อาอิชะหฺ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ส่วนหนึ่งของ
ศาสนาอิสลาม


ประวัติศาสนาอิสลาม
ศาสดา
อัลลอหฺ
ความเชื่อและการปฏิบัติ
ฮัจญ์ · ละหมาด
บุคคลสำคัญ
มุฮัมมัด · ญิบรีล
คัมภีร์และหนังสือ
อัลกุรอาน เตารอต อินญีล ซะบูร
นิกาย
ซุนนีย์ · ชีอะหฺ · ศูฟีย์
สังคมศาสนาอิสลาม
เมือง · ปฏิทิน · สถาปัตยกรรม
ศิลปะ · บุคคล
ดูเพิ่มเติม
ศัพท์เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม
หมวดหมู่ศาสนาอิสลาม

อาอิชะหฺ บินตุอะบีบักรฺ (บ้างก็สะกดว่า อาอิชะห์ หรือ อาอิชะฮฺ) เกิดราวปี ค.ศ. ๖๑๔ ที่มักกะหฺ ในอาราเบีย และอพยพไปมะดีนะหฺปี ค.ศ. ๖๒๒ บิดาของนางคืออะบูบักรฺ คอลีฟะหฺคนแรก อาอิชะหฺ สมรสกับนบีมุฮัมมัด หลังจากอพยพไปมะดีนะหฺแล้ว


[แก้] ชีวประวัติ

นางเป็นสตรีคนที่ ๓ ที่แต่งงานกับนบีมุฮัมมัด มีฉายานามว่า มารดาแห่งศรัทธาชน เช่นเดียวกับเหล่าภรรยาของท่านนบีท่านอื่น ๆ ตามโองการอัลกุรอาน เมื่อนบีมุฮัมมัดเสียชีวิตนั้น ท่านหญิงอาอิชะหฺมีอายุ ๑๘ ปี ไม่ได้มีบุตรด้วยกัน

นางเป็นสตรีที่กล้าหาญ มีบทบาทที่สำคัญมากคนหนึ่งในประวัติศาสตร์อิสลาม ในช่วงการปกครองของบิดา และ อุมัร อิบนุลค่อฏฏอบ นางไม่ได้มีบทบาทในด้านการเมืองแต่อย่างใด นางใช้ชีวิตดุจดังมารดาศรัทธาชนคนอื่น ๆ สั่งสอนชาวมุสลิมกฏบัญญัติศาสนาตามที่ได้ยินมาจากศาสนทูตมุฮัมมัด นางเป็นนักกวีที่จดจำคำโคลงอาหรับมากมาย เป็นนักวาทศิลป์พูดจาเก่ง นักฮะดีษรายงานฮะดีษจากนางมากกว่าสตรีคนอื่นใด ในบรรดาภรรยาของนบีมุฮัมมัดนั้น นางมีความสนิทกับท่านหญิง ฮัฟเศาะหฺ บุตรีอุมัรมากกว่าผู้ใด

แต่หลังจากที่ อุษมาน บินอัฟฟาน ขึ้นปกครอง ความทุจริตเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย อุษมานเองก็แจกจ่ายเงินจากคลังหลวงให้แก่ญาติมิตรตามอำเภอใจ แต่งตั้งพี่น้องจาก ตระกูลอุมัยยะหฺ ขึ้นเป็นใหญ่ และฝ่าฝืนคำสั่งของท่านนบีที่ให้คว่ำบาตร อัลฮะกัม ซึ่งเป็นญาติของ อุษมาน วันพิชิตมักกะหฺ ทว่ากลับปูนบำเหน็จอย่างดี เรียกลูกหลานของอัลฮะกัมเข้ามารับราชการ ซ้ำยังเบิกเงินหนึ่งแสนเหรียญจากคลังหลวง (บัยตุลมาล) เป็นสินน้ำใจให้แก่ อัลฮะกัม อีกด้วย ในทางกลับกัน กลับลดเงินบำนาญที่ นางอาอิชะหฺ และ ฮัฟเศาะหฺ เคยได้รับมาก่อน จากหมื่นสองพันเหรียญต่อปี เป็นเพียงแค่หมื่นเดียว

นางจึงปลุกระดมคนขึ้นต่อต้าน คอลีฟะหฺอุษมาน โดยให้เหตุผลว่า อุษมานขัดคำสั่งสอนของศาสนาอย่างร้ายแรง จนเกิดการจลาจลขึ้นในเมืองมะดีนะหฺ ในเดือนรอมะฎอน ปี ๖๕๖ จวนของ อุษมาน ถูกประชาชนห้อมล้อมไว้ จนอุษมานและผู้คนในจวน อดน้ำอดอาหารเป็นเวลาหลายสัปดาห์

