ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช | |
---|---|
![]() |
|
กำกับ | หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล |
อำนวยการสร้าง | หม่อมกมลา ยุคล ณ อยุธยา, คุณากร เศรษฐี |
บทภาพยนตร์ | หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล, ดร . สุเนตร ชุตินธรานนท์ |
เพลงประกอบ | Richard Harvey |
กำกับภาพ | ณัฐวุฒิ กิตติคุณ, Stanislav Dorsic |
จัดจำหน่าย | สหมงคลฟิล์ม |
วันที่เข้าฉาย | 18 มกราคม พ.ศ. 2550 |
ประเทศ | ประเทศไทย |
ภาษา | ภาษาไทย |
งบประมาณ | 700 ล้านบาท |
เว็บทางการ | |
ข้อมูลบนเว็บ IMDb |
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ กำกับการแสดงโดยหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล เป็นภาพยนตร์ไตรภาค ภาคแรกเข้าฉายในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2550 ซึ่งตรงกับวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมีชัยชนะเหนือพระอุปราชาในยุทธหัตถีและตรงกับวันกองทัพไทย ภาคสองเข้าฉายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ภาคสามคาดว่าอาจเข้าฉายในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ซึ่งตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
[แก้] เนื้อเรื่อง
เมื่อปี พุทธศักราช 2106 พระเจ้าบุเรงนอง เจ้ากรุงหงสาวดีของพม่า ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่า อโยธยา โดยเดินทัพผ่านด่านระแหง แขวงเมืองตาก ทัพจากพม่ามีไพร่พลพม่าและมอญ (หรือ รามัญ) เป็นจำนวนมาก
เมื่อเข้ามา ก็ยึดครองหัวเมืองฝ่ายเหนือของสยาม นั่นคือ เมืองพิษณุโลก ซึ่งเป็นสำคัญรองลงมาจากราชธานี ในครั้งนั้น สมเด็จพระมหาธรรมราชา พระราชบิดาของสมเด็จพระนเรศวร หรือพระองค์ดำ ซึ่งเป็นผู้ครองเมืองพิษณุโลก ตัดสินพระทัยอ่อนน้อมต่อพระเจ้าบุเรงนอง เพื่อยุติการสู้รบและการสูญเสีย และยอมร่วมกระบวนทัพพม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยา
เมื่อทัพพม่ายกมาถึงกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิกษัตริย์ผู้ครองกรุงศรีอยุธยาก็ทรงยอมเจรจาหย่าศึกกับ และยอมถวายช้างเผือก 4 ช้าง และยังมอบสมเด็จพระราเมศวร พระราชโอรส เป็นองค์ประกัน เดินทางไปพม่าพร้อมพระเจ้าบุเรงนอง ส่วนสมเด็จพระมหาธรรมราชาก็ต้องยอมถวายพระนเรศ (สมเด็จพระนเรศวร) พระราชโอรสองค์โตให้ไปเป็นองค์ประกันด้วย ซึ่งในเวลานั้นพระนเรศมีพระชนมายุเพียง 9 ชันษา
![]() |
คุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้! โดยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน จากนั้นแก้ไขภาษาให้สละสลวย และแก้ตัวสะกดให้ถูกต้อง ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คู่มือ และ นโยบายวิกิพีเดีย |
