เซลีน ดิออน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เซลีน ดิออน | ||
---|---|---|
![]() |
||
ข้อมูลพื้นฐาน | ||
ชื่อจริง | เซลีน มารี โกลแดต ดียง Céline Marie Claudette Dion |
|
วันเกิด | 30 มีนาคม พ.ศ. 2511 | |
แหล่งกำเนิด | ![]() |
|
แนวเพลง | ป็อป, บัลลาด | |
อาชีพ | นักร้อง | |
ปี | พ.ศ. 2524-ปัจจุบัน | |
ค่าย | Epic Records/550 Music | |
เว็บไซต์ | http://www.celinedion.com/ |
เซลีน ดิออน (Céline Dion) (30 มีนาคม พ.ศ. 2511) เป็นนักร้องชาวแคนาดา แนวป็อป สังกัดค่าย Sony BMG
สารบัญ |
[แก้] ข้อมูลส่วนบุคคล
- ชื่อ เซลีน มารี โกลแดต (Céline Marie Claudette)
- ชื่อสกุล ดียง (Dion)
- ชื่อที่ใช้ในวงการ เซลีน ดิออน (Céline Dion)
- วันเกิด 30 มีนาคม พ.ศ. 2511
- สถานที่เกิด อำเภอชาร์เลอมาน จังหวัดมอนเทรออล รัฐควิเบก แคนาดา
- บิดา นายอาเดมาร์ ดียง (Adhémar Dion)
- มารดา นางตางเกวย์ เตแรส (Tanguay Thérèse)
- สามี นายเรอเน แองเชลิล (René Angélil)
- บุตร เด็กชายเรอเน-ชาลส์ แองเชลิล (René-Charles Angélil)
- อาชีพ นักร้อง
- วันสมรส 17 ธันวาคม พ.ศ. 2537
- สถานที่สมรส จังหวัดมอนเทรออล รัฐควิเบก แคนาดา
- ราศี เมษ
- สีผม น้ำตาลเข้ม
- สีดวงตา น้ำตาลอ่อน
- ส่วนสูง 171 เซนติเมตร (5 ฟุต 7.5 นิ้ว)
- เลขนำโชค 5
- น้ำหอมที่ใช้ ชาแนลหมายเลข 5
- ขนาดรองเท้า 40
- สีที่โปรด ดำ ขาว แดง
- ของสะสม รองเท้า
- กีฬาที่โปรด กอล์ฟ
- นักร้องชายที่โปรด นายสเตวี วอนเดอร์ (Stevie Wonder) และนายไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson)
- นักร้องหญิงที่โปรด นางนาตาลี โคล (Natalie Cole) นางบาร์บรา สไตรแซนด์ (Barbra Streisand) และนางกีแนตต์ เรอโน (Ginette Reno)
- ความสามารถทางดนตรี สามารถบรรเลงเปียโน
[แก้] ผลงาน
- ดูบทความหลักที่ ผลงานของเซลีน ดิออน
[แก้] ประวัติ
[แก้] ก้าวแรกแห่งความสำเร็จ [2524-2530]
เซลีนเกิดที่อำเภอชาร์เลอมานทางตะวันออกของจังหวัดมอนเทรออล รัฐควิเบก ประเทศแคนาดาเป็นบุตรคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 14 คน
สมาชิกในครอบครัวทุกคนประกอบอาชีพแสดงดนตรีในบ้านซึ่งเปิดเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ และในวันหยุดจะได้แสดงดนตรีโดยพร้อมหน้ากันทุกคน
เมื่ออายุ 12 ปี สมาชิกครอบครัวได้ร่วมกันจัดให้เซลีนได้ขับร้องเพลงและอัดเป็นวีดิทัศน์เพื่อสนับสนุนให้ประกอบอาชีพทางการขับร้องต่อไป โดยมารดาได้แต่งเพลงภาษาฝรั่งเศสขึ้นหนึ่งเพลง ชื่อ "เซอ เนเต กัง แรฟ" (Ce n'était qu'un rêve, นี้เป็นเพียงแค่ความฝันหนึ่ง)
