กองทัพบกไทย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สถานีย่อย:ประเทศไทย
ตราราชการกองทัพบก
ตราราชการกองทัพบก
ธงประจำกองทัพบก
ธงประจำกองทัพบก

กองทัพบกไทย (ทบ.) เป็นกองทัพที่เก่าแก่และมีขนาดใหญ่ที่สุดในกองทัพไทย โดยก่อตั้งขี้นในปีพ.ศ. 2417 เหตุผลส่วนหนึ่งคือเพื่อรับมือกับการคุกคามรุกแบบใหม่จากอังกฤษภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาวริ่งและการเปิดประเทศใน พ.ศ. 2398

สารบัญ

[แก้] ประวัติ

กองทัพบก ได้กำเนิดมาพร้อมๆ กับการก่อตั้งราชอาณาจักรไทย และเป็นรากฐานของความมั่นคงของประเทศชาติตลอดมา การปฏิรูปการทหารบกของไทยเป็นแบบตะวันตก ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือต้นแบบของกิจการทหารบกสมัยปัจจุบัน

[แก้] กองบัญชาการกองทัพบก สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงราชสมบัติ เมื่อ พ.ศ. 2349 กิจการแรกที่พระองค์ทรงกระทำ คือ ทรงตั้งเจ้าพระยาพระคลัง (ดิส บุนนาค) ว่าที่สมุหพระกลาโหมขึ้นเป็น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ ดำรงตำแหน่งสมุหพระกลาโหม และให้จัดการเรื่องกิจการทหารเป็นการด่วน โดยให้ปรับปรุงกองทัพบกให้เป็นแบบสมัยใหม่ และมีประสิทธิภาพที่สามารถป้องกันประเทศชาติได้ ทั้งนี้เพราะประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกได้แผ่อิทธิพลเข้ามาอยู่เหนือประเทศทางภูมิภาคเอเซียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ และมีท่าทีคุกคามต่อประเทศไทยยิ่งขึ้นตามลำดับ สำหรับการปรับปรุงในด้านวิทยาการนั้น พระองค์ทรงจ้าง ร้อยเอก อิมเปย์ และ ร้อยเอก น็อกส์ ชาวอังกฤษ ซึ่งเดินทางจากอินเดียผ่านเข้ามาทางพม่า ให้เป็นครูฝึกหัดทหารบก ทั้งทหารของวังหน้าและวังหลวง ดังนั้นใน พ.ศ. 2395 กองทหารที่ได้รับการฝึกและจัดแบบตะวันตก มีดังนี้

  1. กองรักษาพระองค์อย่างยุโรป
  2. กองทหารหน้า
  3. กองปืนใหญ่อาสาญวน

กองทหารหน้าเป็นหน่วยที่ได้รับการฝึกแบบใหม่ มีอาวุธใหม่ และมีทหารประจำการมากกว่าทหารหน่วยอื่นๆ ทั้งยังมีความชำนาญในการรบมาพอสมควร เนื่องจากได้เข้าสมทบในกองทัพหลวงไปทำศึกที่เมืองเชียงตุง เมื่อปี พ.ศ. 2395 และ พ.ศ. 2396 การศึกทั้ง 2 ครั้งนี้ กองทหารหน้าได้สำแดงเกียรติภูมิในหน้าที่ของตนไว้อย่างน่าชมเชย จึงเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก ยามปกติกองทหารหน้ามีหน้าที่เข้าขบวนแห่นำตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกคราว นอกจากนั้นยังมีหน้าที่ปราบปรามโจรผู้ร้ายตามหัวเมืองต่างๆ เช่น ปราบปรามพวกอั้งยี่ที่มณฑลปราจีน และเมืองชลบุรีอีกด้วย จึงนับได้ว่า " กองทหารหน้า " นี้เองเป็นรากเหง้าของกองทัพบกในปัจจุบันนี้

กิจการทหารบกได้รุดหน้าไปอีก เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงมหิศวรินทรามเรศ ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการกองทหารหน้าใน พ.ศ. 2398 พระองค์ทรงรวบรวมกองทหารที่อยู่อย่างกระจัดกระจายทั่วกรุงเทพฯ มารวมไว้ที่เดียวกัน คือโรงทหารสนามไชย กองทหารดังกล่าวคือ

