คุยกับผู้ใช้:Sahanetilaw
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บทความแนะนำความรู้ทางกฎหมายที่น่าสนใจ
อยากหย่า แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมหย่า ต้องทำอย่างไร
ปัจจุบันปัญหาทางเศรษฐกิจ มีผลกระทบต่อครอบครัวอย่างมาก เนื่องจากต่างฝ่ายต่างไม่มีเวลาให้แก่กัน ก่อให้เกิดช่องว่าง เมื่อมีช่องว่างเกิดขึ้นก็จะมีปัญหาตามมาหลายอย่าง บางคู่อยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าตกลงกันได้ก็พากันไปจดทะเบียนหย่าที่สำนักงานเขต แต่ที่เขาตกลงกันไม่ได้หรือมีเหตุบางประการ ก็ต้องไปฟ้องร้องเป็นคดีความกันไม่ใช่น้อย แต่การไปฟ้องหย่าที่ศาลไม่ใช่ว่าศาลจะมีคำพิพากษาให้หย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากันทุกรายน่ะ ต้องมีเหตุหย่าด้วย เหตุในการฟ้องหย่า มีดังนี้
1 สามีให้การอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องหญิงอื่นฉันภรรยาหรือภรรยามีชู้ อันนี้เป็นเหตุสำคัญเลยล่ะ ไม่มีใครที่ไหนทนให้สามีหรือภรรยาของตนเองทำอย่างนี้ได้ บางรายฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกันเป็นสิบๆล้านก็มี
2 สามีหรือภรรยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง
(ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างรุนแรง
(ข) ถูกบุคคลภายนอกดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภรรยาของอีกฝ่าย หรือ
(ค)ได้รับความเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
3 สามีหรือภรรยาทำร้ายหรือทรมานร่างกายหรือจิตใจหรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
4 สามีหรือภรรยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
*สามีหรือภรรยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก และได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปีในความผิดที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดหรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้นด้วย และการเป็นสามีภรรยากันต่อไปจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
*สามีและภรรยาสมัครใจแยกกันอยู่ เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีหรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งศาลเป็นเวลาเกินสามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
5 สามีหรือภรรยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ หรือไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลาเกินสามปี โดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
6 สามีหรือภรรยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควรหรือทำการเป็นปรปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ถ้าการกระทำนั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพ ฐานะ และความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
