การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment -EIA) หมายถึงการประเมินผลกระทบของสิ่งแวดล้อมที่จะมีต่อสุขภาพหรือความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อม ประเมินความเสี่ยงที่จะมีผลต่อสภาพความสมบูรณ์ของระบบนิเวศและการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต่อธรรมชาติจากโครงการที่จะดำเนินการ วัตถุประสงค์ของการประเมินก็เพื่อให้เป็นการประกันได้ว่าผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจได้พิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบของโครงการพัฒนาที่จะมีต่อสิ่งแวดล้อมก่อนทำการอนุมัติให้ดำเนินโครงการที่มีผู้ขออนุญาตดำเนินการ


สารบัญ

[แก้] ภาพรวม

สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ (US Environmental Protection Agency -EPA) เป็นผู้บุกเบิกในด้านนี้โดยใช้วิธี “วิเคราะห์เส้นทาง” (pathway analysis) เพื่อพิจารณาว่าโครงการจะกระทบต่อองค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งแวดล้อมและดูว่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์อย่างไร เทคโนโลยีที่ใช้สำหรับวิเคราะห์ตามวิธีดังกล่าวเรียกอย่างถูกต้องว่า “วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม” หลักการของปรากฏการณ์หรือเส้นทางของผลกระทบดังกล่าวได้แก่: การประเมินผลกระทบที่มีต่อการแปดเปื้อนของดิน มลภาวะของอากาศ สุขภาพจากเสียงดังหนวกหู การประเมินผลกระทบต่อระบบนิเวศ ต่อสิ่งมีชีวิตชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์ การประเมินผลกระทบต่อความเสี่ยงทางธรณีวิทยา และการประเมินผลกระทบมลภาวะของน้ำ นิยามของการวิเคราะห์เชิงเส้นทางและระดับขั้นของธรรมชาติที่นำมาใช้ในวิธีการดังกล่าวนี้ได้พัฒนาเป็นพื้นฐานของมาตรฐานของประเภทสิ่งแวดล้อมที่ใช้ในระดับโลก คือ ISO 14000 ซึ่งเป็นอนุกรมมาตรฐานด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรฐานชุดบัญชี ISO 19011 แต่มาตรฐานชุด ISO ดังกล่าวไม่นิยมใช้ในสหรัฐฯและในอีกหลายประเทศ

หลังการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว อาจมีการประยุกต์ใช้ “หลักการระแวดระวัง” (Precautionary Principle) และ “ผู้สร้างมลภาวะเป็นผู้จ่าย” (Polluter pays) เพื่อเป็นการป้องกัน จำกัด หรือบังคับให้มีการรับผิดตามกฎหมาย หรือให้จ่ายค่าเสียหายที่เกิดกับสภาพแวดล้อมมากน้อยตามผลกระทบที่จะตามมา

การวิเคราะห์ผลกระทบของสิ่งแวดล้อมนี้มักถูกต่อต้านหรือก่อให้เกิดปัญหาโต้เถียงกันขึ้นเสมอ การวิเคราะห์ผลกระทบที่ต้องมีควบคู่กันจึงเกิดขึ้นเรียกว่า “การวิเคราะห์ผลกระทบทางสังคม” (Social impact assessment) การวิเคราะห์ผลกระทบต่อธุรกิจเรีกยกว่า “การวิเคราะห์บริบท” (Context analysis) ผลกระทบด้านการออกแบบจะทำการวิเคราะห์ด้วยเชิงของ “ทฤษฎีบริบท” (Context theory)


[แก้] การประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศต่างๆ ในโลก

[แก้] สหภาพยุโรป

แนวทางการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโครงการต่างๆ ที่อาจมีผลต่อสิ่งแวดล้อมของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปเริ่มเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2528 และปรับปรุงแก้ไขเมื่อ พ.ศ. 2540 แนวทางดังกล่าวได้รับการแก้ไขอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ. 2546 สืบเนื่องจากการลงนามโดยกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรปในคราวชุมนุมทางวิชาการที่อาร์ฮัส (Aarhus Convention) ว่าด้วยการมีส่วนร่วมของสาธารณชนในด้านสิ่งแวดล้อม ประเด็นปัญหาได้รับการขยายขอบเขตไปถึงการประเมินแผนและโปรแกรมด้วย "แนวทางเอสอีเอ" (SEA-Directive) เมื่อ พ.ศ. 2544 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันและได้กำหนดแนวทางการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เป็นแบบผสม คือมีทั้งภาคบังคับและภาคตามควร