  1. กองทหารฝึกแบบยุโรป (เดิมอยู่ริมคลองโอ่งอ่างฝั่งตะวันออก)
  2. กองทหารมหาดไทย (ซึ่งถูกเกณฑ์มาจากหัวเมืองฝ่ายเหนือ)
  3. กองทหารกลาโหม (ซึ่งถูกเกณฑ์มาจากหัวเมืองฝ่ายใต้)
  4. กองทหารเกณฑ์หัด (คือพวกขุนหมื่นสิบยก กองทหารเกณฑ์หัดนี้ ขึ้นกับกองทหารหน้า)

จะเห็นได้ว่า การจัดการทหารบกแบบตะวันตกหรือกองทัพบกปัจจุบันนี้เริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว แต่เป็นไปในวงแคบ อำนาจในการปกครองบังคับบัญชาทหารในกรุงเทพฯ แยกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ทหารที่สังกัดพระบรมมหาราชวังขึ้นโดยตรงต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนทหารที่สังกัดพระบวรราชวัง หรือวังหน้า ขึ้นโดยตรงต่อ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนทหารในหัวเมืองก็แยกขึ้นกับ สมุหพระกลาโหม และสมุหนายก

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ พระองค์มิได้แถลงพระบรมราโชบายในการจัดการทางทหารไว้เป็นที่เด่นชัด อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงสภาวการณ์ และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ รวมทั้งวิธีการทางทหาร ตลอดจนพระปรีชาญาณในการบริหารประเทศแล้วอาจพิจารณาได้ว่า พระองค์น่าจะทรงมีพระราชประสงค์ในการจัดการทางทหารเป็น 2 ประการ คือ

  1. การปฏิรูปการทหารเพื่อความมั่นคงแห่งราชบัลลังก์
  2. การปฏิรูปการทหารเพื่อความเจริญทางด้านการทหารเอง และให้เหมาะสมกับกาลสมัย ตลอดจนสามารถรักษาความปลอดภัยให้แก่ประเทศชาติ

เนื่องจาการทหารในสมัยนั้นยังเป็นไปในลักษณะกระจัดกระจาย อยู่ในสังกัดอำนาจของบุคคลหลายฝ่าย จึงทำให้การปฏิรูปการทหารของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในระยะแรกมีขอบเขตจำกัด ต่อมาใน พ.ศ. 2415 ภายหลังจากการเสด็จไปประพาสสิงคโปร์และปัตตาเวียแล้ว พระองค์โปรดให้ปรับปรุงการทหารให้กาวหน้ายิ่งขึ้น โดยนำแบบอย่างการทหารที่ชาวยุโรปนำมาฝึกทหารในอาณานิคมของตน แต่ได้ดัดแปลงแก้ไขให้เหมาะสมกับสภาพของประเทศไทย โปรดให้แบ่งหน่วยทหารออกเป็น 7 หน่วย ดังนี้

  1. กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์
  2. กรมทหารรักษาพระองค์
  3. กรมทหารล้อมวัง
  4. กรมทหารหน้า
  5. กรมทหารปืนใหญ่
  6. กรมทหารช้าง
  7. กรมทหารฝีพาย

พ.ศ. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงหารือกับพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดี ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจัดการทหารอย่างใหม่เป็นระเบียบแบบแผนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนั้น ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2430 จึงได้มี "ประกาศจัดการทหาร" ขึ้น โดยตั้ง "กรมยุทธนาธิการ" มีลักษณะเป็นกรมกลางของทหารบก และทหารเรือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระราชอิสริยยศตำแหน่ง "จอมทัพ" สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็น "ผู้บังคับบัญชาการทั่วไป" และเพื่อให้หน่วยทหารได้รับการบังคับบัญชาดูแลได้ทั่วถึง จึงทรงแต่งตั้งตำแหน่งผู้ช่วยเหลือผู้บังคับบัญชาทั่วไปอีก 4 ตำแหน่ง คือ

