คุยกับผู้ใช้:Supalakpop

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สารบัญ

[แก้] นักกิจกรรมบำบัดทางจิตสังคม

คือผู้เชี่ยวชาญอีกสาขาหนึ่งที่พร้อมแนะนำและให้การบำบัดผู้ป่วยซึมเศร้าให้สามารถทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขในสังคม จากการประยุกต์ความรู้ทางการแพทย์และหลักการทางกิจกรรมบำบัดในผู้ที่มีความบกพร่องทางจิตสังคม ผู้ป่วยซึมเศร้าควรเข้ารับการประเมินความสามารถของการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตอย่างเร็วที่สุด ภายใต้ระบบกิจกรรมบำบัดสองประการ ได้แก่ 


[แก้] ประการแรก การประเมินและการรักษาทางพื้นฐานทักษะทางจิตสังคม ==

คือ self-efficacy and experience of the past success, mind-social awareness, motivational personality, interpretation of self-identity/self-esteem/self-concept, occupation factors (frequency, meaning, satisfaction, importance, role of task), mood, movement pattern, memory, cognition, attention


[แก้] ประการที่สอง การประเมินและการรักษาความสามารถในกิจกรรมต่างๆ

คือ dressing, eating, learning, making meal, manipulation tasks, money management, socialization, shopping, walking, washing, writing, community mobility, education, leisure, work


องค์การอนามัยโลก (World Health Organization, 2001)ได้เน้นให้บุคคลากรทางการแพทย์ทุกสาขาวิชาชีพตระหนักถึงความสำคัญของโครงสร้าง International classification of functioning, disability and health (ICF) ในขั้นตอนการประเมินและการรักษาผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกายและ/หรือจิตสังคม ได้แก่ พิจารณาการมีส่วนร่วมของบุคคลนั้นในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต (Activity and Participation) และ/หรือข้อจำกัดของการเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว (Activity Limitation and Restrictive Participation) ภายใต้บริบทที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและลักษณะของแต่ละบุคคลที่เข้ารับการบริการทางการแพทย์ เช่น กายภาพบำบัด และ กิจกรรมบำบัด อย่างไรก็ตามการให้บริการทางการแพทย์ในระดับขั้นการฟื้นฟูสมรรถภาพ ยังคงเกิดปัญหาอย่างมากในการประเมินองค์ประกอบต่างๆของ ICF เนื่องจากรูปแบบการเปลี่ยนพฤติกรรมทางสุขภาพของแต่ละบุคคลนั้นมีความแตกต่างกัน และการให้บริการโดยทีมทางการแพทย์ยังคงขาดประสิทธิภาพ (Nieuwenhuijsen, Zemper, Miner, & Epstein, 2006)


ปัจจุบันมีการริเริ่มสร้างโปรแกรมการจัดการดูแลตนเอง (Self-management program)ในผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกายและ/หรือจิตสังคม และมีงานวิจัยล่าสุด (Nour, Laforest, Gauvin, & Gignac, 2006) แนะนำให้นักกิจกรรมบำบัดและนักกายภาพบำบัดร่วมมือสร้างโปรแกรมการจัดการดูแลตนเองในผู้ป่วยโรคข้อ จนประสบความสำเร็จในการพัฒนาความสามารถของผู้ป่วยในการทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต และส่งผลต่อการเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวให้ดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุขในสังคม ตัวอย่างดังกล่าวทำให้ทั้งสองวิชาชีพเกิดความตื่นตัวและพัฒนาความรู้ความสามารถในการสร้างโปรแกรมแก่ผู้ป่วยด้านอื่นๆต่อไป


[แก้] ปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโปรแกรมกิจกรรมบำบัด

ปัจจุบันผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์สนใจศึกษาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของตนเอง หรือบุคคลที่ตนเองรักและต้องการช่วยเหลือฟื้นฟูสมรรถภาพ การสร้างโปรแกรมการจัดการสุขภาพด้วยตนเอง (Self-management tools) จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ผู้เข้ารับบริการต้องการได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนำไปใช้ในการดูแลจัดการปัญหาสุขภาพของตนเอง หรือบุคคลที่ต้องการช่วยเหลือฟื้นฟูสมรรถภาพ หลักการสำคัญของการสร้างโปรแกรมนี้คือ ผู้เข้ารับบริการต้องเรียนรู้ปัญหาสุขภาพและหาหนทางแก้ไขปัญหา โดยมีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์คอยให้ความรู้อย่างกว้างๆ มิใช่เข้าไปจัดการสุขภาพของผู้เข้ารับบริการโดยตรง การสร้างโปรแกรมยังมีประโยชน์ในมุมกว้างคือ ช่วยเพิ่มแรงจูงใจของผู้เข้ารับบริการและผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของการดูแลสุขภาพในแต่ละกลุ่มอาการร่วมกัน ประสิทธิผลของการสร้างโปรแกรมยังสามารถนำไปจัดตั้งนโยบาลและข้อปฏิบัติเพื่อการดูแลสุขภาพในแต่ละระดับประชากรของชุมชนต่างๆ จนถึงสังคมไทย

ปัจจัยการรักษาทางคลินิก


ปัญหาสุขภาพในระดับประชากรที่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ไม่สามารถดูแลผู้รับบริการได้ตลอดเวลา คือโรคเจ็บป่วยเรื้อรัง อันนำมาซึ่งความบกพร่องทางร่างกายและจิตสังคมในการทำกิจกรรมหลายๆด้าน เช่น การดูแลตนเอง การเคลื่อนไหว และการใช้ชีวิตภายในบ้านตามลำพัง ผู้รับบริการต้องเผชิญปัญหาและพยายามแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ตามสภาพอาการและความบกพร่องที่เปลี่ยแปลงไปในแต่ละวัน


