรก็ตามพวกมันอาจจะออกล่าสัตว์ที่ขนาดใหญ่กว่าหรือเล็กกว่าในสถานการณ์ที่คับขัน มีลักษณะพิเศษคือสามารถซ่อนเล็บไว้ในปลายนิ้วเท้าได้ เมื่อต้องการจับยึดเหยื่อจะกางเล็บเท้าหน้าออก ส่วนเล็บเท้าด้านหลังจะใช้เป็นอาวุธสำหรับฉีกกระชากเหยื่อ และในขณะที่เสือวิ่งเล็บเท้าหลังจะช่วยยึดเกาะ ทำให้สามารถตะกุยพื้นเร่งความเร็วได้เร็วขึ้น นอกจากนี้วิธีการหดซ่อนเล็บของเสือยังเป็นวิธีการรักษาความแหลมคมของเล็บไว้ เพื่อป้องกันการขูดขีดขณะเดินหรือเคลื่อนไหวตามปกติ ศัตรูเพียงชนิดเดียวของเสือ ก็คือ มนุษย์ ปัจจุบันเสือถูกล่าอย่างผิด กฎหมาย เพื่อนำไปทำเสื้อขนสัตว์ และเป็นความเชื่อในการทำ ยา บำรุงกำลังของผู้ชาย

จากความเสียหายของถิ่นที่อยู่ รวมทั้งการล่าเพื่อทำหนังขนสัตว์ จำนวนเสือตามธรรมชาติจึงลดน้อยลง มันจึงเป็นสัตว์ที่อยู่รายการสปีชีส์ที่กำลังอยู่ในอันตราย เสือเป็นหนึ่งในสัตว์ที่อยู่ในระดับเหนือสุดของ ห่วงโซ่อาหาร เพราะการสูญสิ้นหรือลดปริมาณลงอย่างรวดเร็วของเสือ ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างและความสัมพันธ์ของห่วงโซ่อาหารและระบบนิเวศทั้งหมด การสูญพันธ์ของสัตว์กินเนื้อเพียงหนึ่งหรือสองชนิด จะทำให้กลุ่มของสัตว์กินพืชเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งธรรมชาติเสียความสมดุล ซึ่งในปัจจุบันได้มีมาตรการคุ้มครองสัตว์กินเนื้อ โดยเฉพาะสัตว์ในกลุ่มเสือให้รอดพ้นจากการล่าของมนุษย์ เพื่อให้สัตว์กินเนื้อเหล่านี้ไม่สูญพันธุ์ไปจนหมด

สารบัญ

[แก้] วิวัฒนาการของเสือ

สัตว์ในกลุ่มเสือ หมายความรวมถึงเสือและ แมว ทุกชนิด ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสิ่งที่มีชีวิต ในวงศ์ ฟิลิดี (Felidae) เป็น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งมีขนปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย มี ปอด ไว้สำหรับหายใจ หัวใจ มี 4 ห้องและมีลักษณะที่สำคัญที่สุดคือ ตัวเมียมีเต้านมและน้ำนมไว้สำหรับเลี้ยงลูกอ่อน ซึ่งส่วนใหญ่การปฏิสนธิและเจริญเติบโตของลูกอ่อน จะเกิดขึ้นภายใน มดลูก ของตัวเมีย มี เขี้ยว ที่ใช้ฆ่าเหยื่อ มี ฟันกราม ที่คมเหมือน มีด ไว้สำหรับตัดเนื้อ ซึ่งพัฒนามาจากฟันกรามที่ทำหน้าที่สำหรับบดเคี้ยว มีข้อต่อสำหรับ กระดูกสันหลัง ที่ยืดหยุ่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่ง การเร่งความเร็วในการวิ่งและการกระโจน มีนิ้วเท้า 5 นิ้วและ เล็บ แหลมคม

สัตว์กินเนื้อ เริ่มปรากฎตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกเมื่อต้น มหายุคซีโนโซอิก (Cenozoic) หรือเมื่อประมาณ 65 ล้านปีก่อน ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์กินเนื้อในยุคนี้ คือกลุ่มของสัตว์ที่เรียกกันว่า ไมเอซิดี (Miacidae) ซึ่งเป็น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่มีขนาดเล็ก ลักษณะลำตัวยาว มีหางสั้น มีอวัยวะที่ยื่นออกมาจากลำตัวและข้อต่อที่สามารถยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี ซึ่งลักษณะของไมเอซิดี จะคล้ายกับ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ขนาดเล็กในปัจจุบันคือ จีเน็ต (Genets) ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายกับสัตว์จำพวกชะมด (Civet) มีขนาด สมอง เล็กและ กะโหลก แบน มีอุ้งเท้าที่กว้างและนิ้วเท้าที่แยกออกจากกัน อาศัยใน ป่า แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ ไวเวอร์ราวิน (Viverravines) และ ไมเอซิน (Miachines) ซึ่งมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ใน หิน ที่มีอายุประมาณ 39 ล้านปี และในช่วงระยะเวลา 39 ล้านปีก่อนนี้เอง (ปลายยุค อีโอซีน (Eocene) ซึ่งต่อกันกับยุค โอลิโกซีน (Oligocene) เป็นช่วงเวลาที่สัตว์กินเนื้อปรากฎขึ้นบน โลก มากมายหลากหลายชนิด กระจายถิ่นฐานตามพื้นที่ต่าง ๆ อย่างกว้างขวางจนก้าวขึ้นมาเป็นผู้ปกครองโลกแทน ไดโนเสาร์ ที่พึ่งจะสูญพันธุ์ไป

สัตว์กินเนื้อที่เรียกว่า ไมเอซิดี คือ ไวเวอร์ราวิน และ ไมเอซิน เป็นจุดเริ่มต้นของการวิวัฒนาการของสัตว์กินเนื้ออีก 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ อาร์กทอยเดีย (Arctoidea) และ แอลูรอยเดีย (Aeluroidea) ซึ่งลักษณะของอาร์กทอยเดีย คือสัตว์กินเนื้อที่มีรูปร่างคล้าย หมี ได้แก่สัตว์จำพวก หมี (Bear) แร็กคูน (Raccoons) แมวน้ำ (Seals) วอลรัส (Walruses) เพียงพอน (Weasels) หมูหริ่ง (Badgers) และ หมีแพนด้า ส่วนแอรูรอยเดีย คือสัตว์กินเนื้อที่มีรูปร่างคล้ายเสือ หรือ แมว ได้แก่เสือหรือแมวทุกชนิด ไฮยีน่า (Hyenas) จีเน็ตหรือสัตว์ในกลุ่ม ชะมด ทุกชนิด ซึ่งมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับสัตว์ประเภทไวเวอร์ราวิน ในส่วนของลักษณะโครงสร้างของร่างกาย เช่นโครงสร้างของ กะโหลก ฟัน และ เท้า ซึ่งได้รับการพัฒนาจากการปีนป่ายมาเป็นการวิ่งแทน

สำหรับสัตว์ในกลุ่มของเสือในปัจจุบันคือ ฟิลิดี (Felidae) หรือที่เรียกว่า "สัตว์ในกลุ่มเสือที่แท้จริง" หรือ True Cats ซึ่งในที่นี้รวมถึง เสือเขี้ยวดาบ บางชนิด ที่สูญพันธ์ไปแล้วด้วย แต่สำหรับเสือเขี้ยวดาบนั้นไม่จัดอยู่ในกลุ่มเสือที่แท้จริงและสัตว์กินเนื้อที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายเสือ แต่จัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า นิมราวิดี (Nimravidae) ซึ่งสูญพันธ์ไปจากโลกนี้เมื่อประมาณ 2 - 5 ล้านปีก่อน