  1. เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก
  2. เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ
  3. เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้บัญชาการใช้จ่าย
  4. เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้บัญชาการยุทธภัณฑ์

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกแซนด์เฮิสต์ ประเทศอังกฤษ ทั้งยังทรงรับราชการในกรมทหารราบเบาเดอรัม และค่ายฝึกทหารปืนใหญ่ นับว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ได้ทรงศึกษาวิชาทหารบกจากต่างประเทศโดยเฉพาะ เมื่อพระองค์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ จึงทรงปรับปรุงกิจการทหารบกให้ดียิ่งขึ้น และเจริญก้าวหน้าตามแบบอย่างทหารในทวีปยุโรป พระองค์ทรงให้มีการเปลี่ยนแปลงการบริหารกิจการทหารใหม่ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2453 โดย

  1. เปลี่ยนชื่อกรมยุทธนาธิการ เป็น กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ดูแลการปกครองเฉพาะกิจการทหารบก
  2. ยกกรมทหารเรือ ขึ้นเป็น กระทรวงทหารเรือ
  3. จัดตั้งสภาป้องกันพระราชอาณาจักร ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างกระทรวงกลาโหม และกระทรวงทหารเรือ

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นทหารบกโดยอาชีพ กล่าวคือ ทรงศึกษาวิชาทหารบกจากวิทยาลัยการทหารวูลลิช ประเทศอังกฤษ และวิชาเสนาธิการทหาร จากโรงเรียนเสนาธิการฝรั่งเศส พระองค์ทรงพยายามทุกวิถีทางที่จะทำนุบำรุงกิจการทหารบกให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น แต่ปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและการขากแคลนงบประมาณแผ่นดิน ทำให้รัฐบาลมีความจำเป็นต้องตัดทอนรายจ่าย และส่งผลกระทบมาถึงกิจการทหารในสมัยของพระองค์ด้วย มีการยุบกรมกองและปลดข้าราชการตำแหน่งต่างๆ ลง ต่อมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ยุบกระทรวงทหารเรือ รวมเข้ากับกระทรวงกลาโหม ให้เสนาบดีกระทรวงกลาโหมมีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชาการทหาร 3 ฝ่าย คือ ทหารบก ทหารเรือ และทหารอากาศ ปัญหาและผลสะท้อนจาการตัดทอนรายจ่ายในราชการทหารนี้เองเป็นสาเหตุนำไปสู่ความยุ่งยากทางการเมือง

[แก้] กองบัญชาการกองทัพบก หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการที่เคยดำรงตำแหน่งชั้นสูงในกองทัพบก ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งจนหมด และได้มีการบรรจุบุคคลอื่นเข้าดำรงตำแหน่งแทน โดยมี นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นผู้บัญชาการทหารบก และ นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกฝ่ายยุทธการ อย่างไรก็ตามงานในหน้าที่ผู้บังคับบัญชาทหารบกกลับอยู่ในมือของ นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช เนื่องจากมีความสามารถและความเชี่ยวชาญทางวิชาการทหารสูง จึงมีบทบาทในการจัดราชการทหารอยู่ระยะหนึ่ง ในเดือนกันยายน ปี 2476 พระยาทรงสุรเดช ได้ก่อความไม่สงบขึ้น โดยมั่นหมายที่จะเปลี่ยนแปลงบุคคลในระดับสูง ทั้งทางด้านการทหารและพลเรือนเสียใหม่ แต่ไม่สำเร็จ

เมื่อเกิดสงครามมหาเอเซียบูรพา จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขณะนั้น ได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ทางทหาร ด้วยการนำกำลังกองทัพบกส่วนใหญ่ขึ้นไปอยู่ทางภาคเหนือ แล้วจัดตั้งเป็นกองทัพพายัพขึ้น กับได้วางแผนการย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพฯ ไปอยู่เพชรบูรณ์ ทั้งนี้เพื่อรักษาอธิปไตยของไทยให้พ้นจากการยึดครองของญี่ปุ่น และในขณะเดียวกัน ก็พยายามรักษากำลังทัพของไทยมิให้กองทัพญี่ปุ่นปลดอาวุธ แผนการนี้เป็นแผนที่จะใช้พื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นป้อมปราการต่อสู้ตายกับศัตรู เมื่อภัยสงครามได้ทวีความรุนแรงขึ้นใน พ.ศ. 2486 กองบัญชาการกองทัพบกสนามได้อพยพส่วนหนึ่งจากกรุงเทพฯ ไปตั้งที่ ตำบลวังรุ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ตามแผนการย้ายเมืองหลวงดังกล่าว

