กิออร์กี้ ชูคอฟ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

กิออร์กี้่ ชูคอฟ
กิออร์กี้่ ชูคอฟ

จอมพล กิออร์กี้ ชูคอฟ (1 ธ.ค. 1896 - 18 มิ.ย. 1974) ภาษาอังกฤษ Georgy Zhukov ภาษารัสเซีย Георгий Жуков (อ่านว่า เก-ออร์กี้ ชูกอฟ )หรือที่คนไทยมักเรียกว่า จอร์จี้ ซูคอฟ เป็นรัฐมนตรีกลาโหมสหภาพโซเวียต และผู้บัญชาการทหารคนสำคัญของโซเวียต ที่ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้นำกองทัพแดงในการปลดปล่อยสหภาพโซเวียต จากการรุกรานของนาซีเยอรมัน ปลดปล่อยยุโรปตะวันออกส่วนใหญ่ และเข้ายึดกรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของนาซีเยอรมัน

ชูคอฟ ครองตำแหน่งวีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติสูงสุดของสหภาพโซเวียตถึง 4 ครั้ง ซึ่งนอกจากเขาแล้ว ก็มีเพียง เลโอนิด เบรชเนฟ อดีตผู้นำสหภาพโซเวียตเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้ตำแหน่งนี้ 4 ครั้ง นอกจากนั้นเขาก็ยังได้รับเหรียญตรา และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่สตาลิน ไม่ไว้ใจและอิจฉาเขา

ดาวเคราะห์น้อย 2132 ชูคอฟ ก็ได้รับการตั้งชื่อตามชื่อของเขา ปี ค.ศ.1995 รัสเซียออกเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชื่อ ชูคอฟ ออร์เดอร์ และ ชูคอฟ เมดัล เนื่องในโอกาสวันครบรอบ 100 ปีวันคล้ายวันเกิด ของเขา

ที่มองโกเลีย มีรูปปั้นของชูคอฟ ที่สร้างเพื่อรำลึกการรบแห่งฮาลฮิน โกล รูปปั้นดังกล่าวนับเป็นรูปปั้นชิ้นแรกๆสำหรับชูคอฟ และหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบคอมมิวนิสต์ รูปปั้นของเขา ก็เป็นหนึ่งในงานไม่กี่ขิ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากกระแสต่อต้านโซเวียตของคนที่นี่

สารบัญ

[แก้] ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

ชูคอฟเกิดในครอบครัวชาวนารัสเซีย ค.ศ.1915 ถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารในกองทัพบกจักรวรรดิ์รัสเซีย ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 เขารบได้อย่างกล้าหาญ จึงได้รับเหรียญตราและถูกเลื่อนยศ หลัง การปฏิวัติเดือนตุลาคม ค.ศ.1917 ชูคอฟเข้าร่วมกับพรรคบอลเชวิค และต่อสู้ในสงครามกลางเมืองรัสเซียช่วงปี ค.ศ.1918 - 1921 พอถึง ค.ศ.1923 เขาขึ้นเป็นผู้บัญชาการกรม ค.ศ.1930 เป็นผู้บัญชาการกองพัน ชูคอฟเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญในทฤษฎีใหม่ของสงครามยานเกราะ เขาโดดเด่นเรื่องการวางแผนการรบที่เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย เขาเน้นระเบียบวินัยและความเข้มงวด เขาเป็นหนึ่งในบรรดานายทหารไม่มากนักที่รอดพ้นจากการกวาดล้างกองทัพครั้งใหญ่ของสตาลิน ช่วงปี ค.ศ. 1937 - 1939

ค.ศ.1938 ชูคอฟ เป็นผู้บัญชาการกลุ่มกองทัพโซเวียตมองโกเลียที่ 1 และเป็นผู้บัญชาการรบกับกองทัพกวางตุ้งของญี่ปุ่นที่บริเวณพรมแดนมองโกเลียกับรัฐแมนจูกัวของญี่ปุ่นในสงครามที่ไม่มีการประกาศช่วงปี ค.ศ.1938 - 1939 ที่เริ่มจากการกระทบกระทั่งรายวันตามแนวพรมแดน โดยญี่ปุ่นหวังจะทดสอบกำลังในการป้องกันเขตแดนของฝ่ายโซเวียต จนเรื่องนี้กลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบอย่างรวดเร็ว ที่เรียกว่า การรบแห่งฮาลฮิน โกล ญี่ปุ่นทุ่มกำลังพล 80,000 นาย รถถัง 180 คัน และอากาศยาน 450 ลำเข้าสู่สงคราม งานนี้ชูคอฟสามารถพิชิตฝ่ายญี่ปุ่นได้โดยง่าย และได้รับตำแหน่ง เป็นวีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียตแต่ชื่อเสียงของเขาไม่เป็นที่รู้จักในภายนอก เพราะช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี ชาติตะวันตกไม่สนใจการรบแบบยานเกราะเคลื่อนที่ที่เขานำมาลองใช้ที่ ฮาลฮิน โกล สงครามสายฟ้าแล่บของเยอรมันต่อฝรั่งเศส จึงสร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนมากมาย

ชูคอฟ ได้รับการเลื่อนยศเป็นพลเอกในปี ค.ศ.1940 ระหว่างมกราคม - กรากฎาคม ค.ศ.1941 เขาเป็นประธานเสนาธิการกองทัพแดง แต่เพราะความขัดแย้งกับสตาลิน เขาจึงถูกปลด หลังจากที่นาซีเยอรมัน บุกสหภาพโซเวียตได้ไม่นาน


