มันแกว

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

มันแกว
วิกิพีเดีย:การอ่านตารางจำแนกพันธุ์

การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร Plantae
ส่วน Magnoliophyta
ชั้น Magnoliopsida
ตระกูล Fabales
วงศ์ Fabaceae
วงศ์ย่อย Faboideae
สกุล Pachyrhizus
สปีชีส์ P. erosus
ชื่อทวินาม
Pachyrhizus erosus
(L.) Urb.

มันแกว (Jícama) เป็นพืชตระกูลถั่ว มีชื่อทวินามว่า "Pachyrhizus erosus (L.) Urbar" ลักษณะต้นเป็นเถาเลื้อย หัวอวบใหญ่ โคนตันเนื้อแข็ง ใบประกอบด้วย 3 ใบย่อยมีจักใหญ่ ดอกมีสีขาวหรือชมพูเป็นช่อ เมล็ดมีสีเหลือง สีน้ำตาล หรือสีแดงลักษณะสี่เหลี่ยมจตุรัสแบน โดยต้นมันแกว 1 ต้นจะมีเพียงหัวเดียว ส่วนที่ใช้รับประทานคือส่วนของรากแก้ว

[แก้] รายละเอียด

มันแกวเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในหลายพื้นที่เช่นในแถบอเมริกากลาง แอฟริกาตะวันออก และในประเทศแถบทวีปเอเชียคือ ฟิลิปปนส์ อินเดีย จีน อินโดจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ในประเทศไทยมันแถวมีอยู่ 2 ชนิดคือ พันธุ์หัวใหญ่ และพันธุ์หัวเล็ก อาจจะมีชื่อเรียกต่างกันไปตามแต่ภูมิภาคได้แก่ ภาคใต้จะเรียกว่า "หัวแปะกัวะ" ภาคเหนือจะเรียกว่า "มันละแวก" "มันลาว" ส่วนภาคอีสานเรียกว่า "มันเพา" นอกจากนี้ยังอาจจะเรียกในชื่ออื่นอีกว่า "เครือเขาขน" "ถั้วบ้ง" และ"ถั่วกินหัว"

ส่วนหัวของมันแกว (รากแก้ว) เป็นส่วนที่ใช้รับประทานลักษณะภายนอกมีสีน้ำตาลอ่อนภายในมีสีขาว เวลาเคี้ยวแล้วจะรู้สึกกรอบคล้ายลูกสาลี่สด อีกทั้งยังมีรสคล้ายแป้งแต่ออกหวาน โดยทั่วไปจะรับประทานกันสดๆ หรืออาจจะจิ้มกับพริกเกลือก็ได้ แล้วยังสามารถนำไปประกอบอาหารได้ทั้งคาวและหวานอีกด้วยเช่น แกงส้ม แกงป่า ผัดเปรี้ยวหวาน ผัดไข่ เป็นส่วนผสมของไส้ซาลาเปา และทับทิบกรอบ

แต่ในทางกลับกันต้นมันแกวสามารถใช้เป็นยากำจัดศัตรูพืช โดยใช้ส่วนของเมล็ด ฝักแก่ ลำต้น และราก แต่ส่วนเมล็ดจะมีสารพิษมากที่สุดทำให้มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงดีที่สุด นอกจากนั้นถ้ามนุษย์รับประทานเมล็ดเข้าไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งถ้าได้รับในปริมาณมาก สารพิษ Routinone จะกระตุ้นระบบหายใจ แล้วกดการหายใจ ชัก และอาจเสียชีวิตได้

คุณค่าทางอาหารของมันแกวนั้นประกอบด้วยน้ำ 90.5% โปรตีน 0.9% คาร์โบไฮเดรต 7.6% ไม่มีเส้นใยอาหาร โดยรสหวานนั้นมาจาก oligofructose inulin ซึ่งในร่างกายของมนุษญ์ำไม่สามารถเผาผลาญได้ ดังนันมันแกวจึงเหมาะสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ควบคุมน้ำหนัก

มันแกวควรเก็บในที่แห้ง อุณหภูมิระหว่าง 12 - 16 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่าจะทำให้ส่วนรากช้ำได้ ถ้าเก็บรักษาถูกวิธีสามารถอยู่ได้นานถึง 1 - 2 เดือน

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้] อ้างอิง

  • Mr. Pug, ผลไม้ไทยอร่อยได้ทุกฤดู, นิตยสารแม่บ้าน ปีที่ 31 ฉบับที่ 450, พฤศจิกายน 2549, หน้า 31