ราชินีมิน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ราชินีมิน พระมเหสีของพระเจ้าโกจง
ราชินีมิน พระมเหสีของพระเจ้าโกจง

ราชินีมิน เป็นพระมเหสีของพระเจ้าโกจง จักรพรรดิองค์แรกแห่งจักรวรรดิเกาหลี และ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรเกาหลี พระนางเป็นราชินีองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรเกาหลีอีกด้วย พระนางเป็นราชินีที่สำคัญที่สุดและโดเด่นที่สุดในประติศาสตร์เกาหลี และเรื่องของพระนางยังคงเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของเกาหลี ทั้งในด้านของการเป็นตำนานการต่อสู้ของวีรสตรีผู้รักชาติ และเป็นประวัติศาสตร์ดำมืดที่เป็นที่ถงเถียงในหมู่นักประวัติศาสตร์และนักอาชญวิทยาต่างๆ ที่ต่างพยายามค้นหาหลักฐานการสิ้นพระชนม์แท้จริง เนื่องจากมีการปกปิดหลักฐานมากทั้งฝ่ายเกาหลีและฝ่ายญี่ปุ่น

สารบัญ

[แก้] บทบาทในราชสำนัก

ทรงอภิเษกกับพระเจ้าโกจงมาตั้งแต่พระนางยังพระชนม์เพียง 16 ชันษาพระนางมาจากสายตระกูลมิน ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางซึ่งไม่มีชื่อเสียงเท่าใดนักและอยู่นอกสายตาของกลุ่มผู้มีอำนาจมาก่อน ซึ่งด้วยสาเหตุนี้เองพระนางจึงได้ถูกเลือกขึ้นวางพระองค์เป็นราชินีของ พระเจ้าโกจง เพราะการที่พระนางมาจากผู้ที่ไม่มีอำนาจก็ไม่สามารถที่จะสร้างเสริมอำนาจใดๆขึ้นได้ง่ายดายนัก ราชินีมินมีพระนามเดิมว่า มิน จายอง ทรงเป็นสตรีที่ฉลาด ใฝ่ใจในการศึกษามาตั้งแต่เด็ก เมื่อองค์ชายแดวอนจำต้องวางมือจากการบริหารในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ราชินีมินจึงได้ขึ้นมาบริหารกิจการบ้านเมืองแทน ซึ่งยิ่งทำให้เห็นถึงความปราดเปรื่องของพระนางฉายแววมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งนี้ไม่เป็นผลดีต่อพวกขุนนางที่กุมอำนาจอยู่ พระนางมีบทบาทในการถวายคำปรึกษางานต่างๆให้แก่พระเจ้าโกจง และยังสามารถบริหารกิจบ้านเมืองได้ด้วยพระอง์เอง เช่นเดียวกับกษัตริย์อีกด้วย ซึ่งผิดกับราชินีองค์อื่นๆก่อนหน้านี้ทั้งหมด