[แก้] สัตว์ที่มีลักษณะคล้ายเสือและเสือที่แท้จริง

ในปี พ.ศ. 2488 นักโบราณชีววิทยา กลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นชาว ฝรั่งเศส ได้ทำการศึกษาและเปรียบเทียบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายเสืออายุประมาณ 24 - 39 ล้านปีก่อน กับซากดึกดำบรรพ์ของเสือในยุคสมัยประมาณ 25 ล้านปีจนถึงปัจจุบัน พบว่าสัตว์ทั้ง 2 กลุ่มนั้นมีลักษณะพื้นฐานทางกายภาพที่แตกต่างกัน จึงตั้งชื่อสัตว์ในกลุ่มแรกว่า พาลีโอฟีดิลิดส์ (Paleofeilds) และสัตว์ในกลุ่มสองว่า นีโอฟีลิดส์ (Neofelids) และต่อมาในภายหลัง นักวิทยาศาสตร์ ได้ทำการตั้งชื่อวงศ์ให้แก่สัตว์ในกลุ่มพาลีโอฟีดิลิดส์ว่า "นิมราวิดี" และสัตว์ในกลุ่มนีโอฟิลิดส์ว่า "ฟิลิดี" ซึ่งก็คือกลุ่มของสัตว์คล้ายเสือหรือลักษณะของสัตว์ในกลุ่มเสือที่แท้จริง

สิ่งที่นิมราวิดิกับฟิลิดี วิวัฒนาการมาโดยแตกต่างกันก็คือ กล่องหู (Auditory Bulla) ซึ่งเป็นโครงสร้างภายใน กะโหลก และเป็นที่ตั้งของ หู ส่วนกลาง ซึ่งโครงสร้างของ หู ส่วนกลางนั้นประกอบไปด้วย กระดูกค้อน กระดูกทั่ง และ กระดูกโกลน ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมระหว่างเยื่อ แก้วหู กับหูด้านใน สัตว์ในกลุ่มแอลูรอยเดียทั้งหมด จะมีลักษณะโครงสร้างส่วนนี้คล้ายคลึงกัน ยกเว้นก็แต่เพียงสัตว์คล้ายเสือในกลุ่มนิราวิดีเท่านั้น ซึ่งสัตว์กินเนื้อในกลุ่มแอลูรอยเดีย จะมีกล่องหูที่โป่งพองเป็น โพรง ขนาดใหญ่กว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ ซึ่งกล่องหูมีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่าใด ความสามารถในการได้ยินก็จะดีมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีแผ่นเยื่อบาง ๆ (Septum) ทำหน้าที่กั้นแบ่งกล่องหูเป็น 2 ห้อง แต่สัตว์ในกลุ่มนิมราวิดีจะไม่มีแผ่นเยื่อบาง ๆ ในกล่องหู ซึ่งแผ่นเยื่อบาง ๆ และกล่องหูเป็นโครงสร้างสำคัญที่ใช้แยกระหว่างสัตว์คล้ายเสือกับเสือที่แท้จริง

สัตว์คล้ายเสือในกลุ่มนิมราวิดี ส่วนมากจะมี เขี้ยว บนที่มีขนาดยาวและตัน จนมองดูเหมือนกับว่ามีลักษณะคล้ายกับ ดาบ โค้งขนาดใหญ่ ส่วนเขี้ยวที่อยู่ด้านล่างจะมีขนาดลดลงอย่างสัมพันธ์กัน นอกจากนี้ กระดูก บริเวณ กราม ล่างก็จะสั้นลงเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ เขี้ยว โค้งบดเนื้อตัวเอง สำหรับ ฟัน บริเวณด้านข้างหรือ ฟันกราม ก็จะลดจำนวนลง และวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงจนมีลักษณะที่คล้ายกับใบ มีด สัตว์คล้ายเสือที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดคือ บาบัวโรฟีลิส (Barbourofelis) ซึ่งลักษณะของ เขี้ยวดาบ เคยปรากฎในกลุ่มเสือที่แท้จริงหรือตัวอย่างที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือ สมิโลดอน (Smilodon) ซากของสมิโลดอนถูกขุดพบเป็นจำนวนมากในรัฐ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มีอายุประมาณ 2 ล้านปี ในขณะที่ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์กินเนื้อรูปร่างคล้ายเสือในกลุ่มนิมราวิดี ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า คืออยู่ในระหว่าง 7 - 37 ล้านปี

บรรพบุรุษ ของเสือที่แท้จริงหรือสัตว์ในกลุ่มฟิลิดี ได้แก่ โพรไอลูรัส (Proailurus) และ ซูดีรูรัส (Pseudaelurus) ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็ก มีโครงสร้างของระบบ ฟัน คล้ายกับเสือในปัจจุบันมาก โพรไอลูรัสอยู่ในยุคสมัยโอลิโกซีน (Oligocene) พบซากดึกดำบรรพ์ใน ทวีปยุโรป ส่วนซูดีรูรัสนั้นเป็นสัตว์ในยุคสมัยไมโอซีน (Miocene) ซึ่งพบซากดึกดำบรรพ์ทั้งใน ทวีปยุโรป และ ทวีปอเมริกา ซึ่งทั้งสองชนิดจะมีแผ่นเยื่อบาง ๆ กั้นระหว่างกล่องหูเป็น 2 ส่วน ปัจจุบันนั้นสัตว์คล้ายเสือที่อยู่ในกลุ่มซูดีลูรัส ได้วิวัฒนาการมาเป็นเสือสกุล แพนเทอรา (Panthera) เช่น เสือโคร่ง และอย่างน้อยครั้งหนึ่งในอดีต สัตว์ในกลุ่มนี้ได้วิวัฒนาการรูปร่างและขนาดให้เล็กลง จนกระทั่งกลายมาเป็นเสือที่มีขนาดเล็กหลายชนิด ซึ่งเสือในสกุล ฟิลิส (Felis) เช่น แมวดาว แมวป่า เป็นต้น

[แก้] โครงสร้างทางกายภาพ

เสือมีต้นตระกูลและ บรรพบุรุษ ที่มีลักษณะคล้าย ชะมด เมื่อประมาณ 39 ล้านปีก่อน วิวัฒนาการจากดึกดำบรรพ์จนกลายมาเป็นเสือในปัจจุบัน ซึ่งลักษณะโครงสร้างของร่างกายและลายขน ช่วยเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการล่าเหยื่อ สัตว์ในตระกูลเสืออาศัยอยู่กระจัดกระจายทั่วทุกแห่งใน โลก ยกเว้นในเขต แอนตาร์กติกา หมู่เกาะ ออสเตรเลีย หมู่เกาะอินดิสตะวันตก เกาะมาดากัสการ์และหมู่เกาะบางแห่งในคาบ มหาสมุทร

สัตว์ในกลุ่มเสือปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์ฟิลิดี (Felidae) จำแนกออกเป็น 4 สกุล คือ

  1. แพนเทอรา (Panthera)
  2. ฟีลีส (Felis)
  3. นีโอฟีลีส (Neofelis)
  4. อาซินโอนิกซ์ (Acinonyx)
  • เสือในสกุล แพนเทอรา เป็นเสือขนาดใหญ่ที่สามารถส่งเสียงคำรามได้ เพราะมี เส้นเอ็น หรือสายเสียงพิเศษเฉพาะ เสือในสกุลนี้ได้แก่ สิงโต เสือโคร่ง เสือดาว เสือจากัวร์ (jaguar) และ เสือดาวหิมะ (Snow Leopard) แต่สำหรับเสือดาวหิมะ ซึ่งเป็นเสือที่มีขนาดใหญ่แต่ไม่สามารถคำรามได้ ซึ่งสามารถจัดแบ่งสกุลของเสือดาวหิมะไว้ในสกุล อันเซีย (Uncia) เสือในสกุลแพนเทอราเป็นเสือที่มีขนาดใหญ่ เหยื่อของเสือสกุลนี้จึงเป็นสัตว์กินพืชขนาดใหญ่เช่นกัน แต่ในบางครั้งก็กินซาก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่มีขนาดเล็ก นก หรือแม้แต่ แมลง
  • เสือในสกุล ฟีลีส เป็นเสือขนาดเล็กที่สุดในบรรดาเสือทุกสกุล เสือในสกุลนี้ไม่สามารถคำรามได้เช่นเดียวกับ เสือดาวหิมะ แต่สามารถส่งเสียงขู่ได้ เช่น แมวดาว แมวป่า หรือ เสือไฟ
  • เสือในสกุล นีโอฟีลีส เป็นเสือขนาดกลางและไม่สามารถคำรามได้เช่นเดียวกับเสือสกุลฟีลีส มีเพียง 1 ชนิดคือ เสือลายเมฆ
  • เสือในสกุล อาซินโอนิกซ์ เป็นเสือที่มีเพียงชนิดเดียวคือ เสือชีต้า (Chetath) ซึ่งเป็น สัตว์บก ที่วิ่งเร็วที่สุดใน โลก

