ประวัติศาสตร์ลาว
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ดินแดนประเทศลาวในปัจจุบันนี้ได้มีมนุษย์เข้ามาอาศัยอยู่เป็นเวลาช้านานแล้ว แต่ประวัติศาสตร์ศาสตร์อย่างชัดเจนเพิ่งจะปรากฏขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ในนามของอาณาจักรล้านช้าง ซึ่งได้ผ่านความรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมหลายครั้ง ทั้งจากปัญหาภายในและการรุกรานของเพื่อนบ้าน กระทั่งได้สูญเสียเอกราชแก่สยามในปี พ.ศ. ๒๓๒๑ ประเทศลาวจึงตกอยู่ในสถานะประเทศราชและรัฐอาณานิคมเป็นเวลานับร้อยปี ก่อนจะได้รับเอกราชอย่างถาวรในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ เมื่อได้ประกาศเอกราชจากการเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามประเทศลาวก็ยังคงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้อื่นอีกนานหลายสิบปี กระทั่งยุคสงครามเย็นได้สิ้นสุดลง
สารบัญ |
[แก้] ยุคก่อนประวัติศาสตร์
มีหลักฐานว่ามนุษย์กลุ่มแรกได้เข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนของประเทศลาวก่อนการสิ้นสุดของยุคน้ำแข็งเมื่อราว ๑๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว เช่นเดียวกับดินแดนส่วนอื่น ๆ ของคาบสมุทรอินโดจีน อารยธรรมยุคแรกที่ปรากฏในดินแดนแถบนี้มีอายุราว ๕,๐๐๐ ปีก่อน ซึ่งสันนิษฐานว่าได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากกลุ่มคนที่มีความเกี่ยวพันธ์กับชนชาติเขมรทางตอนใต้ โดยได้อพยพขึ้นมาผ่านทางลำน้ำโขงและลำน้ำสาขา จากนั้นชนชาติลาวซึ่งพูดภาษาในตระกูลไต-กะไดและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชนชาติไทยในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจึงได้อพยพลงมาจากดินแดนทางตอนเหนือ เข้ามาอาศัยอยู่จนกลายเป็นประชากรส่วนใหญ่และมีอำนาจปกครองดินแดนแถบนี้ในภายหลัง
จากพงศาวดารได้กล่าวว่า ชนชาติลาวมีความสัมพันธ์กับอาณาจักรน่านเจ้าในอดีต โดยขุนลอ ซึ่งนับถือว่าเป็นปฐมกษัตริย์ของชาวลาวนั้น เป็นพระราชโอรสของขุนบูลม กษัตริย์ของอาณาจักรน่านเจ้า เมื่อเจริญวัยขึ้นขุนลอได้นำไพร่พลอพยพลงมาสร้างบ้านเมืองใหม่ทางตอนใต้ในดินแดนของประเทศลาว นัยว่าเพื่อช่วยขยายอาณาเขตให้กับพระราชบิดาตามคติโบราณ ตามพงศาวดารได้กล่าวถึงการสู้รบระหว่างขุนลอกับกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ดั้งเดิม ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับชาวเขมรทางตอนใต้ ท้ายที่สุดขุนลอเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะและได้ตั้งบ้านเมืองอย่างมั่นคงนับแต่นั้น
