เจ้าหญิงเบียทริซ แห่งเอดินเบอระและแซ็กซ์-โคบูร์กและก็อตธา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เจ้าหญิงเบียทริซแห่งเอดินเบอระและแซ็กซ์-โคบูร์กและก็อตธา (เบียทริซ เลโอโพลดีน วิกตอเรีย; 20 เมษายน พ.ศ. 2427 - 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2509) ทรงเป็นสมาชิกในพระราชวงศ์อังกฤษ โดยทรงเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกตอเรีย และต่อมาได้อภิเษกสมรสไปสู่พระราชวงศ์สเปน และทรงเป็นพระชายาในเจ้าชายอัลฟองโซแห่งออร์เลอองส์-บอร์บอน เจ้าชายแห่งสเปน

สารบัญ

[แก้] ชีวิตในวัยเยาว์

เจ้าหญิงเบียทริซประสูติเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2427 ณ พระตำหนักอีสต์เวลล์พาร์ค มณฑลเคนต์ พระชนกของพระองค์คือ สมเด็จเจ้าชายอัลเฟรด ดยุคแห่งเอดินเบอระ พระราชโอรสในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียและเจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งแซ็กซ์-โคบูร์กและก็อตธา ส่วนพระชนนีคือ ดัชเชสแห่งเอดินเบอระ (หรือ แกรนด์ดัชเชสมารี อเล็กซานดรอฟนาแห่งรัสเซีย) พระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 แห่งรัสเซียและเจ้าหญิงมารีแห่งเฮสส์และไรน์

ในฐานะที่ทรงเป็นพระราชนัดดาในองค์พระมุขแห่งอังกฤษ ในสายพระราชโอรส เจ้าหญิงทรงดำรงพระอิสริยยศเจ้าหญิงแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ ชั้นเจ้าฟ้า ทั้งยังทรงเป็นสมาชิกในพระราชวงศ์รัสเซียผ่านทางพระชนนีและทรงเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระเจ้าชาร์แห่งรัสเซียอีกด้วย

เจ้าหญิงทรงใช้เวลาส่วนมากขณะทรงพระเยาว์ในประเทศมอลตา ที่ซึ่งพระชนกได้ทรงปฏิบัติหน้าที่อยู่ในราชนาวีอังกฤษ เมื่อดยุคแอร์นส์ที่ 2 แห่งแซ็กซ์-โคบูร์กและก็อตธาสิ้นพระชนม์ลงเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2436 ทำให้ตำแหน่งดยุคครองนครที่ว่างลงเป็นของดยุคแห่งเอดินเบอระ เนื่องจากเจ้าชายอัลเบิร์ต เอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ พระเชษฐาได้ทรงสละราชสิทธิ์ในการสืบทอดตำแหน่งนี้ไปแล้ว

จากนั้นไม่นานทั้งดยุคและดัชเชสแห่งเอดินเบอระพร้อมด้วยพระโอรสและธิดาทั้ง 5 พระองค์ก็ได้เสด็จไปประทับที่พระตำหนักในเมืองโคบูร์ก

[แก้] อภิเษกสมรส

ในปี พ.ศ. 2445 เจ้าหญิงเบียทริซทรงพบรักกับแกรนด์ดยุคไมเคิลแห่งรัสเซีย พระอนุชาในสมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ 2 แห่งรัสเซียและรัชทายาทในราชบัลลังก์จักรวรรดิรัสเซีย แต่พระองค์ทรงไม่ได้รับอนุญาตให้อภิเษกกับแกรนด์ดยุคอันเนื่องมาจากศาสนจักรออร์โธด็อกซ์รัสเซียได้ห้ามไม่ให้พระญาติสนิทที่พระชนกและชนนีเป็นพี่น้องกันอภิเษกสมรสกันเอง

จากนั้นก็มีข่าวลือว่าเจ้าหญิงเบียทริซจะอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชาธิบดีอัลฟองโซที่ 13 แห่งสเปน แต่ก็ไม่เป็นเรื่องจริงเพราะว่ากษัตริย์พระองค์นี้ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงวิกตอเรีย ยูจีนีแห่งแบ็ตเต็นเบิร์ก พระญาติสนิทฝ่ายพระชนกแทนในปี พ.ศ. 2449 และในงานอภิเษกสมรสครั้งนี้เองที่เจ้าหญิงทรงพบกับเจ้าชายอัลฟองโซแห่งออร์เลอ็องส์-บอร์บอน เจ้าชายแห่งสเปน ดยุคที่ 5 แห่งกัลเลียร่า พระญาติในกษัตริย์แห่งสเปน แต่กระนั้นพระราชวงศ์สเปนไม่เห็นด้วยกับคู่ที่จะอภิเษกในอนาคตนี้ และเป็นที่รู้ชัดกันว่าถ้าการอภิเษกสมรสเกิดขึ้นทั้งสองพระองค์จะทรงถูกเนรเทศให้ไปอยู่ต่างประเทศ

