ปิ่นหทัย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

บทความนี้ต้องการเก็บกวาด ตรวจสอบ ปรับปรุง แก้ไขรูปแบบ เพิ่มแหล่งอ้างอิง ใส่หมวดหมู่ หรือภาษาที่ใช้
ส่วนใดส่วนหนึ่งหรือในหลายส่วนด้วยกัน
คุณสามารถช่วยตรวจสอบ และแก้ไขบทความนี้ได้ด้วยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน
กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไข
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ วิธีแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือการเขียน และ นโยบายวิกิพีเดีย ซึ่งสามารถดูตัวอย่างบทความได้ที่ บทความคุณภาพ และเมื่อแก้ไขตามนโยบายแล้ว สามารถนำป้ายนี้ออกได้
สำหรับ ปิ่นหทัย ความหมายอื่นดูที่ ปิ่นหทัย (แก้ความกำกวม)

ปิ่นหทัย เป็นนามปากกาของ ม.ล.ปิ่น มาลากุล ซึ่งใช้ในการเขียนทความหรือร้อยกรองเกี่ยวกับโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชื่อนี้เป็นคำผสมระหว่างชื่อ "ปิ่น" และคำว่า "หทัย" ที่แปลว่า ดวงใจ ซึ่งรวมแล้วมีความหมายว่า "ดวงใจของท่านม.ล.ปิ่น มาลากุล" กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ท่านม.ล.ปิ่น รักโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาประหนึ่งเป็นดวงใจของท่านเอง

เนื้อเพลง "ปิ่นหทัย"

คำร้อง : ชอุ่ม ปัญจพรรค์

วันเดือนปีที่ผ่านมา โอ้ ต.อ.จ๋า รักยังแจ่มจ้า ไม่เลือน สระน้ำคูบัวตามเตือน สงวนบุญหนุนเลื่อน เสียงครูเสียงเพื่อนแจ่มใจ ยามเรียนลือ ยามเล่นเด่นชื่อ ต.อ. ระบือ ลือสนั่น ลั่นไกล คิดถึงพระคุณ อาจารย์ยิ่งใด เป็นปิ่นหทัย ให้ร่มเย็นใจ เสมอมา รัก ต.อ. ขอจงอยู่ยืนนาน รักครูอาจารย์ รักเพื่อน ถ้วนหน้า รักจริง รักจริง รักสิงวิญญา รัก ต.อ. ยิ่งชีวา รักจนดินฟ้ามลาย รัก ต.อ. ขอจงอยู่ยืนนาน รักครูอาจารย์ รักเพื่อน ถ้วนหน้า รักจริง รักจริง รักสิงวิญญา รัก ต.อ. ประหนึ่งว่า ปิ่นปักจุฑานั่นเอย


เดิมทีเดียว เพลงประจำโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาคือ เพลงเตรียมอุดมศึกษา ที่มีเนื้อร้องขึ้นว่า “เราเตรียมอุดมศึกษา ...” เนื้อร้องของเพลงนี้เป็นผลงานของอดีตอาจารย์ผู้ล่วงลับ นิรันตร์ นวมารค ผู้เป็นตำนานเล่าขานกันสืบมาว่าสอน สามัคคีเภทคำฉันท์ ตลอดทั้งเรื่องได้โดยไม่ต้องเปิดตัวบทเลย การที่เพลงประจำโรงเรียนเปลี่ยนมาเป็น เพลงปิ่นหทัย นั้น ยังไม่มีผู้ใดสืบได้ชัดว่าเริ่มมาแต่เมื่อใดและด้วยเหตุผลกลใด อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเชื่อว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เพลงปิ่นหทัย “ขึ้นแท่น” และรักษาตำแหน่งนี้ได้อย่างยาวนาน นอกเหนือไปจากสถานะพิเศษอันได้แก่การเป็นผลงานของนักเรียนเตรียมฯ เลขประจำตัว ๑ คือคุณชอุ่ม ปัญจพรรค์ และการกำหนดให้ต้องร้องทุกวันก่อนเข้าเรียนตั้งแต่สมัยผู้อำนวยการอัศวิน วรรณวินเวศร์แล้ว ยังมีความงดงามทางภาษาหรือวรรณศิลป์ที่สามารถขับความรักความศรัทธาที่มีต่อสถานประศาสน์วิชาแก่ตนได้อย่างคมเข้มและมีชีวิตชีวาเป็นอีกปัจจัยหนึ่งด้วย ในข้อเขียนนี้ ผู้เขียนจะได้อธิบายกลวิธีทางวรรณศิลป์ที่ผู้แต่งเนื้อร้องได้แฝงไว้อย่างแนบเนียน เพื่อให้เพื่อนนักเรียนแลเห็นความงามและเกิดความซาบซึ้งได้ด้วยตนเอง

