เจ-ป็อป

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เจ-ป็อป (ภาษาอังกฤษ: J-pop / ย่อมาจากคำว่า เจแปนนิส ป็อป) หมายถึงแนวดนตรีของประเทศญี่ปุ่น ที่มีลักษณะดนตรีผสมผสานจากทางตะวันตก ซึ่งรวมถึงดนตรีในลักษณะ ป๊อป ร็อก แดนซ์ ฮิพฮ็อพ และ โซล

เจ-ป๊อป เป็นหนึ่งใน 4 แนวดนตรีที่มีการจำแนกในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้แก่ เจ-ป๊อป, เอ็งกะ (ลักษณะคล้ายบัลลาด), ดนตรีคลาสสิค และ ดนตรีต่างประเทศ

สารบัญ

[แก้] ประวัติ

เจ-ป็อป เป็นแนวดนตรีที่มีรากฐานมาจากเพลงแจซซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในญี่ปุ่นช่วงโชวะตอนต้น (สมัยราชวงศ์ของจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ) แจซเป็นแนวเพลงที่นำเอาเครื่องดนตรีใหม่ ๆ หลายชิ้น ที่ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ในการแสดงเพลงคลาสสิคและเพลงมาร์ชของทหาร มาแนะนำให้ชาวญี่ปุ่นได้รู้จัก และมาช่วยแต่งแต้มสีสัน “ความสนุก” ให้กับวงการเพลงของญี่ปุ่นให้มากขึ้น เครื่องดนตรีต่าง ๆ เหล่านั้น ได้ถูกนำไปใช้ตามคลับและบาร์ในญี่ปุ่นหลาย ๆ ที่ โดยที่ที่โด่งดังและมีชื่อในเรื่องการแสดงเพลงแจซมากที่สุดก็คือ องงากุ คิซซะ (「音楽喫茶」 Ongaku Kissa?) (แปลว่า คาเฟ่ดนตรี)

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 การแสดงดนตรีแจซในญี่ปุ่นได้หยุดชะงักลงชั่วคราวเนื่องด้วยการกดดันจากฝ่ายทหารของจักรพรรดิญี่ปุ่น แต่พอสงครามได้สิ้นสุดลงแล้ว แนวดนตรีจากต่างประเทศ ทั้งบูกี-วูกี แมมโบ บลูส์ และคันทรี ก็ต่างตบเท้าทยอยเข้ามาสู่ดินแดนอาทิตย์อุทัยอย่างไม่ขาดสาย โดยผู้ที่นำเข้าดนตรีเหล่านี้ก็คือทหารของสหรัฐอเมริกาที่เข้าไปทำงานในญี่ปุ่นและกลุ่มเครือข่ายตะวันออกไกล

จากการไหลเข้ามาของแนวเพลงอันหลากหลายในช่วงนั้น ได้ทำให้นักดนตรีสากลชาวญี่ปุ่นหลาย ๆ คนถือกำเนิดขึ้นและสร้างผลงานที่โด่งดังออกมาหลายเพลง ตัวอย่างเช่น โตเกียว บูกี-วูกี ของชิซูโกะ คาซางิ (พ.ศ. 2491), เท็นเนซซี วอลทซ์ ของเอริ จิเอมิ (พ.ศ. 2494), โอมัตสึริ แมมโบ ของมิโซระ ฮิบาริ และ โอโมยเดะ โนะ วอลทซ์ ของอิซูมิ ยูกิมูระ เป็นต้น นอกจากนั้น กลุ่มศิลปินและศิลปินแจซชื่อดังจากต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น เจเอทีพี หรือ หลุยส์ อาร์มสตรอง ก็ยังเคยไปเปิดการแสดงในญี่ปุ่นช่วงนั้นด้วย

ปีที่ถือว่าเป็น "ปีแห่งการเฟื่องฟูของเพลงแจส” (Year of the Jazz Boom) ที่สุดในญี่ปุ่นคือปีพ.ศ. 2495 โดยในปีนั้น เพลงแจซเริ่มที่จะเพิ่มระดับประสิทธิภาพทางเทคนิคให้สูงขึ้น ส่งผลให้การเล่นเพลงแจซในสมัยนั้นเริ่มยากขึ้นตามไปด้วย นักดนตรีชาวญี่ปุ่นหลายคนจึงต้องหันไปเล่นดนตรีสไตล์คันทรีที่สามารถเรียนรู้และนำไปแสดงได้ง่ายกว่าแทน ทำให้เพลงหลาย ๆ เพลงในช่วงนั้นมีกลิ่นไอของคันทรีเป็นพื้นฐาน