ภายใต้แนวทางของสหภาพฯ การประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะต้องจัดทำการประเมินตามข้อกำหนดซึ่งประกอบด้วยกลุ่มหลักที่จะต้องเน้น 7 กลุ่มประกอบด้วย

1. รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ

  • รายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงของโครงการและที่ตั้ง
  • การแบ่งย่อยส่วนประกอบของโครงการออกเป็นส่วนหลักๆ เช่น การก่อสร้าง การดำเนินการ การหยุดการดำเนินการ
  • ในแต่ละองค์ประกอบให้แจงแหล่งที่จะรบกวนหรือกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  • ในแต่ละองค์ประกอบจะต้องแจงถึงสิ่งป้อนเข้าและผลปล่อยออก เช่น ขยะ ของเสีย

2. ทางเลือกที่ได้รับการพิจารณาแล้ว

  • ตรวจสอบทางเลือกที่ได้รับการพิจารณาแล้ว
  • เช่น -ในโรงผลิตไฟฟ้าแบบชีวมวลที่พิจารณาจะให้เป็นแหล่งพลังงานแก่ท้องถิ่นหรือแก่ระดับชาติ

3. รายละเอียดของสิ่งแวดล้อม

  • แจงรายละเอียดทุกแง่มุมของสิ่งแวดล้อมที่อาจได้รับผลกระทบการโครงการพัฒนานี้
  • เช่น –ประชากร สัตว์และพืช อากาศ ดิน น้ำ มนุษย์ ภูมิทัศน์ มรดกทางวัฒนธรรม
  • รายละเอียดในหมวดนี้ควรให้ผู้เชี่ยวชาญในท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด เช่น “อาร์เอสพีบี” ในสหราชอาณาจักร

4. รายละเอียดผลกระทบสำคัญที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อม

  • คำว่า “สำคัญ” ในที่นี้มีความสำคัญมาก เนื่องจากระดับการให้ความสำคัญมีความผันแปรได้มาก
  • จะต้องมีการให้นิยามของคำว่า “สำคัญ”
  • วิธีการที่ใช้บ่อยมากในเรื่องนี้คือ “แม่แบบลีโอโปลด์” หรือ ลีโอโปลด์เมทริกซ์ (Leopold matrix)
  • แม่แบบนี้คือเครื่องมือที่นำมาใช้ในการตรวจสอบอย่างเป็นระบบในศักยภาพของปฏิสัมพันธ์
  • เช่น –ในการสร้างลานกลุ่มกังหันลม (windfarm) ผลกระทบที่สำคัญอาจได้แก่การประทะกับฝูงนก

5. การบันเทาผลกระทบ

  • นี่คือส่วนที่เป็นประโยชน์ที่สุดของการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  • เมื่อทำหมวด 4 แล้วเสร็จก็จะเห็นได้ว่าผลกระทบที่รุนแรงที่สุดจะเกิดในส่วนใด
  • ใช้ข้อมูลที่ได้ในส่วนนี้มาพัฒนาวิธีหลีกเลี่ยงหรือลดผลกระทบ
  • ทำเรื่องในหมวดนี้ร่วมกับเจ้าของโครงการเนื่องจากเป็นผู้รู้รายละเอียดของโครงการมากที่สุด
  • ใช้ตัวอย่างการสร้างลานกลุ่มกังหันลม อาจได้แก่การพักการใช้กังหันลมในฤดูผสมพันธุ์ของนก

6. การสรุปด้านที่ไม่ใช่เทคนิค

  • การประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะถือเป็นเรื่องสาธารณะและจะต้องนำมาใช้ในกระบวนการตัดสินใจ
  • การเปิดเผยและแจกจ่ายข้อมูลต่อสาธารณชนถือเป็นสิ่งสำคัญ
  • เนื้อหาในหมวดนี้เป็นการสรุปที่ไม่ต้องใช้ศัพท์เฉพาะทางเทคนิคหรือการแสดงแผนภูมิที่ซับซ้อน
  • ควรให้ประชาชนทั่วไปที่จำเป็นต้องรับทราบเข้าใจได้ง่าย

7. การขาดความรู้ความชำนาญ / ความยุ่งยากทางเทคนิค*หมวดนี้มีไว้สำหรับให้ข้อแนะนำส่วนที่ยังอ่อนในด้านความรู้

  • สามารถนำไปใช้กำหนดเน้นเรื่องที่ควรทำการวิจัยในอนาคต
  • เจ้าของโครงการบางรายเห็นว่าการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนี้เป็นพื้นฐานขั้นต้นที่ดีสำหรับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการที่ตนต้องทำในขั้นตอนต่อไป