       อนึ่ง ผู้เขียนได้กำกับชื่อโวหารภาพพจน์ไว้ เพราะน่าจะช่วยให้ผู้อ่านจับประเด็นได้แม่นยำรัดกุมขึ้น แต่สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยก็มีคำอธิบายอย่างสั้น ๆ ประกอบพอเข้าใจ หวังว่าจะไม่เป็นที่รกหูรกตาของบรรดาผู้รู้


ปิ่นหทัย

       ความหมายตามอักษรของความว่า ปิ่น คือ “เครื่องประดับสำหรับปักผมที่มุ่นเป็นจุก” ในวัฒนธรรมตะวันออกเราถือว่าผมหรือศีรษะเป็นส่วนที่ตั้งอยู่บนสุดของร่างกาย ดังนั้นจึงมีความหมายขยายออกโดยปริยายว่า “จอม, ยอด” มักใช้ประกอบกับคำอื่นเพื่อให้ความหมายว่าพระเจ้าแผ่นดินเช่น พระปิ่นภพลบโลกนาถา, ปิ่นเกศประกอบกรณิย์กิจ 
       หทัย คือหัวใจ ในที่นี้ใช้ในความหมายเชิงนามธรรม คือความรู้สึกของบุคคล เช่น “หัวใจของเธอแทบจะแหลกสลายไปเมื่อรู้ข่าวว่า...” เมื่อรวมเป็น ปิ่นหทัย จึงมีความหมายว่า สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความรักเทิดทูนอย่างสูงสุด ชื่อนี้นอกจากเป็นการใช้โวหารภาพพจน์ อุปลักษณ์ ที่นำคำว่า ปิ่น มาประกอบกับคำอื่นและให้ความหมายที่แหวกไปจากขนบเดิม ๆ แล้ว ยังแฝงไว้ซึ่งนัยยะแห่งความรักและความกตัญญูกตเวทีอันเป็นคติธรรมประจำโรงเรียน คือระลึกนึกถึงพระคุณของโรงเรียนในฐานะที่เป็นยอดของหัวใจทีเดียว และเมื่อเราพิจารณาเนื้อร้องในลำดับต่อไป ก็จะเห็นว่าการตั้งชื่อว่า ปิ่นหทัย นี้นับว่าเหมาะสมเป็นที่สุดเพราะอาจครอบคลุมใจความของเนื้อร้องไว้ได้ทั้งหมดอีกด้วย