สมเด็จพระนเรศวรทรงเป็นที่รักใคร่ของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ประดุจพระราชบุตรร่วมสายสันตติวงศ์ ด้วยองค์ยุพราชอยุธยาทรงมีพระปรีชาสามารถด้านพิชัยยุทธ ทั้งยังองอาจกล้าหาญ สบพระทัยกษัตริย์พม่าซึ่งก็ทรงเป็นนักการทหาร นิยมผู้มีคุณสมบัติเป็นนักรบเยี่ยงพระองค์ พระเจ้าบุเรงนองทรงมีสายพระเนตรยาวไกล แลเห็นว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอุษาคเนย์ประเทศ จึงทรงคิดใคร่ปลูกฝังให้สมเด็จพระนเรศวรผูกพระทัยรักแผ่นดินหงสา เพื่อจะได้อาศัยพระองค์เป็นผู้สืบอำนาจอุปถัมภ์ค้ำชูราชอาณาจักร ซึ่งพระองค์ทรงสถาปนาขึ้นด้วยความยากลำบาก เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระเจ้าบุเรงนองนั้นหาได้วางพระทัยในพระราชโอรส คือ มังเอิน ( พระเจ้านันทบุเรง ) และพระราชนัดดามังสามเกียดนัก ถึงแม้ทั้งสองพระองค์จะทรงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขโดยตรง ด้วยทรงเล็งเห็นว่าราชนิกุลทั้งสองพระองค์นั้นหาได้เป็นผู้ทรงคุณธรรม อันจะน้อมนำเป็นพื้นฐานให้เติบใหญ่เป็นบูรพกษัตริย์ ปกป้องครองแผ่นดินที่พระองค์ทรงสร้าง และทำนุบำรุงมาด้วยกำลังสติปัญญาและความรักใคร่หวงแหน เหตุทั้งนี้เป็นชนวนให้พระเจ้านันทบุเรงและราชโอรส มังสามเกียดขัดพระทัย ทั้งผูกจิตริษยาสมเด็จพระนเรศวรซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าหงสาวดี บุเรงนองกว่าราชนิกุลข้างพม่าทั้งหลายทั้งสิ้น พระเจ้าบุเรงนองทรงโปรดให้พระมหาเถรคันฉ่อง – พระรามัญผู้มากด้วยวิทยาคุณ และเจนจบ ในตำราพิชัยสงครามเป็นพระอาจารย์ถ่ายทอดศิลปะวิทยาการแก่สมเด็จพระนเรศวร นับแต่เริ่มเข้าประทับในหงสานคร ยังผลให้ยุพราชอยุธยาเชี่ยวชาญการยุทธ กลช้าง กลม้า กลศึก ทั้งข้างอยุธยาและข้างพม่ารามัญหาผู้เสมอเหมือนมิได้ ข้อได้เปรียบตามกล่าวเป็นเสมือนทุนทางปัญญา อันส่งผลให้สมเด็จพระนเรศวรสามารถกอบกู้เอกราช แก้ทางศึกจนมีชัยเหนือพม่ารามัญในภายภาคหน้า
พุทธศักราช 2112 ปรากฏข่าวระบือไปถึงหงสาวดีว่า หัวเมืองพิษณุโลกฝ่ายเหนือแลกรุงศรีอยุธยาราชธานีฝ่ายใต้ของราชอาณาจักรสยามครั้งนั้น เกิดขัดแย้งปีนเกลียวกัน เหตุเนื่องมาจากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเจ้าแผ่นดินอยุธยาเสด็จออกผนวช แลสถาปนาสมเด็จพระมหินทร์ ราชโอรสองค์รองขึ้นเสวยราชสมบัติสืบแทน สมเด็จพระมหินทร์ทรงคลางแคลงพระทัยในความจงรักภักดีของสมเด็จพระมหาธรรมราชา แต่ครั้งสงครามชิงช้างเผือกในปีพุทธศักราช 2106 ขณะที่เจ้าแผ่นดินพิษณุโลกก็หาได้ยำเกรงสมเด็จพระมหินทร์เช่นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เมื่อเห็นการใดมิควรก็บังคับบัญชาให้สมเด็จพระมหินทร์ ปฏิบัติตามพระประสงค์จนเป็นที่ขุ่นเคืองพระราชหฤทัยกษัตริย์อยุธยาพระองค์ใหม่ ถึงกับหันไปสมคบกับสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้าง ร่มขาวร่วมกันแต่งกลเข้าตีเมืองพิษณุโลก แต่กระทำการมิสำเร็จ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเห็น