ต่อมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2524 นายเรอเน แองเชลิน ผู้อำนวยการค่ายเพลงเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในแคนาดาได้รับวีดิทัศน์ดังกล่าว และเล็งเห็นความสามารถของเซลีน จึงประกาศจำนองบ้านของตนเองเพื่อทำเงินมาเป็นทุนทรัพย์ในการจัดสร้างผลงานเพลงชุดแรกของเซลีน ชื่อ "ลา วัวซ์ ดู บง ดีเยอ" (La voix du bon dieu, เสียงสวรรค์)
ตั้งแต่ พ.ศ. 2525 เป็นต้นมา เซลีนเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น โดยได้เข้าร่วมการประกวดการขับร้องเพลงในเทศกาลการขับร้องสากล จัดโดยบริษัท ยามาฮ่า (Yamaha World Song Festival) ณ กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น ได้รับรางวัลขวัญใจนักดนตรีจากการลงคะแนนเสียงของคณะดนตรีในวันดังกล่าว (Coveted Musician's Award for Top Performer) และใน พ.ศ. 2526 ได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำ (Gold Record) จากฝรั่งเศส
[แก้] ก้าวแรกในสหรัฐอเมริกา [2531-2538]
ในปี 1988 เซลีนเป็นที่รู้จักของทุกคนในแคนาดา เธอได้รับการสนับสนุนอย่างมากมายจากชาวเมืองควิเบก ในฐานะบ้านเกิด จนเรอเน่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งใน โซนี่ มิวสิก และในที่สุดเธอก็ได้ออกอัลบั้มภาษาอังกฤษชุดแรก ในสังกัด Sony Music (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น Sony BMG) ในชื่อชุด Unison เมื่อปี 1990 พร้อมด้วยซิงเกิ้ลแรก "Where Does My Heart Beat Now" ได้เข้าไปติดชาร์ทท็อป 5 ในบิลบอร์ด
เซลีนได้รับความรู้จักเพิ่มขึ้นอีกอย่างกว้างขวาง เมื่อเพลง "Beauty and the Beast" ได้ออกอากาศและฮิตติดชาร์ทท็อปเท็น โดยเพลงนี้ได้บรรจุอยู่ในอัลบั้มภาษาอังกฤษชุดที่ 2 ของเธอ แถมยังคว้ารางวัลแกรมมี่มาครองด้วย ในอัลบั้มชุดที่สองที่ใช้ชื่อว่า Celine Dion ยังมีซิงเกิ้ลดังบรรจุไว้อีกมากมายทั้ง "Love Can Move Mountains," "Water From The Moon," "If You Asked Me To" และ "Did You Give Enough Love" ซึ่งในแคนาดาที่เดียวชุดนี้ก็กวาดไปแล้ว 6 แผ่นทองคำขาว และรางวัล Juno Awards ปี 1992
17 ธันวาคม 1994 เซลีนและเรอเน่ ได้แต่งงานกันที่ โบสถ์บาสิลิกา ในเมืองมอนทรีอัล ซึ่งในช่วงนั้น ซิงเกิ้ลจากอัลบั้มชุดที่สามของเธอ "Think Twice" จากอัลบั้ม The Colour Of My Love ก็ได้ขึ้นชาร์ทเป็นอันดับหนึ่งในชาร์ทในอังกฤษอยู่ถึง 7 สัปดาห์ ซึ่งถือว่าติดอันดับหนึ่งนานมากที่สุดเทียบเท่าจากที่เดอะ บีทเทิลส์ทำไว้เมื่อ ปี 1965 ยังได้สถิติเป็นนักร้องหญิงคนล่าสุดที่ขายซิงเกิ้ลได้ถึงหนึ่งล้านแผ่น ในอังกฤษ [1]