ภายหลังจากรัชสมัยของขุนลอ อาณาจักรของชาวลาวมีกษัตริย์ปกครองสืบต่อมาอีกหลายพระองค์ แต่ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ไม่มีความชัดเจนใด ๆ มีเพียงพระนามของกษัตริย์ปรากฏอยู่ในพงศาวดารกับบันทึกเรื่องราวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กระทั่งถึงยุคแห่งการสถาปนาอาณาจักรล้านช้าง ประวัติศาสตร์ของลาวจึงเริ่มชัดเจนขึ้น
[แก้] ช่วงสถาปนาอาณาจักร
อาณาจักรล้านช้าง ได้รับการสถาปนาขึ้นโดย พระยาฟ้างุ้ม เมื่อปีพุทธศักราช ๑๘๙๖ พระยาฟ้างุ้มผู้นี้เป็นพระราชโอรสของท้าวผีฟ้า และเป็นพระราชนัดดาของพระยาคำผง ในรัชสมัยของพระยาคำผง ท้าวผีฟ้าผู้เป็นพระโอรสได้ถูกเนรเทศ และได้เสด็จไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระเจ้ากรุงกัมพูชา ในเวลาต่อมาเมื่อสิ้นรัชสมัยของพระยาคำผง อันเป็นช่วงเวลาที่อำนาจของอาณาจักรกัมพูชาเสื่อมถอยลงในขณะที่ชาวไทยมีกำลังเข้มแข็งขึ้น ฝ่ายกัมพูชาต้องการพันธมิตรเพื่อยับยั้งการขยายอำนาจของไทย จึงได้สนับสนุนให้พระยาฟ้างุ้ม ซึ่งเสด็จติดตามพระราชบิดาไปอาศัยอยู่ ณ อาณาจักรกัมพูชาด้วย (บางตำราว่าพระองค์มิได้ถูกเนรเทศไปพร้อมกับพระราชบิดา แต่พระองค์ถูกเนรเทศโดยการลอยแพเพราะมีลักษณะอันเป็นกาลกิณี) นำกำลังเข้าแย่งชิงอำนาจจากพระยาฟ้าคำเฮียวซึ่งเป็นพระปิตุลา (อา) ผู้ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระยาคำผง พระยาฟ้างุ้มสามารถเอาชนะพระยาฟ้าคำเฮียวได้ จึงเสด็จขึ้นครองราชย์และสถาปนาอาณาจักรล้านช้างขึ้น
ในรัชสมัยของพระยาฟ้างุ้ม แม้พระองค์จะได้สร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงให้กับอาณาจักรล้านช้าง แต่คติความเชื่อรวมถึงขุนนางจากฝ่ายกัมพูชาได้เข้ามามีบทบาทในอาณาจักรล้านช้างเป็นอย่างมาก จนสร้างความไม่พอใจให้กับขุนนางและประชาชนฝ่ายลาว ในที่สุดพระองค์จึงถูกบรรดาขุนนางร่วมกันปลดออกจากพระราชสมบัติในปีพุทธศักราช ๑๘๙๙ แล้วอัญเชิญพระยาอุ่นเฮือน พระราชโอรส ให้เสด็จขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระราชบิดา ส่วนพระยาฟ้างุ้มได้เสด็จมาประทับอยู่ ณ เมืองน่าน กระทั่งสิ้นพระชนม์ในปีพุทธศักราช ๑๙๑๗