เสือเป็นสัตว์ที่มี กล้ามเนื้อ แข็งแรง มีหัวที่ค่อนข้างกลม รูปร่างและร่างกายปราดเปรียวคล่องแคล่วว่องไว สามารถย่อง วิ่งไล่หรือจู่โจมเข้าหาเหยื่อได้อย่างรวดเร็ว ใช้เท้าหน้าทั้งสองข้างจับเหยื่อ เท้าหลังมี 4 นิ้ว เท้าหน้ามี 5 นิ้ว มี หัวแม่เท้า เล็กและอยู่สูงกว่านิ้วอื่น ๆ เสือทุกชนิดจะมีลักษณะรวมกันที่ทำให้ถูกจัดไว้ในกลุ่มของเสือแต่ก็แตกต่างจนทำให้ต้องจำแนกออกเป็นหลายชนิด โดยดูจากลักษณะของ กะโหลก สีขน ขนาดและรูปร่างของเสือ สัดส่วนของขาทั้งสีรวมไปถึง หาง ซึ่งลักษณะที่มีร่วมกันทั้งหมดสามารถที่จะอธิบายถึงลักษณะทางกายภาพเฉพาะของเสือในแต่ละชนิด ทำให้สามารถอธิบายถึงพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมได้ ซึ่งลักษณะโครงสร้างทางกายภาพของเสือ สามารถแบ่งออกได้ดังนี้

[แก้] กะโหลก

ลักษณะกะโหลกของเสือสกุลแพนเทอรา
ลักษณะกะโหลกของเสือสกุลแพนเทอรา
ลักษณะกะโหลกของเสือสกุลฟีลีส
ลักษณะกะโหลกของเสือสกุลฟีลีส

เสือเป็นสัตว์ที่มีใบหน้าสั้นเนื่องจากลักษณะของ กะโหลก ซึ่งอยู่ภายใน แต่กะโหลกของเสือในแต่ละชนิดไม่เหมือนกันจะมีความแตกต่างกันตามแต่ละชนิดของเสือเช่นกะโหลกของ เสือโคร่ง ซึ่งเป็นเสือที่มีขนาดใหญ่ เสือชีต้า ซึ่งเป็นเสือที่มีขนาดกลางและ แมวดาว หรือ แมวป่า ซึ่งเป็นเสือที่มีขนาดเล็กในสกุลฟีลีสชนิดหนึ่ง กะโหลกเสือโคร่งจะมีลักษณะที่ค่อนข้างยาว กะโหลกเสือชีต้าจะมีลักษณะค่อนข้างสูง นอกจากนี้กะโหลก เสือโคร่ง เมื่อนำมาเทียบส่วนกับ สมอง ภายในแล้ว จะใหญ่กว่ามาก ในขณะที่เสือขนาดเล็กจะไม่มีความแตกต่างกันเท่าใดนัก

ความแตกต่างของ กะโหลก เสือที่มีขนาดใหญ่และกะโหลกเสือที่มีขนาดเล็ก เป็นผลมาจากการวิวัฒนาการของขนาดร่างกาย เพราะในช่วงที่เสือวิวัฒนาการร่างกายให้ใหญ่ขึ้น ส่วน สมอง กลับไม่ได้เพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นในอัตราเดียวกันกับขนาดของร่างกาย เพราะฉะนั้นสัดส่วนของ สมอง ต่อ กะโหลก ของเสือที่มีขนาดใหญ่ จะเล็กกว่าเสือที่มีขนาดเล็ก ทั้งนี้รวมทั้งขนาดของขนาดเบ้า ตา ต่อ กะโหลก เสือที่มีขนาดใหญ่ ก็มีขนาดที่เล็กกว่าเสือขนาดเล็กด้วย เพราะลูกนัยน์ตาของเสือไม่ได้ขยายใหญ่ขึ้นตามขนาดของร่างกายเช่นเดียวกับสมง

แต่สำหรับสาเหตุของกะโหลก เสือโคร่ง ที่มีลักษณะค่อนข้างยาวมีสาเหตุมาจากเมื่อร่างกายของเสือมีขนาดใหญ่ขึ้น กล้ามเนื้อ บนใบหน้าโดยเฉพาะกล้ามเนื้อในส่วนบริเวณกรามต้องการพื้นที่ยึดเกาะมากยิ่งขึ้น ส่วนด้านบนและด้านหลังของกะโหลกจึงต้องยึดขยายออกมารองรับ ทำให้กะโหลกเสือที่มีขนาดใหญ่มีสัดส่วนที่ยาวกว่ากะโหลกของเสือที่มีขนาดเล็ก

ส่วน เสือชีต้า จะมีกะโหลกที่สูงแตกต่างจากเสือทั้งสองประเภท เนื่องจากจะมีช่องโพรง จมูก ที่มีขนาดใหญ่และลึกกว่าเข้าไปภายใน กะโหลก ซึ่งถ้าพิจารณาจากบริเวณด้านหน้าจะเห็นว่าระยะห่างของเบ้า ตา กับ ฟัน บนจะห่างกันมากกว่าเสือชนิดอื่น ๆ ซึ่งช่องโพรงจมูกที่มีขนาดใหญ่นี้ช่วยให้การหายใจของ เสือชีต้า มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เนื่องจาก เสือชีต้า เป็นสัตว์ที่วิ่งไล่จับเหยื่อด้วยความเร็วสูง

[แก้] สมอง

ลักษณะของสมองเสือ
ลักษณะของสมองเสือ

สมอง คืออวัยวะส่วนที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของสัตว์มีชีวิตทุกประเภท เพราะสมองคือศูนย์รวบรวมของ ระบบประสาท ต่าง ๆ เช่นการสัมผัส การรับรู้ การเคลื่อนไหวหรือการสั่งการ ทุกอย่างจะต้องผ่าน สมอง แทบทั้งสิ้น ซึ่ง สมอง ของ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ประกอบไปด้วยส่วนต่าง ๆ จำนวนมาก บริเวณสมองชั้นนอกหรือที่เรียกว่า คอร์เท็กซ์ (Cortex) จะทำหน้าที่ประมวลข้อมูลต่าง ๆ จาก ระบบประสาท โดยทำการแบ่งแยกพื้นที่สำหรับแต่ละระบบออกเป็นส่วน ๆ เช่นพื้นที่บริเวณสมองชั้นนอกจะทำหน้าที่จัดการกับระบบประสาทการเคลื่อนไหว

ผิว สมอง บริเวณด้านนอกไม่เรียบ แต่เป็นร่องหยักเป็น คลื่น ซึ่งจำนวนของร่องหยักนี้จะเป็นตัวบ่งบอกถึงความสามารถของ ระบบประสาท ในส่วนนั้น ระบบประสาท ในส่วนใดที่มีความสามารถมากก็ย่อมที่จะมี ข้อมูล เป็นจำนวนมาก ทำให้ สมอง ในส่วนนี้มีรอยหยักมากยิ่งขึ้น ถ้าส่วนใดที่มีความสามารถน้อยก็ต้องการรอยหยักของ สมอง น้อย เป็นต้น แต่ถึงอย่างไรสำหรับสัตว์ที่สูญพันธ์ไปแล้วย่อมที่จะไม่มีสมองเหลือไว้ให้ศึกษา แต่ผิวด้านใน กะโหลก ของสัตว์กินเนื้อจะคงร่องและรอยหยักทุกอย่างเหมือน สมอง ชั้นนอก ทำให้นักโบราณ ชีววิทยา ศึกษาดูการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของ สมอง ภายใน ระบบประสาท จากซากดึกดำบรรพ์ได้ เหมือนกับตัวอย่างที่ยังคงมีชีวิตอยู่