7 สามีหรือภรรยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตมีลักษณะยากที่จะหายได้ กับทั้งความวิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาต่อไปไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
8 สามีหรือภรรยาผิดทัณฑ์บนที่ทำไว้ให้เป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
9 สามีหรือภรรยาเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรง อันอาจเป็นภัยแก่อีกฝ่ายหนึ่ง และโรคมีลักษณะเรื้อรังไม่มีทางหายได้ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
10 สามีหรือภรรยามีสภาพแห่งกาย ทำให้สามีหรือภรรยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
แต่เหตุในข้อ 1 และ 2 ถ้าสามีหรือภรรยาแล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำที่เป็นเหตุหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้น จะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้
เช่นเดียวกันกับเหตุในข้อ 10 ถ้าเกิดจากการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้
โอ้โห้ เหตุทั้ง 10 ประการ ถือเป็นเหตุที่สามารถฟ้องหย่าได้ แต่ต้องดูด้วย ไม่ใช่ว่า สามีเคยให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 10,000 บาท พอเศรษฐกิจไม่ดี จ่ายแค่ 5,000 บาท อย่างนี้ถือว่าไม่ใช่เหตุแห่งการหย่า ฟ้องไม่ได้
อ้อ แล้วที่สำคัญ หากจะเรียกค่าเลี้ยงชีพคุณและบุตร คุณจะต้องฟ้องเรียกไปพร้อมกับการฟ้องหย่าในฟ้องเดียวกัน หากไม่ทำจะฟ้องเรียกค่าเลี้ยงชีพเป็นฟ้องใหม่ไม่ได้ที่หลังไม่ได้ และหากศาลสั่งให้อีกฝ่ายหนึ่งจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้อีกฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายที่รับค่าเลี้ยงชีพทำการสมรสใหม่ สิทธิในการรับค่าเลี้ยงชีพย่อมหมดไปเช่นกัน
ที่สำคัญ หากท่านตกลงหย่ากันได้ ก็ไม่ต้องฟ้องหย่า แต่ให้สามีและภรรยา ไปจดทะเบียนหย่าที่เขตหรืออำเภอกับเจ้าหน้าที่และอย่าลืมบันทึกข้อตกลงเรื่องอำนาจปกครองบุตรและทรัพย์สินให้ชัดเจน อ่านแล้วไม่ต้องตีความ ไว้ให้เรียบร้อยด้วย เสร็จแล้วเก็บใบหย่าไว้คนละฉบับ
หย่าแล้ว ภายหลังอยากสมรสใหม่ก็มาจดใหม่ได้ ไม่เสียหายอะไร
ตัวอย่างในการฟ้องหย่า และเรียกค่าเสียหาย กรณีที่ฝ่ายชายไปมีหญิงอื่น(มีกิ๊ก ชู้ หญิงคนใหม่)
นาย ก. แต่งงานจดทะเบียนสมรสกับ นาง ม. มา 30 ปี มีบุตรด้วยกัน 3 คน บุตรทั้งสามคนบรรลุนิติภาวะแล้ว ปัจจุบัน นาย ก. ทำการค้ามีหน้าตาในสังคม ไปไหนใครก็รู้จัก ต่อมานาย ก. แอบได้เสียกับ นางสาว จ. จนมีบุตรด้วยกัน 1 คน และยกย่องเชิดชูนางสาว จ. ออกหน้าออกตา ต่อมา นาง ม. ทราบเรื่อง อย่างนี้สามารถฟ้องหย่านาย ก. เป็นจำเลยที่ 1 และนางสาว จ. เป็นจำเลยที่ 2 โดยเรียกค่าเสียหายจากนางสาว จ. เป็นเงินหลายสิบล้านบาทได้ แต่ทั้งนี้ค่าเสียหายจะมากน้อยเท่าไร ต้องคำนึงถึงผู้เสียหาย เสียหายอย่างไร ร่ำรวยเท่าไร มีชื่อเสียง และมีหน้าตาในสังคม ซึ่งเมื่อเกิดความเสียหาย ทำให้ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างรุนแรง ตกงาน คนในสังคมไม่คบด้วย ไม่ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