กองบัญชาการกองทัพบก นอกจากจะมีที่ตั้งอยู่ภายในกระทรวงกลาโหมแล้ว ยังมีกองบัญชาการอีกส่วนหนึ่งอยู่ที่หอประชุมกองทัพบก และบริเวณสวนรื่นฤดี เขตดุสิต กล่าวคือ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2500 รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและแต่งตั้งให้ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้บัญชาการฝ่ายทหาร มีอำนาจเต็มที่ในการสั่งการแก่ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจ โดยใช้หอประชุมกองทัพบก เป็นกองบัญชาการฝ่ายทหาร ต่อมาในเดือนกันยายน เมื่อคณะทหารภายใต้การนำของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้พร้อมใจกันยึดอำนาจจากรัฐบาล (จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้ใช้หอประชุมกองทัพ เป็นกองบัญชาการผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร แต่ได้ปิดลงในระยะเวลาอันสั้น แล้วตั้งเป็น กองบัญชาการกองทัพบก ส่วนที่ 2 ขึ้นแทน ต่อมาใน พ.ศ. 2503 ได้ใช้หอประชุมกองทัพบก เป็นกองบัญชาการกองทัพบก ส่วนที่ 2 อีกครั้ง เมื่อสถานการณ์ตามแนวพรหมแดนมีปัญหาขัดแย้งบางประการ อันจะมีผลกระทบต่อประเทศไทย และใน พ.ศ. 2506 จอมพล ประภาส จารุเสถียร รองผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น ให้เปลี่ยนชื่อกองบัญชาการกองทัพบกส่วนที่ 2 เป็นศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกและใช้เรียกชื่อนี้เรื่อยมาจนปัจจุบัน แม้ว่าศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกจะย้ายมาตั้ง ณ สวนรื่นฤดี ถนนสุโขทัย เขตดุสิต ก็ตาม

ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ปัจจุบันเป็นหน่วยเฉพาะกิจ ประกอบด้วย สำนักงานผู้บังคับบัญชาและฝ่ายอำนวยการต่างๆ มีภารกิจในการวางแผน อำนวยการ ประสานการปฏิบัติ และกำกับดูแลหน่วยรองของกองทัพบก และกำลังรบเฉพาะกิจในการปฏิบัติเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ และความมั่นคงของรัฐในทุกรูปแบบ

[แก้] กองบัญชาการกองทัพบก สมัยปัจจุบัน

พลเอก อาทิตย์ กำลังเอก ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก พิจารณาเห็นว่า กองทัพบกเป็นสถาบันหลักสถานบันหนึ่งของประเทศ มีภารกิจในการรักษาความมั่นคงและอธิปไตยของชาติ ตลอดจนเทิดทูนและรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่ยังไม่มีกองบัญชาการเป็นสัดส่วนของตนเองเช่นเหล่าทัพอื่น ทั้งยังได้อาศัยอาคารและสถานที่ของกระทรวงกลาโหมมาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัย สถานที่ดังกล่าวนอกจากจะคับแคบ ไม่เป็นเอกเทศกับตนเองแล้ว ยังไม่สมเกียรติและศักดิ์ศรีของกองทัพบกอีกด้วย ดังนั้น ผู้บัญชาการทหารบกจึงได้สั่งการให้พิจารณาหาสถานที่ก่อสร้าง "กองบัญชาการกองทัพบก" แห่งใหม่ ในระยะแรกได้พิจารณาเห็นว่า สถานที่บริเวณกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ บางเขน มีพื้นที่เพียงพอ การคมนาคมสะดวก แต่เรื่องนี้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ เนื่องจากติดขัดทางด้านงบประมาณ