พร้อมกันนั้น D'eux อัลบั้มเพลงภาษาฝรั่งเศส อันดับถัดมา ไต่เข้าชาร์ทอังกฤษสูงสุดอันดับ 7 ในอัลบั้มเธอได้อุทิศเพลง Vole ให้กับการก่อตั้งมูลนิธิ Canadian Cystic Fibrosis Foundation เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับแครีน หลานสาวเธอที่จากไปด้วยโรคร้าย
[แก้] ประสบความสำเร็จทั่วโลก [1996 - 1999]
ในเดือนมีนาคม 1996 อัลบั้ม Falling Into You ได้สร้างประวัติศาสตร์เป็นอัลบั้มที่ขายได้มากที่สุดจากการรวมยอดขายทุกอัลบั้มที่ออกในปีนั้น ตัวอัลบั้มขึ้นสู่อันดับสูงสุดในชาร์ทถึง 11 ประเทศด้วยกัน และได้รับรางวัลแกรมมี่ อวอร์ด ในประเภท อัลบั้มเพลงป็อปยอดเยี่ยมแห่งปี ในงานประกาศผลแกรมมี่ประจำปี ครั้งที่ 39[2] ตัวอัลบั้มทำยอดขายได้สูงถึง 25 ล้านก็อบปี้ จากการขายทั่วโลก
อัลบั้มต่อมา Let's Talk About Love ได้รับรางวัลแกรมมี่ถึง 2 ตัว[3]] เพลงในอัลบั้มได้บันทึกเสียงใน ลอนดอน นิวยอร์ก และลอสแองเจลลิส อัลบั้มนี้เซลีนได้ผู้ร่วมทำงานมากมาย ทั้งนักร้อง นักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์มือดี
นอกจากนี้ตัวอัลบั้มยังได้วางแผงในวันเดียวกับอัลบั้มรวมเพลงประกอบภาพยนตร์ไททานิค ซึ่งอัลบั้มทั้งคู่ได้บรรจุเพลง "My Heart Will Go On" เพลงประกอบภาพยนตร์จาก ไททานิคเพลงนี้ประพันธ์โดยวิลล์ เจนนิ่ง และได้รับการอำนวยเพลงโดย เจมส์ ฮอร์เนอร์ และวอลเตอร์ เอฟฟานาซีฟ ตัวเพลงมักได้รับเลือกให้ใช้เปิดในงานแต่งงานจากเหล่าแฟนเพลงของเซลีน
Let's Talk About Love มียอดขายรวมสูงถึง 31 ล้านก็อบปี้ ตัวอัลบั้มประกอบหนัง ขายได้มากกว่า 27 ล้านแผ่น ทั่วโลกเช่นกัน จนบัดนี้ได้ขึ้นแท่นเป็นอัลบั้มเพลงบรรเลงที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์โลกไปเรียบร้อยแล้ว เซลีนยังได้ร้องเพลง My Heart Will Go On โชว์ในงานประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 70 ซึ่งถ่ายทอดสดไปทั่วโลก และรางวัลออสการ์ตัวที่สองก็ตกเป็นของเธอจากเพลงนี้ หลังจากที่เคยได้รางวัลมาแล้วจากเพลง Beauty And The Beast
อัลบั้มภาษาฝรั่งเศสอัลบั้มใหม่ S'il suffisait d'aimer ที่ใช้เวลาอัดเสียงเพียง 7 วัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 1998 วางแผงพร้อมกันทั่วโลกในวันที่ 8 กันยายนปีเดียวกัน ซิงเกิ้ลแรก "Zora Sourit" ได้รับการตอบรับอย่างดีจากสถานีวิทยุทั่วโลก ซึ่งเซลีนได้แนะนำเพลงไตเติ้ลแทร็กอย่าง "S'il Suffisait D'aimer" ให้แฟนเพลงได้รู้จักตั้งแต่การออกเดินสายคอนเสิร์ต Let's Talk About Love World Tour แล้ว
