วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สถานีย่อย:ประเทศไทย

วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า

พระมงกุฎเกล้า

ชื่อ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า (วพม.)
ชื่อ (อังกฤษ) Phramongkutklao College of Medicine (PCM.)
ก่อตั้ง 3 ตุลาคม พ.ศ. 2516
ประเภทสถาบัน วิทยาลัยแพทย์ทหาร
ผู้อำนวยการ พลตรีกิตติพล ภัคโชตานนท์
เพลงประจำสถาบัน แพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า
ต้นไม้ประจำสถาบัน ต้นอินทนิล
สีประจำสถาบัน สีขาบ
ที่ตั้ง/วิทยาเขต ถนนราชวิถี เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร
เว็บไซต์ www.pcm.ac.th

วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า เป็นวิทยาลัยแพทย์ทหารแห่งเดียวในประเทศไทยตั้งอยู่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยทางวิทยาลัยร่วมมือกับทางโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในพื้นที่เดียวกัน โดยปัจจุบันเป็นวิทยาลัยสมทบของมหาวิทยาลัยมหิดล

สารบัญ

[แก้] ประวัติ

  • ในปี พ.ศ. 2482 รัฐบาลได้อนุมัติจัดตั้งโรงเรียนเสนารักษ์กองทัพบกขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเป็นหลักสูตรแพทย์ประกาศนียบัตร ระยะเวลาศึกษา 4 ปี 6 เดือน ดำเนินการผลิตแพทย์เพื่อรับใช้กองทัพจนถึงปี พ.ศ. 2490 รวมทั้งสิ้น 4 รุ่น แล้วจึงต้องหยุดไป เนื่องจากขาดแคลนบุคลากรอาจารย์แพทย์และอุปกรณ์การเรียนการสอน อย่างไรก็ตามกระทรวงกลาโหมมีความตระหนักถึงภารกิจที่สำคัญของแพทย์ทหาร คือ การอนุรักษ์กำลังรบ เพื่อทำให้กำลังพลและครอบครัว มีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์ พร้อมในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติ จึงได้หาแนวทางปฏิบัติต่างๆ อาทิเช่น การรับแพทย์ปริญญาที่จบจากมหาวิทยาลัยภายในประเทศเข้ารับราชการในกองทัพ ตลอดจนการให้ทุนการศึกษาแก่่นักเรียนเตรียมทหาร จากโรงเรียนเตรียมทหารที่เรียนดี ให้เลือกเข้าศึกษาวิชาแพทย์ในมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ในระหว่างปีการศึกษา 2511 ถึงปีการศึกษา 2516 แล้วก็ต้องยุติไป เนื่องจากกระแสต่อต้านที่รุนแรงจากหลายฝ่าย ที่เกรงว่าจะทำให้ผลิตแพทย์ที่ไม่มีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่
พระราชวังพญาไท
พระราชวังพญาไท


  • วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2511 โดยกรมแพทย์ทหารบกได้เสนอเรื่องขอจัดตั้ง "โรงเรียนแพทย์ทหาร" เนื่องเกิดความขาดแคลนแพทย์ทหารอย่างมากในกองทัพ ทำให้มีการรื้อฟื้นแนวคิดในการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ทหารขึ้นมาอีกครั้ง และได้รับอนุมัติหลักการเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 ต่ต้องชะลอโครงการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ทหารไว้ก่อน เนื่องจากการเรียนการสอนขั้นเตรียมแพทย์ ไม่ได้รับสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยมหิดล


  • โครงการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ทหารได้เริ่มขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ภายหลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทานจากกระแสพระบรมราโชวาทแก่นิสิตแพทย์ ณ หอประชุมราชแพทยาลัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2516 อันเป็นผลสำคัญยิ่งให้สภาการศึกษาวิชาทหารได้ให้ความเห็นชอบ ในการจัดตั้งวิทยาลัยแพทย์ทหารเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ต่อมาเมื่อเดือน มีนาคม พ.ศ. 2517 กรมแพทย์ทหารบกได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมาเป็นชื่อของสถาบัน จึงขออนุมัติเปลี่ยนชื่อจาก "วิทยาลัยแพทย์ทหาร" เป็น "วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า" จนถึงปัจจุบัน


  • วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 ในการประชุมร่วมระหว่างกองบัญชาการทหารสูงสุดและผู้แทนสามเหล่าทัพ ได้อนุมัติให้วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า เป็นหน่วยงานในความรับผิดชอบของกองทัพบก โดยให้กรมแพทย์ทหารบก มีหน้าที่รับผิดชอบโครงการผลิตนักเรียนแพทย์ทหารปีละ 32 นาย ในโครงการจัดตั้ง 10 รุ่น (รุ่นที่ 1 จบปีการศึกษา 2524 ถึงรุ่นที่ 10 จบปีการศึกษา 2534)


  • วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าแบ่งการจัดการเรียนการสอนแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ

1.การเรียนการสอนชั้นเตรียมแพทย์ ได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ตามข้อตกลงกับกระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518) ให้นิสิตเตรียมแพทย์ของวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าศึกษาที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาเตรียมแพทยศาสตร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า)

2.การเรียนการสอนระดับชั้นปรีคลินิก จัดการเรียนการสอน ณ สถานที่ตั้งปัจจุบัน บริเวณวังอัศวินเดิม บนเนื้อที่ 17 ไร่ 1 งาน 90 ตารางวา (เดิมการเรียนการสอนใช้สถานที่สถาบันพยาธิวิทยา กรมแพทย์ทหารบก ในบริเวณโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า)

3.การเรียนการสอนระดับชั้นคลินิก ใช้สถานที่ของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (รพ.รร.6)


  • เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2518 วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าได้รับอนุมัติเข้าสมทบกับมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อประสาทปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต ทำให้การก่อตั้งวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้ามีความสมบูรณ์ กระทรวงกลาโหมจึงมีคำสั่ง เฉพาะ)ที่ 75/18 เรื่องการแก้อัตรากองทัพบก 2506 (ครั้งที่ 123)ลงวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2518 ให้วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า เป็นหน่วยขึ้นตรงกรมแพทย์ทหารบก และอนุมัติให้เปิดดำเนินการได้ จึงถือเอาวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2518 เป็นวันสถาปนาวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า และต่อมาเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 จึงได้ให้หน่วยขึ้นตรงและหน่วยงานต่างๆ ของวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ย้ายจากตึกตรวจโรค โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าไปดำเนินการต่อ ณ ตึกอำนวยการ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า)


  • วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าได้เปิดดำเนินการเรียนการสอนตามหลักสูตรของทบวงมหาวิทยาลัย ซึ่งใช้เวลาในการศึกษาเป็นเวลา 7 ปี (เตรียมแพทย์ 2 ปี ปรีคลินิก 2 ปี คลินิก 2 ปี และแพทย์ฝึกหัด 1 ปี) ตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการเรียนการสอนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 ถึงปี พ.ศ. 2523 จนกระทั่งทบวงมหาวิทยาลัยได้เปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาแพทย์ศาสตร์บัณฑิตเป็นเวลา 6 ปี (เตรียมแพทย์ 1 ปี ปรีคลินิก 2 ปี คลินิก 3 ปี) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าจึงได้ใช้หลักสูตรนี้มาจนถึงปัจจุบัน ส่วนการเรียนในชั้นเตรียมแพทยศาสตร์ใด้เรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มาตลอด ยกเว้นในปีการศึกษา 2528 และ ปีการศึกษา 2529 เท่านั้น ที่เรียนชั้นเตรียมแพทยศาสตร์ที่โรงเรียนเตรียมทหารร่วมด้วย


  • เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2530 ผู้บัญชาการทหารบกจึงได้อนุมัติหลักการให้ผลิตนักเรียนแพทย์ทหารเพิ่มจาก 32 นายต่อปี เป็น 65 นายต่อปี กอปรกับในขณะนั้นรัฐบาลมีโครงการผลิตแพทย์เพิ่มให้พอกับความต้องการของประเทศ ซึ่งเป็นโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายของวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ทำให้วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าเข้าร่วมโครงการผลิตแพทย์เพิ่มโดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากทบวงมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ถึงปี พ.ศ. 2544 จึงชะลอโครงการประมาณ 2 ปีเนื่องจากสภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจ แต่ภายหลังกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการในโครงการผลิตแพทย์เพิ่มดังกล่าวต่อ วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าจึงกลับมารับนักเรียนแพทย์ทหารเป็น 65 นายต่อปี ในปี พ.ศ. 2547


  • ในปี พ.ศ. 2548 ด้วยเหตุผลของความขาดแคลนแพทย์และศักยภาพของวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ทำให้กระทรวงสาธารณสุขให้งบประมาณสนับสนุนการผลิตแพทย์ของวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ทำให้สามารถรับนักเรียนแพทย์ทหารได้เป็น 100 นายต่อปี แต่เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านกำลังพลของกองทัพ ทำให้ไม่สามารถบรรจุนักเรียนแพทย์ทหารเข้ารับราชการเมื่อจบการศึกษาได้ทุกนาย วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าจึงได้ทำข้อตกลงกับสถาบันพระบรมราชชนก ให้รับบัณฑิตแพทย์จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าเข้ารับราชการในกระทรวงสาธารณสุขแทน และด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้เกิดนโยบายการรับบุคคลเข้าศึกษาในวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า 100 นายแบ่งเป็น นักเรียนแพทย์ทหาร และนักศึกษาแพทย์ชาย-หญิง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งนักศึกษาแพทย์ทั้งชายและหญิงได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกระทรวงสาธารณสุข มีสถานะเป็นพลเรือนในโรงเรียนทหาร แต่ต้องฝึกศึกษาวิชาทหารด้วย เมื่อจบแล้วทำงานกับกระทรวงสาธารณสุข


  • วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้ามีการพัฒนาทั้งทางด้านวิชาการและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการสอน อาทิเช่น สนับสนุนการวิจัยให้แก่นักเรียนแพทย์ทหาร ตลอดจนอาจารย์แพทย์ทั้งชั้นปรีคลินิก และให้ทุนการศึกษาแก่ผู้มีผลการเรียนดีไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ การสนับสนุนการศึกษาต่อและดูงานต่างประเทศของอาจารย์และนักเรียนแพทย์ทหาร การก่อสร้างอาคารเอนกประสงค์ สระว่ายน้ำ อาคารหอพัก โรงประกอบเลี้ยงและซักรีด ทั้งยังหาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพื่อให้เพียงพอต่อการเรียนการสอน และการเรียนรู้ของนักเรียนแพทย์ทหาร เป็นต้น


  • เนื่องในโอกาสที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าก่อตั้งครบ 20 ปี จึงได้ก่อสร้างอาคารเอนกประสงค์ขึ้น และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชทานนามว่า "พระมงกุฎเกล้าเวชวิทยา" พร้อมทั้งยังเสด็จมาเป็นองค์ประธานเปิดอาคาร เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2538 นอกจากนี้พระองค์ยังทรงรับเป็นองค์อุปถัมถ์ "มูลนิธิเพื่อวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า" อีกด้วย สร้างความปลาบปลื้มแก่ข้าราชการของวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าเป็นอย่างยิ่ง