แต่สำหรับการศึกษาซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ในกลุ่มเสือพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในยุคแรก ๆ ของ สมอง ของเสือในกลุ่มนิมราวิดีและฟิลิดี คือ ระบบประสาท การดมกลิ่นลดพื้นที่ลง จากหลักฐานตรงส่วนนี้สอดคล้องกับสัดส่วนบริเวณหน้าที่หดสั้นเข้า ซึ่งแสดงว่าสัตว์ในกลุ่มเสือนั้นไม่มีความสามารถในการดมกลิ่นได้ดีเท่ากับสัตว์กินเนื้อกลุ่มอื่น เช่น สุนัขป่า สุนัขจิ้งจอก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ยังคงเหลือในปัจจุบันในสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายเสือในกลุ่มฟิลิดี คาดการณ์ว่าอาจจะเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 ล้านปีก่อน คือ สมอง ของเสือที่มีขนาดใหญ่ได้ขยายพื้นที่ส่วนที่ทำการควบคุมการเคลื่อนไหว ซึ่งจะส่งผลให้เสือมีประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวร่างกายดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนอื่น ๆ อีกด้วย เช่น สมอง ส่วนที่ทำหน้าที่จัดการเกี่ยวกับ ระบบประสาท การได้ยิน ก็จะมีพื้นที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น

[แก้] เสียงคำราม

ลักษณะแสดงการคำรามของเสือ
ลักษณะแสดงการคำรามของเสือ

เสียงคำรามของเสือนั้นจะดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งสัตว์อื่นไม่สามารถทำได้ แต่เสือไม่สามารถคำรามได้ทุกชนิด มีเสือที่มีขนาดใหญ่เพียง 4 ชนิดเท่านั้นที่สามารถคำรามได้ คือ

  1. สิงโต
  2. เสือโคร่ง
  3. เสือจากัวร์
  4. เสือดาว

เพราะเสือจะมีโครงสร้าง กระดูก บริเวณ กล่องเสียง ซึ่งเรียกว่า กลุ่มกระดูกลิ้น (Hyoid) แตกต่างจากเสือในชนิดอื่น ๆ ซึ่งเสือทั้ง 4 ชนิดนี้จัดอยู่ในสกุลแพนเทอรา (Pahthera) มี เสือดาวหิมะ เป็นเสือเพียงชนิดเดียวในสกุลแพนเทอราที่ไม่สามารถคำรามได้ ซึ่งรวมถึงเสือขนาดกลาง เสือขนาดเล็กและ แมว บ้านด้วยที่ไม่สามารถคำรามได้

วิวัฒนาการของ กระดูก ลิ้น ของเสือนั้น เคยเป็นส่วนหนึ่งของ กระดูก เหงือก ในสัตว์คล้าย ปลา ในยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งต่อมาได้วิวัฒนาการมาเป็น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ส่วนหนึ่งของ กระดูก เหงือกนี้จึงเปลี่ยนแปลงไปจากลักษณะดั้งเดิมและกลายมาเป็น กระดูก ลิ้น ของ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในปัจจุบัน สำหรับกลุ่ม กระดูก ของเสือประกอบด้วย กระดูก หลายชิ้นต่อกันเป็นสายคล้อง มีลักษณะคล้ายกับรูปตัว H ซึ่งทำหน้าที่เชื่อม หลอดลม และ กล่องเสียง ไว้ด้วย กล้ามเนื้อ รวมทั้งมีหน้าที่ในการช่วยเหลือการทำงานของ ลิ้น และ กล้ามเนื้อ บริเวณ ลิ้น อีกด้วย

โดยทั่วไปกลุ่ม กระดูก ลิ้น ของเสือที่ไม่สามารถคำรามได้ ประกอบด้วยสาย กระดูก ขนานกัน 2 สาย ในแต่ละสายจะมีกระดูก 5 ชิ้นเรียงต่อกันคือ

  • ทิมพาโนฮายอัล (Tympanohyal)
  • สตายโลฮายอัล (Stylohyal)
  • อิพิฮายอัล (Epihal)
  • ซีราโตฮายอัล (Ceratohyal)
  • ทายโรฮายอัล (Thyrohyal)

สายกระดูกทั้ง 2 จะเชื่อมต่อกันในบริเวณ ข้อต่อ ระหว่างกระดูกซีราโตฮายอัลกับกระดูกทายโรฮายอัล โดยกระดูกชิ้นหนึ่งที่เรียกว่า แกนกระดูกฮาออย (Body of Hyoid) ซึ่งสำหรับเสือขนาดใหญ่ที่สามารถคำรามได้ เช่น สิงโต กลุ่ม กระดูก ลิ้น จะมีลักษณะคล้ายกับของเสือที่ไม่สามารถคำรามได้ แต่จะมี เส้นเอ็น ยาว ๆ เข้ามาแทนที่กระดูกอิพิฮายอัล ขณะที่กระดูกชิ้นต่อมาคือ ซีราโตฮายอัลและแกนกระดูกฮาออย จะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเมื่อนำมาเทียบกับกระดูกทิมพาโนฮายอัลและสตายโลฮายอัล ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยค้ำจุน กล่องเสียง ที่มีขนาดใหญ่มากนั่นเอง

ในปี พ.ศ. 2377 ริชาร์ด โอเวน นักโบราณ ชีววิทยา ได้รายงานว่า สิงโต นั้นมีเส้นเอ็นที่ยาวถึง 6 นิ้วและสามารถยืดออกไปได้ถึง 8 - 9 นิ้ว ส่วน กล่องเสียง จะอยู่ลึกลงไปในบริเวณลำคอมากยิ่งขึ้น เพดานด้านบนและลิ้นก็จะยาวขึ้นเพื่อให้ช่องหายใจยาวและใหญ่ขึ้น โครงสร้างเหล่านี้จะทำให้ สิงโต สามารถที่จะเปล่งเสียงคำรามดังกังวาน แต่สำหรับ เสือที่มีขนาดใหญ่ที่สามารถคำรามได้เช่นกัน ได้แก่ เสือโคร่ง เสือดาวและ เสือจากัวร์ ก็จะพบเส้นเอ็นพิเศษทำหน้าที่เหมือนสายเสียงนี้เช่นกัน ซึ่งสำหรับ เสือจากัวร์ จะมีกลุ่มกระดูกลิ้นที่แตกต่างจากเสือที่สามารถคำรามได้ชนิดอื่น ๆ เล็กน้อย คือยังคงมีกระดูกอิพิฮายอัลและมีเส้นเอ็นสายเสียงอยู่ระหว่างกระดูกอิพิฮายอัลกับกระดูกซีราโตฮายอัลด้วย ซึ่ง นักวิทยาศาสตร์ บางคนได้ให้ความเห็นว่า เสือจากัวร์ นั้น อาจจะมีวิวัฒนาการต่ำที่สุดในบรรดากลุ่มเสือที่สามารถคำรามได้ทั้ง 4 ชนิด เพราะเส้นเอ็นสายเสียงยังไม่ได้แทนที่กระดูกอิพิฮายอัลจนหมด สิงโต เสือโคร่ง และ เสือดาว บางตัวก็จะมีปุ่มกระดูกตรงบริเวณปลายเส้นเอ็น ซึ่งอาจจะเป็นกระดูกอิพิฮายอัลที่ยังคงหลงเหลืออยู่