เจ้าหญิงและเจ้าชายทรงมีพระโอรส 3 พระองค์ ดังนี้

เรื่องอื้อฉาวและการเสด็จออกนอกประเทศ

เจ้าหญิงเบียทริซและเจ้าชายอัลฟองโซได้อภิเษกสมรสกันทั้งในพิธีโรมันคาทอลิกและลูเธอรันเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2452 ณ เมืองโคบูร์ก ทั้งสองพระองค์ประทับอยู่ในเมืองโคบูร์กก่อนจนกระทั้งทรงได้รับพระบรมราชานุญาตให้เสด็จกลับสเปนได้ในปี พ.ศ. 2455

ในช่วงที่ชีวิตสมรสของกษัตริย์อัลฟองโซที่ 13 ไม่ราบรื่นนั้น พระองค์ทรงมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวมากหน้าหลายตาและทรงหาความสำราญเป็นประจำ บางคนถึงกับมีลูกนอกสมรสด้วย แต่ก็ยังมีข่าวลือที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าพระองค์ทรงมีความสัมพันธ์กับเจ้าหญิงเบียทริซ ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นพระสหายสนิทกันมาก แต่ในมารยาทอันน่าอึดอัดของพระราชวงศ์สเปนนั้นมันเป็นความสัมพันธ์แบบแนบแน่นที่ยากจะปิดบังได้

สมเด็จพระราชินีมาเรีย คริสตินา (พ.ศ. 2401 - พ.ศ. 2472 พระราชชนนีพันปีหลวงแห่งสเปน) ทรงไม่พอพระทัยกับข่าวลือนี้อย่างมาก และได้เสด็จไปพบกับเจ้าหญิงเบียทริซที่เมืองซานเซบาสเตียนและทรงขอให้เสด็จออกจากสเปนไป แต่เจ้าหญิงก็ทรงปฏิเสธทำให้กษัตริย์อัลฟองโซทรงไม่มีทางเลือก จึงต้องทรงเนรเทศให้เจ้าหญิงทรงออกนอกประเทศไป

[แก้] สงครามกลางเมือง

เจ้าหญิงเบียทริซและครอบครัวได้ย้ายไปยังประเทศอังกฤษ ซึ่งพระโอรสทั้งสามทรงศึกษาเล่าเรียนที่วิทยาลัยวินเชสเตอร์ ช่วงต่อมาพระราชวงศ์สเปนได้เริ่มผ่อนปรนลง และได้อนุญาตให้เจ้าหญิงและครอบครัวเสด็จกลับสเปนได้ โดยทรงมีพระตำหนักอยู่บนที่ดินแห่งหนึงในเมืองซันลูการ์ เด บาร์ราเมดา

ช่วงทศวรรษ 2473-83 เป็นช่วงเวลาทุกข์ยากของครอบครัวเนื่องจากการล่มสลายของระบอบกษัตริย์ในประเทศสเปนและสงครามกลางเมืองในเวลาต่อมานำไปสู่การสูญเสียทรัพย์สินอันมีค่าต่างๆ มากมาย หลังจากการตั้งสาธารณรัฐสเปนครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2474 กษัตริย์อัลฟองโซและพระราชวงศ์ได้เสด็จลี้ภัยไปประทับในประเทศอิตาลี หลายปีต่อมาสถานการณ์ทางการเมืองของสเปนแย่ลงเนื่องจากหลายฝ่ายต้องการแย่งชิงอำนาจมาเป็นของตน ช่วงปลายทศวรรษ 2473 ความขัดแย้งต่างๆ ได้ประทุขึ้นมาเป็นสงครามกลางเมือง เจ้าหญิงเบียทริซและเจ้าชายอัลฟองโซต้องทรงสูญเสียทรัพย์สินที่ดินไปในช่วงสงคราม นอกจากนี้แล้วเจ้าชายอลองโซ พระโอรสพระองค์กลางก็ได้สิ้นพระชนม์จากการต่อสู้กับพวกคอมมิวนิสต์อีกด้วย

[แก้] ปลายพระชนม์ชีพ

เจ้าหญิงเบียทริซสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2509 ณ พระตำหนักในเมืองซันลูการ์ เด บาร์ราเมดา โดยพระสวามีของพระองค์ดำรงพระชนม์ต่อมาอีก 9 ปี เจ้าชายอตอลโฟ พระโอรสองค์เล็กสิ้นพระชนม์ขณะที่ไม่ได้อภิเษกสมรสในปี พ.ศ. 2517 ดังนั้นพระนัดดาในเจ้าหญิงจึงเป็นพระโอรสและธิดาของเจ้าชายอัลวาโร

[แก้] พระอิสริยยศ

ภาษาอื่น