ยุทธภูมิสตาลินกราด

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ยุทธภูมิสตาลินกราด
เป็นส่วนหนึ่งของ สงครามโลกครั้งที่สอง
Image:Streetfight Stralingrad01.jpg
ทหารเยอรมันและโซเวียตสู้รบกันกลางเมืองสตาลินกราด
การรบเกิดขึ้นเมื่อ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2485 -
2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486
สถานที่ทำการรบ สตาลินกราด, สหภาพโซเวียต
ผลการรบ โซเวียตชนะศึก
ผู้ร่วมรบ
เยอรมนี
อิตาลี
ฮังการี
โรมาเนีย
สโลวาเกีย

สหภาพโซเวียต
ผู้บัญชาการ
แมกซิมิเลียน วอน ไวค์ส
ฟรีดริช พอลลุส ()
เอริช วอน แมนสไตน์
เฮอร์มัน โฮธ
อิตาโล การิบัลดี
กุสตาฟ ยานี
ปีเตอร์ ดูมิเทรสคู
คอนสแตนติน คอนสแตนติเนสคู
วาซิลลี ชุยคอฟ
อเล็กซานเดอร์ วาซิลเยฟสกี
กอร์กี ซูคอฟ
ซีโมน ทิโมเชงโก
คอนสแตนติน โรโคซอฟสกี
โรดิโอน มาลินอฟสกี
กำลัง
กองพลที่หกแห่งเยอรมนี
กองพลแพนเซอร์ที่สี่แห่งเยอรมนี
กองทัพที่แปดแห่งอิตาลี
กองทัพที่สองแห่งฮังการี
กองทัพที่สามแห่งโรมาเนีย
กองทัพที่สี่แห่งโรมาเนีย
ไม่ทราบกำลังที่แน่นอนของฝ่ายอักษะ
แนวรบสตาลินกราด
แนวรบตะวันเฉียงใต้
กำลังสุทธิ: 1,700,000 นาย
ความสูญเสีย
เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บสาหัส 740,000 นาย
ถูกจับเป็นเชลย 110,000 นาย
เสียชีวิต, ได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกจับเป็นเชลย 750,000 นาย
พลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 40,000 คน


ยุทธภูมิสตาลินกราด คือการรบระหว่างฝ่ายมหาอำนาจอักษะ ซึ่งนำโดยเยอรมนี สู้กับสหภาพโซเวียต ณ เมืองสตาลินกราด (เมืองโวลโกกราด, สหพันธรัฐรัสเซียในปัจจุบัน) โดยการรบเริ่มขึ้นในวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2485 (1942) และสิ้นสุดลงในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 (1943) โดยการรบครั้งนี้ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญหนึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 และว่ากันว่าเป็นหนึ่งในการรบที่นองเลือดที่สุด ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ซึ่งความสูญเสียของสองฝ่าย ทั้งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตรวมกันแล้วถึง 1.5 ล้านคน การรบเริ่มจากการปิดล้อมเมืองสตาลินกราด ที่อยู่ทางใต้ของรัสเซีย โดยกองทัพเยอรมัน ตามมาด้วยการบุกเข้าไปในเมือง ซึ่งฝ่ายโซเวียตสามารถต้านทานการบุกยึดและทำการโจมตีตอบโต้และโอบล้อมกองทัพที่หกของเยอรมนีและกองกำลังอักษะอื่นๆ ได้ ส่งผลให้กองกำลังทั้งหมดนี้ถูกทำลาย