ครั้นเมื่อโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ย้ายไปอยู่ ณ เขาชะโงก อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก กองทัพบกพิจารณาเห็นว่า โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเดิม ซึ่งตั้งอยู่บนถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่ที่มีความสง่างาม มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานควบคู่กับกองทัพบก นอกจากนั้น ยังมีพื้นที่กว้างขวาง การคมนาคมสะดวก เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร และเป็นเส้นทางผ่านของแขกบ้านแขกเมือง หากกองทัพบกใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นกองบัญชาการกองทัพบก นอกจากจะมีความเหมาะสมอย่างยิ่งดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังเป็นการประหยัดงบประมาณของกองทัพบกและประเทศชาติได้อีกเป็นจำนวนมาก ผู้บัญชาการทหารบก จึงได้สั่งการให้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็น กองบัญชาการกองทัพบก และได้กระทำพิธีเปิดที่ทำการของกองบัญชาการกองทัพบกครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2529 สำหรับการกำหนดสถานที่ของหน่วยงานต่างๆ ภายในกองบัญชาการกองทัพบกในครั้งนั้น ได้กำหนดให้อาคารซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของส่วนราชการโรงเรียนนายร้อยฯ เดิม (ตรงข้ามสนามมวยราชดำเนิน) เป็นที่ตั้งของกรมฝ่ายเสนาธิการ ส่วนอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของส่วนการศึกษาเดิม (ตรงข้ามกระทรวงศึกษาธิการ) เป็นที่ตั้งของสำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก สำนักงานตรวจบัญชีกองทัพบก และกรมการเงินทหารบก

ต่อมาสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ขอใช้ที่ดินบริเวณส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยฯ เดิม เพื่อขยายสถานที่ทำงานของทำเนียบรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ลงมติเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2530 อนุมัติหลักการให้สำนักนายกรัฐมนตรีใช้ที่ดินและอาคารสถานที่บริเวณส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยฯ เดิม และอนุมัติให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้กองทัพบกในการก่อสร้างอาคาร "กองบัญชาการกองทัพบก" แห่งใหม่ บริเวณส่วนบัญชาการโรงเรียนนายร้อยฯ เดิม คณะกรรมการโครงการก่อสร้างกองบัญชาการกองทัพบก จึงได้พิจารณาออกแบบอาคารขนาดใหญ่ที่ทันสมัย เพื่อเป็นศูนย์รวมในการปฏิบัติงานของผู้บังคับบัญชาชั้นสูง และฝ่ายเสนาธิการต่างๆ ของกองทัพบก ให้สามารถปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พิธีวางศิลาฤกษ์กองบัญชาการกองทัพบกแห่งใหม่นี้ได้กำหนดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2531 ระหว่างเวลา 08.49 - 09.29 นาฬิกา โดยมี พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบก รักษาราชการผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานในพิธี

สำหรับหน่วยที่ใช้สถานที่ภายในอาคาร "กองบัญชาการกองทัพบก" ปัจจุบันประกอบด้วย

  • อาคารส่วนที่ 1
    • สำนักงานผู้บังคับบัญชาชั้นสูง
    • กรมยุทธการทหารบก
    • กรมข่าวทหารบก
    • กรมกำลังพลทหารบก
    • กรมส่งกำลังบำรุงทหารบก
    • กรมกิจการพลเรือนทหารบก
    • ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก
  • อาคารส่วนที่ 2 และส่วนที่ 3
    • ประชาสัมพันธ์ หน่วยตรวจโรค ร้านสวัสดิการ ห้องจัดเลี้ยง ห้องเตรียมอาหาร ห้องอาหารนายทหารชั้นสัญญาบัตรและนายทหารชั้นประทวน ห้องประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก หน่วยสื่อสาร ห้องสมุด
    • สำนักงานที่ปรึกษา ทบ.
    • ศูนย์เทคโนโลยีทางทหารกองทัพบก
    • กรมสารบรรณทหารบก
  • อาคารส่วนที่ 4
    • สำนักงานเลขานุการกองทัพบก
    • กรมการเงินทหารบก
    • ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาย่อย บก.ทบ.
  • อาคารส่วนที่ 5
    • อาคารจอดรถสูง 9 ชั้น