อัลบั้มชุดต่อมาที่ออกในปีเดียวกัน These Are Special Times อัลบั้มพิเศษกับ 16 เพลง เป็นอัลบั้มเพื่อเทศกาลคริสตมาส มีเพลงคริสตมาสสุดคลาสสิก อย่าง "Blue Christmas" และ "The Christmas Song (Chestnuts Roasting On An Open Fire)" เพลงตามประเพณีของศาสนาคริสต์อย่าง "O Holy Night" และ "Adeste Fidelis (O Come All Ye Faithful)" และอัลบั้มชุดนี้มีเพลงที่ได้ทำงานร่วมกันกับโปรดิวเซอร์มือทองอย่าง อาร์ เคลลี่ย์ ที่ทั้งร่วมร้อง และโปรดิวซ์ให้กับเธอในเพลง "I'm Your Angel" ตัวเพลงขึ้นอันดับหนึ่งบนบิลบอร์ดชาร์ตนานถึง 6 สัปดาห์ พร้อมกันนี้ยังมีเพลงจากนักแต่งเพลงชื่อดังอย่าง ไดแอน วอร์เรน ให้กับเพลง "These Are The Special Times" ให้เธอร้อง และ"The Prayer" ได้ร่วมร้องกับนักร้องเสียงเทนเนอร์ แอนเดรีย บ็อคเชลลี่
ในปีเดียวกัน สำนักพิมพ์ Dundurn Press ได้รับสิทธิ์ในการตีพิมพ์หนังสือชีวประวัติของเซลีนออกจำหน่าย ในชื่อ Celine...The Authorized Biography สำนักพิมพ์ได้ติดตามทัวร์กับเซลีนไปทุกที่ กว่าหนึ่งปีกับการเก็บข้อมูลของ จอร์จ เฮอร์เบิร์ต เกอร์เมน หลังจากนั้นในปี 2000 เซลีนและจอร์จ ได้ร่วมมือกันทำหนังสือออกมาอีกเล่มในชื่อ Celine Dion...My Story, My Dream โดยในเล่มนี้ เซลีนเป็นคนเล่าเรื่องราวในชีวิตเธอเอง อัตประวัติของเธอในเล่มนี้ ประกอบด้วยรูปภาพ ที่มาจากหลังเวทีคอนเสิร์ต บนรถทัวร์ รวมถึงในห้องอัดด้วย
อัลบั้มรวมฮิตของเธอ All The Way...A Decade Of Song วางแผงครั้งแรกในปี 1999 โดยบรรจุเพลงจากซิงเกิ้ลดังไว้อย่าง "The Power Of Love," "Because You Loved Me," "I'm Your Angel," และเพลงรางวัลแกรมมี่อย่าง "My Heart Will Go On" นอกจากนี้ยังมี "Beauty And The Beast," "It's All Coming Back to Me Now" และ "If You Asked Me To" พร้อมกับ 7 เพลงใหม่ที่อัดเสียงเพื่อบรรจุไว้ในชุดนี้โดยเฉพาะ กับไตเติ้ลแทร็กอย่าง "All The Way" การนำเพลงของ แฟรงค์ ซินาทรา นักร้องหนึ่งในดวงใจของเธอมาร้องใหม่
ในวันสิ้นปีของปีนั้น เซลีนได้แสดงโชว์คอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายในมอนทรีอัลบ้านเกิด ชื่อคอนเสิร์ตว่า La Dernière de Céline ซึ่งคอนเสิร์ตนี้เป็นคอนเสิร์ตต้อนรับสหัสวรรษใหม่ที่กำลังจะมาถึง และในงานคอนเสิร์ตก็ยังมีการนับถอยหลังสู่ปี 2000 อีกด้วย
[แก้] กำเนิดลูกชาย [2000 - 2001]