ในปีพ.ศ. 2499 กระแสคลั่งเพลงร็อก แอนด์ โรลในญี่ปุ่นได้เริ่มต้นขึ้น ผู้ที่ปลุกกระแสนี้ขึ้นมาคือกลุ่มวงดนตรีคันทรีที่ชื่อ โคซากะ คาซูยะ แอนด์ เดอะ แวกอน มาสเตอร์ส และเพลง ฮาร์ทเบรก โฮเทล ของเอลวิส เพลสลีย์ จุดสูงสุดของความนิยมร็อก-แอนด์-โรลในญี่ปุ่นอยู่ที่ปีพ.ศ. 2502 โดยในปีนั้นได้มีภาพยนตร์ญี่ปุ่นอยู่เรื่องหนึ่งได้นำเอาวงดนตรีร็อก-แอนด์-โรลหลาย ๆ วงมาร่วมแสดงด้วย ทำให้เกิดเป็นการตอกย้ำกระแสร็อก แอนด์ โรล ในญี่ปุ่นให้อยู่ยงมากขึ้นไปอีก แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อกระแสความคลั่งไคล้เพลงแนวร็อก แอนด์ โรล ในอเมริกาถึงจุดสิ้นสุด กระแสเดียวกันที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นก็เป็นอันต้องยุติลงไปด้วย เนื่องจากว่าวงดนตรีของญี่ปุ่นหลาย ๆ วงนั้นได้รับอิทธิพลมาจากวงดนตรีของอเมริกาค่อนข้างมาก ถ้าหากกระแสดนตรีของอเมริกาเปลี่ยนแปลงไปในญี่ปุ่นก็จะเปลี่ยนตามทันที

ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้เอง ได้มีนักดนตรีบางคนพยายามจะนำเอาแนวเพลงป็อปดั้งเดิมของญี่ปุ่นมาผสมรวมกับร็อก-แอนด์-โรล โดยผู้ที่ประสบความสำเร็จจากการกระทำเช่นนี้คนหนึ่งก็คือ คีว ซากาโมโตะ กับเพลงที่ชื่อ อูเอะ โวะ มุยเตะ อารูโก้ (เพลงนี้รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า ซูกิยากิ) เพลงนี้เป็นเพลงภาษาญี่ปุ่นเพลงแรกที่เข้าไปอยู่อันดับ 1 ในชาร์ตจัดอันดับเพลงยอดนิยมของสหรัฐอเมริกา (ติดอันดับหนึ่งสี่สัปดาห์ในนิตยสารแคชบ็อกซ์ กับอีกสามสัปดาห์ในนิตยสารบิลบอร์ด) และยังได้รับรางวัล โกลด์ เร็คคอร์ด จากการที่สามารถขายแผ่นเสียงได้หนึ่งล้านแผ่นอีกด้วย

ขณะเดียวกัน ก็มีนักร้องนักดนตรีญี่ปุ่นกลุ่มอื่น ๆ ที่ตัดสินใจหันมาใช้วิธีนำเอาเพลงดัง ๆ จากอเมริกามาแปลเนื้อให้เป็นภาษาญี่ปุ่นและนำมาร้องจนโด่งดัง (วิธีการดังกล่าวนี้ถือเป็นจุดกำเนิดของการโคเวอร์เพลง ซึ่งเป็นอีกลูกเล่นหนึ่งที่วงการเพลงปัจจุบันยังใช้กันอยู่) แต่พอถึงยุคที่ทุก ๆ ครัวเรือนในญี่ปุ่นเริ่มมีโทรทัศน์หรือวิทยุเป็นของตัวเอง ซึ่งทำให้พวกเขาได้มีโอกาสฟังหรือชมภาพการแสดงและเพลงของต้นฉบับจากอเมริกาจริง ๆ ความนิยมที่จะบริโภคผลงานโคเวอร์เช่นนี้ก็เริ่มลดลงเรื่อย ๆ