ฉะนั้น ตามตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่า นอกจากนาง ม. จะฟ้องหย่าได้แล้ว ยังสามารถเรียกค่าเสียหายจาก นางสาว จ. ได้อีก เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะไปมีกิ๊ก ชู้ หญิงอื่น ก็ควรควรคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ
คำพิพากษาฎีกาที่ 4130/2548
ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง เป็นบทบัญญัติที่ให้สิทธิแก่ภริยาชอบด้วยกฎหมายที่จะเรียกร้องค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผย เพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวโดยมิได้มีเงื่อนไขว่าภริยาจะต้องเกิดความเสียหายอย่างใดหรือจะต้องเป็นภริยาที่อยู่กินกับสามีและอุปการะเลี้ยงดูกัน หรือต้องไม่มีคดีฟ้องหย่ากันอยู่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้
การรับรองบุตร
ในปัจจุบันสังคมไทยได้รับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวัน การใช้ชีวิตคู่ของชายหญิง มักทดลองอยู่กินกันก่อนแต่งงาน หรืออยู่กันแบบไม่ได้แต่งงาน จดทะเบียนสมรส บางคู่อยู่กันไม่ได้ก็เลิกกันไป แต่บางคู่ก็มีบุตรด้วยกัน ซึ่งเราเรียกว่า บุตรนอกกฎหมาย ฝ่ายชายซึ่งเป็นบิดา ถึงแม้ว่าจะให้การอุปการะเลี้ยงดู แต่ก็ไม่สามารถทำให้บุตรเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายได้ นอกเสียจากว่าบิดามารดาจะจดทะเบียนสมรสกัน หรือจะมีอีกวิธีคือ การรับรองบุตร
การรับรองบุตร คือ การที่บิดาร้องขอให้ศาลสั่งว่าบุตรที่เกิดเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของตน เพื่อที่ว่าบุตรจะได้สิทธิต่างๆที่พึงจะได้รับตามกฎหมาย เช่น มีสิทธิได้รับมรดกของบิดา บิดามีสิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล หรือค่าเล่าเรียนบุตรได้
การทำเช่นนี้จะเป็นผลดีต่อบุตร เนื่องจากได้รับสิทธิตามกฎหมาย โดยบิดาจะไปยื่นคำร้องต่อศาลโดยมารดาให้ความยินยอม ขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก เพียงแต่คุณเตรียมเอกสารให้พร้อม มีบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ของบิดามารดา สูติบัตร และทะเบียนบุตร หนังสือให้ความยินยอมของมารดาเด็ก โดยทำเป็นคำร้องไปยื่นที่ศาลเยาวชนและครอบครัว โดยยึดหลักภูมิลำเนาของบิดาเป็นหลัก ภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านไม่ใช่ที่อยู่ปัจจุบัน นั่นคือ ถ้าบิดามีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดใด ก็ต้องไปยื่นคำร้องที่จังหวัดนั้น ๆ