ในเดือนตุลาคม ปี 2000 The Collector's Series... Volume One อัลบั้มรวมเพลงฮิตและเพลงหายาก ที่ต้นสังกัดออกมาขายระหว่างที่เซลีนหยุดพักผ่อน จุดขายคือการนำเพลงอย่าง "The Power of the Dream" เพลงที่เธอร้องให้ใช้สำหรับเป็นเพลงในพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ ที่แอตแลนต้าในปี 1996 มารวมอยู่ในอัลบั้ม พ่วงด้วย "All By Myself" ในแบบภาษาสเปน และ "Be The Man" ภาษาญี่ปุ่น
เซลีน ได้ให้กำเนิดลูกชาย เรอเน่ ชาร์ลสฺ แองเจลลิน เวลาบ่ายโมงตรงของวันที่ 25 มกราคม 2001 ด้วยน้ำหนักตัวกำลังกินที่ 6 ปอนด์ 8 ออนซ์ และได้เข้ารับพิธีศีลมหาสนิท ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2001 ด้วยวัย 6 เดือน ณ โบสถ์บาสิลิกา ที่ที่เธอและสามีแต่งงานกัน
[แก้] การกลับมาของเซลีน [2002-2003]
หลังจากพักกันอย่างเต็มที่ถึง 2 ปี การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของอัลบั้มชุดใหม่ A New Day Has Come ที่วางแผงเมื่อ มีนาคม 2002 หลังจากวางแผงเพียง 2 สัปดาห์ ตัวอัลบั้มได้เข้าไปยึดอันดับหนึ่งของชาร์ทอัลบั้มขายดีกว่า 17 ประเทศทั่วโลก ทั้งใน ออสเตรเลีย ออสเตรีย แคนาดา ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส อิตาลี่ นอร์เวย์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ตัวอัลบั้มเต็มไปด้วยเพลงที่เป็นตัวแทนความหมายของสิ่งดี ๆ ที่จะเข้ามาในสหัสวรรษใหม่ อย่าง "A New Day Has Come", เพลงช้าๆ ทรงพลังอยาง "Have You Ever Been In Love" กับ "I Surrender", และเพลงแดนซ์อย่าง "Sorry For Love", ไล่มาถึงเพลงเก่าอมตะร้องใหม่แบบ "At Last" และ "Nature Boy", ปิดท้ายด้วยเพลงดีที่ต้องฟัง "I'm Alive" "Goodbye's (The Saddest Word)" และ "Rain, Tax (It's Inevitable)" พร้อมกับการออกเดินสายบนหน้าจอโทรทัศน์ และเธอยังได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารไปทั่วทุกมุมโลก
[แก้] Queen of Las Vegas [2003-2006]
มีนาคม 2003 เธอได้เซ็นสัญญาสำหรับการโชว์ 5 คืนต่อสัปดาห์ ณ โคโลสเซียม ที่ซีซ่าร์ พาเลส ในลาสเวกัส ที่เดียวเท่านั้น เป็นเวลา 3 ปี (ภายหลัง ได้เพิ่มสัญญาเป็น 4 ปี) กับอารีน่าขนาดใหญ่ กว่า 4,000 ที่นั่ง ที่จัดไว้ให้โชว์ของเธอโดยเฉพาะ โดยตลอดการแสดงระยะเวลา 90 นาที A New Day
25 มีนาคม 2003 ในวันเดียวกัน กับโชว์รอบแรกที่ลาสเวกัส อัลบั้ม One Heart ถูกวางแผงออกอาละวาดไปทั่วโลก พร้อมซิงเกิ้ลแรก "I Drove All Night" ที่คัฟเวอร์เพลงแด๊นซ์สุดคลาสสิกของ รอย ออบินสัน ในอัลบั้มเต็มไปด้วยเพลงใหม่จากโปรดิวเซอร์มือดีที่มาร่วมงานในชุดนี้ ทั้ง ริก เวค, แอนเดอร์ เบ็กก์, คริสเตียน ลันดิน, เพียร์ อาร์มสทรอม, แม็กซ์ มาร์ติน, มาร์ค เทเลอร์, อีริค เบนซิ และฮัมเบอร์โต้ การ์ติก้า