  • ปัจจุบัน (พ.ศ. 2550) วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าได้ผลิตบัณฑิตแพทย์ทหารมาแล้ว 27 รุ่น ซึ่งได้จัดสรรให้แก่เหล่าทัพต่างๆ ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และกองบัญชาการทหารสูงสุด กระจายไปตามหน่วยทหารต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อช่วยเหลือกำลังพล ครอบครัว ตลอดจนประชาชนที่อยู่ห่างไกล หรือพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งเป็นการบรรเทาการขาดแคลนแพทย์ในกองทัพ และในชนบทของประเทศได้เป็นอย่างดี

[แก้] สัญลักษณ์ประจำ

  • พระมหาพิชัยมงกุฎพร้อมรัศมี และพระนามาภิไธยย่อ "รร๖"ซึ่งหมายถึง รามราชาธิบดีรัชกาลที่ 6 ผู้ทรงสร้างพระราชวังพญาไท และ พญานาค ซึ่งหมายถึงวิชาแพทย์
  • ดอกอินทนิล เป็นดอกไม้ประจำวิทยาลัย
  • สีขาบ หรือ น้ำเงินเข้ม เป็นสีประจำวิทยาลัย
  • วันสถาปนา วพม. 16 มิถุนายน ของทุกปี

[แก้] ผู้อำนวยการวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า จากอดีต ถึง ปัจจุบัน

  • 1.พล.ต.ยง วัชระคุปต์ พ.ศ. 2518-2520
  • 2.พล.ต.สอาด ประเสริฐสม พ.ศ. 2520-2524
  • 3.พล.ต.สิงหา เสาวภาพ พ.ศ. 2524-2527
  • 4.พล.ต.อมฤต ณ สงขลา พ.ศ. 2527-2531
  • 5.พล.ต.ปัญญา อยู่ประเสริฐ พ.ศ. 2531-2532
  • 6.พล.ต.ธรรมนูญ ยงใจยุทธ พ.ศ. 2532-2535
  • 7.พล.ต.สุจินต์ อุบลวัตร พ.ศ. 2535-2536
  • 8.พล.ต.ปรียพาส นิลอุบล พ.ศ. 2536-2538
  • 9.พล.ต.จุลเทพ ธีระธาดา พ.ศ. 2538-2540
  • 10.พล.ต.ประวิชช์ ตันประเสริฐ พ.ศ. 2540-2541
  • 11.พล.ต.บุญเลิศ จันทราภาส พ.ศ. 2541-2544
  • 12.พล.ต.อิสสระชัย จุลโมกข์ พ.ศ. 2544-2546
  • 13.พล.ต.สหชาติ พิพิธกุล พ.ศ. 2546-2549
  • 14.พล.ต.ภานุวิชญ์ พุ่มหิรัญ พ.ศ. 2549-2550
  • 15.พล.ต.กิตติพล ภัคโชตานนท์ พ.ศ. 2550-ปัจจุบัน

