Absorptive Capacity

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

Absorptive Capacity ต้องการแหล่งอ้างอิงที่มา (แตกต่างจาก "แหล่งข้อมูลอื่น" ที่ใช้ในการขยายความ) เพิ่มเติมเพื่อให้บทความมีความน่าเชื่อถือและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
คุณสามารถช่วยพัฒนาวิกิพีเดีย โดยเพิ่มแหล่งอ้างอิงที่เหมาะสม - การอ้างอิงแหล่งที่มา วิธีการเขียน บทความคัดสรร และ นโยบายวิกิพีเดีย
บทความนี้ต้องการเก็บกวาด ตรวจสอบ ปรับปรุง แก้ไขรูปแบบ เพิ่มแหล่งอ้างอิง ใส่หมวดหมู่ หรือภาษาที่ใช้
ส่วนใดส่วนหนึ่งหรือในหลายส่วนด้วยกัน
คุณสามารถช่วยตรวจสอบ และแก้ไขบทความนี้ได้ด้วยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน
กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไข
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ วิธีแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือการเขียน และ นโยบายวิกิพีเดีย ซึ่งสามารถดูตัวอย่างบทความได้ที่ บทความคุณภาพ และเมื่อแก้ไขตามนโยบายแล้ว สามารถนำป้ายนี้ออกได้
บทความนี้ต้องการ จัดรูปแบบ จัดหน้า แบ่งหัวข้อ จัดลิงก์ภายใน
คุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้! โดยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน จากนั้นจัดหน้าให้เหมาะสม แบ่งหัวข้อ ทำลิงก์ภายในสำหรับคำสำคัญ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การแก้ไขหน้า การแก้ไขหน้าพื้นฐาน บทความคัดสรร และ นโยบายวิกิพีเดีย
Absorptive Capacity ยังไม่ได้รับการจัดหมวดหมู่
คุณช่วยเราได้ด้วยการใส่หมวดหมู่ที่เหมาะสมสำหรับบทความนี้ ดูเพิ่มที่ การจัดหมวดหมู่ โครงการจัดหมวดหมู่

ทฤษฎี Absorptive Capacity Theory of Absorptive Capacity

ความหมายของ (Absorptive Capacity)

คือ ความสามารถในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือกล่าวได้ว่า คือ ความสามารถในการดูดซับทรัพยากร เพื่อจะเพียงพอในการรองรับและบริหารงบประมาณที่เพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกันด้วย

โดยที่จำเป็นต้องวางระบบงบประมาณกับการวางแผน โดยแบ่งได้เป็น 2 ประเภทด้วยกัน 1. ระบบงบประมาณทั้งแบบมุ่งเน้นผลงาน (Performance Based Budgeting) 2. งบประมาณแบบแผนงาน (Planning Programming Budgeting System) โดยที่ทั้งสองส่วนจำเป็นจะต้องสอดคล้องกับแผนงานและโครงการนั่นคือ "แผนงานจะเป็นตัวกำหนดงบประมาณ"

โดยเมื่อเรามองในมุมมองทางด้านระบบสารสนเทศแล้วนั้นจะสามารถเข้าใจได้ว่า คือ งานถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยที่เป็นงานที่สนับสนุนเพื่อก่อให้เกิดนวัตกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

การดำเนินงานทางด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการบริการเป็นการทำให้ผลงานต่างๆ ที่ได้รับจากการวิจัยและ พัฒนา สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล ตลอดจนสามารถตอบสนองได้ตรงตาม วัตถุประสงค์ของการทำการวิจัยและพัฒนานั้นๆ (หรือนั่นก็คือ R&D Research and Development) โดยที่เราจำเป็นต้องสร้างและพัฒนากลไกตลอดจน กระบวนการต่างๆที่จะช่วยผลักดันให้มีการนำเอาผลงานที่ได้รับจากการวิจัย พัฒนา และวิศวกรรม ออกไปสู่ผู้ใช้ได้อย่างกว้างขวางมากที่สุดเพื่อสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น เราจำเป็นต้องมีนโยบายความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการให้บริการ รวมทั้งดำเนินการศึกษาความต้องการของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดทำมาตรการ ในการกำหนดแนวทางการสนับสนุนและดำเนินการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ECTI ให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อผลประโยชน์แก่กลุ่มธุรกิจของเรานั่นเอง


กรณีศึกษา (Case Study) โดยเพื่อให้เข้าใจในหลักการศึกษาของ(Absorptive Capacity) ให้มากขึ้นและง่ายนั้นขอยกตัวอย่าง จากการสำรวจความเห็นของผู้บริหารและบุคลากรในบริษัทข้ามชาติในอุตสาหกรรม 5 ประเภทคือ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (145 บริษัท) อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม (69 บริษัท) อุตสาหกรรม ยานยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ (64 บริษัท) อุตสาหกรรมวัสดุสาร (51 บริษัท) และอุตสาหกรรมยาและเคมีภัณฑ์ (49 บริษัท)

จำนวนรวม 75 บริษัท จำแนกเป็นกลุ่มตัวอย่างผู้บริหาร 378 คน และกลุ่มตัวอย่างบุคลากร 713 คน และทำ การวิเคราะห์โดยใช้ Multivariate Analysis พบว่า จากการวิเคราะห์โมเดลความ สัมพันธ์โครงสร้าง เชิงเส้นของ ประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นจากวิธีการและความสามารถในการรับเทคโนโลยีนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญ คือ ความสามารถ ขององค์การในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการผลิต วิธีการรับการ ถ่ายทอด ด้านเทคโนโลยีโดยการเรียนรู้ โดยการฝึกอบรม ระบบการบริหารงานบุคคลของบริษัทข้ามชาติในไทย และนโยบายของบริษัทแม่  

ผลงานวิจัยนี้ยืนยันว่า ความสามารถในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีของบริษัทข้ามชาติในทั้ง 5 อุตสาหกรรมนั้น วิธีการถ่ายทอดเทคโนโลยีส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของการฝึกอบรม ซึ่งปัญหาอุปสรรคในการถ่ายทอดเทคโนโลยีนั้นจะมาจากเรื่อง ภาษา ค่าใช้จ่าย ระบบการติดตามประเมินผล และการถ่ายทอด ฯลฯ เฉพาะบางระดับ ในขณะที่ปัญหาอุปสรรคจากฝ่ายต่างประเทศนั้น เกิดขึ้นจากความสามารถในการสื่อสารและนโยบาย ของบริษัทแม่ ซึ่งอุปสรรคร่วมกันในระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย อยู่ที่ความแตกต่างของปรัชญาการบริหาร อย่างไรก็ ตามพบว่า การถ่ายทอดเทคโนโลยีส่วนใหญ่นั้นให้ความสำคัญในเรื่องการปรับปรุงคุณภาพ ปรับปรุงกระบวนการผลิต และ สร้าง มาตรฐานในการทำงาน เพื่อก่อให้เกิดการลดต้นทุน

ดังนั้นนักวิเคราะห์ระบบที่ดีควรจะต้องศึกษาและรับทราบถึงความจำเป็นดังนี้ 1. การพัฒนาบุคลากร 2. ปรับปรุงหลักสูตร 3. ระบบการศึกษา


การวิจัยและพัฒนา (R&D Research and Development) การวิจัยและการพัฒนานั้นถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของสามารถในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือกล่าวได้ว่า การฝึกอบรม ช่วยให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและมีความกระตือรือร้นในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยการรับ การถ่ายทอดเทคโนโลยี นั้นทำให้มีความสามารถในการดำเนินงานมากขึ้น โดยที่บุคลากรชายมีศักยภาพในการรับ การถ่ายทอดเทคโนโลยี มากกว่าบุคลากรหญิง และบุคลากรที่มีอายุมากกว่า 30 ปี มีทัศนะที่ กระตือรือร้นในการรับ การถ่ายทอด เทคโนโลยี มากกว่า บุคลากรที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี โดยที่บุคลากรที่มีอายุการทำงานมานานกว่า 5 ปี เห็นว่าบริษัท มีความสามารถ ในการรับ การถ่ายทอดเทคโนโลยีโดยภาพรวมสูงกว่า ความเห็นของบุคลากร ที่มีอายุ การทำงานน้อยกว่า 5 ปีในประเด็น ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าในสถานภาพปัจจุบันบุคลากรชายที่ทำงานอยู่กับบริษัท นานกว่า น่าจะมีความจงรักภักดีต่อ บริษัท สูงกว่าบุคลากร ที่เพิ่งเข้ามาทำงาน ดังนั้น การที่บริษัทจะส่งเสริมให้เกิด การเปลี่ยนแปลง ในบุคลากรที่เริ่มเข้ามา ทำ งานให้มีประสิทธิภาพ ในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้สูงนั้น บริษัทอาจจำเป็น ดำเนินมาตรการ ในการเร่งรัด ให้เกิด การปรับตัวสำหรับ บุคลากร ให้มีความรู้สึก ทัศนคติ และความเข้าใจใน บริษัทเร็วขึ้นกว่าเดิม โดยใช้เทคนิค ของการ บริหารงานบุคคล เช่น การปฐมนิเทศ ระบบพี่เลี้ยง และกิจกรรมสัมพันธ์ต่าง ๆ จะมีส่วนสนับสนุน ให้เกิด การปรับ ตัวได้ รวดเร็วขึ้น นอกจากนั้น บริษัทอาจจำเป็นต้อง มีแนวคิด การพัฒนา การหมุน เวียนเปลี่ยนงาน (Job Rotation) และการกำหนด Job Career ประกอบผลจาก การวิเคราะห์อิทธิพล โมเดลความสัมพันธ์ โครงสร้าง เชิงเส้นของประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นจาก วิธีการ และความ สามารถในการรับ การถ่ายทอด เทคโนโลยี เห็นว่า ประสิทธิภาพ ของการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีนั้นขึ้นอยู่กับ ประการแรก ความสามารถ ในการรับการ ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการ บริหารการผลิต ประการที่สอง วิธีการรับการ ถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยการฝึกอบรม ประการที่สาม ระบบการบริหาร งานบุคคล บริษัทข้ามชาติในไทย ประการที่สี่ นโยบายของบริษัทแม่