นอกจากนี้ยังพบว่า สิงโต ตัวหนึ่งมีกระดูกสตายโลฮายอัลข้างหนึ่ง เป็นกระดูกชิ้นเดียวกันในลักษณะที่เหมือนปกติของ สิงโต เสือโคร่ง และ เสือดาว ทั่วไป แต่กระดูกสตาลโลฮายอัลอีกข้างหนึ่งนั้น กลับเห็นได้ชัดเจนว่าเกิดจาก กระดูก 2 ชิ้นที่เชื่อมเข้าหากัน โดยกระดูกชิ้นที่ต่อเข้ากับ เส้นเอ็น จะเล็กกว่ากระดูกชิ้นที่อยู่ใกล้กับใบ หู ซึ่งตำแหน่งของกระดูกชิ้นเล็ก ๆ นี้ก็คือตำแหน่งเดิมของกระดูกอิพิฮายอัลนั่นเอง และจากการตรวจพบกระดูกอิพิฮายอัลในเสือที่สามารถคำรามได้ แสดงความแตกต่างระหว่าง เสือจากัวร์ และเสือชนิดอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งความแตกต่างของ กระดูก ภายในเสือตัวเดียวกันเองก็ตาม ซึ่งเป็นหลักฐานทางการวิวัฒนาการของเส้นเอ็นสายเสียง ซึ่งเข้ามาแทนที่กระดูกอิพิฮายอัลและทำให้เสือที่มีขนาดใหญ่ทั้ง 4 ชนิดสามารถคำรามได้ แต่สำหรับ แมว บ้านหรือเสือที่มีขนาดเล็กชนิดอื่น ๆ แม้ว่าจะส่งเสียงคำรามเช่นเดียวกันกับเสือที่มีขนาดใหญ่ทั้ง 4 ชนิด แต่มันสามารถที่จะส่งเสียงขู่ (Purr)

การส่งเสียงขู่คำรามของ สิงโต เสือโคร่ง และ เสือดาว รวมทั้ง เสือชีต้า ด้วยนั้น โดยทั่วไปแล้ว แมวบ้าน จะทำเสียงขู่ได้ทั้งที่ขณะมันหายใจเข้าและออก และมักจะทำบ่อย ๆ ซึ่งแตกต่างกับเสียงขู่ของ สิงโต ที่เกิดจากการหายใจออกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำเป็นปกติ จากการสำรวจพบว่า เสือดาวหิมะ นั้นสามารถส่งเสียงขู่ได้เหมือนกับ แมว บ้าน แต่มันเป็นเสือที่มีขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถคำรามได้เช่นเดียวกับ สิงโต เสือโคร่ง และ เสือดาว ซึ่งเสือที่มีขนาดใหญ่ 7 ชนิดได้แก่ สิงโต เสือโคร่ง เสือดาว เสือดาวหิมะ เสือจากัวร์ สิงโตภูเขา (Puma) และ เสือลายเมฆ พบว่ามีเพียง สิงโตภูเขา เพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งเสียงขู่ได้เหมือนกับแมวบ้าน

[แก้] ขนและลาย

ลักษณะขนและลายของเสือโคร่ง
ลักษณะขนและลายของเสือโคร่ง
ลักษณะขนและลายของเสือดาว
ลักษณะขนและลายของเสือดาว

เสือเป็นสัตว์ที่มี ขน ปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย และลายของเสือนับว่ามีรูปแบบที่สวยงามโดดเด่นกว่าลายของสัตว์ชนิดอื่น ซึ่งความสวยงามของลายเสือเป็นสิ่งล่อตาล่อใจให้ มนุษย์ ออกล่าเพื่อเอา หนัง มาทำเป็นเครื่องประดับบ้านหรือเครื่องนุ่งห่ม เช่นหนังของ เสือโคร่ง เสือดาว ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยว่าเสือแต่ละชนิดนั้นมีลายขนที่แตกต่างกัน เช่น ลายดอก ลายจุด ลายทางยาวหรือสีขนที่เรียบ ๆ ไม่มีลวดลาย เนื่องจากลายของเสือนั้นเกิดจากอิทธิพลของสภาพแวดล้อมที่เสืออาศัย เพราะเสือจะใช้ลายและสีขนเพื่อปกปิดตัวจากศัตรูหรือใช้สำหรับพรางตัวในการออกล่าเหยื่อ เช่น สิงโต จะมีขนสีน้ำตาลปนเหลืองที่กลมกลืนกับทุ่งหญ้าใน แอฟริกา เสือไฟ หรือ แมวป่า ที่ออกล่าเหยื่อในบริเวณทุ่งหญ้าเตี้ย ๆ จึงไม่มีลายไว้สำหรับพรางตัว

เสือโคร่ง ที่มีลายขวางบริเวณลำตัวจะช่วยซ่อนตัวของมันไว้อย่างมิดชิดในบริเวณ ป่า และ ต้นไม้ หรือพงหญ้า เสือจากัวร์ เสือดาว และ เสือลายเมฆ จะใช้ลายดอกดวงบริเวณลำตัวพรางตัวในแดดใต้ร่มเงาของต้นไม้ ซึ่งใช้สำหรับพักผ่อนหรือดักคอยเหยื่อ ลายเสือเกิดจากการประกอบขึ้นของสีความเข้มของสีและรูปแบบของลายในแต่ละชนิดจะปรากฎบนขนแต่ละเส้นบริเวณลำตัว ถึงแม้ว่าลักษณะลายและขนโดยรวมของเสือแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกัน แต่จะมีลักษณะปลีกย่อยที่คล้ายกันบ้างเช่น เสือที่มีขนาดใหญ่มักจะมีหย่อมขนหรือแถบขนสีขาวปรากฎ ณ ตำแหน่งที่น่าสนใจบางแห่งในร่างกาย เช่น เสือโคร่ง นั้นจะมีหย่อมขนสีขาวตรงบริเวณหลังใบหู ซึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในที่ที่มีแสงน้อย ซึ่งลูกเสือโคร่งจะใช้หย่อมขนสีขาวนี้ติดตามแม่เสือไปยังที่ต่าง ๆ

เสือดาว และ เสือดาวหิมะ จะมีแถบ ขน สีขาวที่บริเวณใต้ หาง ส่วน เสือชีต้า จะมีกระจุกขนสีขาวหรือวงแหวนสีดำสลับสีขาวที่บริเวณส่วนปลายของหาง ซึ่งเสือทั้ง 3 ชนิดนี้จะมักจะยกบริเวณปลายส่วนหางหรือม้วนปลายหางในขณะเดิน เพื่อให้ขนสีขาวที่บริเวณปลายหางจะเป็นจุดสังเกตสำหรับลูกเสือตัวเล็ก ๆ ที่เดินตามหลังแม่เสือ

[แก้] กงเล็บ

ลักษณะเล็บเท้าของเสือ
ลักษณะเล็บเท้าของเสือ

เสือเป็นสัตว์ที่สามารถหดและกางกง เล็บ ได้ โดยใช้หลักการทำงานร่วมกันของอวัยวะหลายส่วน ซึ่งจะมี เส้นเอ็น ที่มีลักษณะพิเศษทำหน้าที่ควบคุมการหดและกางเล็บซึ่งจะต้องรักษาสภาพสมดุลและความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน รวมทั้ง กล้ามเนื้อ ซึ่งจะทำหน้าที่ป้องกันเป็นปลอกหุ้มเล็บไว้ภายใน ซึ่งกลไกโดยทั่วไปคือเสือจะใช้ กล้ามเนื้อ บริเวณขาหน้า ทำหน้าที่บังคับดึงหรือคลาย เส้นเอ็น ซึ่งจะยึด กระดูก เท้าทุก ๆ นิ้วให้หดหรือกางเล็บตามต้องการ กลุ่มของเส้นเอ็นนี้จะถูกหุ้มด้วยหนังผังผืดแผ่นหนึ่งตรงบริเวณ ข้อเท้า ทำให้เมื่อ กล้ามเนื้อ ส่วนนี้หดตัวดึงเส้นเอ็น เส้นเอ็นจะเคลื่อนไหวได้โดยไม่เลื่อนหลุดออกจากข้อเท้า