และบทบาทหนึ่งที่ชัดเจนคือพระวิสัยทัศน์ในการต่อต้านความฟุ่มเฟือยในราชสำนัก พระองค์ทรงเห็นว่า ราชสำนักจับจ่ายเงินทองอย่างฟุ่มเฟือยไปกับวัฒนธรรมที่ไร้สาระอันสืบเนื่องมาอย่างยาวนาน เช่นงานเลี้ยงสังสรรค์ที่จัดขึ้นในโอกาสต่างๆในหมู่ราชนิกุลและในหมู่ขุนนางอย่างบ่อยครั้งเกินไป การแต่งกายและการจับจ่ายซื้อหาเครื่องประดับราคาแพงต่างๆของสตรีในราชสำนัก และการไม่ทำงานทำการของสตรีชั้นสูงต่างๆ โดยทรงเห็นว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้คือต้นเหตุของความฟุ้นเฟ้ออันนำมาซึ่งการทุจริตเบียดบังเงินหลวงในวงราชการนั่นเอง ที่ในหมู่ขุนนางและชนชั้นสูงต่างๆได้ประพฤติปฏิบัติมายาวนานทุกยุคทุกสมัยจนเป็นเชื้อร้าย ในขณะที่ราษฎรภายนอกอยู่อย่างอดอยาก ซึ่งพระราชวังเองก็กลายเป็นตัวอย่างให้กับคนภายนอกตามอย่างในการเบียดบังและฉ้อโกงเงินทองกันอย่างเป็นที่เอิกเกริก ด้วยพระวิสัยทัศน์เช่นนี้จึงมักไม่ค่อยเห็นราชินีพระองค์นี้ออกงานต่างๆที่จัดขึ้นอย่างฟุ่มเฟือยมากนัก ตรงกันข้าม พระองค์กลับใช้เวลาในการทรงหนังสือ ร่ำเรียนวิชาการต่างๆจนรอบรู้ทั้งเรื่องสังคมและปรัชญาต่างๆมากมาย รวมทั้งเรื่องราวของการเมืองการปกครอง และการเศรษฐกิจอีกด้วย นอกจากนี้แล้วพระนางยังสนใจในเรื่องการต่างประเทศเป็นพิเศษทรงศึกษาความเจริญของสังคมในประเทศต่างๆ พระนางยังมักเรียกเหล่าเสนาบดีที่คุ้นเคยเข้าปรึกษาราชการและทรงโปรดให้ผู้รอบรู้สรรพวิชาต่างๆอย่างเป็นพิเศษคอยถวายคำปรึกษาในเรื่องต่างๆเสมอ ด้วยพระจริยาวัตรเช่นนี้ ราชินีมิน จึงมักเป็นที่ติฉินนินทากันในหมู่ชนชั้นสูงว่า พระนางพยายามจะทำตัวเสมือนบุรุษที่ชอบเข้าไปก้าวก่ายงานกิจการบ้านเมืองจนเกินงาม และด้วยความปราดเปรื่องของราชินีมินนี้เองจึงกลายเป็นความหวาดะแวงของพวกขุนนางผู้พยายามกุมอำนาจในวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสกุลโจ และ องค์ชายแดวอน พระบิดาของพระเจ้าโกจง ที่ไม่ต้องการให้ราชินีมินขึ้นมามีอำนาจเหนือพวกพ้องของตน


