พุทธศาสนาลัทธิตันตระ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ลัทธิตันตระ เดิมเป็นของฮินดู ซึ่งเชื่อว่าเทพเจ้าต้องมีศักติหรือชายา เพื่อเสริมอำนาจบารมี เช่น พระศิวะต้องมีศักติชื่อ อุมา หรือกาลี เป็นต้น ศาสนิกนี้ชอบปิดบังคำสอนจึงไม่รู้ว่าเกิดในยุคใด แต่มาแพร่หลายหลังพุทธศตวรรษที่ 10-11 โดยซึมซาบเอาความเชื่อดั้งเดิมในจารีตวรรณกรรม และผสมปรัชญาพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาแบบตันตระถือเป็นวิวัฒนาการความคิดสร้างสรรค์ในอินเดีย

สารบัญ

[แก้] การพัฒนาการ 3 ระดับของพุทธแบบตันตระ

  • ระยะที่ 1 มันตรยาน
เกิดขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 9- 10 จากนั้นก็พัฒนาการนำสิ่งใหม่เข้ามาสู่พุทธศาสนามีพิธีกรรมทางไสยศาสตร์เพื่อการบรรลุธรรม โดยนำเอา มันตระ มุทรา มัณฑละ และเทพเจ้าเข้ามาในพุทธศาสนาอย่างไม่เป็นระบบ เช่น การท่องบ่นมนต์ หรือ ธารณีแตกต่างกัน บูชาเทพเจ้า หรือพระโพธิสัตว์องค์ใดก็ได้ แล้วทำเครื่องหมาย มุทรา หรือนิ้วมือให้ถูกต้องก็จะศักดิ์สิทธิ์หรือสำเร็จผลได้
  • ระยะที่ 2 วัชรยาน
พระพุทธศาสนานิกายนี้ได้พัฒนาคำสอนเป็นระบบตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 โดยผสมผสานกับคำสอนเดิมทุกสายกับหลักของพระเจ้า 5 พระองค์ มีอาทิพุทธเจ้า เป็นต้น หลักการปฏิบัติเด่นชัด คือ สหัชญาณ เหมือนกับพุทธนิกายเซนในจีน คือเน้นการปฏิบัติ รู้แจ้งภายใน ถ่ายทอดผ่านคำปริศนาไม่ผูกมัดตัวเองด้วยคำสอนเก่า หรือคำสอนกำจัดแบบตายตัว วัชรยานนี้มีในทิเบต และภูฏานในปัจจุบัน
  • ระยะที่ 3 กาลจักร หรือ กาฬจักร
หมายถึงวงล้อแห่งเวลา เป็นพัฒนาการยุคสุดท้ายของพุทธศาสนาแบบตันตระ โดยประสานความคิดที่แตกแยกกัน และเน้นโหราศาสตร์ ถือว่ามีศักติประจำพระพุทธเจ้า พระอิศวรปางดุร้าย และพระโพธิสัตว์ปางดุร้ายพร้อมกับมีธรรมบาล หรือยิดัมคุ้มครองรักษา กาฬจักรนี้เคยรุ่งเรืองในอินโดนีเซียมาก่อนศาสนาอิสลามจะมีอิทธิพล

[แก้] พระสงฆ์ในลัทธิ

พระในที่นี้ไม่เรียกว่าภิกษุ แต่เรียกว่า นักสิทธะ และถือว่า การปฏิบัติตนตามอำนาจของราคะบุตรผู้บำเพ็ญตนเป็นโพธิสัตว์ย่อมกระทำได้ พุทธศาสนายุคนี้ ได้เกิดสัทธรรมปฏิรูปมากกว่าเดิม พระสงฆ์ทำตนเหมือนพ่อมดหมอผีขมังเวทย์มากขึ้น เพื่อสนองความต้องการของชาวบ้านธรรมดา ที่ไม่เห็นคุณค่าหลักธรรมที่แม้จริง สิทธะทื่มีชื่อเสียงในยุคนั้น คือ สิทธะมาตังคี สิทธะอานันทวันทะวัชระ สิทธะญาณปาทะ เป็นต้น ต่อมาสิทธะได้แยกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ

  • กลุ่มทักษิณาจารี
ทักษิณาจารี แปลว่า ผู้ประพฤติด้านขวา พวกนี้ยังประพฤติตนตามพระธรรมวินัย ยังรักษาพรหมจรรย์ ยังรักษาสถานะความเป็นสงฆ์ได้มากพอสมควร
  • กลุ่มวามจารี
วามจารี แปลว่า ผู้ประพฤติด้านซ้าย พวกนี้ ประพฤติตนเลอะเลือนไม่รักษาพรหมจรรย์ มีภรรยามีครอบครัว ทำตนเป็นพ่อมดหมอผีมากขึ้น ชอบอาศัยอยู่ในป่าช้า ใช้หัวกะโหลกเป็นบาตร มีภาษาลึกลับใช้สื่อสาร เรียกว่า สนธยาภาษา เกณฑ์ให้พระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ มีศักติ คือ ภรรยาคู่บารมี พระพุทธปฏิมาก็มีปางกอดศักติ พวกเขาถือว่า การที่จะบรรลุพระนิพพานได้ ต้องมีธาตุชาย และหญิงมาผสมผสานกัน คือ ธาตุชายเป็นอุบาย ธาตุหญิงเป็นปรัชญา เพราะฉะนั้นอุบายต้องบวกกับปรัชญา จึงจะบรรลุพระนิพพานได้

[แก้] การเปลี่ยนศีล 5 เป็น ม.ทั้ง 5

การปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นในนิพพานนั้น ต้องเข้าถึง ศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยอริยมรรคเป็นองค์แปดนั้น วัชรยานถือว่าการหลุดพ้นคือการเสพกามอันศักดิ์สัทธิ์กับโยนิ นักสิทธะควรบำรุงด้วย ม.ทั้ง 5 คือ

  1. มัทยะ คือ น้ำเมา
  2. มางสะ คือ เนื้อ
  3. มัศยา คือ ปลา
  4. มุทรา คือ การยั่วให้เกิดกำหนัด
  5. ไมถุนธรรม คือ เมถุนธรรม

ในหนังสือคุรุมาสได้สอนให้มีการเหยียบย่ำแม้กระทั่งศีล 5 สนับสนุนให้มีการฆ่า การลัก การเสพเมถุนธรรม และการดื่อน้ำเมา ผู้ที่จะเข้าทำตามพิธีลัทธิตันตระจะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพราะถือว่าเป็นการบูชาศักติ ในสถานที่บางแห่ง เมื่อผู้หญิงจะไหว้พระ จะต้องเปลื้องเครื่องแต่งตัวออกทั้งหมด แล้วแสดงการร่ายรำไปจนเสร็จพิธี

[แก้] เป็นต้นเหตุของการเสื่อมของพุทธศาสนาในอินเดีย

ลัทธิตันตระได้บิดเบือนคำสอนจากพุทธศาสนาแบบเดิมมากขึ้น ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะจะดึงศาสนิกจากฮินดูให้มานับถือด้วย แต่การกระทำเช่นนี้ทำให้คุณภาพของศาสนิกเสื่อมลง ศาสนิกเริ่มเบื่อกับคำสอน และท้ายที่สุด คือ ถูกฮินดูกลืนจนแยกไม่ออกว่าเป็นชาวพุทธหรือชาวฮินดู


 พุทธศาสนาลัทธิตันตระ เป็นบทความเกี่ยวกับ ศาสนา ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหา หรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น
ข้อมูลเกี่ยวกับ พุทธศาสนาลัทธิตันตระ ในภาษาอื่น อาจสามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ด้านซ้ายมือ

th:วัชรยาน