วันเดือนปีที่ผ่านมา โอ้ ต.อ. จ๋ารักยังแจ่มจ้าไม่เลือน

สระน้ำคูบัวตามเตือน สงวนบุญหนุนเลื่อนเสียงครูเสียงเพื่อนแจ่มใจ

       การขึ้นต้นเนื้อเพลงว่า “วันเดือนปีที่ผ่านมา” ผู้แต่งไล่เวลาขึ้นจากหน่วยเล็กไปหาหน่วยใหญ่ ผู้ฟังจะสามารถทอดอารมณ์ไปตามการเปลี่ยนผ่านของช่วงเวลาตามลำดับได้ว่าเราจบไปจากสถานศึกษาแห่งนี้เนิ่นนานเพียงใดแล้ว๑ 
       แต่การที่เรื่องราวผ่านไปเนิ่นนาน ก็ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องลืมเลือนเรื่องราวหรือความ รู้สึกนึกคิดอันเป็นผลโดยตรงของเรื่องนั้นเสมอไป ตรงกันข้ามภาพของเหตุการณ์ที่ประทับใจหรือกระทบใจซึ่งในที่นี้ก็ได้แก่ความรู้สึกต่อโรงเรียน เรื่องหลายเรื่องก็คล้ายว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ยังคงชัดเจนอยู่ในห้วงคำนึง การใช้โวหารภาพพจน์จำพวก การเปรียบต่าง (contrast)๒ ซึ่งหมายถึงการนำเอาจินตภาพ ข้อคิดเห็นที่ตรงข้ามหรือแตกต่างกันมาเข้าคู่กัน เพื่อให้ความที่ต้องการนำเสนอชัดเจนหรือเข้มข้นขึ้น ในวรรคที่สอง “โอ้ ต.อ. จ๋ารักยังแจ่มจ้าไม่เลือน”๒ จึงเป็นการสอดประสานที่แม้จะดูขัดแย้งแต่ก็กลมกลืนกับวรรคก่อนหน้าอย่างยิ่ง นอกจากนี้ การใช้คำว่า จ๋า ยังทำให้อารมณ์เพลงดูนุ่มนวล เหมือนการเรียกขานคนรัก ภาพพจน์เช่นนี้ไม่ได้เรียกว่า บุคคลวัต (personification) อันหมายถึงการสมมติให้สิ่งไม่มีชีวิตกระทำกริยาอย่างมนุษย์ หากมีนามบัญญัติในวงวรรณคดีศึกษาต่างหากออกไปว่า สมมุติภาวะ (apostrophe) คือการกระทำต่อสิ่งไม่มีชีวิตราวกะว่าเป็นมนุษย์ เช่นเรียกขานด้วยความผูกพัน ประชดประชันด้วยความขึ้งเคียด
       วรรคที่สามและสี่เป็นการให้ภาพและเสียงเพื่อขยายรายละเอียดของวรรคที่สองว่า ที่ไม่ลืมนั้น มีอะไรบ้างเป็นข้อเตือนตาตรึงใจ ก็ได้แก่บรรยากาศธรรมชาติภายในโรงเรียนที่ ตามเตือน เสียงอบรมของครูอาจารย์ และการสังสรรค์จำนรรจาในหมู่เพื่อนฝูงที่ยังคง แจ่มใจ 
       เรียงร้อยถ้อยบูชา สี่นามาอตีตาจารย์
       การปรากฏชื่อของผู้อำนวยการในอดีตถึง ๔ ท่านในเนื้อร้องนั้น นับว่าเป็นอีกจุดเด่นหนึ่งของเพลงปิ่นหทัย๓ ทั้งเป็นการยืนยันด้วยว่าเพลงนี้มีความกตัญญูเป็นแกนความคิดหลักที่สำคัญพอ ๆ กับความรักเทิดทูนต่อโรงเรียน 
       “สงวนบุญหนุนเลื่อน” ผู้ที่เคยศึกษาประวัติของโรงเรียนมาบ้าง ย่อมรู้ว่าเป็นการนำเอาชื่อของผู้อำนวยการคนที่ ๓ และ ๔ คือ ผ.อ.สงวน เล็กสกุล และ คุณหญิงบุญเลื่อน เครือตราชู มาใส่ไว้ในเนื้อเพลง ในบทต่อไป จะมีชื่อของผู้อำนวยการคนที่ ๒ คือ ผ.อ.สนั่น สุมิตร ในวรรคที่ว่า “ต.อ. ระบือลือสนั่นลั่นไกล” และในบทสุดท้ายรวมถึงชื่อเพลงก็จักปรากฏชื่อของ ฯพณฯ ศ. ม.ล.ปิ่น มาลากุล ในวรรคที่ว่า “รัก ต.อ. ประหนึ่งว่าปิ่นปักจุฑานั่นเอย” 


ยามเรียนลือยามเล่นเด่นชื่อ ต.อ. ระบือลือสนั่นลั่นไกล

คิดถึงพระคุณอาจารย์ยิ่งใด เป็นปิ่นหทัยให้ร่มเย็นใจเสมอมา


       วรรคแรกของบทที่สอง แม้ผู้แต่งจงใจใช้คำว่า ยาม เป็นโครงสร้างคู่ขนานเพื่อแสดงว่ากิจกรรมของนักเรียนเตรียมฯ ทั้งการเรียนและการเล่นนั้นโดดเด่นปานกัน แต่ก็ยังไม่เกิดเป็นจังหวะสมดุลได้ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ข้อด้อยรุนแรง เพราะจังหวะสมดุลนั้นเป็นลักษณะเด่นของฉันท์ยิ่งกว่าฉันทลักษณ์อื่น ๆ เช่นในภุชงคประยาตฉันท์บาทหนึ่งที่ว่า “ถลันจ้วงทะลวงจ้ำ บุรุษนำอนงค์หนุน” ส่วนวรรคที่สองเป็นการเน้นว่าชื่อเสียงของโรงเรียนโด่งดังเพียงไรด้วยการสรรคำพ้องมาเรียงติด ๆ กันถึงสี่คำคือ ระบือ, ลือ, สนั่น, ลั่น 
       เมื่อดำเนินความถึงวรรคที่สามและสี่ ผู้แต่งกำลังพาเราเข้าสู่จุดสูงสุดของบทเพลงในบทต่อไป เพราะเนื้อร้องก่อนช่วงนี้เป็นการเล่าถึงภาพของโรงเรียนในความทรงจำ ค่อย ๆ ปลุกกระตุ้นให้ความระลึกนึกถึงเข้มข้นขึ้นทุกขณะ แล้วพรั่งพรูออกมาเป็นถ้อยคำแสดงความรักอย่างเปี่ยมล้นในสองบทต่อไป จะเห็นได้ว่าผู้แต่งให้พื้นที่โดยตรงสำหรับพรรณนาความรักเทิดทูนล้วน ๆ ต่อโรงเรียนถึงครึ่งหนึ่งของเพลงทั้งหมดทีเดียว


              รัก ต.อ. ขอจงอยู่ยืนนาน      รักครูอาจารย์รักเพื่อนทั่วหน้า
              รักจริงรักจริงรักสิงวิญญาณ์       รัก ต.อ. ยิ่งชีวารักจนดินฟ้ามลาย
              รัก ต.อ. ขอจงอยู่ยืนนาน      รักครูอาจารย์รักเพื่อนทั่วหน้า
              รักจริงรักจริงรักสิงวิญญาณ์       รัก ต.อ. ประหนึ่งว่าปิ่นปักจุฑานั่นเอย  
         การซ้ำคำว่า รัก ถึง ๘ แห่งในบทที่ ๓ และ ๗ แห่งในบทที่ ๔ รวมกันถึง ๑๗ แห่งนับว่าเป็นการซ้ำคำที่มาก และกรณีเช่นนี้หาพบได้ค่อนข้างยาก เพราะโดยทั่วไปการซ้ำคำมากเกินไปในที่ใกล้ ๆ กันย่อมทำให้รสเฝือหรือหมดความสำคัญลงไป แต่ในกรณีนี้การซ้ำคำว่า รัก กลับทำให้รสแห่งความผูกพันทวีความเข้มข้นขึ้นจนถึงขีดสุด 
       อย่างไรก็ตาม แม้จะปรากฏการใช้โวหารภาพพจน์ในสองบทสุดท้าย แต่ความหลากหลายและแปลกใหม่ถือว่าเทียบกับบทแรกไม่ได้ “รัก ต.อ. ยิ่งชีวารักจนดินฟ้ามลาย” เป็นการเปรียบเกินจริงหรือที่เรียกว่า อติพจน์ (hyperbole) แต่ก็เรียกว่ากล่าวค่อนข้างตรง ไม่ต้องตีความมาก เมื่อเทียบกับฝีปากของนายนรินทรธิเบศร์ที่ว่า 
                       ตราบขุนคิริข้น                 ขาดสลาย ลงแม่
               รักบ่หายตราบหาย                     หกฟ้า
       “รัก ต.อ. ประหนึ่งว่าปิ่นปักจุฑานั่นเอย” จุฑา เป็นรูปสันสกฤตของคำว่า จุฬา ซึ่งมีความหมายตามอักษรว่า จุก โดยปริยายหมายถึงยอด ในภาษาไทยใช้เป็นส่วนต้นชื่อเฉพาะของสองสิ่งคือพระปรมาภิไธยในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในแง่ การเล่นคำ ผู้แต่งสามารถนำทั้งชื่อของผู้ก่อตั้งโรงเรียนและสถาบันที่เป็นต้นกำเนิดของโรงเรียนมาเข้าประโยคกันอย่างงดงามที่สุด เพราะได้ทั้งคำและความ ในแง่ อุปมา ก็เป็นการเทียบเคียงในทำนองเดียวกับ ปิ่นหทัย คือเทิดทูนโรงเรียนไว้เหนือเกล้าเอาเลย