อุ้งเท้าของเสือในเวลาปกติจะหดเล็บไว้ในปลอกเนื้อ ซึ่งจะติดอยู่กับกระดูกนิ้วชิ้นปลาย (กระดูกนิ้วของเสือมี 3 ชิ้น คือ ชิ้นปลายซึ่งจะมี เล็บ ติดอยู่ ชิ้นกลางและชิ้นโคน) ในสภาพเช่นนี้กล้ามเนื้อจะไม่ได้หดตัวจึงไม่มีเส้นเอ็นใดถูกดึง แต่แผ่นผังผืดที่หุ้มเอ็นตรงบริเวณข้อเท้าจะเหนี่ยวรั้งเอ็นเอาไว้ ทำให้กระดูกนิ้วชิ้นปลายเลื่อนมาอยู่ที่ข้างกระดูกนิ้วชิ้นกลาง และ เล็บ ที่ปลายนิ้วก็จะเข้ามาซ่อนอยู่ใบริเวณปลอกเนื้อ ซึ่งการที่เสือหดเล็บนี้ รอยเท้าของเสือจึงไม่ปรากฎรอยเล็บให้เห็นบนดินเวลามันเดิน ส่วนรอยเท้าเสือก็คือรอยของอุ้งนิ้วซึ่งจะรองรับ ข้อต่อ ของ กระดูก ระหว่างกระดูกชิ้นปลายและกระดูกชิ้นกลาง

เมื่อ กล้ามเนื้อ หดตัวจะดึงเอาเส้นเอ็นบนและล่างของกระดูก ทำให้ ข้อต่อ ระหว่างกระดูกชิ้นต่าง ๆ เคลื่อนไหวและจะกางเล็บออกพร้อมใช้งาน ซึ่งก็คือการหดตัวของกล้ามเนื้อ เอ็กซ์เทนเซอร์ (Extensor) จะดึงกระดูกนิ้วชิ้นกลางโดยผ่านทางเส้นเอ็นบน ทำให้นิ้วเท้าของเสือเหยียดออกแต่เล็บจะยังคงไม่กาง เพราะเส้นเอ็นด้านบนนี้ไม่ได้ดึงเอากระดูกนิ้วชิ้นปลายโดยตรง ซึ่งหน้าที่ที่จะทำให้เล็บของเสือกางออกนั้นต้องอาศัยกล้ามเนื้อ เฟล็กเซอร์ (Flexo) ซึ่งจะหดตัวดีงเอาเส้นเอ็นส่วนล่างทำให้กระดูกนิ้วชิ้นปลายดีดตัวออกมา ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายของกลไกลนี้ก็คือกรงเล็บที่กางออกมาจากปลอกเนื้อบริเวณอุ้งเท้าของเสือ ซึ่งจะกางออกเต็มที่พร้อมจะตะปบเหยื่อในการล่า

[แก้] เขี้ยวและฟัน

ลักษณะเขี้ยวของเสือ
ลักษณะเขี้ยวของเสือ
ลักษณะเขี้ยวของสุนัขป่าที่แตกต่างจากเขี้ยวของเสือ
ลักษณะเขี้ยวของสุนัขป่าที่แตกต่างจากเขี้ยวของเสือ

เสือมี เขี้ยว และ ฟัน อันแหลมคมเป็นอาวุธในการสังหารเหยื่อ โดยปกติแล้วฟันของเสือจะประกอบไปด้วยฟันตัดหรือฟันหน้า เขี้ยว ฟันกรามหน้าและฟันกราม ซึ่งลักษณะของฟันหน้าจะเล็กและตั้งตรง ไม่มีหน้าที่ใดพิเศษในการใช้งาน เขี้ยว จะมีลักษณะที่แหลมยาวและโค้งเล็กน้อยทำหน้าที่สำหรับกัดสังหารเหยื่อและไว้จับชิ้นเนื้อไม่ให้หลุดออกจาก ปาก ส่วนฟันกรามทั้งหมดมีลักษณะที่แหลมคมเหมือนกับใบ มีด ทำหน้าที่สำหรับตัดชิ้นเนื้อ

เสือมีโครงสร้างของ ฟัน โดยแบ่งออกเป็น ฟันน้ำนม 24 ซี่และจะผลัดเปลี่ยนเป็น ฟันแท้ ทั้งหมดเมื่อเสืออายุย่างเข้า 5 เดือน โดยจะมีฟันหน้าซ้ายขวาอย่างละ 3 ซี่ เขี้ยวด้านซ้ายและขวาอย่างละ 1 ซึ่ ฟันกรามด้านหน้าข้างซ้าย 2 - 3 ซี่ ฟันกรามด้านหน้าขวา 2 ซี่ ฟันกรามซ้ายขวาข้างละ 1 ซี่ เมื่อรวมจำนวนฟันบนและล่างทั้งหมดแล้ว เสือจะมีฟันทั้งหมด 28 ซี่หรือ 30 ซี่ ซึ่งโครงสร้างฟันของเสือถูกพัฒนามาให้เหมาะกับลักษณะการกินอาหารของสัตว์กินเนื้อ โดยจะเน้นที่การจับและตัดชิ้นเนื้อของอาหารมากกว่าการบดเคี้ยว ซึ่งในกลุ่มของสัตว์กินเนื้อก็จะมีโครงสร้างของฟันที่แตกต่างกัน เนื่องจากการใช้การทำงานของฟันแตกต่างกัน เช่น ฟันกรามของ สุนัขจิ้งจอก มีหน้าตัดที่กว้างเพื่อใช้บดเคี้ยว กระดูก หรือ พืช รวมทั้งยังใช้ตัดชิ้นเนื้อได้เช่นเดียวกับสัตว์กินเนื้อในกลุ่มอื่น ๆ แต่สำหรับเสือจะมีแต่ฟันกรามแหลมคมไว้สำหรับตัดชิ้นเนื้อ ไม่มีฟันกรามไว้สำหรับบดเคี้ยว

สุนัขจิ้งจอก สุนัขป่า จะมีฟันกรามมากกว่า ฟัน ของเสือจึงจำเป็นต้องมีลักษณะของหน้าที่ยื่นออกมารองรับและแสดงให้เห็นว่าสัตว์จำพวก สุนัข นั้นมักจะกัดและจับเหยื่อด้วยกราม ในขณะที่เสือจะใช้เท้าในการช่วยจับเหยื่อด้วย ทำให้เสือมีหน้าสั้นกว่าสัตว์กินเนื้อชนิดอื่น ๆ เพราะจำนวนฟันของเสือลดลงแต่ก็เป็นข้อได้เปรียบของเสือ ทำให้เสือเพิ่มแรงกดที่เขี้ยวได้มากยิ่งขึ้นเพราะเขี้ยวของเสือจะอยู่ใกล้กับจุดต่อของกราม รวมทั้งกรามก็ได้พัฒนาการให้แข็งแรงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การกัดได้อย่างรุนแรงและหนักหน่วงก็เพื่อฆ่าเหยื่อให้ตายเร็วขึ้นนั่นเอง

เสือเป็นสัตว์กินเนื้อที่จับสัตว์กินพืชเป็นอาหาร มากกว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ ขนาดของเหยื่อมักจะมีน้ำหนักประมาณครึ่งหนึ่งของน้ำหนักของมัน เสือจะซุ่มย่องเข้าหาเหยื่อ วิ่งไล่ตะครุบและกัดเหยื่อด้วยเขี้ยวคมและฟันกรามอันแข็งแรง ซึ่งมักจะออกล่าเหยื่อตามลำพังโดยไม่มีการแบ่งปันอาหาร และจะล่าเหยื่อเมื่อมันหิวเท่านั้น เมื่ออิ่มเสือจะไม่ล่าเหยื่อจนกว่ามันจะเริ่มหิวอีกครั้งเท่านั้น

[แก้] หาง

เสือดาวจะมีหางใหญ่และยาวเพื่อใช้ถ่วงน้ำหนักตัวเวลาปีนต้นไม้
เสือดาวจะมีหางใหญ่และยาวเพื่อใช้ถ่วงน้ำหนักตัวเวลาปีนต้นไม้

เสือแต่ละชนิดแต่ละสกุลจะมี หาง ที่ยาวไม่เท่ากัน เสือที่มีหางยาวและใหญ่แสดงว่าชอบหากินหรือพักผ่อนบน ต้นไม้ เช่น เสือดาว เสือลายเมฆ แมวลายหินอ่อน แมวดาว เป็นต้น เสือเหล่านี้จะมีลักษณะหางที่ยาวและใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดของลำตัว ซึ่งหางที่ยาวและใหญ่นี้จะช่วยถ่วงน้ำหนักและเลี้ยงตัวขณะที่มันไต่ไปตามกิ่งไม้