ดังนั้นเมื่อเราไม่สามารถจัดการโรคเจ็บป่วยเรื้อรังได้ จึงเกิดคำถามว่า ทำอย่างไรผู้รับบริการจะสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ในสภาพอาการและความบกพร่องของโรคเจ็บป่วยเรื้อรังนั้น


คำตอบคือ ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ต้องสร้างระบบการจัดการดูแลอาการและความบกพร่องของโรคเจ็บป่วยเรื้อรัง ให้ผู้รับบริการได้มีโอกาสเรียนรู้ เกิดการนำระบบดังกล่าวไปปรับใช้ในกิจกรรมการดำเนินชีวิตของตนเองได้อย่างมีความสุข


ปัจจัยทางนโยบายและงบประมาณ


หลายๆประเทศต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี เพื่อดูแลประชากรที่เจ็บป่วยเรื้อรัง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เน้นให้ประชากรและผู้เกี่ยวข้องทางการแพทย์ที่ให้การรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ ต้องมีระบบการจัดการดูแลสุขภาพด้วยตนเอง มีระบบการประเมินความก้าวหน้าของโปรแกรม ที่เกิดขึ้นในบ้านหรือชุมชนของประชากรที่เจ็บป่วยเรื้อรัง เป็นการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเช่น การตรวจวินิจฉัยและการรักษาด้วยเครื่องมือทันสมัยภายในโรงพยาบาล และค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปกลับจากที่พักอาศัยและโรงพยาบาล เป็นต้น


ปัจจัยทางเทคโนโลยีและการสื่อสาร


เมื่อเทคโนโลยีและการสื่อสารพัฒนามากขึ้นในปัจจุบัน ผู้รับบริการที่เจ็บป่วยเรื้อรังมีความต้องการได้รับความรู้ในการดูแลปัญหาสุขภาพร่างกายและจิตสังคม จึงควรมีทางเลือกใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารดังกล่าว ไม่จำเป็นต้องมานั่งรอตรวจและเข้ารับการบริการทางสุขภาพทุกๆครั้งไป ตัวอย่างเช่น การทดสอบโปรแกรมการจัดการตนเองผ่านระบบออนไลน์ และมีระบบประเมินผลการรักษาด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์บนโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น


การแยกระดับเครื่องมือสร้างโปรแกรมตามบทบาทของผู้รับบริการ

Subordinate role

คือบทบาทที่เน้นการรับคำแนะนำและต้องการผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์มาดูแลโปรแกรมในระยะแรก เช่น การใช้กล้องวิดีโอ (video camera surveillance) ในการควบคุมความปลอดภัยของการเคลื่อนไหวภายในบ้าน หรือการใช้อุปกรณ์ เครื่องมือในระดับนี้ไม่สามารถเน้นการมีส่วนร่วมของผู้รับบริการได้ดีนัก


Structured role

คือบทบาทที่เน้นการมีส่วนร่วมในโปรแกรมบ้าง แต่ต้องเรียนรู้และทำตามรูปแบบที่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์กำหนดไว้ เช่น การทดสอบด้วยเครื่องมือทางการแพทย์แบบพกพามาใช้ที่บ้าน (Home and portable testing peripheral)


Collaborative role

คือบทบาทที่เน้นการนำประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลตนเอง มาสร้างระบบการแก้ไขปัญหาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ สร้างความสัมพันธ์ในการแลกเปลี่ยนความรู้ทั้งสองฝ่าย ได้แก่ ความสามารถในการดำเนินชีวิตของแต่ละกลุ่มอาการหรือความบกพร่องของโรคเจ็บป่วยเรื้อรัง และความสามรถในการแก้ไขปัญหาด้วยหลักการทางการแพทย์และศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง เช่น การให้ความรู้แก่ผู้รับบริการแบบออนไลน์หรือคู่มือ (Client education materials online or on paper)


Autonomous

คือบทบาทที่เน้นการมีส่วนร่วมในโปรแกรมอย่างมาก ผู้รับบริการเข้าอบรมและปฏิบัติการจนผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เห็นว่าสามารถใช้โปรแกรมได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องมีการติดตามและประเมินผลใดๆ เช่น คู่มือจัดการสุขภาพแบบอ่านและปฏิบัติไดด้วยตนเอง (Self-help books on paper) เครื่องมือและอุปกรณ์ทันสมัยเพื่อช่วยเหลือตนเอง (advanced assistive technologies) หรือ กลุ่มผู้รับบริการแบบออนไลน์ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือกันเอง (Online support groups)

[แก้] เอกสารอ้างอิง

Nieuwenhuijsen, E. S., Zemper, E., Miner, K. R., & Epstein, M. (2006). Health behavior change models and theories: Contributions to rehabilitation. Disability and Rehabilitation, 28(5), 245-246.

Nour, K., Laforest, S., Gauvin, L., & Gignac, M. (2006). Behavior change following a self-management intervention for housebound older adults with arthritis: an experimental study. International Journal of Behavioral Nutrition and Physical Activity, 3(12), 1-13.

World Health Organization. (2001). International classification of functioning, disability and health (ICF). Geneva, Switzerland: World Health Organization.