ต่อมาในช่วงต้นทศวรรษที่ 70 ถึงกลางทศวรรษที่ 80 กระบวนการการสร้างเพลงเริ่มมีความซับซ้อนในด้านการเรียบเรียงและการใช้เครื่องดนตรีมากขึ้น คนส่วนใหญ่จะเรียกเพลงที่เกิดจากกระบวนเช่นนี้ว่า นิว มิวสิก เพลงนิว มิวสิก หลาย ๆ เพลงจะมีเนื้อหาที่สนองความต้องการของสังคมอย่างเรื่องความรักหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างนักร้องญี่ปุ่นแนวนิว มิวสิก ที่เป็นที่รู้จักกันดีก็ได้แก่ ทากูโระ โยชิดะ และ โยซูอิ อิโนอูเอะ

ในช่วงทศวรรษที่ 80 (พ.ศ. 2523พ.ศ. 2532) เพลงแนว ซิตี ป็อป ก็เริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในญี่ปุ่น เพลงแนวนี้จะเป็นเพลงที่ให้ผู้ฟังได้สัมผัสกับกลิ่นไอบรรยากาศของเมืองใหญ่ ในญี่ปุ่น กรุงโตเกียวถือเป็นเมืองหลักที่สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดเพลงแนวนี้ขึ้นมาหลายต่อหลายเพลง

ทั้งเพลงแนวนิว มิวสิก และเพลงแนวซิตี ป็อป ต่างก็มีความคล้ายคลึงกัน ไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน เพลงหลาย ๆ เพลงที่ถูกสร้างขึ้นมาในช่วงนั้นก็มักจะมีทั้งความเป็นนิว มิวสิก และซิตี ป็อบ ผสมอยู่ในตัว ดังนั้น ในเวลาต่อมาจึงได้เกิดชื่อ วาเซ ป็อป (เจแปน-เมด ป็อป / เพลงป็อปที่สร้างโดยญี่ปุ่น) ขึ้น เพื่อมาใช้อธิบายเพลงแนวนิว มิวสิก และซิตี ป็อป รวมกัน

จนกระทั่งในทศวรรษที่ 90 คำว่า เจ-ป็อป ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อที่จะนำมาใช้อธิบายลักษณะเพลงป็อปดัง ๆ หลาย ๆ เพลงในช่วงนั้นแทนคำว่าวาเซ ป็อป

ศิลปินเจ-ป็อบที่มีชื่อในช่วงนั้น ส่วนมากจะเป็นนักร้องที่เป็นผู้หญิง ตัวอย่างเช่น แดนซ์ ควีน (โยโกะ โองิโนเมะ) หรือจิซาโตะ โมริตากะ เป็นต้น ส่วนนักร้องเจ-ป็อปที่เป็นผู้ชายก็มีอยู่เช่นกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ฮิการุ เก็นจิ กลุ่มบอยแบนด์ติดโรลเลอร์สเก็ตที่ตอนนี้สมาชิกในกลุ่มต่างก็แยกย้ายไปมีชื่อเสียงในทางของตัวเองแล้ว และอีกคนหนึ่งก็คือ เอกิจิ ยาซาวะ ร็อกเกอร์หนุ่มที่ผันแนวมาร้องเพลงป็อป และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกเมื่อเขาได้เซ็นสัญญากับบริษัทบันทึกเสียงวอรเนอร์ ไพโอเนียร์ ในปีพ.ศ. 2523 (เขาได้ย้ายไปอาศัยอยู่ ณ แถบชายฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา และได้สร้างอัลบั้มเพลงที่นี่ไว้ 3 อัลบั้มด้วยกัน ได้แก่ ยากาซาวะ, อิทส์ จัสท์ ร็อก เอ็น’ โรล, และ แฟลช อิน เจแปน อัลบั้มทั้งหมดได้ส่งไปจำหน่ายในหลายประเทศ แต่ก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในด้านการโฆษณานัก)