ในรัชสมัยของพระยาอุ่นเฮือน (ครองราชย์ พ.ศ.๑๘๙๙ – ๑๙๑๖) และอีกสองรัชสมัยต่อมา คือในรัชสมัยของพระยาสานแสนไทย ฯ (ครองราชย์ พ.ศ.๑๙๑๖ – ๑๙๕๙) และพระยาล้านคำแดง (ครองราชย์ พ.ศ.๑๙๕๙ – ๑๙๗๑) เป็นช่วงที่อาณาจักรล้านช้างปลอดจากการรุกรานจากภายนอก เนื่องด้วยการเสื่อมอำนาจลงของอาณาจักรกัมพูชาเป็นสำคัญ อีกทั้งฝ่ายไทยที่เข้มแข็งขึ้นก็มุ่งอยู่กับการปราบปรามอำนาจของกัมพูชาที่เคยมีเหนือดินแดนตน ทางอาณาจักรอนัมซึ่งเพิ่งพ่ายแพ้ต่อมองโกลก็ยังไม่เข้มแข็ง การแข่งขันกันสร้างเสริมความมั่นคงของสุโขทัยและล้านนาอันเป็นอาณาจักรที่ได้รับการสถาปนาขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้อาณาจักรล้านช้างก็ต้องพยายามเสริมสร้างความมั่นคงของตนด้วย โดยได้มีการจัดทำบัญชีไพร่พลและปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ ซึ่งด้วยทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ ก็ทำให้อาณาจักรล้านช้างมีความมั่นคงเป็นอย่างมากในช่วงเวลานี้
[แก้] ช่วงยุ่งเหยิงจากอำนาจครอบงำของพระนางมหาเทวี
หลังรัชสมัยของพระยาล้านคำแดง อาณาจักรล้านช้างได้ตกอยู่ในความยุ่งเหยิง เนื่องจากอำนาจที่แท้จริงนั้นตกอยู่ในมือของพระนางมหาเทวี ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของพระยาล้านคำแดง พระนางได้ใช้อำนาจแต่งตั้งพระยาพรหมทัต พระโอรสของพระยาล้านคำแดง ขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่ครองราชย์ได้สิบเดือนก็เกิดความขัดแย้งกัน พระนางมหาเทวีจึงได้ให้ลอบปลงพระชนม์พระยาพรหมทัตเสีย แล้วแต่งตั้งให้ท้าวคำเต็ม พระอนุชาของพระนางเองขึ้นเป็นกษัตริย์แทน แต่ไม่นานก็เกิดความขัดแย้งระหว่างกันขึ้น พระนางมหาเทวีจึงได้ทรงปลดพระยาคำเต็มออกจากราชสมบัติ แล้วแต่งตั้งกษัตริย์พระองค์ใหม่ขึ้นอีก การแต่งตั้งกษัตริย์ตามอำเภอใจเช่นนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง จนสร้างความระส่ำระสายภายในราชสำนักเป็นอย่างมาก
ต่อมาได้มีชาวบ้านผู้หนึ่งอ้างตนว่าเป็นพระเจ้าสามแสนไทย ฯ กลับชาติมาเกิด ซึ่งก็ได้รับความเลื่อมใสจากประชาชนเป็นจำนวนมาก พระนางมหาเทวีจึงได้แต่งตั้งให้ชาวบ้านผู้นั้นขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่าพระยาคำเกิด แต่ครองราชย์ได้สามปีก็เสด็จสวรรคต ขุนนางทั้งหลายปรึกษากันแล้วเห็นว่านางมหาเทวีนั้นได้สร้างความเสียหายให้แก่บ้านเมือง จึงร่วมกันจับกุมพระนางไปสำเร็จโทษเสีย จากนั้นได้อัญเชิญพระยาไชยจักรพรรดิราช พระราชโอรสของพระยาล้านคำแดง เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติในปีพุทธศักราช ๑๙๘๑ ความยุ่งเหยิงเป็นเวลานานร่วมสิบปีจึงได้ยุติลง
[แก้] ช่วงอ่อนแอหลังความยุ่งเหยิงภายในพระราชอาณาจักร