[แก้] ต้นเหตุความขัดแย้งของฝ่ายราชินีมินกับองค์ชายแดวอน

ความขัดแย้งของฝ่ายราชินีมินกับองค์ชายแดวอนเริ่มต้นขึ้นมานานสืบเนื่องจากความไม่ลงรอยในแนวคิดสมัยใหม่ของราชินีมิน ที่ทรงต้องการปฏิรูประบบต่างๆที่เก่าคร่ำคร่าของราชสำนัก แต่ทางฝ่ายองค์ชายแดวอน แล้วกลับเห็นตรงกันข้าม ถึงแม้ภายนอกขององค์ชายแดวอนจะดูเหมือนพยายามปฏิรูปราชสำนักให้ไปในทิศทางที่แตกต่างไปจากเดิม แต่องค์ชายแดวอนเป็นทรงมีความคิดแบบอนุรักษ์นิยมตามแนวทางของขงจื๊อที่รับมาจากจีนอย่างยึดติดการปฏิรูปแนวทางสมัยใหม่จึงเป็นเรื่องที่ขัดต่อแนวหลักของลัทธิขงจื๊อเป็นอย่างมาก

[แก้] ต้นรัชกาล

เมื่อราชินีมิน อายุขึ้น 20 ชันษา พระองค์ก็ยิ่งฉายแววในการทรงงานด้านกิจการบ้านเมืองอย่างเต็มที่ พระนางมักออกจากตำหนักชางยอง เพื่อไปพบปะและพูดคุยกับกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆโดยมีที่ปรึกษาของพระนางเป็นผู้จัดการให้ ซึ่งในช่วงนั้นเกาหลีได้เข้าสู่ช่วงสมัยแห่งความสับสนแล้ว แต่ภายในราชสำนักก็ยังคงหลงอยู่กับภาพเก่าๆ วิธิคิดแบบเก่าๆทั้งราชนิกุล ขุนนาง และชนชั้นสูงต่างๆก็ยังคงอยู่อย่างสุขสบายโดยไม่คิดหวาดภัยร้ายต่างๆจากภานอกที่กำลังคืบเข้ามาแทะโลมในทุกขณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งญี่ปุ่น ซึ่งมีทีท่าที่มักจะเข้ามาก้าวก่ายกิจการภายในเกาหลีอย่างออกนอกหน้าเสมอ และแฝงด้วยเลศนัยบางอย่างที่ไม่จริงใจให้เห็น ราชินีมินมองเห็นถึงสถานการณ์ร้ายที่อาจลุกลามใหญ่โตได้ทุกขณะ หากศัตรูสบโอกาส แต่ความคิดของราชินีมิน กับองค์ชายแดวอน ก็มักสวนทางกันแทบจะทุกเรื่อง และความไม่พอพระทัยที่ราชินีมินมักว่าราชการใดๆไปโดยที่ไม่ค่อยปรึกษากับกลุ่มขุนนางในสายของพระองค์ องค์ชายแดวอนจึงมักคิดหาหนทางที่จะริดรอนอำนาจของพระนางตลอดเวลา แผนกรปลิดอำนาจของราชินีมิน สบโอกาสขึ้น เมื่อราชินีมินคลอดพระโอรส ซึ่งเพียงไม่กี่นาทีที่พระโอรสทรงคลอดก็สิ้นพระชนม์ลงองค์ชายแดวอนจึงได้ถือโอกาสนี้ทำลายพระเกียรติของพระนาง โดยกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่นำโชคร้ายมาสู่ราชวงศ์ จึงทำให้ต้องสูยเสียพระโอรสไป และยังให้ร้ายอีกว่า ถึงแม้พระนางจะทรงครรภ์อีกก็จะไม่สามารถให้พระโอรสพระองค์ใหม่ที่มีพระพลานามัยสมบูรณ์ได้อีก และเพื่อให้เหตุการณ์นี้สมบูรณ์องค์ชายแดวอนจึงได้จัดหานางสนมพระองค์ใหม่มาให้พระเจ้าโกจงเพื่อที่จะได้สามารถมอบโอรสให้กับกษัตริย์ได้ ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2423 พระสนมยองก็ทรงพระครรภ์ขึ้นและสามารถมอบพระโอรสพระนามว่าองค์ชายวันฮา ให้แก่พระเจ้าโกจงได้สำเร็จและทันทีที่มีประสูติกาลองค์ชายแดวอนก็ชิงประกาศตำแหน่งองค์รัชทายาทให้แก่องค์ชายน้อยพระองค์ใหม่นี้อย่างรวดเร็วและรอพียงเวลาที่จะสถาปนาพระสนมยองขึ้นเป็นพระมเหสีของพระเจ้าโกจง