[แก้] ภารกิจกองทัพบก

ทหารบกขณะเข้าร่วมการฝึกคอบร้าโกลด์ 2000 ที่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ. 2543
ทหารบกขณะเข้าร่วมการฝึกคอบร้าโกลด์ 2000 ที่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อ พ.ศ. 2543

พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2503 มาตรา14 กำหนดอำนาจและหน้าที่กระทรวงกลาโหมและหน้าที่ของกองทัพบกไว้ว่า "กองทัพบกมีหน้าที่เตรียมกำลังทางบก และป้องกันราชอาณาจักร มีผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ"

[แก้] การจัดกำลังพล

กองทัพบกไทยแบ่งกำลังออกเป็น 4 กองทัพภาค ดังนี้

  • กองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) รับผิดชอบพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ตั้งกองบัญชาการที่กรุงเทพมหานคร หน่วยรบที่สำคัญ คือ
    • กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.)
    • กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.)
    • กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9)
    • กองพลทหารราบที่ 11 (พล.ร.11)
    • กองพลทหารพัฒนาที่ 1 (พล.พัฒนา 1)
    • กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.)
    • กองพลทหารปืนใหญ่
  • กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) รับผิดชอบพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด ตั้งกองบัญชาการที่ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา หน่วยรบที่สำคัญ คือ
    • กองพลทหารราบที่ 3 (พล.ร.3)
    • กองพลทหารราบที่ 6 (พล.ร.6)
    • กองพลทหารราบที่ 12 (พล.ร.12)
    • กองพลทหารพัฒนาที่ 2 (พล.พัฒนา 2)
  • กองทัพภาคที่ 3 (ทภ.3) รับผิดชอบพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด ตั้งกองบัญชาการที่จังหวัดพิษณุโลก หน่วยรบที่สำคัญ คือ
    • กองพลทหารราบที่ 4 (พล.ร.4)
    • กองพลยานเกราะที่ 1
    • กองพลทหารพัฒนาที่ 3 (พล.พัฒนา 3)
    • กองพลทหารม้าที่ 1 (พล.ม.1)
  • กองทัพภาคที่ 4 (ทภ.4) รับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมด ตั้งกองบัญชาการที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และมีศูนย์บัญชาการส่วนหน้าอยู่ที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เพื่อดูแลปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเฉพาะ หน่วยรบที่สำคัญ คือ
    • กองพลทหารราบที่ 5 (พล.ร.5)
    • กองพลทหารพัฒนาที่ 4 (พล.พัฒนา 4)
  • กรมฝ่ายเสนาธิการ
    • กรมกำลังพลทหารบก (กพ.ทบ.)
    • กรมข่าวทหารบก (ขว.ทบ.)
    • กรมยุทธการทหารบก (ยก.ทบ.)
    • กรมส่งกำลังบำรุงทหารบก (กบ.ทบ.)
    • กรมกิจการพลเรือนทหารบก (กร.ทบ.)
    • สำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก (สปช.ทบ.)
  • กรมฝ่ายกิจการพิเศษ
    • กรมสารบรรณทหารบก (สบ.ทบ.)
    • กรมสวัสดิการทหารบก (สก.ทบ.)
    • กรมการเงินทหารบก (กง.ทบ.)
    • กรมจเรทหารบก (จบ.)
    • สำนักงานประสานการวิจัยและพัฒนากองทัพบก (สวพ.ทบ.)
    • สำนักงานตรวจบัญชีกองทัพบก (สตช.ทบ.)
    • กรมการสารวัตรทหารบก (สห.ทบ.)
  • กรมฝ่ายยุทธบริการ
    • กรมแพทย์ทหารบก (พบ.)
    • โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (รพ.รร.6)
    • กรมสรรพวุธทหารบก (สพ.ทบ.)
    • กรมการทหารสื่อสาร (สส.)
    • กรมการสัตว์ทหารบก (กส.ทบ.)
    • กรมยุทธโยธาทหารบก (ยย.ทบ.)
    • กรมพลาธิการทหารบก (พธ.ทบ.)
    • กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.)
    • กรมการทหารช่าง (กช.)
    • กรมวิทยาศาสตร์ทหารบก (วศ.ทบ.)
  • ส่วนการศึกษา
    • กรมยุทธศึกษาทหารบก (ยศ.ทบ.)
    • หน่วยบัญชาการกำลังสำรอง (นสร.)
    • สถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง (สบส.)
    • โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
  • ส่วนพิเศษ
    • หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.)
    • หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.)