ความยุ่งเหยิงในพระราชสำนักทำให้อาณาจักรล้านช้างอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก ต่อมาฝ่ายเวียดนามซึ่งเริ่มมีกำลังกล้าแข็งจึงได้ทียกทัพเข้ามารุกรานและสามารถยึดครองเมืองหลวงพระบางอันเป็นเมืองหลวงไว้ได้ในปีพุทธศักราช ๒๐๒๓ พระยาไชยจักรพรรดิราชต้องเสด็จหนีไปประทับอยู่ ณ เมืองเชียงคาน แล้วมอบพระราชสมบัติให้กับพระยาสุวรรณปาสัง ซึ่งเป็นพระราชโอรส
พระยาสุวรรณปาสังได้นำไพร่พลเข้าขับไล่ชาวเวียดนามออกไปได้ จากนั้นก็เวนพระราชสมบัติคืนให้แก่พระราชบิดา พระยาไชยจักรพรรดิราชจึงเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นครั้งที่สองกระทั่งเสด็จสวรรคตในปีพุทธศักราช ๒๐๒๒ พระยาสุวรรณปาสังจึงได้เสด็จขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระราชบิดาอีกครั้งจวบจนเสด็จสวรรคตในปีพุทธศักราช ๒๐๒๙ จากนั้นพระยาล่าน้ำแสนไทย ฯ พระอนุชาได้เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์เสด็จสวรรคตในปีพุทธศักราช ๒๐๓๙ โดยได้มอบพระราชสมบัติให้แก่ท้าวชมพูพระราชโอรส แต่ท้าวชมพูครองราชย์อยู่ได้ห้าปีก็ถูกบรรดาขุนนางร่วมกันก่อกบฏแล้วจับสำเร็จโทษเสีย จากนั้นก็อัญเชิญพระยาวิชุณราช พระราชโอรสของพระยาไชยจักรพรรดิราช และเป็นผู้สำเร็จราชการในรัชสมัยของท้าวชมพู เสด็จขึ้นครองราชย์ในปีพุทธศักราช ๒๐๔๔
[แก้] ช่วงฟื้นคืนสู่ความเข้มแข็ง
ในรัชสมัยของพระยาวิชุณราช (ครองราชย์ พ.ศ.๒๐๔๔ – ๒๐๖๓) พระยาโพธิสาร (ครองราชย์ พ.ศ.๒๐๖๓ – ๒๐๙๐) และพระยาไชยเชษฐาธิราช (ครองราชย์ พ.ศ.๒๐๙๑ – ๒๑๑๔) อาณาจักรล้านช้างมีความมั่นคงเป็นปึกแผ่นอย่างมาก พระพุทธศาสนาได้รับการประกาศให้เป็นศาสนาประจำชาติ มีการอัญเชิญพระบาง พระพุทธรูปคู่เมืองที่สำคัญ มาประดิษฐานที่เมืองหลวงพระบาง ศิลปะและวรรณกรรมต่าง ๆ ก็เฟื่องฟูในยุคนี้
ในช่วงรัชสมัยของพระยาโพธิสาร อาณาจักรล้านนาได้อ่อนแอลงเป็นอย่างมาก สืบเนื่องจากสงครามอย่างยาวนานกับอาณาจักรอยุธยา รวมถึงจากภัยธรรมชาติ และความล้มเหลวในการรุกรานเมืองเชียงตุง เปิดช่องให้อาณาจักรข้างเคียงอย่างล้านช้างและตองอูเข้าไปมีอิทธิพลภายใน และเมื่อพระเจ้าเกษเชษฐราช (ครองราชย์ครั้งแรก พ.ศ.๒๐๖๘-๒๐๘๑, ครั้งที่สอง พ.ศ.๒๐๘๖-๒๐๘๘) ทรงเสด็จสวรรคต โดยไม่สามารถสรรหาผู้เหมาะสมที่จะเสด็จขึ้นครองราชย์สืบต่อได้ ขุนนางส่วนใหญ่จึงได้อัญเชิญพระยาไชยเชษฐาธิราช พระราชโอรสของพระยาโพธิสารและเจ้าหญิงเชื้อสายล้านนา ให้เสด็จขึ้นครองอาณาจักรล้านนาในปีพุทธศักราช ๒๐๘๙ เพื่อใช้อาณาจักรล้านช้างคานอำนาจกับอิทธิพลของอาณาจักรตองอู ทำให้พระยาไชยเชษฐาธิราช เป็นกษัตริย์ที่ได้ขึ้นครองราชย์ของทั้งอาณาจักรล้านนาและอาณาจักรล้านช้าง