14 ตุลาคม ในปีเดียวกัน อัลบั้มภาษาฝรั่งเศส 1 fille & 4 types ที่ได้ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของอัลบั้ม D'eux และ S'il suffisait d'aimer อย่าง ฌอง คาร์ก โกลด์แมน มารวมระดมความคิดกับ ฌ้าค เวเนรุสโซ่, อีริก เบนซิ และ นักกีต้าร์มือฉมัง กิลด๊าส อาร์เซล เพื่อสร้างประสบการณ์ทางดนตรีด้วยซาวด์แบบลูกทุ่งฝรั่งเศส อัลบั้มอันดับหนึ่งในชาร์ทเพลงของที่ แคนาดา ฝรั่งเศส และกรีซ ซิงเกิ้ลแรก "Tout l'or des hommes" สร้างประวัติศาสตร์ เป็นเพลงภาษาฝรั่งเศสที่ถูกเปิดบ่อยที่สุดทางสถานีวิทยุแคนาดา
ปีต่อมา ในวันที่ 15 มิถุนายน 2004 เซลีนได้นำอัลบั้มการแสดงสด ในนาม 'A New Day...Live in Las Vegas' ออกขาย ตัวอัลบั้มบรรจุ 2 เพลงใหม่ อย่าง "You And I" และ "Ain't Gonna Look The Other Way" พร้อมเพลงที่บันทึกจากการแสดงสดที่ลาส เวกัส 13 เพลง
จากการร่วมมือกันกับช่างถ่ายแบบทารกฝีมือดีอย่าง แอน เกดเดส เซลีนได้ร่วมกันสร้างปรากฏการณ์อันมหัศจรรย์ ในโปรเจ็คชื่อ Miracle ที่ใช้เวลาหลายเดือนในการสร้างสมุดภาพ และเพลงความหมายดี ๆ ที่เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างแม่ กับทารก ที่ได้วางจำหน่ายในเดือน ตุลาคม ปี 2004 งานชิ้นนี้มีวางจำหน่ายทั้งซีดี ที่บรรจุ 13 เพลง รวมทั้งเพลงสุดคลาสสิก อย่าง "Beautiful Boy" และ "What A Wonderful World" ไว้ในอัลบั้ม ซึ่งอัลบั้มนี้โปรดิวซ์โดยโปรดิวเซอร์ชื่อดัง David Foster หนังสือเล่มนี้ก็ได้เข้าไปอยู่เป็นส่วนหนึ่งการจัดอันดับหนังสือขายดี ของนิตยสาร นิวยอร์ก ไทมส์ [ต้องการแหล่งอ้างอิง]
ในเดือนตุลาคม 2005 อัลบั้มรวมฮิตเพลงภาษาฝรั่งเศสในชื่อ 'On Ne Change Pas' ก็ได้วางแผง ในรูปแบบซีดีแผ่นคู่ ที่รวบรวมเอาทุกเพลงดัง ในแบบของเพลงภาษาฝรั่งเศส และเพลงใหม่ 3 เพลง ได้แก่ "Je Ne Vous Oublie Pas," "Tous Les Secrets" และ "I Believe In You" ที่ได้ร้องคู่กับวงอิล ดิโว่ พร้อมทั้งมี ดีวีดี รวมมิวสิกวิดีโอ พร้อมเบื้องหลังในการทำอัลบั้มเพลงภาษาฝรั่งเศสต่าง ๆ ไว้ร่วมชั่วโมง วางขายตามออกมา
เดือนเดียวกันนี้ ก็มีการวางขายหนังสือ รวมทุกสิ่งที่เกี่ยวกับชีวิตของเซลีน ในชื่อ 'Celine Dion: For Keeps' เป็นเรื่องราวของเซลีนตั้งแต่วัยเด็ก จวบจนโชว์ที่ลาสเวกัส ในปัจจุบัน พร้อมด้วยภาพที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน บทคอลั่มสัมภาษณ์โดยนักเขียนมีชื่อ เจนน่า เกลตเซอร์ เกี่ยวกับตัวเซลีน ครอบครัวของเธอ รวมถึงเพื่อนรัก และทุกคนที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จตลอดระยะทางสายบันเทิงของเธอ