หลังจากการรบ ฝ่ายอักษะเสียกำลังไปถึง 850,000 นาย ซึ่งถือว่าสูญเสียไปถึงหนึ่งในสี่ส่วนของกำลังที่มีอยู่ในแนวรบตะวันออกทั้งหมด รวมไปถึง เสบียงและยุทโธปกรณ์เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้กองกำลังฝ่ายอักษะเสียหายอย่างไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาเป็นดังเดิมได้ ทำให้กองทัพอักษะถูกบีบให้ล่าถอยและถอนกำลังมาจากยุโรปตะวันออก หลังจากแพ้การรบครั้งสำคัญระหว่าง พ.ศ. 2486 (1943) ถึง พ.ศ. 2487 (1944) มาหลายครั้งติดต่อกัน ส่วนฝ่ายโซเวียตที่เป็นผู้กรำชัยในศึกครั้งนี้ แม้ว่าจะเสียกำลังไปเป็นจำนวนมากก็ตาม แต่ชัยชนะที่สตาลินกราด ก็ทำให้โซเวียตได้เปรียบมากพอ ที่จะเริ่มทำการบุกสวนกลับและทำการปลดปล่อยดินแดนโซเวียตที่ถูกเยอรมนียึดครองมาได้ และนำไปชัยชนะเหนือนาซีเยอรมนีได้ในที่สุด ในปี พ.ศ. 2488 (1945)

การรบในครั้งนี้นอกจากจะเป็นจุดเปลี่ยนของสงครามแล้ว ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงระเบียบวินัยและความมุ่งมั่นของทั้งสองฝ่าย แม้ว่าจะเป็นวินัยที่ได้มาจากสายบัญชาการที่เข้มงวดและโหดเหี้ยมอยู่บ่อยครั้ง โดยในช่วงแรกของการรบนั้น โซเวียตเป็นฝ่ายตั้งรับการล่าสังหารอย่างโหดเหี้ยมของทหารเยอรมัน โดยเป็นฝ่ายตั้งมั่นอยู่ในเมืองสตาลินกราด ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่โซเวียตเสียทหารไปมากที่สุด ถึงขนาดที่ทหารที่เกณฑ์เข้ามาใหม่ทั้งหมด เฉลี่ยแล้วมีชีวิตอยู่ไม่ถึงหนึ่งวัน กระนั้นฝ่ายโซเวียตก็ยังสามารถที่จะคงวินัยในหมู่ทหารไว้ได้ โดยทหารโซเวียตจำนวนมากยอมที่จะสละชีวิตแทนที่จะถอยหรือยอมให้ถูกจับเป็นเชลย มีตัวอย่างอยู่กรณีหนึ่ง เป็นที่จดจำว่าทหารโซเวียตผู้หนึ่ง ที่อยู่ภายใต้บัญชาการของนายพลโรดิมสเตฟ ก่อนตายได้ขีดเขียนบนกำแพงที่สถานีรถไฟสายหลักของเมือง ซึ่งมีการชิงบุกชิงยึด เปลี่ยนผู้ครอบครองถึง 15 หน โดยเขาได้เขียนไว้ว่า...

“ทหารของโรดิมสเตฟได้สู้และตายที่นี่ เพื่อมาตุภูมิของตน”

ในขณะเดียวกัน กองทัพเยอรมันก็สามารถแสดงถึงวินัยที่สามารถคงไว้ได้อย่างน่าทึ่ง แม้ว่าจะถูกกองทัพโซเวียตโอบล้อมให้ติดอยู่ในเมืองก็ตาม ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายเยอรมันต้องประสบกับสถานการณ์ที่เสียเปรียบเช่นนี้ โดยการถูกตัดขาดจากกำลังสนับสนุนทำให้เสบียงร่อยหลอลงไปเรื่อยๆ ทั้งยังขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญเนื่องจากรัสเซียตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่มีอากาศเย็นมากในฤดูหนาว ซึ่งทำให้ทหารเยอรมันอดอาหารและหนาวตายเป็นจำนวนมากในช่วงหลังๆ ของการปิดล้อมเมือง อย่างไรก็ตาม ทหารก็ยังปฏิบัติตามระเบียบวินัยและเชื่อฟังคำสั่งของนายทหารที่มียศสูงกว่า จนกระทั่ง เมื่อจอมพลฟรีดริช พอลลุส แห่งกองทัพเยอรมันเห็นว่าไร้ประโยชน์ที่จะสู้ศึกที่กำลังจะแพ้ เขาจึงฝ่าฝืนคำสั่งโดยตรงของผู้นำนาซีเยอรมนี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (ที่ว่าให้สู้จนตัวตายและสั่งห้ามยอมจำนนต่อกองกำลังโซเวียต) และยอมจำนนต่อกองทัพโซเวียตในที่สุด