[แก้] ช่วงการขยายอำนาจของพม่า
ในรัชสมัยของพระเจ้าบุเรงนอง อาณาจักรตองอูมีอำนาจเพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก และได้ขยายอิทธิพลสู่ดินแดนรอบข้างรวมถึงล้านนาซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับอาณาจักรล้านช้าง ทำให้พระยาไชยเชษฐาธิราชทรงตัดสินพระทัยย้ายเมืองหลวงจากเมืองหลวงพระบางมายังเมืองเวียงจันทน์ซึ่งอยู่ห่างไกลจากอิทธิพลของพม่ามากกว่า นอกจากนี้พระองค์ยังทรงพยายามผูกสัมพันธ์กับอาณาจักรอยุธยาเพื่อร่วมกันต่อต้านอำนาจของพม่าแต่ก็ไม่ใคร่ได้ประโยชน์อันใด
ปีพุทธศักราช ๒๑๐๗ ระหว่างที่พระเจ้าไชยเชษฐามิได้ประทับอยู่ในเมืองเวียงจันทน์ ทัพพม่าได้ติดตามจับกุมขุนนางเชียงใหม่มาถึงเวียงจันทน์ และได้เข้าตีเอาเมืองได้ ครั้งนั้นได้กวาดต้อนเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงกลับไปยังพม่าเป็นจำนวนมาก รวมถึงพระยาอุปราช พระอนุชาของพระยาไชยเชษฐาธิราช แล้วถอยทัพกลับไป มิได้ครอบครองเมืองไว้
ปีพุทธศักราช ๒๐๑๑ ทัพพม่ายกมาจะตีเอาเมืองเวียงจันทน์ แต่เข้ามาได้ถึงเมืองปากงึมก็ต้องยกทัพกลับ เนื่องด้วยทหารได้ล้มป่วยลงเป็นจำนวนมาก ปีพุทธศักราช ๒๐๑๔ พระยาไชยเชษฐาได้เสด็จออกปราบกบฏ ณ เมืองรามรักองการ แล้วสูญหายไปในศึกนั้น ชาวเมืองจึงได้อัญเชิญพระยาหน่อแก้ว พระโอรสของพระยาไชยเชษฐาธิราชซึ่งเพิ่งประสูติให้เสด็จขึ้นครองราชย์ โดยมีขุนนางผู้ใหญ่สองท่านเป็นผู้สำเร็จราชการ ในปีถัดมาขุนนางทั้งสองได้ต่อสู้แก่งแย่งอำนาจกัน พระยาแสนสุรินทร์ได้ชัย จึงปลดพระยาหน่อแก้วออกราชสมบัติ แล้วขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แทน
ปีพุทธศักราช ๒๑๑๘ ฝ่ายพม่าได้ยกทัพมาตีเมืองเวียงจันทน์ได้ ได้คุมตัวพระยาแสนสุรินทร์กลับหงสาวดี แล้วแต่งตั้งให้พระยาอุปราช พระอนุชาของพระยาไชยเชษฐาธิราช ซึ่งถูกคุมตัวไปหงสาวดีตั้งแต่ครั้งที่พม่าตีเมืองเวียงจันทน์ครั้งแรก ขึ้นปกครองเมือง
ปีพุทธศักราช ๒๑๒๓ ได้เกิดกบฏขึ้นที่เมืองเวียงจันทน์ พระยาอุปราชสู้ไม่ได้จึงเสด็จหนีแต่ได้สิ้นพระชนม์ระหว่างการเดินทาง พม่าได้ยกทัพมาปราบกบฏได้ แล้วแต่งตั้งให้พระยาแสนสุรินทร์ขึ้นปกครองเมืองอีกครั้ง กระทั่งถึงแก่พิราลัยในปีพุทธศักราช ๒๑๒๕ จากนั้นเจ้าน้อย บุตรของพระยาแสนสุรินทร์ได้ขึ้นปกครองเมืองสืบต่อจากบิดา แต่ไม่ได้รับความนิยมจากชาวเมืองจึงถูกขุนนางร่วมกันปลดออกจากราชสมบัติ นับแต่นั้นเมืองเวียงจันทน์ก็อยู่ในสภาพไร้ผู้ปกครองถึงแปดปี ขุนนางทั้งหลายจึงได้แต่งตั้งให้คณะสงฆ์เดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้าบุเรงนองเพื่อทูลขอตัวพระยาหน่อแก้วมาครองเมือง พระยาหน่อแก้วจึงได้ขึ้นครองเมืองเวียงจันทน์อีกครั้งในปีพุทธศักราช ๒๑๓๔ กระทั่งสวรรคตในปีพุทธศักราช ๒๑๓๙ ซึ่งเป็นช่วงที่อำนาจของพม่าได้เสื่อมถอยลง