เสือที่มีหางสั้นและเล็กแสดงว่าชอบหากินบนพื้น ดิน เป็นส่วนใหญ่ ถ้าไม่มีความจำเป็นหรือเหตุจวนตัวก็จะไม่ไต่ขึ้นไปบน ต้นไม้ เช่น เสือปลา แมวป่าหัวแบน เป็นต้น ซึ่งถ้าเปรียบเทียบระหว่าง เสือโคร่ง และ เสือดาว จะพบว่าเสือดาวมีหางที่ยาวและใหญ่กว่าเสือโคร่งมาก ซึ่งแสดงว่า เสือดาว ชอบปีนป่าย ต้นไม้ และใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บน ต้นไม้ มากกว่า เสือโคร่ง แม้ เสือดาว อาจจะกระโดดได้ไม่สูงเท่ากับ เสือโคร่ง แต่มันก็ปีนต้นไม้เก่งเหมือนกับ แมว เพราะใช้หางที่ยาวและใหญ่ช่วยในการเลี้ยงลำตัวไม่ให้มันพลาดตกลงมาจาก ต้นไม้

[แก้] การสืบสายพันธุ์

เสือจะอยู่ตามลำพังตัวเดียวยกเว้นฤดูผสมพันธ์
เสือจะอยู่ตามลำพังตัวเดียวยกเว้นฤดูผสมพันธ์

เสือเป็นสัตว์ที่ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวอยู่ภายใน ป่า นอกจากในช่วงฤดู ผสมพันธุ์ เท่านั้นเสือจึงจะอยู่เป็นคู่ ๆ (ยกเว้น สิงโต เท่านั้นที่จะอยู่รวมกันเป็นฝูง โดยมีสิงโตตัวผู้เป็นจ่าฝูง) ซึ่งในช่วงเวลาจับคู่เพื่อผสมพันธุ์กันนี้ เสือตัวเมียจะส่งเสียงร้องดังเป็นช่วง ๆ เพื่อเป็นการเรียกร้องความสนใจจากเสือตัวผู้ ซึ่งเสือจะเริ่มผสมพันธุ์ได้ตั้งแต่อายุ 2 - 8 ปี แต่เสือจะให้ลูกเสือที่แข็งแรงดีก็ต่อเมื่อเสือตัวเมียมีอายุมากขึ้น โดยปกติแล้วเสือตัวเมียเกือบทุกชนิดจะตก ไข่ หลายครั้งใน 1 ปี แต่มักจะให้กำเนิดลูกเสือเพียงครั้งเดียว ซึ่งเสือบางชนิดอาจให้กำเนิดลูกเสือ 2 ตัวได้ 2 ครั้งต่อ 1 ปี ขณะที่เสือที่มีขนาดใหญ่อาจจะให้ลูกเพียง 1 ครั้งในช่วงระยะเวลา 2 - 3 ปี

ระยะเวลาตั้งครรภ์ของเสืออยู่ระหว่าง 55 - 119 วัน ขึ้นอยู่กับชนิดของเสือ ซึ่งเสือมักจะให้ลูกครอกหนึ่งตั้งแต่ 1 - 6 ตัว ลูกอ่อนของเสือจะมองไม่เห็นในช่วงระยะเวลา 7 - 10 วันแรกหลังจากคลอดและจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ลูกเสือเกิดใหม่มักจะมีจุดอยู่ตามลำตัวและจะอยู่กับแม่เสือตลอดเวลา เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตในธรรมชาติจนกว่าจะเจริญเติบโตแข็งแรง สามารถที่จะออกล่าเหยื่อได้ด้วยตนเอง จึงจะออกไปใช้ชีวิตหากินตามลำพังเช่นเดียวกับพ่อและแม่ของมัน

ความสามารถในการสืบสายพันธุ์นั้น สัตว์ชนิดเดียวกันเท่านั้นจึงจะผสมพันธุ์กันได้ สัตว์ต่างสายพันธุ์จะไม่สามารถผสมพันธุ์กันได้แม้ว่าจะอาศัยอยู่ร่วมกันก็ตาม ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งในกระบวนการวิวัฒนาการ การจำกัดวงของการ สืบพันธุ์ ไม่ใช่กฎที่ตายตัวของกลุ่มสิ่งมีชีวตที่มีสายพันธุ์ใกล้ชิดกัน ลูกผสมของสิ่งมีชีวิตอาจจะเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็น พืช หรือ สัตว์ เช่นเสือขนาดใหญ่ในกรงเลี้ยงที่สามารถผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์สำเร็จได้แก่ การผสมสายพันธุ์ระหว่าง เสือโคร่ง กับ สิงโต ลูกผสมระหว่างเสือโคร่งและสิงโตคือ เสือโต หรือ Tigon (Tiger+Lion) เกิดจาก เสือโคร่ง เพศผู้กับ สิงโต เพศเมีย และ สิงโคร่ง หรือ Liger (Lion+Tiger) เกิดจากสิงโตเพศผู้กับเสือโคร่งเพศเมีย นอกจากนี้ยังสามารถที่จะผสม สิงโต กับ เสือดาว เสือจากัวร์ กับ เสือดาว ได้อีกด้วย

เสือโคร่ง กับ สิงโต จะให้ลูกผสมที่มีขนาดใหญ่กว่า เสือโคร่ง และ สิงโต มีขนสีน้ำตาลเหลืองแบบเดียวกับ สิงโต แต่จะเข้มกว่ามาก และมีลายขวางลำตัวสีน้ำตาลเข้มแบบเดียวกับ เสือโคร่ง แต่ลายมักจะไม่ต่อเนื่อง บางแห่งอาจจะมีลายดอกที่แตกออกเป็นแฉก ๆ ส่วนลูกผสมระหว่างสิงโตกับ เสือดาว จะเป็นเสือที่มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับ สิงโต และจะมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับ สิงโต มากกว่า เสือดาว ลูกผสมตัวผู้จะมีขนที่แผงคอ หางฟูและมีลายขยุ้มตีนหมาตามลำตัวแบบเดียวกับ เสือดาว อีกด้วย

การผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์นั้นเกิดขึ้นได้ยากมากในธรรมชาติ เพราะสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะผสมพันธุ์เฉพาะในกลุ่มของตนเอง เพื่อสืบทอดลักษณะต่าง ๆ ต่อไปยังลูกหลาน ถึงแม้ว่าสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกันนั้นจะมีความสัมพันธ์กันมาก่อน แต่การวิวัฒนาการก็ทำให้สัตว์แต่ละชนิดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง จนทำให้ไม่สามารถผสมพันธุ์กับเครือญาติของมันได้ในธรรมชาติ

[แก้] ถิ่นอาศัยและการล่าเหยื่อ

เสือเป็นสัตว์ที่หวงถิ่นที่อยู่อาศัยเป็นอย่างมากเสือที่มีขนาดใหญ่เมื่อย้ายที่อยู่ชั่วคราวจะแผดเสียงร้องคำรามเป็นเวลานาน เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ชนิดอื่นหรือเสือด้วยกัน เข้าไปอาศัยใน ป่าหรือ ถ้ำ เดิมของมัน ซึ่งเสือมักจะอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพังเพียงตัวเดียว ออกหากินเฉพาะในอาณาเขตหรือถิ่นของมัน และจะคุ้มครองเขตแดนของตนไว้ หากมีการล้ำเขตแดนก็อาจจะเกิดการเผชิญหน้ากับจนถึงขั้นต่อสู้ เว้นเสียแต่ว่าเสือจ้าวถิ่นจะมีขนาดเล็กกว่า

