ยุทธภูมิสตาลินกราด
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
|
|||||||||||||||||
|
ยุทธภูมิสตาลินกราด คือการรบระหว่างฝ่ายมหาอำนาจอักษะ ซึ่งนำโดยเยอรมนี สู้กับสหภาพโซเวียต ณ เมืองสตาลินกราด (เมืองโวลโกกราด, สหพันธรัฐรัสเซียในปัจจุบัน) โดยการรบเริ่มขึ้นในวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2485 (1942) และสิ้นสุดลงในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 (1943) โดยการรบครั้งนี้ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญหนึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 และว่ากันว่าเป็นหนึ่งในการรบที่นองเลือดที่สุด ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ซึ่งความสูญเสียของสองฝ่าย ทั้งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตรวมกันแล้วถึง 1.5 ล้านคน การรบเริ่มจากการปิดล้อมเมืองสตาลินกราด ที่อยู่ทางใต้ของรัสเซีย โดยกองทัพเยอรมัน ตามมาด้วยการบุกเข้าไปในเมือง ซึ่งฝ่ายโซเวียตสามารถต้านทานการบุกยึดและทำการโจมตีตอบโต้และโอบล้อมกองทัพที่หกของเยอรมนีและกองกำลังอักษะอื่นๆ ได้ ส่งผลให้กองกำลังทั้งหมดนี้ถูกทำลาย
หลังจากการรบ ฝ่ายอักษะเสียกำลังไปถึง 850,000 นาย ซึ่งถือว่าสูญเสียไปถึงหนึ่งในสี่ส่วนของกำลังที่มีอยู่ในแนวรบตะวันออกทั้งหมด รวมไปถึง เสบียงและยุทโธปกรณ์เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้กองกำลังฝ่ายอักษะเสียหายอย่างไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาเป็นดังเดิมได้ ทำให้กองทัพอักษะถูกบีบให้ล่าถอยและถอนกำลังมาจากยุโรปตะวันออก หลังจากแพ้การรบครั้งสำคัญระหว่าง พ.ศ. 2486 (1943) ถึง พ.ศ. 2487 (1944) มาหลายครั้งติดต่อกัน ส่วนฝ่ายโซเวียตที่เป็นผู้กรำชัยในศึกครั้งนี้ แม้ว่าจะเสียกำลังไปเป็นจำนวนมากก็ตาม แต่ชัยชนะที่สตาลินกราด ก็ทำให้โซเวียตได้เปรียบมากพอ ที่จะเริ่มทำการบุกสวนกลับและทำการปลดปล่อยดินแดนโซเวียตที่ถูกเยอรมนียึดครองมาได้ และนำไปชัยชนะเหนือนาซีเยอรมนีได้ในที่สุด ในปี พ.ศ. 2488 (1945)
การรบในครั้งนี้นอกจากจะเป็นจุดเปลี่ยนของสงครามแล้ว ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงระเบียบวินัยและความมุ่งมั่นของทั้งสองฝ่าย แม้ว่าจะเป็นวินัยที่ได้มาจากสายบัญชาการที่เข้มงวดและโหดเหี้ยมอยู่บ่อยครั้ง โดยในช่วงแรกของการรบนั้น โซเวียตเป็นฝ่ายตั้งรับการล่าสังหารอย่างโหดเหี้ยมของทหารเยอรมัน โดยเป็นฝ่ายตั้งมั่นอยู่ในเมืองสตาลินกราด ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่โซเวียตเสียทหารไปมากที่สุด ถึงขนาดที่ทหารที่เกณฑ์เข้ามาใหม่ทั้งหมด เฉลี่ยแล้วมีชีวิตอยู่ไม่ถึงหนึ่งวัน กระนั้นฝ่ายโซเวียตก็ยังสามารถที่จะคงวินัยในหมู่ทหารไว้ได้ โดยทหารโซเวียตจำนวนมากยอมที่จะสละชีวิตแทนที่จะถอยหรือยอมให้ถูกจับเป็นเชลย มีตัวอย่างอยู่กรณีหนึ่ง เป็นที่จดจำว่าทหารโซเวียตผู้หนึ่ง ที่อยู่ภายใต้บัญชาการของนายพลโรดิมสเตฟ ก่อนตายได้ขีดเขียนบนกำแพงที่สถานีรถไฟสายหลักของเมือง ซึ่งมีการชิงบุกชิงยึด เปลี่ยนผู้ครอบครองถึง 15 หน โดยเขาได้เขียนไว้ว่า...
“ทหารของโรดิมสเตฟได้สู้และตายที่นี่ เพื่อมาตุภูมิของตน”
ในขณะเดียวกัน กองทัพเยอรมันก็สามารถแสดงถึงวินัยที่สามารถคงไว้ได้อย่างน่าทึ่ง แม้ว่าจะถูกกองทัพโซเวียตโอบล้อมให้ติดอยู่ในเมืองก็ตาม ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายเยอรมันต้องประสบกับสถานการณ์ที่เสียเปรียบเช่นนี้ โดยการถูกตัดขาดจากกำลังสนับสนุนทำให้เสบียงร่อยหลอลงไปเรื่อยๆ ทั้งยังขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญเนื่องจากรัสเซียตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่มีอากาศเย็นมากในฤดูหนาว ซึ่งทำให้ทหารเยอรมันอดอาหารและหนาวตายเป็นจำนวนมากในช่วงหลังๆ ของการปิดล้อมเมือง อย่างไรก็ตาม ทหารก็ยังปฏิบัติตามระเบียบวินัยและเชื่อฟังคำสั่งของนายทหารที่มียศสูงกว่า จนกระทั่ง เมื่อจอมพลฟรีดริช พอลลุส แห่งกองทัพเยอรมันเห็นว่าไร้ประโยชน์ที่จะสู้ศึกที่กำลังจะแพ้ เขาจึงฝ่าฝืนคำสั่งโดยตรงของผู้นำนาซีเยอรมนี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (ที่ว่าให้สู้จนตัวตายและสั่งห้ามยอมจำนนต่อกองกำลังโซเวียต) และยอมจำนนต่อกองทัพโซเวียตในที่สุด