แต่ราชินีมินทรงอ่านแผนนี้ออก จึงชิงลงมิอตัดหน้าเสียก่อน พระนางได้เรียกเสนาบดีระดับสูงฝ่ายที่รับใพระนางและด้วยแรงสนับสนุนจากคนสกุลมินของพระนางเอง ทั้งหมดได้ร่วมกันวางแผนที่จะถอดถอนองค์ชายแดวอน ออกจากอำนาจโดยฉับพลัน โดยทำหนังสือรายงานต่อสภาขุนนางกล่าวหาว่าองค์ชายแดวอน พยายามคิดร้อยต่อราชบัลลังก์ คบหาต่างชาติและซ่องสุมผู้คนเพื่อหมายสถาปนาองค์รัชทายาทขึ้นเป็นกษัตริย์แทนพระเจ้าโกจง ซึ่งข้อกล่าวหานี้ร้ายแรงมากเมื่อหนังสือร้องเรียนนี้ถึงพระหัตถ์ของพระเจ้าโกจง องค์ชายแดวอนก็เข้าตาจน แต่ด้วยความที่องค์ชายทรงเป็นพระบิดาของพระเจ้าโกจง พระองค์จึงเพียงกำหนดโทษให้เนรเทศออกนอกพระราชวังเท่านั้น และพระสนมยองกับองค์ชายวันฮาก็ยังถูกถอดออกจากตำแหน่ง และหลังจากนั้นไม่ปรากฏเรื่องราวของทั้ง 2 พระองค์อีกเลย จากจุดนี้เองทำให้อำนาจทั้งหมดอยู่ในมือของราชินีมิน และคนของพระนาง ซึ่งต่อจากนั้นพระนางก็ดำเนินแผนการโยกย้ายคนของสกุลโจออกไปจากตำแหน่งสำคัญๆจนสิ้น แล้วแทนที่ด้วยคนสกุลมินและเหล่าขุนนางที่ไว้ใจได้ทั้งสิ้น บัดนั้นอำนาจถึงเบ็ดเสร็จอยู่ในมือของพระนาง และดูเหมือนมีพระราชอำนาจกว่าพระเจ้าโกจงเสียอีกด้วย ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นญี่ปุ่นขณะนั้นอยู่ในรัชสมัยเมจิ ที่ปกครองโดย พระจักรพรรดิเมจิ หรือ มัตสึฮิโตะ พระองคทรงปฏิรูปประเทศไปสู่ความทันสมัยแบบก้าวกระโดด เพื่อให้ทัดเทียมกับยุโรปในทุกๆด้าน และผลพวงจากการปฏิรูปครั้งนี้ได้ทำให้ญี่ปุ่นเกิดแนวความคิดที่ต้องการสร้างจักรวรรดิให้เกรียงไกรอย่างเช่นจักรวรรดิยุโรปต่างๆ จึงได้พยายามสร้างแสนยานุภาพทางทหารเพื่อหมายขยายอิทธิพลแผ่ไปยังประเทศในภูมิภาตอาเซียน แผนการนี้ส่วนหนึ่งมาจากการยุยงของพวกพ่อค้าและบุคคลชั้นสูงในสังคมยุคใหม่ของญี่ปุ่น ที่มองเห็นประโยชน์ทางการค้าอันมหาศาลจะเกิดขึ้น หากญี่ปุ่นสามารถเป็นเจ้าแห่งภูมิภาคนี้ได้ จึงได้เสนอต่อองค์จักรพรรดิเมจิ โน้มน้าวพระองค์จนทรงเห็นด้วยให้แผ่นแสนยานุภาพของญี่ปุ่นขยายออกไป ความคิดที่จะเข้ายึดครองแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่ของจีนจึงเกิดขึ้น แต่ประตูบานแรกที่จะเปิดเข้าสู่จีนคือ เปิดจากเกาหลีเข้าไป ดังนั้นแผนการยึดครองเกาหลีจึงเริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2418 ญี่ปุ่นส่งเรือรบอุงโยะ มุ่งหน้าสู่เกาหลี จึงเกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างทหารเกาหลีกับญี่ปุ่นที่บริเวณเกาะกังฮวา แต่ฝ่ายเกาหลีไม่อาจต้านทานได้เพราะมีกำลังที่น้อยกว่ามาก ญี่ปุ่นจึงยึดเกาะกังฮวาได้ และจึงบ่ายมาที่เมืองปูซาน โดยมุ่งเข้าปิดอ่าวยงฮัง ทางฝ่ายเกาหลีเห็นว่าไม่อาจต่อสู้ได้จึงต้องขอเปิดเจรจา ซึ่งทำให้เกิดเป็นสนธิสัญญากังฮวา ขึ้นในปีนั้น พ.ศ. 2419 อันเป็นสัญญาที่ญี่ปุ่นจัดขึ้นเพื่อเอาเปรียบเกาหลีในทุกๆด้าน