[แก้] ช่วงความไม่มั่นคงของอำนาจ
เมื่อพระยาหน่อแก้วสวรรคต พระยาธรรมิกราชซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระยาหน่อแก้ว ได้รับการอัญเชิญให้ปกครองเมืองเวียงจันทน์ ปีพุทธศักราช ๒๑๖๔ พระยาธรรมิกราชเกิดข้อขัดแย้งกับพระอุปยุวราช พระราชโอรส จนถึงขั้นเข้าต่อสู้กัน พระยาธรรมิกราชเสด็จสวรรคตในการต่อสู้ พระอุปยุวราชจึงเสด็จขึ้นครองราชย์ แต่ทรงครองราชย์ได้เพียงปีกว่าก็เสด็จสวรรคต ประชาชนก็ได้ร่วมกันอัญเชิญพระยามหานามอันเป็นขุนนางผู้ใหญ่ดำรงตำแหน่งพระยานครขึ้นเป็นกษัตริย์ มีพระนามว่าพระยาบัณฑิตโพธิสาร ทรงครองราชย์ได้สี่ปีก็เสด็จสวรรคต ประชาชนจึงร่วมกันอัญเชิญพระหม่อมแก้ว พระโอรสในพระยาธรรมิกราช เสด็จขึ้นครองราชย์ในปีพุทธศักราช ๒๑๗๐ เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต พระยาอุปยุวราช พระราชโอรสได้เสด็จขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระราชบิดา เมื่อพระอุปยุวราชเสด็จสวรรคต พระโอรสทั้งสองพระองค์ คือ ท้าวโทนคำและท้าววิชัย ได้ร่วมกันปกครองบ้านเมือง กระทั่งท้าววิชัยเสด็จสวรรคตในปีพุทธศักราช ๒๑๘๐
[แก้] ความรุ่งเรืองครั้งสุดท้าย
เจ้าสุริยกุมาร ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ได้เสด็จขึ้นครองราชย์สืบต่อจากกษัตริย์สองพี่น้อง มีพระนามว่าพระยาสุริยวงษาธิราช (ครองราชย์ พ.ศ.๒๑๘๐ – ๒๒๓๓) รัชสมัยของพระองค์เป็นยุคที่ราชอาณาจักรล้านช้างเจริญรุ่งเรืองเป็นยุคสุดท้าย รัชสมัยที่ยาวนานกว่าห้าสิบปีแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงทางการเมือง ในช่วงเวลานี้ไม่ปรากฏว่ามีราชการสงครามขนาดใหญ่ พระองค์จึงสามารถปกครองบ้านเมืองได้อย่างสงบสุข นอกจากนี้พระองค์ยังเป็นที่เลื่องลือถึงความยุติธรรม ดังแสดงให้เห็นจากครั้งที่พระราชโอรสได้กระทำความผิดลักลอบเป็นชู้กับภริยาของขุนนางผู้หนึ่ง พระองค์ก็ลงโทษตามอาญาถึงขั้นประหารชีวิตโดยมิได้ใส่ใจว่าเป็นพระโอรส ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงอยู่ในสภาพที่ไร้รัชทายาท
[แก้] ช่วงแตกแยก
