ประวัติศาสตร์อักษร

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

จุดเริ่มต้นของอักษรชนิดแทนหน่วยสียงอยู่ในอียิปต์โบราณ อักษรแทนหน่วยเสียงชนิดแรกเป็นอักษรไร้สระ ปรากฏเมื่อ 1,457 ปีก่อนพุทธศักราช ซึ่งเป็นผลงานของแรงงานชาวเซมิติกในอียิปต์ เพื่อใช้เขียนภาษาของตนเอง โดยได้รับอิทธิพลจากอักษรที่ใช้แทนเสียงพยัญชนะซึ่งใช้คู่กับอักษรแทนคำในอักษรเฮียโรกลิฟฟิก อักษรอื่นๆที่ใช้ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่พัฒนามาจากอักษรนี้รวมทั้งอักษรฟินิเชียน อักษรกรีก และอักษรละติน

สารบัญ

[แก้] จุดกำเนิดในอียิปต์

เมื่อประมาณ 2,157 ปีก่อนพุทธศักราช ชาวอียิปต์โบราณพัฒนาอักษร 22 ตัว ใช้แสดงเสียงพยัญชนะ และสัญลักษณ์ตัวที่ 23 ใช้แสดงคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียงสระ ซึ่งใช้แสดงการออกเสียงของอักษรเฮียโรกลิฟฟิกที่ใช้แทนคำ แสดงการผันทางไวยากรณ์ และใช้ถ่ายเสียงคำยืมจากภาษาอื่น แต่ตัวอักษรเหล่านี้ไม่ได้ใช้ในระบบอักษรแทนหน่วยเสียง ระบบอักษรแทนหน่วยเสียงปรากฏครั้งแรกเมื่อ 1,457 ปีก่อนพุทธศักราช โดยคนงานชาวเซมิติกในอียิปต์ตอนกลาง อีก 500 ปีต่อมา อักษรนี้ได้แพร่กระจายขึ้นไปทางเหนือ และเป็นต้นกำเนิดของอักษรต่างๆทั่วโลก ยกเว้นอักษรเมรอยติกที่พัฒนาจากเฮียโรกลิฟฟิกเมื่อ พ.ศ. 243 ในนูเบีย อียิปต์ใต้

[แก้] อักษรตระกูลเซมิติก

บทความหลัก: อักษรตระกูลเซมิติก

อักษรเหล่านี้ไม่ได้มาจากสัญลักษณ์แทนพยัญชนะของชาวอียิปต์ แต่เป็นการรวมอักษรเฮียโรกลิฟฟิกอื่นๆเข้ามาด้วย ทั้งหมดมี 30 ตัว กำหนดชื่อเป็นภาษาเซมิติก เช่น เฮียโรกลิฟ per (บ้าน ในภาษาอียิปต์) กลายเป็น bayt (บ้าน ในภาษาเซมิติก) เมื่อนำมาเขียนภาษาเซมิติกจะเป็นระบบพยัญชนะล้วน โดยอักษรแต่ละตัวแทนเสียงพยัญชนะตัวแรกของชื่อ เช่น รูปบ้าน beyt ใช้แทนเสียง b หรือใช้แทนทั้งเสียง b และลำดับพยัญชนะ byt ดังที่ใช้แทนเสียง p และลำดับพยัญชนะ pr ในภาษาอียิปต์ ในยุคที่ชาวคานาอันนำอักษรนี้ไปใช้ จะใช้แทนเสียง b เท่านั้น

[แก้] ลูกหลานของอักษรเซมิติก

อักษรคานาอันไนต์ระยะแรกใช้แทนเสียงพยัญชนะเท่านั้น ซึ่งเป็นระบบที่เรียกว่าอักษรไร้สระ และพัฒนาต่อไปเป็นอักษรฟินิเชียน อักษรอราเมอิกที่พัฒนาไปจากอักษรฟินิเชียนซึ่งใช้เขียนภาษาราชการของจักรวรรดิเปอร์เซียเป็นบรรพบุรุษของอักษรอื่นๆในเอเชีย ได้แก่