[แก้] สิทธิที่จะได้รับขณะกำลังศึกษาและเมื่อจบการศึกษา

  • นักเรียนแพทย์ทหารชายและหญิง มีสภาพเป็นนักเรียนทหารของกองทัพบก มีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่านักเรียนนายร้อย โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
  • นักเรียนแพทย์ทหารชายจะได้รับการขึ้นทะเบียนกองประจำการตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร ตั้งแต่ชั้นปีที่ 2 และนักเรียนแพทย์ทหารหญิงก็จะได้รับการบรรจุรับราชการตั้งแต่ชั้นปีที่ 2 หากได้รับบบรจุเข้าสังกัดกองทัพ
  • นักเรียนแพทย์ทหารได้รับการจัดสถานที่พัก เครื่องนอน เครื่องแต่งกาย เงินเดือน เบี้ยเลี้ยง อุปกรณ์การเรียน การรักษาพยาบาล และสิทธิอื่นๆ ตามที่ทางราชการกำหนด
  • นักเรียนแพทย์ทหารเข้าศึกษาโดยไม่ต้องเสียค่าลงทะเบียน และค่าหน่วยกิตใดๆ ทั้งสิ้นตั้งแต่ชั้นปีที่ 2 จนจบการศึกษา ทั้งนี้ตามที่ระเบียบวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้ากำหนดไว้ในแต่ละปี
  • วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้ามีทุนการศึกษาให้กับนักเรียนแพทย์ทหารที่มีผลการเรียนดี หรือที่มีปัญหาทางด้านการเงิน
  • เมื่อจบการศึกษาจะได้รับปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยมหิดล
  • นักเรียนแพทย์ทหาร ทุนกองทัพบกจะได้รับยศเป็นนายทหารสัญญาบัตร(ร้อยตรี เรือตรี เรืออากาศตรี)และบรรจุเข้ารับราชการเป็นแพทย์ทหารในสังกัดกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ หรือกองบัญชาการทหารสูงสุด
  • นักเรียนแพทย์ทหาร ทุนสาธารณสุข หากไม่ได้รับบรรจุเป็นแพทย์ทหารเข้าสังกัดกองทัพ จะได้รับยศว่าที่ร้อยตรี และบรรจุเข้ารับราชการเป็นแพทย์สังกัดกระทรวงสาธารณสุข เช่นเดียวกับแพทย์ที่จบจากสถาบันพลเรือนอื่น ๆ
  • ปัจจุบันวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าได้เปิดรับนักศึกษาแพทย์ชายและหญิงด้วย โดยมีสถานะเป็นนักศึกษาแพทย์พลเรือนที่ศึกษาในโรงเรียนทหาร แต่จะได้รับการฝึกฝนวินัยทางทหารด้วย สิทธิที่ได้รับให้อ่านได้ตามประกาศในแต่ละปีที่รับสมัคร
  • ผู้ที่มีผลการเรียนดีตลอดหลักสูตร มีทุนกองทัพบกสนับสนุนให้ไปศึกษาต่อเพิ่มเติม ณ ต่างประเทศ

[แก้] ดูเพิ่ม

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น


คณะแพทยศาสตร์ ใน ประเทศไทย

กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล | ขอนแก่น | จุฬาลงกรณ์ | เชียงใหม่ | ธรรมศาสตร์ | นราธิวาสราชนครินทร์ | นเรศวร | บูรพา | พระบรมราชชนก | พระมงกุฎเกล้า | มหาสารคาม | รังสิต | รามาธิบดี | ศรีนครินทรวิโรฒ | วลัยลักษณ์ | ศิริราช | สงขลานครินทร์ | สุรนารี | อุบลราชธานี |


หน่วยงานใน มหาวิทยาลัยมหิดล
  หน่วยงาน
คณะ

กายภาพบำบัด · ทันตแพทยศาสตร์ · เทคนิคการแพทย์ · พยาบาลศาสตร์ · แพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี · แพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล · เภสัชศาสตร์ · วิทยาศาสตร์ · ศิลปศาสตร์ · วิศวกรรมศาสตร์ · เวชศาสตร์เขตร้อน · สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ · สัตวแพทยศาสตร์ · สาธารณสุขศาสตร์ · สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ · บัณฑิตวิทยาลัย

วิทยาลัย

วิทยาลัยการจัดการ · วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา · วิทยาลัยนานาชาติ · วิทยาลัยศาสนศึกษา · วิทยาลัยราชสุดา · วิทยาลัยดุริยางคศิลป์

สถาบันสมทบ

วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า · วิทยาลัยพยาบาลเกื้อการุณย์ · วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานครและวชิรพยาบาล · วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก · วิทยาลัยพยาบาลกองทัพเรือ · วิทยาลัยพยาบาลทหารอากาศ · วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี (วิทยาเขตกรุงเทพ จักรีรัช ชัยนาท พระพุทธบาท ราชบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ศรีธัญญา จังหวัดชลบุรี จังหวัดเพชรบุรี)

ดูเพิ่ม

โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์