ในที่สุดมีบุรุษสามคนเข้าลอบสังหารอุษมานในจวน หนึ่งในสามคนนั้นก็คือ มุฮัมมัด บินอะบีบักรฺฺ น้องชายท่านหญิงอาอิชะหฺ ชาวเมืองไม่ยอมให้เอาศพของอุษมานไปฝังในสุสานมุสลิม ด้วยเหตุนี้ญาติพี่น้องของ อุษมาน จึงจำเป็นต้องเอาไปฝังในสุสานชาวยิวนอกเขตอัลบะกีอฺ

ต่อมาเมื่อท่าน อะลีย์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นคอลีฟะหฺ นางอาอิชะหฺ ซึ่งมีคดีบาดหมางส่วนตัวกับ อะลีย์ ตั้งแต่สมัยที่ท่านศาสดายังมีชีวิตอยู่ ก็ได้ปลุกระดมมวลชนในมักกะหฺและเมืองอื่น ๆ โดยอ้างว่าอุษมานถูกฆ่าอย่างทารณ แต่อะลีย์ไม่สนใจใยดีที่จะจับฆาตกร เหตุผลดังกล่าวสามารถหลอกผู้คนนอกนอกนครมะดีนะหฺ ให้หลงเชื่อได้ จนนางสามารถเกณฑ์ผู้คนมากมายจนกลายเป็นกองทัพที่มีจำนวนไพร่พลเป็นหมื่น ๆ เมื่อ อะลีย์ ทราบข่าวเช่นนั้นก็กรีฑาทัพด้วยตนเองไปแผ่นดินอิรัก จนเกิดการประจันบานขึ้นในเดือนธันวาคม ค.ศ. ๖๕๖ เรียกสงครามครั้งนั้นว่า สงครามอูฐ เพราะนางเป็นแม่ทัพนำทัพอยู่บนอูฐ การประจัญบานครั้งนั้นยังผลให้ผู้คนตายไปมากกว่า ๕,๐๐๐ คน ส่วนสาวกอาวุโสที่อยู่ในทัพของ อาอิชะหฺ ที่ถูกสังหารก็มีหลายคน ในจำนวนนั้นมีฏอลฮะหฺ กับ ซุเบร ร่วมอยู่ด้วย ทว่ามุฮัมมัด บินอะบีบัีกรฺ น้องชายของนางเป็นขุนศึกอยู่ฝ่าย อะลีย์ เพราะรู้ว่าพี่สาวของตนกระทำความผิดอย่างมหันต์ ที่ก่อการกบฏหมายแย่งชิงอำนาจจากคอลีฟะหฺคนใหม่ ท่านหญิงอาอิชะหฺพ่ายแพ้สงครามและถูกมุฮัมมัดน้องชายของตนคุมตัวกลับไปมะดีนะหฺ

ฝ่าย มุอาวิยะหฺ บุตรของ อะบูซุฟยาน (ุ๖๐๒ - ๖๘๐) ที่ อุษมาน แต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองซีเรีย ก็แข็งเมือง ก่อการกบฏ ปลุกระดมมวลชน อ้างว่า คนที่วางแผนฆ่า อุษมาน ก็คือ อะลีย์ จนเกิดสงครามในปีต่อมา นอกจากนี้ ยังพยายามดึง อาอิชะหฺ และสาวกท่านนบี ให้เข้าไปมีบทบาทในการสถาปนาตั้งตนขึ้นเป็นคอลีฟะหฺและกษัตริย์ในเวลาต่อมา อะบูหุรอยเราะหฺ เลือกที่จะอยู่ฝ่าย มุอาวิยะหฺ ด้วยเหตุนี้ มุอาวิยะหฺ จึงแแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองมะดีนะหฺ หลังท่านอะลีย์เสียชีวิต ในช่วงแรกนางก็ให้การสนับสนุนมุอาวิยะหฺอยู่ แม้ว่า มุอาวิยะหฺ ได้ฆ่า มุฮัมมัด น้องชายของนาง แล้วเอาไปผูกกับซากของลาแล้วเผาไฟพร้อมกัน เป็นการแก้แค้นให้แก่อุษมาน นางก็ยังฝืนใจไม่ต่อต้าน มุอาวิยะหฺ แต่ต่อมาเมื่อเห็นชัดเจนว่า มุอาวิยะหฺ เอานางเป็นเครื่องมือต่อสู้กับ อะลีย์ และมุอาวิยะหฺก็ไม่รับฟังคำพูดของนางเลยที่ห้ามไม่ให้ฆ่าสาวกผู้ทรงคุณธรรมที่มีนามว่า ฮิญิร บินอุดัย และเพื่อน ๆ นางจึงปลีกตัวอยู่ในเมืองมะดีนะหฺอย่างเงียบ ๆ ไม่มีบทบาททางการเมืองอีกเลย

นางเสียชีวิตที่กรุงมะดีนะหฺ เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๖๗๘ แต่สุสานของนางไม่ปรากฏว่าอยู่ในสุสานบะกีอฺ เหมือนมารดาศรัทธาชนคนอื่น ๆ มีรายงานระบุว่านางถูก มุอาวิยะหฺ ลอบวางยาพิษ และถูกฝังใตัพรมที่นางรับประทานอาหาร