อีกทางหนึ่ง อักษรฟินิเชียนพัฒนาไปเป็นอักษรกรีกและอักษรเบอร์เบอร์โบราณ และเริ่มมีการกำหนดอักษรที่ใช้แทนเสียงสระ ตัวอย่างเช่น ภาษากรีก ไม่มีเสียง อ หรือ ฮ (h) ดังนั้น อักษรฟินิเชียน ’alep และ he กลายเป็นอักษรกรีก อัลฟา และ e (ต่อมาคือเอฟซิลอน) และใช้แทนเสียงสระอะ (/a/) และเอ (/e/) แทนเสียง /อ/ และ /ฮ/ เนื่องจากภาษากรีกมีเสียงสระ 6 -12 เสียง ชาวกรีกจึงพัฒนาอักษรเพิ่ม เช่น ei, ou, and o (ต่อมาคือ โอเมกา)

อักษรกรีกเป็นต้นแบบของอักษรสมัยใหม่ในยุโรป เช่นอักษรละตินและอักษรอิตาลีโบราณ โดยอักษรเหล่านั้นมีสัญลักษณ์แทนเสียงสระด้วย เช่น อักษรกลาโกลิติก อักษรซีริลลิก อักษรอาร์เมเนีย อักษรโกธิก และอาจรวมอักษรจอร์เจียด้วย

นอกจากความสัมพันธ์ในแนวเส้นตรงดังกล่าวแล้ว ยังมีความสัมพันธ์ระหว่างอักษรในด้านอื่นๆอีก เช่น อักษรแมนจู มาจากอักษรไร้สระในเอเชียตะวันตก แต่ได้รับอิทธิพลจากอักษรฮันกึลด้วย อักษรจอร์เจียมาจากอักษรอราเมอิกแต่ได้รับอิทธิพลจากอักษรกรีก อักษรกรีกที่ปรับปรุงแล้วนำไปใช้คู่กับเฮียโรกลิฟ 6 ตัว ใช้เขียนภาษาคอปติก อักษรครีมีลักษณะผสมระหว่างอักษรเทวนาครีและชวเลขของพิตแมน และมีลักษณะคล้ายตัวเขียนของอักษรละติน

[แก้] อักษรอิสระ

อักษรที่ใช้ในปัจจุบันและไม่อาจย้อนกลับไปหาอักษรคานาอันไนต์ได้ คือ อักษรทานา แม้ว่าจะดูเหมือนอักษรอาหรับ แต่ที่จริงแล้วมาจากตัวเลข อักษรโซมาลีที่ใช้ในโซมาลีเมื่อ พ.ศ. 2463 และเป็นอักษรราชการคู่กับอักษรละตินจนถึง พ.ศ. 2515 มีรูปร่างพยัญชนะที่ถูกปรับปรุงขึ้นใหม่ อักษรสันตาลีที่ใช้ในเอเชียใต้ มีพื้นฐานจากสัญลักษณ์ทั่วไป อักษรโอคัมในสมัยโบราณ ประกอบด้วยเครื่องหมายที่เป็นขีด และจารึกในสมัยจักรวรรดิเปอร์เซีย เคยเขียนในรูปแบบอักษรรูปลิ่ม และมีการใช้ในระบบอักษรเป็นครั้งคราว

[แก้] อักษรในสื่ออื่นๆ

เมื่อสื่อที่ใช้เขียนอักษรเปลี่ยนไปทำให้รูปร่างของอักษรเปลี่ยนไปได้ เช่นอักษรยูการิติกที่เป็นอักษรรูปลิ่ม อาจจะมาจากตระกูลเซมิติก การประดิษฐ์หรือปรับปรุงอักษรใหม่ๆยังเกิดขึ้นอยู่เสมอ รวมทั้งอักษรที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ เช่น อักษรเบรล รหัสมอร์ส ชวเลข

ภาษาอื่น