นักร้องเจ-ป็อปที่น่าจดจำอีกคนหนึ่งก็คือ เซโกะ มัตสึดะ เธอคนนี้เป็นนักร้องหญิงชาวญี่ปุ่นที่โด่งดังอย่างมากในช่วงทศววรษที่ 80 โดยเพลงที่นำความสำเร็จมาให้เธอเพลงหนึ่งคือเพลงภาษาอังกฤษที่เธอร้องเอาไว้ในอัลบั้ม อีเทอนัล (อัลบั้มนี้ออกจำหน่ายเมื่อปีพ.ศ. 2534) และความโด่งดังของเธอยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีกเมื่อหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ของอเมริกาได้ลงข่าวว่าเธอมีความสัมพันธ์กับดอนนี วอห์ลเบิร์ก (สมาชิกกลุ่มนิว คิดส์ ออน เดอะ บล็อก) ที่เคยมาร้องเพลง เดอะ ไรท์ คอมไบเนชัน คู่กับเธอมาก่อนหน้าที่จะมีข่าว

ผลงานเพลงของเซโกะยังเคยครองอันดับ 1 ในชาร์ตเพลงของนักร้องหญิงญี่ปุ่นติดต่อกันอย่างยาวนานที่สุด แต่สถิตนั้นก็ถูกทำลายไปโดยผลงานของอายูมิ ฮามาซากิ

หลังจากผ่านพ้นยุคของเซโกะไปแล้ว นักร้องเจ-ป็อปหลาย ๆ คนก็ได้แจ้งเกิดขึ้นมาในวงการเพลงของญี่ปุ่น ตัวอย่างเช่น นากายามะ มิโฮะ, นากาโมริ อากินะ, โมริตากะ จิซาโตะ และคูโดะ ชิซูกะ เป็นต้น

ในช่วงปลายทศวรรษที่ 80 ได้มีการกำเนิดขึ้นของวงร็อกที่ชื่อ จาเงะ แอนด์ อัสกะ ซึ่งถือเป็นวงร็อกระดับตำนานของญี่ปุ่นและเอเชีย และยังครองใจแฟนเพลงได้ถึงปัจจุบัน สมาชิกของวงประกอบไปด้วยนักร้องสองคนได้แก่ จาเงะ (ชูจิ ชิบาตะ) และ เรียว อัสกะ (ชิเงอากิ มิยาซากิ – ปัจจุบันนี้เขาได้กลายมาเป็นนักประพันธ์เพลงชั้นเซียนคนหนึ่งของญี่ปุ่นไปแล้ว) พวกเขาได้ร่วมกันสร้างผลงานเพลงที่ดังแบบถล่มทลายเรื่อยมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 80 จนมาถึงทศวรรษที่ 90 (พ.ศ. 2533พ.ศ. 2542) นอกจากนั้นแล้ว การทัวร์คอนเสิร์ต เอเชียน ทัวร์ II / มิซชัน อิมพอสซิเบิล ของพวกเขาก็ยังเป็นการทัวร์คอนเสิร์ตรายการใหญ่ที่สุดของนักร้องญี่ปุ่นเท่าที่เคยมีมาอีกด้วย (คอนเสิร์ตครั้งนั้นเปิดแสดงทั้งหมด 61 รอบใน 4 แห่งด้วยกัน ซึ่งได้แก่ ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน โดยทุกรอบนั้น บัตรจะขายหมดตั้งแต่วันแรกที่เปิดจำหน่ายเสมอ)

แต่ต่อมา ในช่วงกลางถึงปลายทศวรรษที่ 90 กระแสความนิยมแนวเพลงก็เริ่มเปลี่ยนไปจากร็อกกลายมาเป็นป็อปแดนซ์ จึงส่งผลให้วงร็อกแบบจาเงะ แอนด์ อัสกะ เป็นอันต้องตกรุ่นไปในที่สุด

