เอเค 47
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ภาพ:0502.jpg ปืน AK-47 รุ่นแรก ผลิตในปีค.ศ. 1947 |
|
Automatic Kalashnikov Model of 1947 หรือ AK-47 | |
---|---|
ชนิด | ปืนเล็กยาวจู่โจม |
สัญชาติ | สหภาพโซเวียต |
สมัย | สงครามเกาหลี-ปัจจุบัน |
การใช้งาน | อาวุธประจำกาย |
เป้าหมาย | บุคคล |
เริ่มใช้ | ค.ศ. 1947 |
ช่วงผลิต | ค.ศ. 1947-ปัจจุบัน |
ช่วงการใช้งาน | ค.ศ. 1949 - ปัจจุบัน |
ผู้ปฏิบัติการ | Mikhail T.Kalashnikov |
สงคราม | สงครามเกาหลี,สงครามเวียดนาม, สงครามอ่าวเปอร์เซีย, สงครามอิรัก |
ชนิด | ปืนเล็กยาวจู่โจม |
ขนาดลำกล้อง | 7.62 มิลลิเมตร (.30 Russian) |
ความยาวลำกล้อง | 415 มิลลิเมตร |
กระสุน | 7.62 x 39 mm. รุ่น M43 |
แมกกาซีน | แบบ detachable box ความจุ 30 นัดและ 40 นัดสำหรับปืน RPK และแบบ Drum 75 นัด |
การทำงาน | Gas-operated , rotating bolt (ระบบขับดันด้วยก๊าซ หน้าลูกเลื่อนหมุน) |
อัตราการยิง | 600 นัด/นาที |
ความเร็วปากลำกล้อง | 710 m/s, 884 m/s |
ระยะหวังผล | 300 เมตร |
น้ำหนัก | 4.3 กิโลกรัม |
ความยาว | 870 มิลลิเมตร |
แบบอื่น | AK-47, AKS, AKM, AKMS, AK-74, AK-101, AK-102, AK-103, AK-107, AK-108 |
จำนวนที่ผลิต | มากกว่า 100 ล้านกระบอก[1] |
เอเค 47 (AK-47) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "อาก้า" นั้น เป็นคำย่อมาจากภาษารัสเซีย "Автомат Калашникова образца 1947 года" (อัฟโตมัท คาลาชนิโควา 1947 โกดาก) หรือชื่อในภาษาอังกฤษคือ "Automatic Kalashnikov Model of 1947 gun" เป็นปืนเล็กยาวจู่โจม ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ Gas-operated ซึ่งออกแบบโดย Mikhail Kalashnikov และมีการผลิตออกมาโดยกลุ่มบริษัท IZHMASH หรือ Izhevsk Machinebuilding Plant ผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ของประเทศรัสเซียซึ่งได้รับสิทธิบัตรในการผลิตปืนรุ่นนี้จากเขาแต่เพียงผู้เดียวในปีค.ศ. 1946 และเข้าประจำการในกองทัพโซเวียตในปีค.ศ. 1949 โดยมีการใช้ในอย่างแพร่หลายในหลายประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็นซึ่งปืน AK-47 ได้เข้าไปมีบทบาทเป็นอย่างมากในสมรภูมิรบหลายแห่งในช่วงนั้น โดยปรากฏตัวครั้งแรกในสงครามเกาหลีซึ่งเป็นการประเดิมใช้งานและถูกกล่าวขวัญถึงประสิทธิภาพของปืนไรเฟิลอัตโนมัติรุ่นนี้ที่สามารถทำอะไรได้หลายอย่างมากกว่าปืนไรเฟิลอัตโนมัติ M14 และปืนAR-15 ของฝ่ายโลกเสรีในขณะนั้น
[แก้] ประวัติความเป็นมาของปืน AK-47
ปืน AK-47 ได้รับการออกแบบครั้งแรกในปีค.ศ. 1941 และพัฒนาจนเป็นรูปแบบมาตรฐานในปี ค.ศ. 1947 โดยได้รับต้นแบบและแรงบันดาลใจมาจากปืนไรเฟิลจู่โจมอัตโนมัติ MP44 หรือปืน STG44 (STG44 : Sturmgewehr Model of 1944) ซึ่งเป็นปืนไรเฟิลจู่โจมประจำกายของกองทัพนาซีเยอรมันที่ใช้ในช่วงสมรภูมิเลือด ณ เมืองสตาลินกราด หรือเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (St.Petersburg) ในปัจจุบันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งถือเป็นปืนไรเฟิลอัตโนมัติที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้นเมื่อเทียบกับปืนไรเฟิลอัตโนมัติของชาติอื่นๆในช่วงเดียวกัน และตัวเขาเองก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บด้วยปืนชนิดนี้ด้วย ซึ่งเขาก็เห็นว่าไม่ยุติธรรมเลยที่กองทัพนาซีเยอรมันได้ใช้อาวุธปืนอัตโนมัติอันทันสมัยมากมายหลายรุ่น ตั้งแต่ปืนไรเฟิลแบบลูกเลื่อนบริหารมือ (Bolt Action) Kar98k ปืนกลมือ MP40 ปืนไรเฟิลจู่โจมอัตโนมัติ MP44 ปืนกลเบา MG34 และปืนกลเบา MG42 รวมทั้งรถถังยานเกราะอีกมากมาย ในขณะที่กองทัพโซเวียตกลับมีเพียงปืนไรเฟิลแบบลูกเลื่อน Mosin-Nagant อันคร่ำครึมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ SVT-40 กับปืนกลมือ PPSch-41 เท่านั้น ส่วนปืนกลระดับหมู่ก็มีเพียงปืนกล Degtyarev-Pekhotny 28เท่านั้น โดยรถถังยานเกราะกับยุทโธปกรณ์ต่างๆของกองทัพโซเวียตในขณะนั้น ถ้าไม่เป็นของเก่าตกค้างมาจากสงครามโลกครั้งที่แล้วส่วนมากก็อยู่ในสภาพเก่าและไม่พร้อมใช้เนื่องจากขาดแคลนงบประมาณซ่อมแซม

ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรต่างได้ยึดอาวุธและเทคโนโลยีของกองทัพนาซีเยอรมันไปใช้ในการผลิตอาวุธของตน โดย Mikhail Kalashnikov เองก็ได้นำรูปทรงและระบบกลไกของปืนไรเฟิลอัตโนมัติ MP44 ปืน SVT-38/SVT-40 รวมทั้งกระสุนขนาด 7.62x54 mm. R และขนาด7.92x33 mm. Kurz มาเป็นต้นแบบในการพัฒนา โดยได้มีการออกแบบและพัฒนาในเรื่องของกระสุนก่อน ซึ่งกระสุนมาตรฐานของกองทัพโซเวียตในขณะนั้นคือกระสุนขนาด 7.62x54 mm. R ซึ่งประจำการมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1891 โดยได้พัฒนาออกมาเป็นกระสุนขนาด 7.62x41 mm. M1943 และมีการพัฒนาปืนไรเฟิลอัตโนมัติขึ้นมาใช้กับกระสุนขนาดนี้ด้วยคือปืน AK-46 ซึ่งยังมีรูปทรงคล้ายกับปืน MP44 อยู่มาก แต่เนื่องจากประสิทธิภาพของปืนและกระสุนไม่ดีเท่าที่ควรนักจึงได้มีการปรับปรุงปืนและกระสุนใหม่อีกครั้ง โดยมีการปรับปรุงกระสุนก่อนจนเป็นกระสุนขนาด 7.62x39 mm. M43 ซึ่งได้นำมาใช้ครั้งแรกกับปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ SKS (SKS : Samozaryadnyj Karabin Simonova) หรือปืนเซกาเซ่ซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก่อน พร้อมทั้งนำปืนไรเฟิลอัตโนมัติ AK-46 มาปรับปรุงระบบกลไกและรูปทรงอีกครั้ง โดยได้เอารูปทรงของปืน SKS เข้ามาร่วมในการออกแบบด้วยจนออกมาเป็นปืน AK-47 ที่มีรูปทรงอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
[แก้] คุณสมบัติของปืน AK-47
ปืน AK-47 เองเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นปืนที่มีน้ำหนักเบาพอสมควร มีขนาดสั้นกะทัดรัดและมีขนาดกระสุนที่เหมาะสม สามารถเลือกทำการยิงได้ 3 โหมดคือ Safe > Full Auto > Burst และเป็นปืนที่สามารถถอดล้างได้ง่ายมาก นับเป็นปืนเล็กยาวจู่โจมแบบหนึ่งที่ยังมีการใช้อย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยมีการผลิตปืน AK-47 และปืนรูปแบบอื่นๆที่พัฒนาโดยใช้ปืน AK-47 เป็นต้นแบบเป็นจำนวนมากกว่าปืนเล็กยาวจู่โจมชนิดอื่นๆ และยังคงมีการผลิตและใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาในปีค.ศ. 1959 ก็ได้มีการนำปืน AK-47 มาทำการแก้ไขปรับปรุงระบบกลไกและวิธีการผลิตต่างๆให้ดีขึ้นและเรียกในชื่อใหม่ว่า AKM (AKM : Avtomat Kalashnikova Modernizirovannyj หรือ Kalashnikov Automatic rifle, Modified) ซึ่งปืนรุ่นนี้จะมีการปั้มขึ้นรูปโครงปืนด้วยเครื่องจักรและมีการทำรหัสของรุ่นด้วยการดุนแผ่นเหล็กโครงปืนให้เป็นเพียงช่องเล็กๆรวมทั้งมีการดัดแปลงปากลำกล้องให้เป็นรูปปากฉลามเพื่อไม่ให้ปืนงัดขึ้นเวลาทำการยิง ซึ่งผิดกับกระบวนการผลิตของปืน AK-47 ที่มีการผลิตด้วยการนำแผ่นเหล็กมาเซาะร่องและปั้มดุนโครงปืนเข้าไปเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่เหนือช่องใส่ซองกระสุน และปากลำกล้องตัดตรงทำให้เวลายิงด้วยระบบอัตโนมัติปืนจะสะบัดเป็นอย่างมาก
ต่อมาในปีค.ศ. 1974 กองทัพโซเวียตก็ได้มีการนำปืน AK-47 และปืน AKM มาทำการปรับปรุงและพัฒนาอีกครั้งจนเป็นปืน AK-74 และนำมาใช้กับกระสุนขนาด 5.45x39 mm. รุ่น M74 หรือ 5N7 ซึ่งได้รับพัฒนาและปรับปรุงมาจากกระสุนขนาด 5.56x45 mm. NATO ของกองทัพสหรัฐอเมริกาและกองกำลัง NATO สามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมได้ เช่น ปืนยิงลูกระเบิดขนาด 40 มม.แบบติดตั้งใต้ลำกล้อง (Underbarrel Grenade Launcher) รุ่น GP-25 ดาบปลายปืน (Bayonet) ฯลฯ เป็นต้น
![]() |
เอเค 47 เป็นบทความเกี่ยวกับ ทหาร การทหาร หรืออาวุธ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหา หรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น ข้อมูลเกี่ยวกับ เอเค 47 ในภาษาอื่น อาจสามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ด้านซ้ายมือ |