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรัก เซลีน ดิออน ได้ปล่อยซิงเกิ้ลแรก Et S'il N'en Restait Qu'une (Je Serais Celle-Là) จากอัลบั้มภาษาฝรั่งเศสชุดใหม่ D'Elles ไปตามสถานีวิทยุต่างๆในยุโรป
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ เซลีนได้รับเกียรติให้ไปร้องเพลง I Knew I Loved You ที่งานประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 79 โดยเพลงนี้ได้ประพันธ์โดยนักแต่ง score ชาวอิตาเลียนชื่อดัง Ennio Moricone ซึ่งเขาก็จะได้รับรางวัลเกียรติยศจากงานครั้งนี้ด้วย ประเทศไทย ถ่ายทอดสดเมื่อวันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ ทางช่อง UBC Inside เวลา 6.00 - 12.00 น. และเพลงนี้ เซลีนก็ยังอัดเพลงเพื่อใส่ไว้ในอัลบั้ม We All Love Ennio Morricone และอัลบั้มภาษาอังกฤษชุดใหม่ของเธอในเดือนตุลาคม
วันที่ 1 เมษายน มิวสิกวิดีโอเพลง Et S'il N'en Restait Qu'une (Je Serais Celle-Là) ได้ปรากฏโฉมบนหน้าจอโทรทัศน์ของสถานีโทรทัศน์ TVA ของแคนาดา เป็นสถานีแรกในโลก ซึ่งมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ได้ถ่ายทำโดย Thierry Vargnes เมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ณ เมืองนิวยอร์ก
วันที่ 4 เมษายน มิวสิกวิดีโอเพลง Et S'il N'en Restait Qu'une (Je Serais Celle-Là) ได้ออกอากาศบนหน้าจอโทรทัศน์ทั่วประเทศฝรั่งเศส ตามมาด้วยซีดีซิงเกิ้ลที่ออกวางขายวันที่ 16 เมษายน
วันที่ 21-22 พฤษภาคม อัลบั้มภาษาฝรั่งเศสชุดล่าสุดของเธอ D'Elles จะวางแผงทั่วโลก ซึ่ง Theme ของอัลบั้มนี้จะเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงๆ และเนื้อเพลงทุกเพลงยังแต่งโดยนักแต่งหญิงเพลงชาว Quebec และ ฝรั่งเศส อีกด้วย
อัลบั้ม D'Elles จะวางแผงทั้งในแบบ edition ปกติ และ Special Edition ซึ่งอัลบั้ม D'Elles Special Edition นี้ จะวางแผงเฉพาะที่แคนาดา และบางประเทศในยุโรป
เดือนตุลาคม อัลบั้มภาษาอังกฤษชุดล่าสุดของเซลีน ดิออน ออกวางแผง [4]
ธันวาคม 2007 DVD คอนเสิร์ต A New Day ได้ทำการบันทึกเทปไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 17-21 มกราคม ที่ผ่านมา
[แก้] อ้างอิง
- ↑ CelineDion.com
- ↑ 39th Grammy Awards - 1997
- ↑ 41st Grammy Awards - 1999
- ↑ What's Goin' On. D'elles Release Dates. Retrieved on February 10, 2007.
[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น
- เว็บไซต์หลัก
- เว็บไซต์แฟนเพลงเซลีน ดิออน ประเทศไทย
- คลับ:เซลีน ดิออน เว็บไซต์ Pantip.com