เมื่อพระยาสุริยวงษาธิราชเสด็จสวรรคต พระองค์ไม่มีรัชทายาท ประชาชนถึงอัญเชิญพระยาจัน ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงครองราชย์อยู่ได้หกปีพระยานันทราช เจ้าเมืองน่าน ก็ยกทัพเข้ามาชิงเมืองเวียงจันทน์ไว้ได้ พระยานันทราชจึงได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้างในปีพุทธศักราช ๒๒๓๘ แต่ก็ถูกเจ้าไชยองค์เว้ เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงผู้หนึ่งซึ่งลี้ภัยไปประทับอยู่ ณ เมืองเว้ของเวียดนาม ขอกำลังจากทางเวียดนามยกทัพมาตีเมืองเวียงจันทน์ได้ในปีพุทธศักราช ๒๒๔๑ อย่างไรก็ตามเจ้าไชยองค์เว้มิได้รับการยอมรับจากชาวลาวทั้งมวล เนื่องจากถูกตั้งรังเกียจว่ามีความใกล้ชิดกับฝ่ายเวียดนาม ในปีพุทธศักราช ๒๒๔๙ เจ้ากิ่งกิจราช ซึ่งเป็นพระนัดดาของพระยาสุริยวงษาธิราชจึงได้รวบรวมไพร่พลเข้าตีเมืองหลวงพระบางไว้ได้ แล้วไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของเวียงจันทน์อีกต่อไป ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๒๕๖ เจ้าศรีสมุทร เจ้าเมืองจำปาศักดิ์ก็ทรงประกาศไม่ยอมรับอำนาจจากฝ่ายเวียงจันทน์เช่นกัน พระเจ้าไชยองค์เว้ไม่สามารถปราบปรามกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ได้ อาณาจักรล้านช้างจึงแตกแยกออกเป็นสามฝ่าย คือ เวียงจันทน์ หลวงพระบาง และจำปาศักดิ์ นับแต่นั้น
ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ ได้เกิดความผันผวนทางการเมืองขึ้นภายในภูมิภาค อันนำไปสู่การสถาปนาของสองอาณาจักรใหม่ที่เข้มแข็ง คือ อาณาจักรพม่าภายใต้การปกครองของราชวงศ์อลองพญา และอาณาจักรสยามภายใต้การปกครองของพระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้แข่งขันกันขยายอิทธิพลกันอย่างรุนแรง และด้วยความไม่ปรองดองกันของฝ่ายเวียงจันทน์และหลวงพระบางนั่นเองที่เปิดช่องให้สยามประสบความสำเร็จในการเจ้ายึดครองอาณาจักรล้านช้าง เมื่อฝ่ายหลวงพระบางได้สนับสนุนให้สยามเข้าช่วยปราบปรามเวียงจันทน์ เพื่อตอบแทนที่ฝ่ายเวียงจันทน์เคยพยายามสนับสนุนพม่าให้ปราบปรามหลวงพระบาง ในครั้งที่ฝ่ายพม่ายังมีอิทธิพลเข้มแข็งอยู่ในหัวเมืองฝ่ายเหนือ กองทัพสยามส่วนหนึ่งได้เข้ายึดครองเมืองจำปาศักดิ์ที่โดดเดี่ยวอย่างง่ายดาย จากนั้นทั้งหมดจึงได้มุ่งตรงเข้ารุกรานเวียงจันทน์โดยมีทัพของฝ่ายหลวงพระบางเข้าร่วมในการรบ และหลังจากที่สามารถครอบครองเวียงจันทน์แล้ว ฝ่ายสยามก็บีบบังคับให้หลวงพระบางต้องยอมสวามิภักดิ์เป็นประเทศราชในสภาพน้ำท่วมปาก อาณาจักรล้านช้างทั้งสามจึงตกอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของไทยภายในปีเดียวกันคือปีพุทธศักราช ๒๓๒๑