ทศวรรษที่ 90 ถือเป็นช่วงเวลาที่วงการเพลงญี่ปุ่นได้ผลิตนักร้องเจ-ป็อปออกมาเป็นจำนวนมาก โดยในรอบสิบปีนี้ แต่ละปีจะมีศิลปินหรือกลุ่มศิลปินเจ-ป็อปต่าง ๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมามีชื่อเสียงและครองใจตลาดใหญ่เอาไว้ เริ่มตั้งแต่ช่วงปีพ.ศ. 2533 ถึงพ.ศ. 2536 ศิลปินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตอนนั้นก็คือ ซาร์ด, Wands, Deen, บีซ และ เซาวเธอร์น ออล สตาร์ส ต่อจากนั้นในปีพ.ศ. 2537 ถึงพ.ศ. 2540 ผู้ที่ครองตลาดเจ-ป็อปกลุ่มต่อมาก็คือศิลปินในตระกูล ทีเค (เท็ตสึยะ โคมูโระ), นามิเอะ อามูโระ, แม็กซ์ (เดอะ ซูเปอร์ มังกีส์) และสปีด นอกจากนั้นในช่วงปลายของยุคนี้ มอร์นิงมูซูเมะซึ่งถือได้ว่าเป็นกลุ่มนักร้องหญิงเจ-ป็อปที่โด่งดังมากในปัจจุบันก็เพิ่งจะเริ่มก่อตั้งกลุ่มครั้งแรกในปีพ.ศ. 2540

(กลุ่มมอร์นิงมูซูเมะได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในช่วงปลายของยุคนี้ และยังคงสานต่อความโด่งดังของกลุ่มเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันด้วยการค้นสมาชิกใหม่ ๆ เข้ามาหมุนเวียนในกลุ่มตลอดเกือบทุกปี และยังได้นำเอารูปแบบ “การแตกกลุ่มนักร้องย่อย” จากอนยังโกะ คลับ กลุ่มนักร้องหญิงที่โด่งดังในช่วงทศวรรษที่ 80 มาใช้ด้วย / ทั้งกลุ่มมอร์นิงมูซูเมะและสปีดต่างก็สร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ เนื่องจากผลงานของพวกเธอสามารถขายได้เกินล้านก็อปปี้ และนอกจากนั้นทั้งสองกลุ่มนี้ยังมีแนวเพลงแบบป็อป-เทคโนที่คล้ายกันอีกด้วย)

ต่อมาในปีพ.ศ. 2541 อันดับที่ 1 ของชาร์ตเพลงเจ-ป็อปก็เปลี่ยนมือมาเป็นของวิชวล เค และชัซนะ และในปีพ.ศ. 2542 ก็เป็นการปิดท้ายยุค 90 ด้วยความนิยมในตัวนักร้องที่เป็นผู้หญิง อย่างอูทาดะ ฮิคารุ หรืออายูมิ ฮามาซากิ

โดยเฉพาะอูทาดะ เธอคนนี้เป็นทั้งนักร้องและนักประพันธ์เพลงสาวที่ทรงอิทธิพลของวงการเพลงญี่ปุ่นผู้หนึ่ง เธอคือผู้ที่นำเอากระแสอาร์&บีเข้ามาสู่เจ-ป็อปผ่านทางเพลงซิงเกิลแรกของเธอที่ชื่อ ออโตเมติค / ทาม วิล เทล นอกจากนั้นแล้วผลงานอัลบั้ม เฟิรสท์ เลิฟ ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกของเธอ ก็สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 9,500,000 ก็อปปี้ ซึ่งถือเป็นสถิติของอัลบั้มเพลงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาลของญี่ปุ่น และเป็นยอดขายที่ไม่เคยมีผลงานอัลบั้มแรกของศิลปินญี่ปุ่นคนใดเคยทำได้สูงเท่านี้มาก่อนอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเพลงอาร์&บีของอูทาดะจะถูกหูผู้จำนวนมหาศาล แต่แนวเพลงกระแสหลักที่คนส่วนใหญ่ยังนิยมกันอยู่ในขณะนั้นก็ยังคงเป็นเพลงป็อปเช่นเดิม ทำให้เกิดศิลปินแนวป็อปคนอื่น ๆ อย่าง BoA, มาอิ คุรากิ และอามิ ซูซูกิ ขึ้นมาประดับวงการเรื่อยมา