[แก้] แม่ทัพใหญ่

มูลเหตุของความขัดแย้งกับสตาลินในครั้งนั้น ก็คือชูคอฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในนายทหารไม่กี่คน ที่กล้าที่จะท้วงติง ผู้นำ ได้ทักท้วงสตาลินว่า เคียฟคงจะทานการรุกของข้าศึกไม่ไหว ทางที่ดีน่าจะถอยทัพออกมาก่อน แต่สตาลินไม่พอใจอย่างมาก จึงปลดเขาจากตำแหน่งเมื่อ 29 ก.ค.ค.ศ.1941 และส่งไปดูแลการรบที่เลนินกราด แต่ในที่สุดแล้วชูคอฟก็พิสูจน์ว่าเขาเป็นฝ่ายถูก เมื่อโซเวียตเสียทหารไปถึงครึ่งล้านที่เคียฟ

ตุลาคม ค.ศ.1941 เมื่อข้าศึกรุกเข้าประชิดกรุงมอสโก ชูคอฟถูกเรียกตัวมาเป็นผู้บัญชาการแนวรบกลาง แทนนายพล เซมิยอน ติมาเชนโก เพื่อปกป้องกรุงมอสโก ซึ่งเขาก็ทำได้สำเร็จ เมื่อสามารถผลักดันข้าศึกให้ถอยออกไปจนมอสโกพ้นขีดอันตราย (ดูเพิ่มเติม การรบแห่งมอสโก )ความสำเร็จนี้ทำให้สตาลินยอมรับฟังความคิดเห็นของนายพลของเขามากขึ้น และยอมถูกวิจารณ์มากขึ้น และชูคอฟก็กลับมาเป็นนายทหารคู่ใจของเขาอีกครั้ง ปีต่อมา ชูคอฟ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้บัญชาการสูงสุด และส่งไปดูแลการรบที่สตาลินกราด ซึ่งที่นี่ โซเวียตพิชิตกองทัพที่ 6 ของเยอรมนีลงได้สำเร็จ แม้จะต้องเสียทหารไปเป็นล้าน

มกราคม ค.ศ.1943 เขาดูแลการตีฝ่าการปิดล้อมเลนินกราดครั้งแรก กรกฎาคมปีเดียวกัน ในบันทึกความทรงจำ ชูคอฟบอกว่าเขามีบทบาทสำคัญในการวางแผนการรุกรบที่คูร์สก์ (Kursk)ที่ประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม โดยที่นี่กองทัพเยอรมันประสบความปราชัยในช่วงฤดูร้อนเป็นครั้งแรก จึงถือว่าเป็นชัยชนะที่มีความสำคัญ เช่นเดียวกับที่สตาลินกราด

หลังจากนั้น ชูคอฟ ก็ดูแลเรื่องการปลดปล่อยการปิดล้อมเลนินกราดที่ประสบความสำเร็จ มกราคม ค.ศ.1944 ชูคอฟ นำกองทัพโซเวียตในการรุกที่มีชื่อรหัสว่า ยุทธการบากราติออน ซึ่งหลายคนมองว่า เป็นปฏิบัติการณ์ทางทหารที่สุดยอดที่สุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมษายน ค.ศ.1945 กองทัพโซ เวียตยึดกรุงเบอร์ลินได้ และเยอรมนียอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข


[แก้] หลังสงคราม

หลังสงครามจบสิ้น ชูคอฟเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเขตยึดครองโซเวียตในเยอรมนี และเป็นผู้ว่าการ ทหารที่นั่น ความที่เขาเป็นที่นิยมชมชอบจากคนหลายฝ่ายอย่างมาก จึงมองกันว่าเขามีแนวโน้มเป็นอันตรายอย่างมากกับระบอบเผด็จการสตาลิน ปี ค.ศ.1946 เขาจึงถูกเก็บเข้ากรุ และโดนย้ายมาเป็นผู้บัญชาการเขตการทหารโอเดสซา ซึ่งห่างไกลจากเมืองหลวง และไม่ค่อยมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ หลังการตายของสตาลิน เขาก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง โดยได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในปี ค.ศ.1953 และเป็นรัฐมนตรีกระทรวงนี้ในปี ค.ศ.1955

มิถุนายน ค.ศ.1957 ชูคอฟ ได้ขึ้นเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการกลาง สภาเปรสซิเดียม แต่ถูกนิกิต้า ครุชชอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียตยุคนั้นปลดจากกระทรวงและคณะกรรมาธิการกลางเดือนตุลาคมปีเดียวกัน เพราะความขัดแย้งทางนโยบายด้านการทหารหลายเรื่อง

หลังครุชชอฟถูกโค่นล้มเดือนตุลาคม ค.ศ.1964เบรชเนฟ ผู้นำประเทศคนใหม่ได้ฟื้นฟูความนิยมให้ชู คอฟอีกครั้ง แต่ไม่ฟื้นฟูอำนาจ

ชูคอฟ กลับมาเป็นที่นิยมในโซเวียตจวบจนเสียชีวิตไปในปี ค.ศ.1974 และศพของเขาถูกนำมาประกอบพิธีอย่างสมเกียรติ


[แก้] ด่างพร้อย