[แก้] สื่อในความควบคุมของกองทัพบก

สัญลักษณ์ของ ททบ.5
สัญลักษณ์ของ ททบ.5

[แก้] หน่วยทหารรักษาพระองค์

หน่วยทหารรักษาพระองค์ในสังกัดกองทัพบกมีดังนี้

ตราราชวัลลภ สัญลักษณ์ประจำกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
ตราราชวัลลภ สัญลักษณ์ประจำกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
  • กรมนักเรียนนายร้อยรักษาพระองค์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (กรม นนร.รอ. รร.จปร.)
  • กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.)
    • กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.)
      • กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
      • กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
      • กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
      • กองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
    • กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.)
      • กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
      • กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
      • กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
    • กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ (ร.31 รอ.)
      • กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์
      • กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์
      • กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์
  • กองพลทหารราบที่ 22 รักษาพระองค์ (พล.ร.22 รอ.)
    • กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ร.2 รอ.)
      • กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์
      • กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์
      • กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์
    • กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์ (ร.12 รอ.)
      • กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์
      • กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์
      • กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์
    • กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.)
      • กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
      • กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
      • กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
    • กรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ (ม.1 รอ.)
      • กองพันทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์
      • กองพันทหารม้าที่ 3 รักษาพระองค์
      • กองพันทหารม้าที่ 11 รักษาพระองค์
      • กองพันทหารม้าที่ 29 รักษาพระองค์
    • กรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.4 รอ.)
      • กองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์
      • กองพันทหารม้าที่ 5 รักษาพระองค์
      • กองพันทหารม้าที่ 20 รักษาพระองค์
    • กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ (ป.1 รอ.)
      • กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์
      • กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 11 รักษาพระองค์
      • กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 31 รักษาพระองค์
      • กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 รักษาพระองค์
    • กรมทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ (ช.1 รอ.)
      • กองพันทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์
    • กองพันทหารสื่อสารที่ 1 รักษาพระองค์
    • กรมทหารขนส่งรักษาพระองค์ (ขส. รอ.)

[แก้] ศักย์สงครามกองทัพบก

ทหารบกที่เข้าร่วมการรัฐประหารครั้งล่าสุดถือ ปลยบ. M-16 เป็นอาวุธประจำกาย
ทหารบกที่เข้าร่วมการรัฐประหารครั้งล่าสุดถือ ปลยบ. M-16 เป็นอาวุธประจำกาย

หมายเหตุ : อธิบายคำย่อดังต่อไปนี้

  • ปลยบ. = ปืนเล็กยาวบรรจุเอง
  • คจตถ. = เครื่องยิงจรวตต่อต้านรถถัง
  • ถ. = รถถัง
  • รสพ. = รถสายพานลำเลียงพลหุ้มเกราะ
  • รพบ. = รถพยาบาล
  • รนต. = รถยนต์นั่งตรวจการณ์
  • ปตอ. = ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน
  • รยบ. ฮัมม์วี = รถยนต์บรรทุกฮัมม์วี

[แก้] อาวุธ

  • ปลย. M-16 (อาวุธประจำกาย)
  • ปลย. 11(HK33)(อาวุธประจำกาย)
  • คจตถ. เบา M72 LAW (อาวุธประจำหน่วย)
  • คจตถ. นำวิถี M47 Dragon (อาวุธประจำหน่วย)
  • คจตถ. RPG-2/7 (อาวุธประจำหน่วย)

