สตีเฟน ฮอว์คิง
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สตีเฟน ฮอว์คิง (Stephen Hawking; เกิด 8 มกราคม พ.ศ. 2485) เป็นศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ ประจำมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในนักฟิสิกส์ไม่กี่คนในยุคปัจจุบันที่เข้าใจ และสามารถอธิบายทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ ได้ ฮอว์คิงเป็นผู้แต่งหนังสือ ประวัติย่อของกาลเวลา (A Brief History of Time)และ จักรวาลในเปลือกนัท (The Universe in a Nutshell) ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังสือที่อธิบายเรื่องยากๆ อย่าง ควอนตัมฟิสิกส์ ให้คนทั่วไปอ่านได้
สารบัญ |
[แก้] ประวัติ
สตีเฟน ฮอว์คิงเกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1942 ที่เมืองอ๊อกซฟอร์ดไชร์ ประเทศอังกฤษ ในวัยเด็กเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนเซนต์แอลแบน จากนั้นเข้าศึกษาต่อสาขาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด และรับปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 1 เมื่อปี 1962 ต่อมาได้เข้าศึกษาที่ทรินิตี คอลเลจ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในสาขาจักรวาลวิทยา และได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตเมื่อปี 1966 หลังจากนั้นก็ได้รับการคัดเลือกเป็นนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด
ในต้นทศวรรษที่ 1960 สตีเฟน ฮอว์คิงก็มีอาการที่เรียกว่า amyotrophic lateral sclelar (ALS) อันเป็นอาการผิดปกติของระบบประสาทโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยมีผลกับประสาทสั่งการ (motor neurons) นั่นคือ เส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อส่วนนั้นจะอ่อนแอลงจนเกือบเป็นอัมพาต แต่เขายังคงทำงานวิชาการต่อไป
[แก้] การทำงาน
ฮอว์คิงเริ่มทำงานในสาขาสัมพัทธภาพทั่วไป และเน้นที่ฟิสิกส์ของหลุมดำ เมื่อปี 1965 ขณะที่กำลังทำงานวิจัยเพื่อทำวิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต ก็ได้อ่านรายงานจากนักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ ชื่อ โรเจอร์ เพนโรส (Roger Penrose) ซึ่งเพนโรสเสนอทฤษฎีที่ว่าดวงดาวที่ระเบิดอยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วงของตัวเอง จะมีปริมาตรเป็นศูนย์ และมีความหนาแน่นเป็นอนันต์ อันเป็นสภาพที่นักฟิสิกส์เรียกว่า ซิงกูลาริตี้(singularity) ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือหลุมดำ ซึ่งไม่ว่าแสงหรือวัตถุใดๆ ก็ไม่หนีออกมาไม่ได้
จากนั้น ในปี 1970 ฮอว์คิงและเพนโรสก็ได้ร่วมกันเขียนรายงาน สรุปว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอนสไตน์ นั้นกำหนดให้เอกภพต้องเริ่มต้นในซิงกูลาริตี้ ซึ่งปัจจุบันนี้รู้จักกันว่า บิ๊กแบง และจะสิ้นสุดลงที่ หลุมดำ
ฮอว์คิงเสนอว่า หลุมดำไม่ควรจะเป็นหลุมดำเสียทีเดียว แต่ควรจะแผ่รังสีออะไรออกมาบ้าง โดยเริ่มที่วัตถุจำนวนมหาศาลนับพันล้านตัน แต่มีความหนาแน่นสูง คือกินเนื้อที่ขนาดเท่าโปรตอน เขาเรียกวัตถุเหล่านี้ว่าหลุมดำจิ๋ว (mini black hole) ซึ่งมีแรงโน้มถ่วงและมวลมหาศาล แต่สุดท้ายหลุมดำนี้ก็จะระเหิดหายไป การค้นพบนี้ถือเป็นงานชิ้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งของฮอว์คิง
เมื่อ ปี 1974 เขาได้เป็นสมาชิกที่มีอายุน้อยที่สุดของราชบัณฑิตยสถานของอังกฤษ และได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์สาขาฟิสิกส์แรงโน้มถ่วง ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในปี 1977 และเมื่อในปี 1979 ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์ลูเคเซียสาขาคณิตศาสตร์ (เป็นตำแหน่งที่ตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อค.ศ. 1663 บุคคลแรกที่ได้รับตำแหน่งนี้ก็คือ ไอแซค นิวตัน คนส่วนมากจึงเปรียบเทียบสตีเฟน ฮอว์คิง กับนิวตันและไอนสไตน์)
สตีเฟน ฮอว์คิงเชื่อมีความเป็นไปได้ ที่นักฟิสิกส์จะพัฒนาทฤษฎีจะรวมเอาแรงทั้ง 4 ของธรรมชาติเข้าด้วยกัน นั่นคือ แรงโน้มถ่วง, แรงแม่เหล็กไฟฟ้า, แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน และแรงนิวเคลียร์แบบเข้ม อันจะนำไปสู่ ทฤษฎีสรรพสิ่ง (Theory of Everything) ที่เคยกล่าวกันมา ส่วนเรื่องการขยายตัวของเอกภพนั้น ฮอว์คิงเชื่อว่า เอกภพขยายตัวออกไปโดยมีความเร่ง
[แก้] ชีวิตส่วนตัว
สตีเฟน ฮอว์คิงแต่งงานครั้งแรกกับเจน ฮอว์คิง ภายหลังได้หย่าร้าง และแต่งงานใหม่กับพยาบาล ชื่อ เอเลน เมสัน ทุกวันนี้สตีเฟน ฮอว์คิงต้องนั่งรถไฟฟ้าที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เนื่องจากเขาพูดไม่ได้ และขยับตัวไม่ได้ นอกจากขยับนิ้วและกะพริบตา แต่ก็ยังสามารถสื่อสารกับโลกภายนอกได้ด้วยอุปกรณ์พิเศษ สำหรับการสังเคราะห์เสียงพูดจากตัวอักษร
[แก้] ผลงาน
- A Large Scale Structure of Space-Time (1973), แต่งร่วมกับ G.F.R. Ellis)
- Superspace and Supergravity (1981)
- The Very Early Universe (1983)
- A Brief History of Time : from the Big Bang to Black Holes (1988)
- Black Holes and Baby Universe and Other Essays (1994)
- The Universe In A Nutshell..
[แก้] ดูเพิ่ม
dadmy hamad