[แก้] สนธิสัญญากังฮวา

ในสนธิสัญญากวางฮา เกาหลีต้องยินยอมเปิดเมืองท่า 2 เมืองคือ อินชอง และ วันซาน เพื่อให้เรือสินค้าจากญี่ปุ่นสามารถเข้าเทียบท่าใดๆได้อย่างอิสระและต้องยินยอมให้ญี่ปุ่นสามารถเข้าเทียบท่าใดๆก็ได้โดยอิสระ และต้องยินยอมให้ชาวญี่ปุ่นสามารถจับจองที่ดินในเกาหลีได้โดยที่รัฐบาลจะต้องไม่ขัดขวางใดๆ การทำสนธิสัญญาแบบนี้เท่ากับเป็นการขายประเทศให้กับญี่ปุ่นไปอย่าง่ายๆ ซึ่งญี่ปุ่นได้เลียนแบบการทำสนธิสัญญาแบบนี้จากชาติตะวันตกที่ต่างทำสนธิสัญญากับประเทศต่างๆในอาเซียน โดยแม้แต่ญี่ปุ่นเองก็ถูกกระทำมาก่อน การร่างสนธิสัญญาแบบนี้จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำ เมื่อฝ่ายที่ถูกขอให้เปิดการเจรจาด้วยนั้นถือว่าตนเองเป็นฝ่ายชนะ จึงต้องมีแต้มต่อที่เหนือกว่าในการเรียกร้องใดๆก็ได้โดยที่อีกฝ่ายต้องไม่บิดพลิ้ว แต่จากสนธิสัญญาฉบับนี้ก็สามารถทำให้ญี่ปุ่นไม่เข้ามารุกรานเกาหลีได้สำเร็จ


[แก้] นโยบายการพัฒนาประเทศ

หลังจากทำสนธิสัญญากังฮวาแล้ว ราชินีมินจึงคิดที่จะใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสในการเรียนรู้ถึงพัฒนาการด้านต่างๆของญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด และรู้วิธีการที่ญี่ปุ่นปรับเปลี่ยนสังคมอย่างตะวันตกจากสังคมเดิมของอาเซียได้อย่างไร พระนางจึงได้ของความเห็นชอบจากพระเจ้าโกจงเพื่อที่จะส่งกลุ่มศึกษาวิจัยไปที่กรุงโตเกียว ในการศึกษาพัฒนาแบบก้าวกระโดดของญี่ปุ่น และได้มอบหมายให้ คิม กวางจิบ เป็นหัวหน้าทีมเดินทางไปญี่ปุ่น คณะทำงานของคิมกวางจิบชุดนี้เข้าไปทำการสำรวจและศึกษาเรื่องต่างๆโดยได้รับความช่วยเหลือจากทูตจีนประจำกรุงโตเกียวชื่อ หวง ชุนเฉียน ซึ่งเป็นผู้แนะนำให้คิมฉวายรายงานต่อพระเจ้าโกจง และ ราชินีมิน ในสิ่งที่เกาหลีจะต้องปรับเปลี่ยนลู่ทางไปตามกระแสโลกตะวันตกอย่างที่ญี่ปุ่นได้กระทำ รวมทั้งการปรับปรุงโครงสร้างทางสังคมและระบบการปกครองของประเทศตามสภาวะโลกที่เปลี่ยนไปอีกด้วยซึ่งจีนได้กระทำวิธีเดียวกันนี้อยู่เช่นกัน แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่ออกจากปากของที่ปรึกษาชาวจีนผู้นี้คือการมองโลกเชิงวิเคราะห์สถานการณ์ในอนาคต ที่ภาพต่างๆยังไม่ชัดเจนนัก เขามองว่าจีนกำลังสูญเสียอิทธิพลอย่างมาก และให้เลือกคบหากับญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาให้แนบแน่น เพื่อเป็นการคานอำนาจของรัสเซียไว้ และให้เรียนรู้เทคโนโลยีต่างๆจากยุโรปให้มากขึ้น และเพื่อเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอดด้วยการถ่วงดุลอำนาจระหว่างชาติต่างๆ หวง ยังบอกอีกด้วยว่าเกาหลีมีขนาดประเทศที่เล็กและเป็นรัฐชนระหว่างจีนกับญี่ปุ่น จึงน่าจะถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายได้ จึงน่าจะมีอนาคตกว่าถ้าเดินตามนโยบายที่เขาแนะนำ

ภาษาอื่น