อ้อ แต่กรณีที่บิดาไม่ยอมรับว่าเด็กที่เกิดเป็นบุตรของตน นั่น มารดาจะต้องเป็นโจทก์ยื่นฟ้องขอให้บิดาจดทะเบียนรับรองบุตร ซึ่งก็จะมีข้อแตกต่างกัน ในเรื่องการทำคำร้องและคำฟ้อง
ฉะนั้น ก่อนจะทำอะไร ควรคิดให้รอบคอบ คิดเอาไว้ว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดเพื่อลูก ไม่ใช่ตัวเอง
บทความ: ทนายศิริ วสุสิริกุล
081-6434418
คนหาย ติดตามตัวไม่พบ จะมีวิธีจัดการทรัพย์สินคนหายอย่างไร และจะร้องสาบสูญ ได้หรือไม่
เหตุการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน มีข่าวคนหาย ติดต่อไม่ได้ บ่อยมาก ถ้าญาติต้องการจัดการ
ทรัพย์สินคนหายต้อง เข้าหลักเกณฑ์ดังนี้
1. ต้องไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลที่หายไปติดต่อไม่ได้นั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เว้นแต่จะตั้งตัวแทนผู้รับมอบ
อำนาจทั่วไปไว้แล้ว
2. ต้องเวลาที่บุคคลนั้นหายไปล่วงเลยไป 1 ปี นับแต่วันที่ผู้ที่ไม่อยู่นั้นไปเสียจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่
และไม่มีผู้ใดได้รับข่าวเกี่ยวกับบุคคลนั้นอีกเลย
3. หรือ 1 ปี นับแต่วันที่มีผู้ได้พบเห็นหรือได้ทราบข่าวมาเป็นครั้งสุดท้ายหลังสุด
ผู้ที่จะร้องศาลให้ตั้งตนเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่หรือหายไป คือ ผู้มีส่วนได้เสีย
กับเรื่องทรัพย์สินนั้น หรืออัยการ
สำหรับการร้องศาลให้สั่งให้เป็นบุคคลสาบสูญ ต้องเข้าหลักเกณฑ์นี้
บุคคลที่หายไปนั้นได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้น
ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา 5 ปี
แต่ถ้าเป็นเหตุดังต่อไปนี้ ให้ลดระยะเวลาเหลือ 2 ปี คือ
1. นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม
และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว
2. นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อัปปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป
3. นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากระบุใน ข้อ 1 และ 2 ได้ผ่านพ้นไป
ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นนั้น
ถ้าศาลมีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญ ให้ถือว่าถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนด
ระยะเวลา 5 ปี หรือ 2 ปี ตามเหตุการณ์ที่กล่าวมาแล้ว
แต่ต่อมาทราบว่ายังไม่ตาย ก็มาเพิกร้องศาลให้ถอนคำสั่งศาลได้
ผู้ที่จะร้องศาลมีคำสั่งสั่งให้ของผู้ไม่อยู่หรือหายไป เป็นคนสาบสูญคือ ผู้มีส่วนได้เสีย
กับบุคคลนั้น หรืออัยการ
ดังนี้ ถ้าจะร้องศาลก็ต้องพิจารณาว่าตนเองมีส่วนได้เสียหรือไม่ก่อน แล้วดูเรื่องระยะเวลา
5 หรือ 2 ปี แล้วแต่เหตุการณ์การหายไป
แล้วไปติดต่ออัยการ หรือสะดวกก็ ทนายความ ให้ทำเรื่องร้องศาลให้ แค่นี้ก็ไร้ปัญหาแล้ว
บทความ: ทนายศิริ วสุสิริกุล
D N A กับการพิสูจน์ การเป็นบุตร ของบิดามารดา มีผลทางกฎหมายอย่างไร และต้องทำอย่างไร