[แก้] รถรบ

ส่วนหนึ่งของรถถังที่นำมามาใช้ในการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549
ส่วนหนึ่งของรถถังที่นำมามาใช้ในการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549
  • ถ. กลาง M-60A1/A3 จำนวน 178 คัน(รถถังหลัก)
  • ถ. กลาง M-48A5 จำนวน 105 คัน(รถถังหลัก)
  • ถ. หลัก Type 69-II (ปรับปรังจากรุ่น Type 59 ซึ่งเป็นรถถังที่กองทัพจีนลอกแบบมาจากรถถังกลาง T-55 ของโซเวียต) 50 คันชึ้นไป (รถถังหลัก)
  • ถ. เบา Commando Stingray จำนวน 106 คัน
  • ถ. เบา FV101 Scorpion CVR(T) จำนวน 154 คัน
  • ถ. เบา M41A2 Walker Bulldog จำนวน 200 คัน
  • M901A3 Improved TOW Vehicle จำนวน 18 คัน
  • รถหุ้มเกราะ Commando V-150
  • รสพ., รพบ., รถส่งกำลังบำรุง M113A1/A3 - และ รนต. M577A3 จำนวนรวมทั้งสิ้น 340 คัน
  • รสพ. LAV-150 Commando (M706) จำนวน 138 คัน
  • รสพ. Condor (APC) จำนวน 18 คัน
  • รสพ. YW 531 H / Type-85 จำนวน 450 คัน
  • รถลาดตระเวนตรวจจับเรดาร์ Rasit

[แก้] ปืนใหญ่

  • Type 85 - 130 mm MRLS 60 กระบอก
  • Type 83 - 122 mm MRLS
  • M-109A2 - 155 mm self-propelled howitzer (20) supported by 20 M992 field artillery ammunition support vehicles
  • GHN-45A1 - 155 mm towed howitzer 42 กระบอก
  • Soltam M-71 - 155 mm towed howitzer 32 กระบอก
  • M198 - 155 mm towed howitzer 62 กระบอก
  • M114 - 155 mm towed howitzer 56 กระบอก
  • Type-59-1 - 130 mm field gun 15 กระบอก
  • Giat LG1 MkII - 105 mm 24 กระบอก
  • M101 - 105 mm towed Light Howitzer upgraded with the LG1 Mk2's barrel 285 กระบอก
  • M102 - 105 mm towed Light Howitzer 12 กระบอก
  • M618A2 - 105 mm towed Howitzer 32 กระบอก
  • ปตอ. Type-59 - Chinese copy of the S-60 towed 57 mm 24 กระบอก
  • ปตอ. Bofors L40/70 - 40 mm 48 กระบอก
  • ปตอ. Type 74 - improved variant of the Type 65 twin-barrel 37 mm 122 กระบอก
  • ระบบป้องกันภัยทางอากาศ M163 VADS Vulcan self-propelled 20 mm 24 กระบอก
  • ระบบป้องกันภัยทางอากาศ M167 VADS Vulcan towed 20 mm 24 กระบอก

[แก้] Non-combat vehicles

รยบ. ฮัมม์วี
รยบ. ฮัมม์วี
  • รยบ. ฮัมม์วี (High Mobility Multipurpose Wheeled Vehicle - HMMWV)

[แก้] UAV

  • IAI Searcher - short-range battlefield reconnaissance UAV (4)

[แก้] อากาศยาน

[แก้] อ้างอิง

กองทัพบกไทย ต้องการแหล่งอ้างอิงที่มา (แตกต่างจาก "แหล่งข้อมูลอื่น" ที่ใช้ในการขยายความ) เพิ่มเติมเพื่อให้บทความมีความน่าเชื่อถือและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
คุณสามารถช่วยพัฒนาวิกิพีเดีย โดยเพิ่มแหล่งอ้างอิงที่เหมาะสม - การอ้างอิงแหล่งที่มา วิธีการเขียน บทความคัดสรร และ นโยบายวิกิพีเดีย

[แก้] ดูเพิ่ม

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น

Commons:Category
คอมมอนส์ มีรูปภาพและสื่อในรูปแบบอื่นๆ เกี่ยวกับ: