จักรพรรดิเนโร

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

จักรพรรดิเนโร เป็นจักรพรรดิรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จูลิโอ-คลอเดียน แห่งจักรวรรดิโรมัน เกิดเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 37 ที่เมืองแอนเธียม แห่งจักรวรรดิโรมัน บิดาชื่อ งาเออุส โดมิทิอุส อาเฮโนบาร์บุส(Gnaeus Domitius Ahenobarbus) มารดาชื่อ อากริพพินา ซึ่งมีศักดิ์เป็นถึงน้องสาวของจักรพรรดิคาลิกูลา(Caligula) จักรพรรดิรัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จูลิโอ-คลอเดียน มีชื่อเต็มตอนเกิดว่า ลูเซียส คลอดิอุส เนโร

ในค.ศ. 39 เกิดศึกใหญ่ระหว่างโรมันกับเยอรมนี คาลิกูลาจึงนำทัพไปรบ แต่ก็มีข่าวออกมาว่า อากริพพินา น้องสาวของพระองค์กำลังวางแผนโค่นอำนาจจากพระองค์ไป จึงทรงสั่งเนรเทศอากริพพินาไปยังเกาะพอนเธียน ทั้งๆที่เนโรยังเล็กมาก เขาจึงต้องอาศัยอยู่กับพ่อ

ต่อมาในค.ศ. 40 งาเออุส อาเฮโนบาร์บุส พ่อของเนโรเสียชีวิต เนื่องจากป่วยเป็นโรคบวมน้ำ คลอดิอุส (พี่ชายของพ่อของจักรพรรดิคาลิกูลา) จึงรับเลี้ยงดูเนโรต่อ...

ในช่วงปีนี้ เนโรมีความฝันอยากจะเป็นศิลปิน...

ในค.ศ. 41 จักรพรรดิคาลิกูลาถูกลอบสังหารขณะชมกีฬา สภาสูงสุดแห่งโรม จึงมีมติให้คลอดิอุสครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 4 เขาเป็นคนดี ปกครองบ้านเมืองได้สงบร่มเย็นตลอดรัชกาล เขานำอากริพพินากลับมายังโรมัน มาพบเนโร ทำให้แม่ลูกได้พบกัน และอยู่ด้วยกันอย่างสงบ...

ต่อมา อากริพพินา แต่งงานกับเศรษฐีคนหนึ่ง เพื่อยกฐานะตนให้รวยขึ้น ต่อมา เศรษฐีเสียชีวิตลง อากริพพินาและเนโรจึงได้สมบัติไปเต็มๆ

ในค.ศ. 48 ภรรยาของคลอดิอุสถูกจับได้ว่าคิดกบฏ จึงถูกสั่งประหารชีวิต อากริพพินาจึงพยายามจะแต่งงานกับคลอดิอุส เพื่อยกฐานะเนโรให้เป็นบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิ ซึ่งในกรณีนี้ ถ้าอากริพพินาทำสำเร็จ เนโรจะมีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะครองราชย์ต่อจากคลอดิอุส

ในค.ศ. 49 อากริพพินาแต่งงานกับคลอดิอุสได้สำเร็จ เนโรได้กลายเป็นบุตรบุญธรรมของคลอดิอุส เนโรจึงเปลี่ยนชื่อเต็มใหม่ ว่า เนโร คลอดิอุส ซีซาร์ ดรุสซุส (Nero Claudius Caesar Drusus)

ในค.ศ. 50 คลอดิอุสแต่งตั้งเลื่อนยศอากริพพินาเป็นออกุสตา(ยศจักรพรรดินี) และเลื่อนยศเนโรขึ้นเป็นทายาทโดยชอบธรรม(ไม่ใช่บุตรบุญธรรมอีกต่อไป แต่เป็นทายาทแท้ๆ)

ในค.ศ. 51 คลอดิอุสประกาศให้เนโร เป็นผู้บรรลุนิติภาวะ ทั้งที่อายุยังน้อย ต่อมาไม่นานยังแต่งตั้งเนโรเป็นข้าหลวงและมอบสิทธิ์ให้สามารถเข้าร่วมอภิปรายในสภาสูง

ในค.ศ. 53 เนโรได้แต่งงานกับคลอเดีย ออคเตเวีย ซึ่งเป็นลูกสาวของจักรพรรดิคลอดิอุส

ในค.ศ. 54 วันที่ 13 ตุลาคม จักรพรรดิคลอดิอุส ถูกลอบฆ่า จนเสียชีวิต เนโรจึงได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิรัชกาลที่ 5 เนโรปกครองจักรวรรดิโรมันได้อย่างสงบสุขเรื่อยมาจนกระทั่ง

ในค.ศ. 58 เนโรได้พบกับหญิงงามคนหนึ่งชื่อว่าปอปเปีย เนโรสนิทสนมกับปอปเปียอย่างรวดเร็ว และในปีเดียวกัน เนโรก็แต่งงานกับปอปเปีย และแต่งตั้งเพื่อนสนิทชายของปอปเปียนามว่า ออตโต เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ทั้งคู่ปรนนิบัติและยุยงเนโรจนเกิดความลุ่มหลงในอำนาจ เกียจคร้านไม่สนใจหน้าที่การบริหารบ้านเมือง และเริ่มพยายามวางตัวเป็นศิลปินมือฉมัง บังคับประชาชนให้เข้าชมการแสดงของพระองค์เมื่อพระองค์อยากแสดง และห้ามใครลุกไปไหนตลอดการแสดง แต่ความจริงแล้วเนโรไม่ค่อยมีความสามารถทางด้านนี้เท่าใดนัก แต่ไม่มีใครกล้าบอกเนโร

ในค.ศ. 59 พระนางอากริพพินามองเห็นความเปลี่ยนไปของเนโร และเริ่มจะทนไม่ไหวของการที่เนโรเปลี่ยนไปอย่างนี้ จึงพยายามจักเตือนเนโรเพื่อดึงเนโรกลับมาให้เหมือนเดิม แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้เนโรและพระนางอากริพพินาระหองระแหงกัน ปอปเปียและออตโต จึงฉวยโอกาสนี้ยุยงให้เนโรฆ่านางอากริพพินาทิ้งเสีย โดยใช้วิธีวางแผนลอบสังหาร แผนนี้มีเพียงเนโร ปอปเปีย และออตโตเท่านั้นที่รู้ แผนการลอบสังหารครั้งแล้วครั้งเล่าก็ทำไม่สำเร็จ จนกระทั่งพระนางอากริพพินารู้เข้าถึงการที่เนโรลอบสังหารตน จึงช้ำใจฆ่าตัวตาย

ในค.ศ. 62 เนโรหย่าขาดกับนางคลอเดีย ออคเตเวีย และในปีเดียวกันนั้น นางก็เสียชีวิต อย่างลึกลับ จนถึงปัจจุบันยังหาสาเหตุไม่ได้

ในค.ศ. 64 วันที่ 21 มกราคม ปอปเปียได้ให้กำเนิดลูกสาวของตนกับเนโร ชื่อว่า คลอเดีย ออกุสตา ซึ่งเป็นลูกคนแรกของเนโร เนโรดีใจมาก จึงสถาปนาปอปเปียเป็นจักรพรรดินี และจัดงานเฉลิมฉลองใหญ่โต แต่ 4 เดือนต่อมา คลอเดีย ออกุสตา ก็ป่วยจนเสียชีวิต เนโรและปอปเปียเศร้ามาก เนโรจึงประกาศให้คลอเดีย ออกุสตา เป็นเทพีองค์ใหม่ของโรมัน สร้างรูปบูชาและจัดนักบวชไว้คอยรับใช้รูปบูชา

ในค.ศ. 64 วันที่ 18 กรกฎาคม ตอนกลางคืน เกิดไฟไหม้ขึ้นที่ร้านขายวัตถุไวไฟแห่งหนึ่งในกรุงโรม ประกอบกับการที่ถนนกรุงโรมในช่วงนั้นแคบ ทำให้ไฟจากร้านค้าวัตถุไวไฟนั้น ลุกลามไปยังบ้านเรือนหลังอื่นๆอย่างรวดเร็ว และไม่นานนัก ไฟก็ไหม้ทั่วเมือง เนโรรู้ข่าวก็รีบมาดูเปลวเพลิงที่หอคอยมิเซนุส(Maecenas) แล้วก็บอกว่าเปลวเพลิงนั้นช่างสวยงาม นั่งมองไฟผลาญกรุงโรมอย่างสบายอารมณ์ พร้อมทั้งนำเครื่องดนตรีมาบรรเลงอย่างสุนทรีย์โดยไม่ส่งทหารไปช่วยดับไฟ

ในค.ศ. 64 วันที่ 25 กรกฎาคม เปลวเพลิงที่ผลาญกรุงโรมมาตลอด 6 วัน 6 คืนดับลงในวันที่ 7 เผาบ้านเผาเรือนไป 132 หลัง ใน 4 หมู่บ้าน เนโรสั่งให้เวนคืนที่ดินจำนวนหนึ่งมาสร้างพระราชวังทองคำ (Golden Palace) ประกอบกับการที่เนโรไม่ส่งทหารไปช่วยดับไฟ และในอดีตพระองค์เคยคิดจะเปลี่ยนชื่อกรุงโรมเสียใหม่ว่า กรุงเนโรโพลิส (Neropolis) ประชาชนจึงปักใจเชื่อว่าเนโรเป็นผู้เผากรุงโรม (นักประวัติศาสตร์ในปัจจุบันเองก็บอกว่ามีความเป็นไปได้ที่เนโรจะเป็นผู้เผากรุงโรม) เนโรจึงสุ่มสี่สุ่มห้าบอกไปว่าผู้ที่นับถือลัทธิคริสเตียน(ศาสนาคริสต์เมื่อเกือบสองพันปีก่อนในจักรวรรดิโรมันเป็นเพียงแต่ลัทธิเล็กๆ มิใช่ศาสนาอันยิ่งใหญ่เหมือนปัจจุบัน) เป็นกลุ่มคิดกบฎและพยายามเผาโรม จึงเกิดเป็นการประหารหมู่ชาวคริสเตียนในโรมันด้วยข้อหาเผาโรม ประหารโดยวิธีให้อดอาหารสัตว์ป่าในโคลอสเซียมจนหิวโซ และนำชาวคริสเตียนไปปล่อยที่สนามโคลอสเซซียม และปล่อยสัตว์ป่าให้มารุมฉีกทึ้งชาวคริสเตียนต่อหน้าผู้ชม นอกจากนี้ยังเก็บภาษีอย่างหนักเพื่อมาซ่อมแซมบ้านเมืองและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ล่มจมของโรม ทำให้ประชาชนเองก็คลางแคลงใจในเนโร

แต่เนโร ก็เปิดพระราชวังให้คนที่ไร้บ้านมาอาศัย พร้อมทั้งจัดหาข้าวน้ำให้ประชาชนดื่มกินฟรี นอกจากนี้ยังสั่งให้ออกแบบการสร้างเมืองใหม่ให้ถนนกว้างขึ้นเพื่อป้องกันการเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นอีก และเพื่อไม่ให้ชาวบ้านที่มีโฉนดต้องเสียที่ดินไปเพราะการขยายถนนไปเบียด จึงจัดสรรที่ดินใหม่ให้เขตบ้านเรือนและถนนแผ่กว้าง ทำให้ความเป็นไปได้ที่เนโรจะเป็นผู้เผาโรมลดลง ชาวบ้านบางส่วนก็เริ่มเชื่อใจ และจนถึงปัจจุบันยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นต้นเหตุของเพลิง

แต่ที่กล่าวมานั้น ชาวบ้านที่เชื่อใจเป็นเพียง บางส่วน เท่านั้น แต่ชาวบ้านหลายส่วนไม่เชื่อใจเนโร และประท้วงถอดถอนเนโร เป็นการประท้วงที่รุ่นแรงและยืดเยื้อ

ในค.ศ. 66 ปอปเปียตั้งครรภ์อีกครั้ง แต่เนโร กำลังเครียดกับกลุ่มผู้ประท้วงที่จะปลดตนจากตำแหน่งจักรพรรดิให้ได้ จึงไม่ค่อยได้มาอยู่ที่วังมาดูแลปอปเปียและลูกในครรภ์ วันหนึ่งในปีเดียวกันนั้น เนโรกลับมาอยู่ที่วัง และพูดจาบางอย่างที่ทำให้ปอปเปียโมโห ปอปเปียจึงด่าว่าเนโรอย่างหนัก เนโรที่กำลังเครียดจึงพลั้งมือฆ่าปอปเปียตายพร้อมทั้งลูกในครรภ์

ในค.ศ. 67 เนโรเครียดจัด ประกอบกับช่วงนั้นที่กรีซกำลังจะจัดกีฬาโอลิมปิกขึ้น เนโรตัดสินใจไปร่วมแข่งขัน ทั้งๆที่บ้านเมืองยังตึงเครียด ทิ้งภาระหน้าที่ไว้กับสภาสูง ระหว่างที่เนโรไม่อยู่นั้น สภาสูงลงมติว่าเนโรไม่ควรเป็นจักรพรรดิอีกต่อไป...

ในค.ศ. 68 เนโรกลับจากกีฬาโอลิมปิก สภาสูงจึงส่งคนมาจับกุมโค่นอำนาจจักรพรรดิเนโร เนโรจึงฆ่าตัวตายขณะอายุไม่ถึง 31 ปี และการที่พระองค์ไม่ทีทายาทเลย ทำให้ราชวงศ์จูลิโอ-คลอเดียน ต้องสิ้นสุดลง