D N A กับการพิสูจน์ การเป็นบุตร ของบิดามารดา
ในโลกที่มีวิทยาการที่ก้าวหน้าที่สามารถโคลนนิ่ง สัตว์ หรือมนุษย์ ได้นั้น สิ่งหนึ่งที่ใช้คือพันธุกรรม (DNA) และในอดีตและปัจจุบับมีการนำการแยก D N A ซึ่งปกติใช้ในการแยกพันธุกรรม มาใช้ในด้านการพิสูจน์บุคคลเพื่อทราบว่าเป็นบุตรของบิดามารดาหรือไม่ ซึ่งก็เป็นผลดี เพราะเมื่อผลออกมาว่าใช่หรือไม่ ก็จะหมดข้อโต้แย้ง ไม่ต้องมีข้อกังขาอีกต่อไป
ในการตรวจพิสูจน์ D N A เพื่อทราบว่าเป็นบุตรของบิดามารดาหรือไม่นั้น สามารถขอตรวจได้เสมอ แม้ยังไม่มีการฟ้องร้อง หรืออยู่ระหว่างการดำเนินคดีของพนักงานสอบสวน หรือชั้นศาล แต่ต้องเสียเงินค่าตรวจเสมอ ไม่มีฟรีครับ ยกเว้นท่านขอความช่วยเหลือกับมูลนิธิ ซึ่งมูลนิธิจะเป็นผู้ชำระแทน
ส่วนถ้าขณะเวลามีข้อโต้แย้งว่าเป็นบุตรหรือไม่ คู่กรณี ไม่ว่า บิดา มารดา บุตร ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากไม่ยอมให้ตรวจ D N A ก็ไม่สามารถตรวจได้ ดังนั้นในการตรวจของผู้ตรวจจึงควรให้ทำหนังสือยินยอมให้ตรวจทุกครั้งทุกคน เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น แต่ถ้าตรวจในหน่วยงานหนึ่งแล้วไม่แน่ใจไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ก็ไม่มีข้อห้ามว่าห้ามตรวจซ้ำอีก เพียงแต่ท่านอาจร้องขอหรือว่าจ้างให้หน่วยงานแห่งอื่นตรวจใหม่ได้ แต่วิธีการตรวจถ้าให้ชัดเจนควรตรวจอย่างน้อย 2 แห่ง และทั้ง บิดา มารดา บุตร ควรไปเจาะเลือดตรวจพร้อมกัน จะดีที่สุด
ถ้าถามว่าอยู่ดีๆ ไปตรวจ D N A เพื่อเช็คดูว่าเป็นบุตรเราดีหรือไม่ เรื่องนี้เป็นนานาจิตตัง หากถ้าเรามั่นใจ ว่าเป็นลูกเราจริงก็ไม่จำเป็น แต่ถ้าไม่มั่นใจ เช่น ลูกเราสีผิวผิดจากพ่อแม่ หน้าตาดันไม่เหมือนเราเลย ถ้าสงสัยก็เชิญท่านตรวจได้ เพราะจะได้หายสงสัยเสียที
ในปัญหาเรื่องเป็นลูกเราหรือไม่นี้ ข้อกฎหมายครอบครัว ให้ถือว่าลูกที่ไม่มีการสมรสเป็นลูกของแม่เสมอ แต่พ่อไม่ใช่ หากพ่อต้องการเป็นพ่อตามกฎหมายต้องไปจดทะเบียนรับรองบุตร
ในกรณีที่มีการฟ้องให้พิสูจน์เพียงว่าเป็นบุตรหรือไม่ ในศาลทำได้หรือไม่ ในศาลทำได้ แต่ในการดำเนินคดีปกติทั้งทนายความ อัยการ ส่วนมากจะเป็นการฟ้องให้ศาลสั่งว่าเป็นบุตรที่บิดารับรองเป็นบุตรตามกฎหมาย เมื่อศาลเข้าสู่กระบวนพิจารณาคดี ก็อาจมีการขอต่อศาลให้เจาะเลือดพิสูจน์ D N A ว่าเป็นบุตรหรือไม่ แต่ถ้า บิดา มารดา บุตร ฝ่ายใดไม่ยินยอมให้ตรวจพิสูจน์ ศาลจะบังคับไม่ได้ บุตรต้องนำสืบในพฤติการณ์ที่ผ่านมาในอดีตให้เข้าข้อกฎหมายว่าบิดารับรองว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ไม่ว่ากรณีใดเช่น บิดาที่ไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงแบบไม่มีความคิดว่าต้องการหญิงนั้นเป็นภรรยาตน และหญิงนั้นเกิดท้อง และคลอดบุตรออกมาในช่วงเวลานั้น ถ้าสงสัยก็ควร ตรวจ D N A เพื่อทราบว่าเป็นบุตรตนเองหรือไม่ เพราะถ้าเป็นบุตรซึ่งเป็นสายเลือดเรา บุตรจะได้รับการเลี้ยงดูตามฐานะของบุตร ซึ่งเป็นสิ่งดีสำหรับเด็กและบิดาด้วย แต่ถ้าไม่ใช่บุตรของตนเองก็แล้วไป จะทำให้หญิงนั้นก็จะไม่มีเรื่องมาตามให้ยอมรับว่าเป็นบิดาของเด็กอีก แต่อาจมีการช่วยตามสมควร เพราะมีความสัมพันธ์กันมาในอดีตนั่นเอง