ส่วนศิลปินที่ดูเหมือนจะโด่งดังและมีชื่อเสียงเกือบตลอดทั้งทศวรรษนั้นเลย ก็คือ SMAP ศิลปินกลุ่มนี้เป็นกลุ่มบอยแบนด์ที่นำเอาเพลงของตัวเองและการโชว์ พรสวรรค์ ผ่านทางโทรทัศน์มารวมเข้าไว้ด้วยกัน (ในช่วงปีหลัง ๆ ของทศวรรษนี้ คิมูระ ทากูยะ หนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม ได้กลายมาเป็นนักแสดงที่เป็นที่นิยมไป โดยจะใช้ชื่อ คิมูตากุ เป็นชื่อเรียกแทนตัวเขาในวงการการแสดง)

เมื่อเข้าสู่ทศวรรษที่ 00 (พ.ศ. 2543พ.ศ. 2552) โดยเฉพาะช่วงกลางทศวรรษ แนวเพลงอาร์&บีและฮิพฮ็อพต่างก็เข้ามามีอิทธิพลต่อวงการเพลงของญี่ปุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เนื้อหาของเพลงที่สร้างออกมาในช่วงนี้ก็เริ่มที่จะประเดียดไปในทางล่อแหลม ลามกอนาจาร และยุยงในเรื่องที่ไม่ดีมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ศิลปินหลาย ๆ คนที่เคยร้องแต่เพลงที่มีเนื้อหาพื้น ๆ ธรรมดา ต้องปรับมาร้องเพลงที่มีเนื้อหาที่กล้าและหยาบกร้านเช่นนี้กันเกือบหมด

ในขณะเดียวกัน เจ-ป็อปบางส่วนยังได้รับอิทธิพลจากแนวเพลงอินดี้ด้วย เช่น ผลงานของโคอิโกะ นักร้องหญิงแนวป็อป/อาร์&บีจากค่ายเพลงอินดี้ในเมืองมิยาซากิ เป็นต้น

ชาร์ตอันดับเพลงเจ-ป็อปในช่วงนี้ก็ถูกปกคลุมไว้ด้วยรายชื่อของนักร้องชายทั้งเดี่ยวและกลุ่มเป็นส่วนใหญ่ ส่วนนักร้องที่เป็นผู้หญิงนั้นก็เริ่มเสื่อมความนิยมไปตั้งแต่สิ้นสุดทศวรรษที่ 90 แต่อย่างไรก็ตาม นักร้องหญิงอย่างอายูมิ ฮามาซากิ, คูมิ โคดะ, อูทาดะ ฮิคารุ, ไอ อตสึกะ, มิกะ นากาชิมะ และ BoA ก็ยังคงเป็นอันดับหนึ่งในชาร์ตของนักร้องหญิงอยู่ดี

[แก้] จุดกำเนิดของศิลปินเจ-ป็อป

ในประเทศญี่ปุ่น การที่จะกลายเป็นศิลปินแนวเจ-ป็อปที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงได้นั้น ส่วนใหญ่แล้วมีอยู่สองหนทางด้วยกัน หนทางแรกคือ เริ่มต้นด้วยการเข้าไปสมัครคัดเลือกเป็นนักแสดงหรือนักร้องในบทบาทรองเสียก่อน อย่างเช่นร้องเพลงประกอบโฆษณา หรือเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา เป็นต้น แล้วค่อยขยับฝีมือไปแสดงหรือร้องเพลงในงานที่ใหญ่กว่าเดิม เช่น แสดงละครโทรทัศน์หรือร้องเพลงประกอบละคร เป็นต้น ส่วนหนทางที่สองคือ เข้าไปร่วมประกวดบนเวทีที่เปิดคัดเลือกนักร้องสมัครเล่นให้เข้ามาอยู่ในวงการ วิธีนี้ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมมาแล้วหลายตัวอย่าง อย่างเช่นมอร์นิงมูซูเมะ กลุ่มนักร้องหญิงที่ประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ สมาชิกทุกคนที่ทั้งเป็นและเคยเป็น ต่างก็ต้องผ่านการประกวดบนเวทีเช่นนี้มาแล้ว

[แก้] ผลที่มีต่อวัฒนธรรมสมัยนิยม

เจ-ป็อปเป็นแนวเพลงที่มีการบูรณาการให้เข้ากับวัฒนธรรมสมัยนิยมของญี่ปุ่นทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นอะนิเมะ ร้านค้า โฆษณา ภาพยนตร์ รายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ และวีดีโอเกม