       เมื่อรู้ตัวว่าสอบเข้าโรงเรียนเตรียมฯ ได้ ผู้เขียนปลื้มใจมาก จำได้ว่าฟังทำนองเพลงปิ่นหทัยจาก webboard ของโรงเรียนจนร้องได้ก่อนที่จะเข้าวันพัฒนาศักยภาพการดำรงตนเสียอีก ทั้ง ๆ ที่เพลงปิ่นหทัยนั้นแต่งโดยใช้ความรู้สึกของนักเรียนเก่าหรือคนเคยอยู่มาแต่ง นี่ย่อมแสดงว่า แม้การเริ่มต้นและการอำลา จะดูเหมือนว่าอยู่คนละเขตแดน แต่ก็ร้อยรัดไว้ด้วยสิ่งเดียวกันคือความผูกพันซึ่งถักทอขึ้นอย่างวิจิตรผ่านวรรณศิลป์ในบทเพลงที่ขนานนามว่า ปิ่นหทัย และความผูกพันที่ตราตรึงรึงใจนี้เองที่สร้างให้ ปิ่นหทัย อยู่ในสถานะพิเศษกว่าคีตการทั้งปวงอันเนื่องด้วย เตรียมอุดมฯ

เชิงอรรถ

๑ ควรทราบด้วยว่า คุณชอุ่ม ปัญจพรรค์ ประพันธ์เนื้อร้องเพลงนี้เมื่อตนจบจากโรงเรียนไปแล้วกว่าสิบปี ผู้เขียนเคยค้นคว้าช่วงเวลาของการแต่งเพลงนี้เอาไว้ และได้ข้อสรุปว่าน่าจะแต่งราว พ.ศ. ๒๔๙๖ เพราะคุณชอุ่มเล่าว่าแต่งในคราวงานเลี้ยงของ สนตอ. คือวันที่ ๘ สิงหาคม ของปีนั้น ฯพณฯ ศ. ม.ล.ปิ่น มาลากุล ยังได้แต่งโคลงสี่สุภาพเอาไว้เป็นอนุสรณ์ด้วยว่า

                            เหมือนเมื่อลูกกลับบ้าน               แม่ผวา
                  ลูกรักลูกกลับมา                                 สู่เหย้า
                  กิจธุระนานา                                       ทิ้งทอด หมดแฮ
                  ปลื้มจิตศิษย์เก่าเข้า                             เขตรั้วโรงเรียน

๒ การใช้คำว่า แจ่มจ้า กับภาพความทรงจำในอดีตนั้น ไม่ได้ปรากฏแต่ในงานเพลงชิ้นนี้เท่านั้น ผู้ที่คุ้นเคยกับ Yesterday Once More ของวง Carpenter คงจะจำช่วงสร้อยได้ว่า “Every sha-la-la-la, every wo-wo-wo still shines" ๓ ปีที่แต่งคือ พ.ศ. ๒๔๙๖ นั้น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเพิ่งจะมีผู้อำนวยการ ๓ ท่าน การที่มีชื่อคุณหญิงบุญเลื่อนปรากฏอยู่ในชื่อเพลง จึงไม่ใช่ความจงใจที่จะให้ชื่ออาจารย์ในเพลงเป็นชื่อผู้อำนวยการทั้งหมด หากเพราะว่าทั้งสี่ท่านนี้ ล้วนเคยเป็นอาจารย์ของคุณชอุ่มมาก่อนทั้งสิ้น และด้วยเหตุผลนี้ ในเพลงย่อมไม่อาจมีชื่อของผู้อำนวยการท่านต่อไปคือคุณหญิงสุชาดา ถิระวัฒน์ ได้ เพราะคุณชอุ่มและคุณหญิงสุชาดานั้นเป็นนักเรียนเตรียมฯ รุ่น ๑ มาด้วยกัน คือเป็นเพื่อนกันนั่นเอง