บิดา ที่ถูกมารดาหรือบุตรเรียกร้องให้รับเป็นบิดา ก่อนนำคดีสู่ศาล ควรตรวจ D N A เพื่อพิสูจน์ทุกรายครับ เพราะทางศีลธรรม ถ้าเป็นบุตรของบิดาจริง บิดาก็ต้องเลี้ยงดู แต่แม้ผลการตรวจจะเห็นชัดเป็นบุตรจริง แต่ถ้าบิดาไม่เคยมีพฤติการณ์ตามกฎหมายรับรองว่าเป็นบุตร และบิดาจะไม่ยอมจดทะเบียนรับรองว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของตนเสียอย่าง เพราะจะมีผลตามกฎหมายเยี่ยงบุตรคนหนึ่งทันที ทั้งนี้ที่บิดาไม่ยอมรับรองบุตรนั้น บิดาอาจมีสาเหตุได้ในหลายๆเรื่องจนไม่สามารถจดรับรองได้ เช่นหากจดอาจมีปัญหาครอบครัวกับภรรยา หรือบุตรที่อยู่ด้วยกันปัจจุบัน ทำให้บิดาไม่สามรถรับรองบุตรได้ ดังนี้ตามกฎหมายแม้ผลพิสูจน์ว่าเป็นบุตร ก็ยังไม่ถือว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดานั้น แต่แม้นว่าบิดาที่ไม่สามารถจดรับรองบุตรได้ก็จริง แต่เนื่องจากรู้ว่าตนเป็นบิดาของบุตรจริง บิดาก็สามารถส่งเสีย เลี้ยงดูบุตร เป็นการส่วนตัวได้ และหากอยากยกทรัพย์สินให้บุตรเมื่อตนตายแล้ว ก็สามารถทำได้โดยการทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้ ระวังอย่าไปยกหนี้ให้ ซึ่งอาจเป็นได้ในทางอ้อม เช่นยกหุ้นในบริษัทฯ ที่เป็นหนี้สินล้นพ้นตัวให้ อย่างนี้แย่แน่ แต่ไม่ต้องห่วง บุตรอาจทำหนังสือสละไม่รับมรดกก็ได้ และการทำพินัยกรรมนั้นทำได้ทั้งแบบเป็นพินัยกรรมฝ่ายเมือง ให้ไปจดแจ้งทำพินัยกรรมที่อำเภอ หรือพินัยกรรมทำเป็นหนังสือ หรือพินัยกรรมเขียนเองทั้งฉบับ แต่อย่าลืมทำพินัยกรรมเสร็จแล้วบอกคนที่ไว้ใจ หรือทนายความส่วนตัวไว้ด้วย ว่าตนเองทำพินัยกรรมอะไรไว้ที่ไหน เดี่ยวตอนตายแล้ว จะไม่มีใครรู้ว่าทำพินัยกรรมไว้ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้พินัยกรรมนั้นก็จะตายตามตัวเองไปด้วย
บทความวิชาการ:ทนายศิริ วสุสิริกุล
น.บ. , น.บ.ท. (สมัย 33)
ทรัพย์สินระหว่างสามี ภรรยา
การแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามี ภรรยา ทั้งจดทะเบียนสมรสและไม่ได้จดทะเบียนสมรส
ก่อนจะกล่าวถึงการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามี ภรรยา ทั้งจดทะเบียนสมรสและไม่ได้จดทะเบียนสมรส ควรจะต้องกล่าวถึงคำว่าสามี ภรรยา ตามกฎหมายเป็นอย่างไรก่อน
ตามกฎหมายถ้าเรียกว่าสามี ภรรยา นั้น หมายถึงชายและหญิง ต้องจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย ถ้าไม่จดทะเบียน น่าจะเรียกคำทั่วไป คือ ผัว-เมีย มากกว่า เพราะเป็นคำใช้รวมได้ทั้งจดและไม่จดทะเบียน