          ในการศึกษาครั้งนี้ยืนยันว่า ความสามารถในการรับและ พัฒนาเทคโนโลยีนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย ขององค์การเกี่ยวกับ ความสามารถ ในระดับองค์การในการ ที่จะสร้าง ทักษะของ ทรัพยากรมนุษย์โดย การฝึกอบรม และจัดระบบการบริหารงาน บุคคล ให้มี ประสิทธิภาพ อย่างไร ก็ตามก็ขึ้นอยู่กับการ ได้รับการสนับสนุน จากบริษัทแม่ด้วย

ดังนั้นในการที่จะยกระดับความสามารถในการรับและสั่งสมองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ควรจะตระหนักถึงการสร้างความสามารถในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีขององค์การ ซึ่งเป็น กระบวนการการเรียนรู้ พร้อมทั้งปรับปรุงโครงสร้างภายในองค์การให้มีระบบการบริหารงานบุคคลที่เอื้ออำนวย และ ส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี นอกจากนั้นยังมีประเด็นที่สำคัญในแง่แนวคิดใน การบริหาร เทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ ซึ่งการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาเทคโนโลยีในปัจจุบัน ของบริษัทข้ามชาตินั้น ส่วนใหญ่ยังไม่ได้มีการจัดการการบริหารเทคโนโลยีอย่างจริงจังอยู่ในระดับ ของการพัฒนาบุคลากร ให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น

   จากการศึกษาครั้งนี้ยืนยันประเด็นที่สำคัญเกี่ยวกับความสามารถในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Absorptive Capacity) การสร้างการสื่อสารภายในองค์การเกี่ยวกับเทคโนโลยีให้โปร่งใสและทั่วถึง (Intra-organizational Diffusion of Information) และกระบวนการการเรียนรู้ในองค์การ (Learning Process)
  ในปัจจุบันแนวความคิดในการถ่ายทอดและพัฒนาเทคโนโลยีเป็นประเด็นสำคัญในการสร้างความสามารถใน 

การแข่งขันขององค์การ เพื่อสนับสนุนให้ระบบการถ่ายทอดเทคโนโลยีนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีระบบ การฝึกอบรม ซึ่งเป็นการเรียนรู้อย่างตั้งใจ (Purposive Learning) และทีมงานซึ่งได้รับการฝึกฝนอย่างดี ในเรื่อง การรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และหน่วยงานที่ปรึกษาที่สนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีจะมีบทบาท ที่สำคัญใน การรับและพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งมิติที่สำคัญของการถ่ายทอดเทคโนโลยีนั้นอยู่ที่ ทรัพยากรมนุษย์ การที่บริษัทได้มีการ สนับสนุน ทรัพยากรมนุษย์ที่มีความรู้ความสามารถ และมีความกระตือรือร้น ในการที่จะพัฒนาเทคโนโลยี เป็นหัวใจสำคัญ ของการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยทั่วไปมักจะ พบว่า ช่องว่างระหว่างผู้รับเทคโนโลยีกับผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งการลดช่องว่างดังกล่าวจำเป็นต้องมีการ ส่งเสริมพัฒนากระบวนการในการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งจะต้อง ส่งเสริมให้บุคลากร มีความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ในเชิงเทคนิค (Technology Literacy)

สรุป ทฤษฎี Absorptive Capacityความสามารถในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี

   จำเป็นต้องมีแรงงานที่มี  ทักษะ 

• การเสริมสร้างศักยภาพทางเทคโนโลยีในระดับกิจการ • การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาสินค้า

      ต้อง  ให้ความสำคัญกับทรัพย์สินทางปัญญา

• การดำเนินการในเรื่อง • ความร่วมมือในการพัฒนา R&D • การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์


โครง Absorptive Capacity เป็นบทความที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหา หรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น
ข้อมูลเกี่ยวกับ Absorptive Capacity ในภาษาอื่น อาจสามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ด้านซ้ายมือ
ภาษาอื่น