ในการ์ตูนอะนิเมะและรายการโทรทัศน์ของญี่ปุ่น โดยเฉพาะที่เป็นละคร เพลงประกอบไตเติ้ลทั้งเปิดและปิดของรายการเหล่านี้เกือบทุกเรื่องก็เป็นเพลงเจ-ป็อปทั้งสิ้น โดยในช่วงระยะเวลาหนึ่งปี อะนิเมะและละครแต่ละเรื่องจะมีการเปลี่ยนเพลงประกอบเหล่านี้ประมาณสี่ครั้งด้วยกัน ทำให้เพลงประกอบทั้งหมดในหนึ่งเรื่องหรือหนึ่งฤดูกาลเฉลี่ยแล้วมีประมาณ 8 เพลง และถ้าหากเปรียบเทียบเรื่องจำนวนเพลงประกอบกับของละครซีรี่ส์อเมริกันที่ออกฉายมาอย่างยาวนานที่สุดเรื่อง บัฟฟี เดอะ แวมไพร์ สเลเยอร์ ซึ่งมีทั้งหมดเจ็ดฤดูกาลตั้งแต่พ.ศ. 2540 ถึงพ.ศ. 2546 เพลงประกอบรายการของญี่ปุ่นแต่ละเรื่องก็ยังมีจำนวนมากกว่า โดยในเรื่องบัฟฟีฯนั้นมีเพลงประกอบทั้งหมด 30 เพลง แต่ในอะนิเมะญี่ปุ่นหนึ่งเรื่องที่ออกฉายด้วยจำนวนเวลาเดียวกัน กลับมีเพลงประกอบเต็ม ๆ ทั้งหมดถึง 56 เพลงและอย่างน้อยจะต้องมีเพลงซิงเกิลของเรื่องอีก 1 เพลงด้วย

นอกจากอะนิเมะและรายการโทรทัศน์แล้ว แม้กระทั่งรายการข่าวของญี่ปุ่นบางรายการ ก็ยังนำเอาเพลงเจ-ป็อปมาเปิดประกอบในเครดิตช่วงท้ายเหมือนกัน

ส่วนในวงการวีดีโอเกม เพลงเจ-ป็อปก็ยังได้เข้าไปมีส่วนเป็นเพลงประกอบด้วย อย่างในเกมขายดีของค่ายสแควร์ที่ชื่อ คิงดอม ฮาร์ทส ทั้งภาคหนึ่งและสอง ก็ได้เพลงของอูทาดะ ฮิคารุ มาใช้เป็นเพลงประกอบ และนอกจากนั้น เพลง อีซีย์ บรีซีย์ ของอูทาดะเองก็ยังนำไปใช้โปรโมทเครื่องเกมพกพาอย่างนินเท็นโด ดีเอส ด้วย

[แก้] อายุในวงการเพลงของศิลปินเจ-ป็อป

ผลงานของศิลปินเจ-ป็อปคนหนึ่ง ๆ ส่วนมากจะมีอัลบั้มเพียงหนึ่งชุดและเพลงซิงเกิลอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นมาพวกเขาก็จะหมดชื่อเสียงและหายเข้ากลีบเมฆไป ซึ่งก็เป็นเรื่องยากอยู่เช่นกันที่ศิลปินเจ-ป็อปจะมีชีวิตอยู่ในวงการเพลงได้มากกว่านี้ เพราะฉะนั้นถ้าหากศิลปินเจ-ป็อปคนไหนหรือกลุ่มใดสามารถคงความนิยมและดำรงตนเองอยู่เป็นเวลาสิบปีขึ้นไปได้ ก็ถือว่าเป็นศิลปินที่ยอดเยี่ยมมาก

ตัวอย่างของศิลปินเจ-ป็อปที่ยังคงสร้างผลงานเพลงออกมาได้เกิน 15 ปีก็ได้แก่ นกโกะ, เซโกะ มัตสึดะ, จิซาโตะ โมริตากะ และยาซาวะ เอกิจิ ส่วนที่เป็นนักร้องกลุ่มก็ได้แก่ ดรีมส์ คัม ทรู, จาเงะ & อัซกะ, บีซ, เซาว์เธิน ออล สตาร์ส, เดอะ พิลโลว์ส, สพิทซ์ และทิวบ์