คราวนี้มาว่าเรื่องของสามีภรรยาตามกฎหมายนั้น มีการแบ่งทรัพย์สินอย่างไร ตามกฎหมายแบ่งออกเป็นสินส่วนตัวและสินสมรส ถ้าเป็นสินส่วนตัวของฝ่ายใดก็เป็นสิทธิเป็นเจ้าของ 100 % ของฝ่ายนั้น อีกฝ่ายจะมายุ่งไม่ได้ แต่หากเป็นสินสมรส ก็ต้องแบ่งกันคนละครึ่ง
ส่วนอย่างไรจะเรียกว่าสินส่วนตัว คราวนี้จำง่ายๆ ถ้าทรัพย์สินของฝ่ายใดที่ได้มีอยู่ก่อนสมรสก็ให้ถือเป็นสินส่วนตัวไว้ก่อน และยังมีทรัพย์สินที่ถือเป็นสินส่วนตัวอีก คือ ทรัพย์สินที่เป็นเครื่องใช้สอยส่วนตัว เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับกายตามควรแก่ฐานะของตน และของหมั้นที่ฝ่ายหญิงได้รับมา และทรัพย์สินที่หญิงหรือชายได้รับมาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา (ทรัพย์นี้ถือเป็นส่วนที่ต้องจำไว้ เพราะเป็นทรัพย์ที่ได้มาระหว่างสมรส แต่กฎหมายให้ถือเป็นสินส่วนตัว)
ส่วนสินสมรสนั้น ให้ถือหลักว่าทรัพย์สินใดได้มาระหว่างสมรส ก็ถือว่าเป็นสินสมรส และทรัพย์ที่ได้มาระหว่างสมรส โดยพินัยกรรมยกให้ หรือโดยการให้ ในระหว่างสมรส กฎหมายให้ถือว่าเป็นสินส่วนตัว แต่ถ้าพินัยกรรมหรือการให้ได้ทำเป็นหนังสือและระบุไว้ว่าเป็นสินสมรส อย่างนี้ถือเป็นสินสมรสทันที (ควรอ่านและทำความเข้าใจให้ดี อย่าสับสนเด็ดขาด) และยังมีทรัพย์อีกประเภทหนึ่ง คือดอกผลของสินส่วนตัว กฎหมายให้ถือว่าดอกผลที่ว่านี้เป็นสินสมรส ท่านอาจถามว่าดอกผลคืออะไร คำตอบตามกฎหมายดอกผลคือ ทรัพย์สินที่เกิดเพิ่มขี้นเนื่องจากสินส่วนตัวของหญิงหรือชายนั้น ยกตัวอย่างเช่น ดอกเบี้ย เป็นต้น ซึ่งในความรู้สึกของคนทั่วไปต้องคิดว่าดอกผลของสินส่วนตัว ที่ได้มาระหว่างสมรส ก็ต้องเป็นสินส่วนตัวซิ แต่ในทางกฎหมายไม่ใช่ จึงควรจำให้ดี
และหากมีการโต้เถียงกันเรื่องสินสมรส สินส่วนตัว ถ้าต้องฟ้องร้องต่อศาล ผู้ฟ้องก็ต้องนำพยานเอกสาร พยานบุคคลมาแสดงให้ศาลเห็นชัดเจน เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นสินสมรสหรือสินส่วนตัว ศาลจะได้พิจารณาพิพากษาได้ถูกต้อง
ส่วนชายและหญิงที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย หากทำมาหากินมาด้วยกันระหว่างการอยู่กินกันมา ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างอยู่กินกัน ถือได้ว่าเป็นของส่วนกรรมสิทธิ์ร่วมกัน มีสิทธิในทรัพย์สินแต่ละฝ่ายคนละครึ่ง ไม่ว่าชายจะเป็นคนหากิน หญิงเป็นคนอยู่ดูแลบ้านก็ตาม หรือกลับกันก็ตาม เพราะถือว่าต่างฝ่ายต่างแบ่งหน้าที่กันทำมาหากินนั้นเอง
ดังนี้ถ้ามีอันต้องหย่าหรือเลิกกัน ก็ต้องแบ่งทรัพย์สินตามควรแต่ละกรณีเป็นเรื่องๆไป
แต่ทางที่ดีที่สุดนั้น หญิงหรือชายจะจดทะเบียนหรือไม่อยากจดทะเบียนสมรส ก็ควรปรึกษานักกฎหมายก่อนแต่งงานเกี่ยวกับทรัพย์สินเป็นดีที่สุด เพราะจะได้จัดการทรัพย์สินได้ถูกต้อง ไม่เป็นปัญหาภายหลัง ที่ทำให้เลิกกันแล้ว แทนที่จะแยกกันไป กลับต้องมาเจอกันหลังแยกทาง เพราะเหตุต้องมาโต้แย้งเรื่องแบ่งทรัพย์สินกันนั้นเอง
บทความ:ทนายศิริ วสุสิริกุล
น.บ. , น.บ.ท.