วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร
ตุ๊กตาจีน..ประติมากรรมประจำวัดพระเชตุพน
ตุ๊กตาจีน..ประติมากรรมประจำวัดพระเชตุพน
ข้อมูลทั่วไป
ชื่อสามัญ วัดโพธิ์
ประเภท พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร
นิกาย มหานิกาย
ความพิเศษ วัดประจำรัชกาล ในรัชกาลที่ ๑
พระประธาน พระพุทธเทวปฏิมากร
พระพุทธรูปสำคัญ พระพุทธไสยาสน์ พระพุทธโลกนาถ พระพุทธศาสดามหากรุณาธิคุณ พระพุทธมารวิชัยอภัยปรปักษ์ พระพุทธชินราชวโรวาท พระพุทธชินสีห์มุนีนาถ พระพุทธปาลิไลยภิรัติไตรวิเวก พระศรีสรรเพชญุดาญาณ
ข้อมูลด้านการท่องเที่ยว
ที่ตั้ง 2 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200
โทรศัพท์ (+66) 0 2222 5910
รถประจำทาง 1 3 6 9 12 25 32 43 44 47 48 53 60 82 91 123 507 508
เรือ เรือด่วนเจ้าพระยา: ท่าเตียน เรือข้ามฟาก: ท่าเตียน
เวลาทำการ ทุกวัน 8.00-17.00
ค่าธรรมเนียมเข้าชม ชาวต่างชาติ 20 บาท
จุดที่น่าสนใจ วิหารพระพุทธไสยาสน์ วิหารทิศฝั่งตะวันออก (วิหารพระโลกนาถ) และพระอุโบสถ
กิจกรรม นวดแผนไทย
อาหารและเครื่องดื่ม บริเวณท่าเตียน
การถ่ายภาพ ไม่ควรใช้แฟลช ในถ่ายภาพจิตรกรรมฝาผนัง ส่วนภายในอาคาร บางอาคารห้ามถ่ายภาพ ควรสังเกตป้าย
ที่จอดรถ บริเวณถนนท้ายวัง
สถานที่ใกล้เคียง อุทยานสราญรมย์ พระบรมมหาราชวัง หอกลอง วัดอรุณราชวราราม
ภาพถ่ายทางอากาศ วัดพระเชตุพนฯ (กูเกิลโลคอล)

วัดพระเชตุพน เป็นวัดสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ จัดเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร และเป็นวัดประจำรัชกาลในรัชกาลที่ 1 ทั้งยังถือเป็นมหาวิทยาลัย(ทางพฤตินัย)แห่งแรกของประเทศด้วย เนื่องจากเป็นที่รวมจารึกสรรพวิชาหลายแขนง

สารบัญ

[แก้] ประวัติ

วัดพระเชตุพนในประวัติการสร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการสร้าง เดิมเรียกว่า "วัดโพธาราม" หรือ "วัดโพธิ์" ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงธนบุรี ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดนี้ใหม่ใน พ.ศ. 2331 โดยทรงสร้างพระอุโบสถ พระระเบียง พระวิหาร ตลอดจนบูรณะของเดิม เมื่อแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2344 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาส” เป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

นับจากนั้นวัดพระเชตุพนได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้โปรดเกล้าฯ ให้จารึกสรรพตำราต่าง ๆ ลงบนแผ่นหินอ่อนประดิษฐ์ไว้ตามศาลารายต่าง ๆ ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แก้สร้อยนามพระอารามว่า “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร”

พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ถือว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นพระอารามหลวงที่มีความสำคัญมาก และทรงถือเป็นพระราชประเพณี ที่จะทรงบูรณะซ่อมแซมวัดนี้ทุกรัชกาล นอกจากนี้ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามยังเป็นเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย เพราะเป็นแหล่งรวบรวมวิชาความรู้ด้านต่าง ๆ ทั้งประวัติศาสตร์ วรรณกรรม และการแพทย์ นามวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามนี้ ปรากฏในประกาศสมัยรัชกาลที่ 4 พ.ศ. 2411 ว่า วัดนี้แม้จะมีนามพระราชทานมาตั้งแต่รัชกาลที่ 1 แต่ชื่อพระราชทานมีผู้เรียกแต่อยู่ในพระราชวัง คนยังเรียกว่าวัดโพธิ์กันทั้งแผ่นดิน และมีพระราชดำริว่า “ชื่อพระราชทานเป็นชื่อตั้งไม่ปิดไม่แน่นจะคิดแปลงใหม่เห็นจะไม่ชนะ”

[แก้] สิ่งก่อสร้างภายในวัด

แผนผังวัดพระเชตุพนฯ อย่างคร่าวๆ
แผนผังวัดพระเชตุพนฯ อย่างคร่าวๆ
พระศรีสรรเพชญ์เจดีย์(สีเขียว ด้านหน้า) และพระศรีสุริโยทัยเจดีย์(จำลอง) (สีน้ำเงิน ด้านหลัง)
พระศรีสรรเพชญ์เจดีย์(สีเขียว ด้านหน้า) และพระศรีสุริโยทัยเจดีย์(จำลอง) (สีน้ำเงิน ด้านหลัง)

วัดพระเชตุพนฯ เป็นวัดที่มีสิ่งก่อสร้างค่อนข้างแน่น เนื่องจากการบูรณะแบบใส่คะแนน (แข่งกันบูรณะ) ส่งผลให้มีอาคารและสิ่งก่อสร้าง รวมถึงพระพุทธรูปมากมายภายในวัดแห่งนี้ โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆคือ

[แก้] เขตวัดโพธาราม(เดิม)

เขตวัดโพธารามเดิม คือส่วนตะวันตกของวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่นี้ครอบคลุม วิหารพระนอน ศาลาการเปรียญ(ซึ่งเป็นพระอุโบสถเดิม ของวัดโพธาราม) พระมณฑป และพระมหาเจดีย์สี่รัชกาล

[แก้] วิหารพระนอน

หรือวิหารพระพุทธไสยาสน์ สร้างขึ้นในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ในคราวที่ทรงโปรดฯให้ขยายพระอารามออกมาทางตะวันตก (เข้ามาซ้อนทับเขตวัดโพธารามเดิม ที่ถูกยุบไปก่อนหน้านี้) และทรงบูรณะพระพุทธไสยาสน์ขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ปิดทอง โดยตัววิหารมีขนาดเท่ากับพระอุโบสถ

[แก้] พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล

เป็นมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ เดิมทีรัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญโกลนพระศรีสรรเพชญุดาญาณ มาจากพระนครศรีอยุธยา ด้วยทรงประสงค์จะหล่อพระศรีสรรเพชญองค์นี้ขึ้นมาใหม่ แต่หลังจากทรงปรึกษากับคณะสงฆ์แล้ว คณะสงฆ์ได้ทูลถวายว่า การนำโกลนพระศรีสรรเพชญมาหลอมใหม่นั้น ถือเป็นขีด เป็นกาลกิณี ไม่เป็นมงคลแก่บ้านเมือง จึงทรงตัดสินพระทัยสร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่ แบบย่อมุมไม้ยี่สิบ ครอบโกลนพระศรีสรรเพชญนี้ไว้ และพระราชทานพระนามเจดีย์ว่า เจดีย์พระศรีสรรเพชญุดาญาณ

ภาพถ่ายเก่าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
ภาพถ่ายเก่าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร

ต่อมาในรัชกาลที่ 2 และรัชกาลที่ 3 ทรงมีพระประสงค์ทะนุบำรุงวัดพระเชตุพนด้วยทั้งสองพระองค์ จึงทรงสร้างพระมหาเจดีย์ขนาบข้างกับพระเจดีย์พระศรีสรรเพชญ โดยเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้ยี่สิบ เหมือนกันทุกประการ ต่างเพียงสีกระเบื้องที่มาประดับเท่านั้น จึงกลายเป็นเป็นเจดีย์สามองค์เรียงกันจากเหนือจรดใต้ เมื่อรัชกาลที่ 4 ทรงขึ้นครองราชย์ ทรงเห็นว่า การบูรณะแบบใส่คะแนนนี้ ในกาลต่อไปวัดพระเชตุพนฯคงจะมีแต่เจดีย์เต็มวัดเป็นแน่แท้ จึงทรงโปรดเกล้าให้ถ่ายแบบพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย มาจากวัดสวนหลวงสบสวรรค์ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาสร้างไว้ทางทิศตะวันตกสุด เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ประดับกระเบื้องสีน้ำเงินคราม และทรงตรัสให้ยุติประเพณีสร้างมหาเจดีย์ในวัดโพธิ์

[แก้] ศาลาการเปรียญ

เดิมเป็นพระอุโบสถของวัดโพธาราม(เดิม) แต่หลังจากสถาปนาพระอุโบสถหลังใหม่ของวัดพระเชตุพนแล้ว จึงลดฐานะลงเปนศาลาการเปรียญ โดยภายในประดิษฐาน พระพุทธศาสดามหากรุณาธิคุณ เป็นพระประธานในศาลาการเปรียญ

[แก้] เขตพระอุโบสถ

เขตพระอุโบสถเป็นเขตที่สถาปนาขึ้นใหม่นอกเขตวัดโพธารามเดิม สร้างตามคติไตรภูมิ โดยให้พระอุโบสถเป็นเสมือนเขาพระสุเมรุ และให้วิหารทิศทั้งสี่ เป็นเสมือนทวีปหลักทั้งสี่

[แก้] พระอุโบสถ

ภายในพระอุโบสถ ประดิษฐาน พระพุทธเทวปฏิมากร เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งรัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญมาจากวัดศาลาสี่หน้า ด้วยประสงค์ตั้งมั่นแน่วแน่ว่า นี่จะเป็นพระนครอย่างถาวร (ปางสมาธิ สื่อถึงการตั้งจิตมั่นแน่วแน่)

[แก้] วิหารทิศ

ส่วนวิหารทิศทั้ง 4 ก็ได้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญจากหัวเมืองมาประดิษฐาน ดังนี้

  • วิหารทิศตะวันออก มุขหลัง (หันหน้าเข้าอุโบสถ) ประดิษฐาน พระพุทธโลกนาถศาสดา พระพุทธรูปปางห้ามไม้แก่นจันทน์ อัญเชิญมาจากวิหารพระโลกนาถ ภายในวัดพระศรีสรรเพชญ (ซึ่งทรุดโทรมไม่มากนัก)
  • วิหารทิศตะวันออก มุขหน้า (หันหน้าออกจากพระอุโบสถ) ประดิษฐาน พระมารวิชัย ปางมารวิชัย อัญเชิญมาจากวัดเขาอินทร์ เมืองสวรรคโลก
  • วิหารทิศใต้ มุขหน้า ประดิษฐาน พระชินราช ปางมารวิชัย ซึ่งอัญเชิญมาจากวัดร้างในเมืองสุโขทัย
  • วิหารทิศตะวันตก มุขหน้า ประดิษฐาน พระชินสีห์ ปางมารวิชัย อัญเชิญมาพร้อมกับพระชินราช
  • วิหารทิศเหนือ มุขหน้า ประดิษฐาน พระปาลิไลยก์ ปางปาลิไลยก์ ซึ่งรัชกาลที่ 1 ทรงหล่อเพิ่ม

[แก้] อื่นๆ

นอกจากนี้ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกหลายจุด อาทิเช่น เขามอ ฤๅษีดัดตน ศิวลึงค์ และอื่นๆ

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น

ภาษาอื่น