เชิงสบโอกาสก็ยกทัพใหญ่เข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีกคำรบ ครั้งนั้นสมเด็จพระนเรศวรร่วมโดยเสด็จมากับทัพหงสา แต่หาได้ตามพระเจ้าบุเรงนองลงมาล้อมกรุงศรีอยุธยา ทรงประทับอยู่เพียงเมืองพิษณุโลก มีเพียงสมเด็จพระมหาธรรมราชาโดยเสด็จกษัตริย์หงสาลงมาล้อมกรุง ด้วยตั้งพระทัยจะเกลี้ยกล่อมให้สมเด็จพระมหินทร์ยอมสวามิภักดิ์พระเจ้าบุเรงนอง เพราะเล็งเห็นว่าอยุธยายากจะต่อรบเอาชัยทัพพม่ารามัญ ซึ่งมีกำลังไพร่พลเหนือกว่าได้ หากขัดขืนต่อรบจะได้ยากแก่สมณชีพราหมณ์อาณา ประชาราษฎร์ ศึกครั้งนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงลาผนวชมาบัญชาการรบด้วยพระองค์เอง แต่อยู่ได้มิช้านานก็เสด็จสวรรคตเสียระหว่างศึก พุทธศักราช 2112 มะเส็งศก วันอาทิตย์ เดือน 9 แรม 11 ค่ำ กรุงศรีอยุธยาก็เสียแก่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง
ข้างสมเด็จพระนเรศวรซึ่งประทับอยู่ยั้งยังนครพิษณุโลกแต่ต้นศึก หาได้ทรงเห็นงามหรือคิด ครั่นคร้ามอ่อนน้อมต่อหงสา ถึงจะทรงรู้ซึ้งว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชบิดามิได้คิดคดเป็นกบฏต่อแผ่นดิน แต่ก็หาได้เห็นด้วยกับการอ่อนข้อสวามิภักดิ์พม่ารามัญ น้ำพระทัยอันมั่นคง เด็ดเดี่ยวนั้น ถึงแม้จะมิได้แพร่งพรายถึงพระกรรณพระเจ้าบุเรงนอง แต่ก็ประจักษ์อยู่ในหมู่ ข้าราชบริพารใกล้ชิดผู้รักและหวงแหนในเอกราชของแผ่นดิน จึงพากันนิยมในน้ำพระทัย แลพร้อมใจถวายความจงรักภักดีแต่นั้นมา ครั้นเสร็จศึกอยุธยาพุทธศักราช 2112 สมเด็จพระมหาธรรมราชา ทรงถวายพระสุพรรณกัลยา พระพี่นางสมเด็จพระนเรศวร แก่พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง แลขอตัวสมเด็จพระนเรศวรไว้ช่วยราชการข้างอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรจึงประทับยั้งอยู่ยังเมืองพิษณุโลกสืบต่อมา ครั้นลุปีพุทธศักราช 2114 สมเด็จพระมหาธรรมราชา ซึ่งพระเจ้าบุเรงนองสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงศรีอยุธยา สืบต่อจากสมเด็จพระมหินทร์ ก็โปรดให้สมเด็จพระนเรศวรเสวยราชย์ครองเมืองพิษณุโลก เป็นใหญ่เหนือหัวเมืองเหนือทั้งปวง
เหตุการณ์ข้างพม่า หลังจากพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสิ้นพระชนม์ในปีพุทธศักราช 2124 พระเจ้านันทบุเรงได้ขึ้นเสวยราชสืบต่อ และได้สถาปนามังสามเกียดขึ้นเป็นรัชทายาทครองตำแหน่งมหาอุปราชาแห่งราชอาณาจักรหงสาวดี เมื่อแผ่นดินหงสาวดี อันต้องผลัดมือมาอยู่ในปกครองของ พระเจ้านันทบุเรง สัมพันธไมตรีระหว่างอยุธยาและหงสาวดีก็เริ่มสั่นคลอน ด้วยพระเจ้าหงสาวดี พระองค์ใหม่มิได้วางพระทัยในสมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระนเรศวรเองก็หาได้เคารพยำเกรงในบุญบารมีของพระเจ้าแผ่นดินพม่ารามัญเช่นกาลก่อน มิเพียงเท่านั้น สมเด็จพระนเรศวรยังได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถให้เป็นที่ปรากฏครั่นคร้าม