โดยปกติแล้วเสือจะพยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้หรือการเผชิญหน้ากัน โดยจะใช้วิธีการสื่อสารให้เสือตัวอื่นรู้ว่าได้ล้ำเขตแดนของตนเข้ามาแล้ว เช่น ทิ้งรอยขูดหรือรอยข่วนตาม ต้นไม้ หรือทางเดินในอาณาเขตของเสือแต่ละตัว บางครั้งเสือจะ ปัสสาวะ รดรอยเอาไว้เมื่อเสือตัวอื่นเห็นรอยและได้กลิ่นเสือเจ้าถิ่นที่ทำเอาไว้ มันจะรู้ว่าเป็นรอยเก่าหรือรอยใหม่ ถ้ายังเป็นรอยใหม่มันจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันและไปใช้พื้นที่อื่น การเผชิญหน้ากันระหว่างเสือจ้าวถิ่นและเสือตัวอื่นจึงไม่เกิดขึ้นได้ง่ายนัก ซึ่งโดยปกติแล้วเสือเป็นสัตว์กินเนื้อไม่ใช่สัตว์กินซากพืชหรือซากสัตว์ การล่าเหยื่อจึงเป็นสิ่งสำคัญของการมีชีวิตรอดใน ธรรมชาติ แม้ว่าเสือจะมีร่างกายที่มีพละกำลัง ปราดเปรียวว่องไวและ เขี้ยว เล็บ ที่แหลมคม แต่การมีชีวิตรอดในธรรมชาติไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ การแย่งอาหารหรือการเผชิญหน้ากันก็อาจจะเกิดขึ้นไปตลอดเวลา

ลักษณะการเตรียมจู่โจมเหยื่อของเสือดาวหิมะ
ลักษณะการเตรียมจู่โจมเหยื่อของเสือดาวหิมะ

เสือเป็นสัตว์รักสงบแต่เมื่อต้องล่าเหยื่อมันจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายและดุร้ายที่สุด เสือมีความอดทนสูงในการรอคอยให้เหยื่อเผลอ มันจะพรางตัวซุ่มรอคอยเหยื่อโดยอาศัยสีขนและลายตามลำตัวที่กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม หากเหยื่อทำท่าเหมือนจะรู้ตัวมันจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจ มันจะคอยหรือเดินตามเหยื่อยไปห่าง ๆ ขณะที่ตาก็จับจ้องเหยื่ออยู่ตลอดเวลา และมีการมองเห็นเป็นเลิศ โดยสามารถสังเกตเห็นแม้ว่าเหยื่อจะแอบอยู่ในพุ่มไม้หรือพงหญ้า และเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเสือใช้ความสามารถในการมองเห็นร่วมกับการดมกลิ่นและการฟังด้วย เสือสามารถได้ยินเสียงจากระยะ ๆ ไกล และสามารถจำแนกเสียงทั่วไปที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ กับเสียงที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของเหยื่อ

การจู่โจมเหยื่อของเสือเป็นไปตามสัญชาติญาณ ในกรณีของเหยื่อที่มีขนาดเล็กและขนาดกลาง เสือจะเข้าจู่โจมทางทิศที่เหยื่อป้องกันตัวเองไม่ได้ คือจะกระโดดเข้าตระครุบเหยื่อในแนวเฉียงจากทางด้านหลัง เมื่อเสือได้ยินเสียงมันจะยก หาง ขึ้นและหันหน้าไปทางต้นกำเนิดเสียง ถ้าหากเป็นเสืยงเหยื่อเคลื่อนไหวเสือจะสำรวจบริเวณโดยรอบก่อนแล้ว จึงจะนั่งสุ่มมองดูท่าทีของเหยื่อผ่านดงหญ้าหรือพุ่มไม้ด้วยดวงตาแหลมคม และค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้เหยื่อจนกระทั่งอยู่ในระยะที่สามารถกระโจนเข้าหาเหยื่อได้อย่างง่ายโดยอาศัยฝีเท้าอันเงียบกริบโดยการหด เล็บ ซ่อนเอาไว้ในอุ้งเท้า ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษที่ไม่พบในสัตว์กินเนื้อชนิดอื่น และเมื่ออยู่ในระยะที่เหมาะสมมันจะย่อขาหลังลงอยู่ในท่าพร้อมกระโจนออกไป ปลายหางมีอาการกระตุกไปมา ขาด้านหน้าแยกออกจากกันเพื่อเป็นหลักในการทรงตัวและกระโจนเข้าตะปบเหยื่อ แต่สำหรับการจู่โจมเหยื่อที่มีขนาดใหญ่ของเสือที่มีขนาดใหญ่นั้น ในจังหวะสุดท้ายเสือจะเข้าตะครุบเหยื่อในระยะประชิดตัวโดยใช้เท้าหลังยึดกับพื้น ส่งกำลังโถมตัวสูงขึ้นนพร้อมกับใช้อุ้งเท้าหน้าเข้าตะปบเหยื่อ

ข้อได้เปรียบของการใช้เท้าหลังยึดกับพื้นแทนการกระโดดเข้าตะครุบคือ การทรงตัวอันมั่นคงที่พร้อมจะจู่โจมหรือรับมือกับการต่อสู้ ในจังหวะต่อมาหรือผละถอยถ้าจำเป็น นอกจากนี้เท้าหลังยังช่วยให้มันเคลื่อนตัวไล่ติดตามเหยื่อได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเหยื่อยจะขยับตัวหนีในจังหวะเดียวกับที่มันโถมตัวเข้าตะครุบเหยื่อแล้วก็ตาม ซึ่งหลังจากที่เสือใช้อุ้งเท้าเพียงหนึ่งหรือสองข้างตะปบเหยื่ยแล้ว มันจะกัดเหยื่อทันทีซึ่งเกิดขึ้นรวดเร็วมากและเป็นไปโดยอัตโนมัติ คือจะมุ่งยังตำแหน่งที่ใกล้ที่สุดกับอุ้งเท้าด้านหน้าข้างที่มันใช้ตะปบเหยื่อ โดยส่วนใหญ่จึงจะเป็นตำแหน่งบริเวณสันหลัง ไหล่หรือค่อนไปทางสะโพก แต่ตำแหน่งเหล่านี้ไม่ทำให้เหยื่อถึงแก่ความตาย ดังนั้นเสือจึงจะจู่โจมต่ออย่างรวดเร็วด้วยการกัดตรงหลังคอของเหยื่อซึ่งจะทำลาย ระบบประสาท และทำให้เหยื่อตายทันที

[แก้] เสือภายในประเทศไทย

เสือที่ค้นพบภายใน ประเทศไทย มีทั้งหมด 9 ชนิด ได้แก่ แมวลายหินอ่อน เสือปลา แมวดาว แมวป่าหัวแบน แมวป่า เสือไฟ เสือลายเมฆ เสือดาว และ เสือโคร่ง ซึ่งจัดอยู่ใน 3 สกุล ซึ่งใช้วิธีการจำแนกสกุลตาม Ellerman และ Morrison-Scott คือ

  • เสือสกุล ฟีลิส (Felis) มี 6 ชนิดจาก 29 ชนิดในโลกคือ แมวลายหินอ่อน เสือปลา แมวดาว แมวป่าหัวแบน แมวป่า และ เสือไฟ
  • เสือสกุล นีโอฟีลีส (Neofelis) มี 1 ชนิดคือ เสือลายเมฆ ซึ่งเป็นเสือเพียงชนิดเดียวในสกุลนี้

ปัจจุบัน เสือโคร่ง เสือดาว เสือลายเมฆ เสือไฟ แมวป่า แมวป่าหัวแบน และ แมวลายหินอ่อน นับเป็นสัตว์ป่าที่หายากใกล้สูญพันธุ์ไปจากเมือง ไทย โดยเฉพาะ แมวป่า แมวป่าหัวแบน และ แมวลายหินอ่อน ซึ่งไม่พบเห็นในป่าธรรมชาติมาเป็นระยะเวลานาน แม้แต่ในสวนสัตว์ก็หาดูได้ยากมาก

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น

Commons
คอมมอนส์ มีรูปภาพและสื่อในรูปแบบอื่นๆ เกี่ยวกับ:
Wikispecies
วิกิสปีซีส์ มีข้อมูลภาษาอังกฤษอยู่ใน: