ขุนการัญสิกขภาร

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

บทความนี้ต้องการเก็บกวาด ตรวจสอบ ปรับปรุง แก้ไขรูปแบบ เพิ่มแหล่งอ้างอิง ใส่หมวดหมู่ หรือภาษาที่ใช้
ส่วนใดส่วนหนึ่งหรือในหลายส่วนด้วยกัน
คุณสามารถช่วยตรวจสอบ และแก้ไขบทความนี้ได้ด้วยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน
กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไข
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ วิธีแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือการเขียน และ นโยบายวิกิพีเดีย ซึ่งสามารถดูตัวอย่างบทความได้ที่ บทความคุณภาพ และเมื่อแก้ไขตามนโยบายแล้ว สามารถนำป้ายนี้ออกได้

ประวัติ ขุนการัญสิขภาร นามเดิม ทุเรียน ทัพภะพยัคฆ์ เกิดเมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2431 ที่ตำบลบ้านปลายนา อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรคนที่ 2 ของนายดิศ ทัพภะพยัคฆ์ และนางมุ่ย ทัพภะพยัคฆ์ อุปสมบท ณ วัดกระโดงทอง อำเภอเสนา จังหวัดพระนครสรีอยุธยา เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2452 โดยมีพระพรหมมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทอยู่เต็ม 1 พรรษา ได้ศึกษาพระปริยธรรมตามสมควร แล้วลาสิกาบท เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2452 ขุนการัญสิขภาร ได้ทำการสมรสกับนางสาวบุญมา เดชสาท บุตรีนายปลื้ม นางบุญมี เดชสาท คหบดีชาวสวนทุเรียน ณ บ้านตำบลสวนใหญ่ อำเภอเมืองนนทบุรี

การศึกษา เมื่อมีอายุอยู่ในวัยที่เล่าเรียนได้ บิดา-มารดาก็ได้ส่งเข้าเรียนวิชาภาษาไทยที่โรงเรียนกระโดงทอง อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ครั้นอายุได้ 9 ขวบ บิดา-มารดาจึงส่งเข้ามาศึกษาเล่าเรียนในกรุงเทพฯ ที่โรงเรียนกล่อมพิทยากร จังหวัดพระนคร เรียนอยู่ 4 ปี สอบไล่ได้ประโยค 2 ชั้น 1 จึงไปศึกษา ต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร โดยมีเลขประจำตัว 458 สอบไล่ได้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แล้วย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมวัดราชบูรณะ กรุงเทพมหานคร จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เมื่อ พ.ศ. 2447 อายุ 17 ปี ด้วยใจรักการเป็นครู จึงสมัครไปศึกษาวิชาครู ณ โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ มีเลขประจำตัว 346 ใน พ.ศ. 2448-2449 สอบไล่ได้ประกาศนียบัตรประโยคครูมูลสามัญ พร้อมกับนักเรียนฝึกหัดอาจารย์ที่ได้ประกาศนียบัตรเช่นเดียวกัน 17 คน ต่อจากนั้นก็ฝึกฝนตนเองจนได้ประกาศนียบัตรครูประถมสามัญ (ป.ป) เมื่อ พ.ศ. 2450 การรับราชการ เริ่มเข้ารับราชการเป็นครูโรงเรียนประถมวัดสุทัศน์ จังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2450 โดยได้รับเงินเดือน 30 บาท แล้วย้ายไปรับราชการครูโรงเรียนมัธยมราชบูรณะ จังหวัดพระนคร เงินเดือน 35 บาท ต่อมาอีก 1 ปี ก็ย้ายมาดำรงตำแหน่งครูโรงเรียนกล่อมพิทยากร เงินเดือน 40 บาท แล้วในปีเดียวกันนั้นเองก็ย้ายมาดำรงตำแหน่งครูโรงเรียนวัดราชบพิธ จังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2452 เงินเดือน 45 บาท หลังจากได้ลาสิกขาบทแล้วจึงย้ายมารับราชการครูที่จังหวัดนนทบุรี ได้รับการเลื่อนตำแหน่งหน้าที่ราชการ คือ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2453 ดำรงตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม รับเงินเดือน 50 บาท พนักงานจัดการประจำเมืองนนทบุรี ใน พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จัดตั้งองค์การลูกเสือขึ้นในประเทศไทย ครูทุเรียนซึ่งขระนั้นมียศเป็นราชบุตรแล้วก็ได้ไปรับการอบรมเป็นผู้กำกับและรองผู้กำกับลูกเสือแผนกลักษณะปกครองลูกเสือ ได้สอบไล่เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2454 ในจำนวนผู้สอบ 200 คน จังหวัดนนทบุรีจึงได้จัดตั้งกองลูกเสือขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2454 กองลูกเสือโรงเรียนเขมาภิรตารามเป็นลูกเสือมณฑลกรุงเทพฯ กองที่ 54 มีลูกเสือสำรอง 31 คน ความชอบของครูทุเรียนคือได้เลื่อนเงินเดือนเป็น 55 บาท ครั้น พ.ศ. 2455 ทางราชการกระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งตำแหน่งเกี่ยวกับการศึกษา เพิ่มในหัวเมืองต่างๆ อีกตำแหน่งหนึ่งเรียกว่า “พนักงานจัดการประจำเมือง” โดยในครั้งนี้ครูทุเรียนได้รับการแต่งตั้งเป็นพนักงานจัดการประจำเมืองนนทบุรี ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ร.ศ.131 พ.ศ. 24555 และให้คงตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนวัดเขมาภิรตารามไปด้วย เมื่อครูทุเรียนได้รับหน้าที่เพิ่มขึ้นอีก จึงจำเป็นต้องเดินทางไปปฏิบัติราชการเป็น 2 แห่ง ณ ที่ตั้งที่ว่าการเมืองนนทบุรี ซึ่งขณะนั้นตั้งอยู่ที่ปากคลองบางซื่อ (บน) ฝั่งใต้ที่เป็นท่าเรือบ้านตลาดขวัญในเวลาต่อมา มีวัดท้ายเมืองอยู่ทิศเหนือ สุดของที่ว่าการอำเภอ การเดินทางไปมาระหว่างโรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม กับที่ว่าการเมืองต้องใช้เรือยนต์เป็นพาหนะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที ต่อมาทางราชการได้ยุบเลิกตำแหน่งพนักงานจัดการประจำเมืองนนทบุรีเสีย ครูทุเรียนจึงพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ธุรการฝ่ายบ้านเมืองแล้ว ก็ได้บริหารงานโรงเรียนวัดเขมาภิรตารามได้เต็มที่ ขณะนั้นได้ยุบชั้นมูลลงแล้วคงเหลือเปิดสอนแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงประถมปีที่ 3 มี 3 ห้องเรียน จำนวนนักเรียนชาย 44 คน นักเรียนหญิงยังไม่มี มีครู 3 คน และใน พ.ศ. 2456 ทางราชการเห็นว่าการทำมาหากินของราษฎรในตำบลสวนใหญ่ แขวงเมืองนนทบุรียังอัตคัดอยู่ จึงประกาศลดค่าเล่าเรียนของนักเรียนโรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม ส่วนโรงเรียนวัดท้ายเมืองนั้นก็งดเก็บค่าเล่าเรียน โดยให้เหตุผลว่า เป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในทำเลที่การทำมาหากินไม่สมบูรณ์ เด็กมักไม่ใคร่เข้าเล่าเรียนทั่งถึงกัน ด้วยไม่มีทุนทรัพย์จะใช้จ่ายในการเล่าเรียนเพียงพอ ต่อมาทางราชการได้ย้ายให้ไปดำรงตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนรัตนาธิเบศร์ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2459 ดำรงตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนรัตนาธิเบศร์ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2460 ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “ขุนการัญสิกขาภาร” นับเป็นครูใหญ่โรงเรียนรัฐบาลสังกัดกระทรวงธรรมการคนแรกในจังหวัดนนทบุรีที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ และได้เลื่อนเงินเดือนขึ้นเป็น 75 บาท ขณะดำรงตำแหน่งพนักงานจัดการประจำเมืองนนทบุรี ได้ส่งงานศิลปหัตถกรรมนักเรียนครั้งที่ 1 ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จังหวัดพระนคร ได้รับรางวัลชนะเลิศถึง 7 รางวัล ทำให้ชื่อเสียงของนนทบุรีเป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับของวงการศึกษา ผู้รักษาการแทนศึกษาธิการจังหวัดนนทบุรี ต่อมาใน พ.ศ. 2462 ขุนการัญสิกขภาร ครูใหญ่โรงเรียนรัตนาธิเบศร์ ซึ่งขณะนั้นอายุ 31 ปี ได้รับหน้าที่ราชการเพิ่มขึ้นอีก ตำแหน่งหนึ่งคือ “ผู้รักษาการแทนศึกษาธิการจังหวัดนนทบุรี” ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2462 สถานที่ทำงานของท่านจึงเพิ่มขึ้นอีก 1 แห่ง คือ ที่แผนกศึกษาธิการจังหวัดนนทบุรี ในศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ณ ตำบลตลาดขวัญซึ่งไกลกัน และมีการไปมาได้สะดวกอยู่แต่ทางน้ำทางเดียว

 ขุนการัญสิกขภารต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการ 2 ตำแหน่งเป็นเวลา 1 ปีเศษ จนถึงวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2463 จึงพ้นจากตำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนรัตนาธิเบศร์  คงได้ดำรงตำแหน่งศึกษาธิการจังหวัดนนทบุรีตำแหน่งเดียว เป็นเวลา 23 ปี ในศกนั้นท่านได้รบพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์

เบญจมาภรณ์มงกุฎสยาม และได้เงินเดือนขึ้นเป็น 80 บาท ขณะดำรงตำแหน่งศึกษาธิการจังหวัดนนทบุรี ได้เปิดสถานศึกษาเพื่อให้การศึกษาแก่เยาวชนจังหวัดนนทบุรี ดังนี้  พ.ศ. 2467 ตั้งโรงเรียนประจำจังหวัดนนทบุรี โดยยกฐานะโรงเรียนวัดท้ายเมือง ขึ้นเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด ในขณะนั้นมีชั้นประถมปีที่ 1 ถึง ชั้นประถมปีที่ 5 และต่อมามีชั้นมัธยมปีที่ 6 เมื่อประมาณ พ.ศ. 2470 ซึ่งเป็นโรงเรียนแรกในจังหวัดนนทบุรี ปัจจุบันคือ โรงเรียนศรีบุณยานนท์  พ.ศ. 2475 ตั้งโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด อยู่ด้านหลังศาลากลางจังหวัดหลังเก่า พ.ศ. 2476 ย้ายไปใช้หอประชุมจังหวัดนนทบุรีหลังเก่าเป็นสถานที่เรียนแทน จนถึง พ.ศ. 2478 ได้ย้ายไปอยู่ที่ถนนพิบูลสงคราม ใกล้วัดพลับพลาและวัดปากน้ำ(พิบูลสงคราม) ปัจจุบันคือ โรงเรียนสตรีนนทบุรี  พ.ศ. 2476 ตั้งโรงเรียนสอนหัตถกรรมทอเสื่อกก และสอนวิชาช่างเหล็ก ที่โรงเรียน วัดทินกรนิมิตร  พ.ศ. 2484 ตั้งโรงเรียนช่างไม้นนทบุรี ที่วัดลานนาบุญ ต่อมาเป็นโรงเรียนการช่างนนทบุรี ปัจจุบันคือ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตนนทบุรี หัวหน้าเก็บกองกลาง ครั้นมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองท้องที่ของจังหวัดนนทบุรีถูกรวมเข้าไว้ในการปกครองของจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี ตำแหน่งศึกษาธิการจังหวัดนนทบุรีจึงถูกเลิกไปด้วยตามกฎหมาย กระทรวงศึกษาจึงย้ายขุนการัญสิกขภารมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าเก็บกองกลาง สำนักปลัดกระทรวง ศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2486 ต่อมาได้เข้าทำงานในกระทรวงอุตสาหกรรม 2 ปี จึงลาออกเพราะสุขภาพไม่สมบูรณ์ หันมาประกอบอาชีพกสิกรรม ทำสวนทุเรียน ขุนการัญสิกขภารสนใจการเมืองท้องถิ่น ได้เป็นสมาชิกสภาจังหวัดนนทบุรี และเทศมนตรีเทศบาลเมืองนนทบุรี

อสัญกรรม ใน พ.ศ. 2493 ขุนการัญสิกขภาร เริ่มมีโรคภัยเบียดเบียน ป่วยกระเสาะกระเเสะด้วยโรคหัวใจ ไตพิการ และความดันโลหิตสูงเนื่องด้วยได้รับการรักษาพยาบาลอย่างดีจากนายแพทย์ และครอบครัว อาการก็ทุเลาขึ้นเล็กน้อย ครั้นใน พ.ศ. 2494 อาการโรคกำเริบขึ้นอีกถึงกับต้องมารักษาตัวที่โรงพยาบาล ศิริราช อาการก็ดีขึ้น อยู่โรงพยาบาลประมาณ 20 วันก็กลับบ้านได้ ต่อมาอีก 2 ปี โรคกำเริบขึ้นอีก จนถึงแก่กรรมด้วยอาการอันสงบที่รงพยาบาลมิชชั่น จังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2499 เวลา 13.30 น. รวมอายุได้ 67 ปี 11 เดือน 3 วัน

จากประวัติการรับราชการอันยาวนานและคุณงามความดีที่ท่านทำไว้ สมควรที่จะต้องจารึกไว้ในจังหวัดนนทบุรีก็คือท่านเป็นบุคคลสำคัญด้านการศึกษาที่ได้วางรากฐานให้กับการศึกษาของจังหวัดนนทบุรี