ดังคราวนำกำลังทำยุทธนาวีกับพระยาจีนจันตุและศึกเมืองคังเป็นอาทิ พระเจ้านันทบุเรงทรงเกรงว่าสืบไปเบื้องหน้าสมเด็จพระนเรศวรจะเป็นภัยต่อพระราชวงศ์แลแผ่นดินหงสา จึงหาเหตุวางกลศึก หมายจะปลงพระชนม์สมเด็จพระนเรศวรเสียที่เมืองแครง แต่พระมหาเถรคันฉ่องพระราชครูลอบนำแผนประทุษร้ายนั้นมาแจ้งให้ศิษย์รักได้รู้ความ สมเด็จพระนเรศวรจึงถือเป็นเหตุประกาศเอกราช ตัดสัมพันธไมตรีกับหงสาวดี แลกวาดต้อนครัวมอญไทยข้ามแม่น้ำสะโตงกลับคืนพระนคร ซึ่งเป็นชนวนให้พระเจ้านันทบุเรงเปิดมหายุทธสงครามสั่งทัพเข้ารุกรานราชอาณาจักรอยุธยาสืบแต่นั้นมา
[แก้] ตัวละครและนักแสดง
- สมเด็จพระนเรศวรมหาราช รับบทโดย พ.ต.วันชนะ สวัสดี
- สมเด็จพระเอกาทศรถ รับบทโดย พ. ท. วินธัย สุวารี
- ออกพระราชมนู รับบทโดย นพชัย ชัยนาม
- ออกพระชัยบุรี รับบทโดย ปราบต์ปฎล สุวรรณบาง
- ออกพระศรีถมอรัตน์ รับบทโดย พ. ต. คมกริช อินทรสุวรรณ
- พระมหาเถรคันฉ่อง รับบทโดย สรพงษ์ ชาตรี
- สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช รับบทโดย ฉัตรชัย เปล่งพานิช
- สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ รับบทโดย ศรัณยู วงษ์กระจ่าง
- สมเด็จพระมหินทราธิราช รับบทโดย สันติสุข พรหมศิริ
- พระราเมศวร รับบทโดย สถาพร นาควิไล
- พระยาท้ายน้ำ รับบทโดย คมน์ อรรฆเดช
- พระยาพิชัย รับบทโดย กรุง ศรีวิไล
- พระยาสวรรคโลก รับบทโดย มานพ อัศวเทพ
- พระยาจักรี รับบทโดย ไพโรจน์ ใจสิงห์
- ขุนรัตนแพทย์ รับบทโดย โกวิท วัฒนกุล
- เศรษฐี รับบทโดย ดี๋ ดอกมะดัน
- พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง รับบทโดย สมภพ เบญจาธิกุล
- พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง รับบทโดย จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์
- พระมหาอุปราชา รับบทโดย นภัสกร มิตรเอม
- มณีจันทร์ รับบทโดย ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ
- เลอขิ่น รับบทโดย อินทิรา เจริญปุระ
- หมอกมู รับบทโดย อภิรดี ทศพร
- พระวิสุทธิกษัตรี รับบทโดย ปวีณา ชารีฟสกุล
- พระเทพกษัตรี รับบทโดย ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์
- พระสุพรรณกัลยา รับบทโดย เกรซ มหาดำรงค์กุล
- พระนางจันทราเทวี รับบทโดย เปรมสินี รัตนโสภา
- มเหสีพระมหินทร์ (1) รับบทโดย ปริศนา กล่ำพินิจ
- มเหสีพระมหินทร์ (2) รับบทโดย ปรารถนา ตันติพิพัฒน์
- ท้าววรจันทร์ รับบทโดย อำภา ภูษิต
- แม่นมพุดกรอง รับบทโดย นัยนา จันทร์เรียง
- แม่นมทองสุก รับบทโดย เฉลา ประสพศาสตร์
- พระนเรศวร (เด็ก) องค์ดำ รับบทโดย ด.ช. ปรัชฌา สนั่นวัฒนานนท์ (น้องบีเจ)
- พระเอกาทศรถ (เด็ก) องค์ขาว รับบทโดย ด.ช. กรัณย์ เศรษฐี (น้องเก้า)
- ออกพระราชมนู (เด็ก) ไอ้ทิ้ง รับบทโดย ด.ช. จิรายุ ละอองมณี (น้องเก้า)
- มณีจันทร์ (เด็ก) รับบทโดย ด.ญ.สุชาดา เช็คลีย์ (น้องดาด้า)