[แก้] นิวซีแลนด์

ในประเทศนิวซีแลนด์ ปกติการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะหมายถึง “การประเมินผลที่ตามมาที่มีต่อสิ่งแวดล้อม” (Assessment of Environmental Effects -AEE) การใช้การประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมครั้งแรก เริ่มจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ พ.ศ. 2517 โดยเรียกว่า “การปกป้องสิ่งแวดล้อมและขั้นตอนในการปรุบปรุง” (Environmental Protection and Enhancement Procedures) การนี้ไม่ได้ใช้บังคับเป็นกฎหมายแต่ใช้เฉพาะในหน่วยงานของรัฐ แต่เมื่อมีการประกาศใช้ “พระราชบัญญัติการจัดการทรัพยากร” (Resource Management Act) เมื่อ พ.ศ. 2534 การประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมกลายเป็นข้อบังคับให้เป็นส่วนหนึ่งของการขออนุญาตดำเนินการด้านทรัพยากร โดยตราไว้โดยชัดเจนในมาตรา 88


[แก้] สหรัฐอเมริกา

ภายในกฎหมายสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐฯ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม บ่งถึงด้วยวลีว่า “ข้อแถลงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม” (Environmental Impact Statement -EIS) ซึ่งมีต้นตอมาจากกฎหมายนโยบายสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (National Environmental Policy Act -NEPA) ที่ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 2512 การปฏิบัติการของหน่วยงานกลางบางหน่วยจึงยังต้องเป็นไปตามกฎหมายฉบับนี้อยู่ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ากฎหมายเดิมไม่ห้ามหน่วยงานกลางของสหรัฐหรือผู้รับสัมปทานจากรัฐบาลกลางให้ทำสิ่งที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ และไม่มีบทลงโทษสำหรับ ”ข้อแถลงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม” ที่นำส่ง กฎหมายนโยบายสิ่งแวดล้อมแห่งชาติต้องการเพียงให้ข้อแถลงที่พอรับฟังได้ว่าจะมีผลกระทบนั้นได้รับการเปิดเผยล่วงหน้า ซึ่งเป็นข้อบังคับเพียงประการเดียว

ตามปกติ หน่วยงานจะแจกจ่าย “ร่างข้อแถลงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม” (DEIS) เพื่อให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ ผู้สนใจและสาธารณชนจะมีโอกาสแสดงความคิดเห็นต่อร่าง จากนั้น หน่วยงานก็จะรับรองผลเป็น “ข้อแถลงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมขั้นสุดท้าย” (FEIS) บางครั้ง หน่วยงานอาจแจกจ่าย “ข้อแถลงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมส่วนเพิ่ม” (SEIS) ให้ประชาชนได้รับทราบ

ความเพียงพอหรือไม่ของข้อแถลงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ EIS อาจนำเข้าสู่กระบวนการในศาลได้ โครงการใหญ่ๆ จึงมักถูกต่อต้านเนื่องจากความบกพร่องของหน่วยงานในการจัดเตรียมข้อแถลงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ดีพอ ตัวอย่างที่โด่งดังได้แก่โครงการถมขยะเวสต์เวย์ และโครงการก่อสร้างทางหลวงตามแม่น้ำฮัดสันในนครนิวยอร์ก ตัวอย่างที่ชัดเจนอีกตัวอย่างหนึ่งได้แก่กรณีที่เชียร์ราคลับฟ้องกรมทางหลวงแห่งรัฐเนวาดาที่ปฏิเสธคำขอให้กรมฯ ออก “ข้อแถลงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมส่วนเพิ่ม” (SEIS) ว่าด้วยการปลดปล่อยและมลพิษของยานยนต์ที่เพิ่มจากการขยายทางหลวงสาย 95 ผ่านลาสเวกัสให้ประชาชนได้รับทราบ การดำเนินคดีถึงศาลมีผลให้ต้องหยุดการก่อสร้างไว้ก่อนจนกว่าศาลจะตัดสิน ฏรณีนี้ตกลงยอมความกันได้ก่อนศาลมีคำตัดสิน

รัฐบาลระดับรัฐในหลายรัฐได้ยอมรับกฎหมายสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ นำมาใช้บังคับในกฎหมายของรัฐที่บังคับให้ต้องมีการจัดทำข้อแถลงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโครงการบางโครงการของรัฐ และในกฎหมายของรัฐบางฉบับได้กล่าวถึงการที่จะต้องมีการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยใช้วลีว่า “รายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม” หรือ “การประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม” เช่น กฎหมายคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย (California Environmental Quality Act -CEQA) ที่บังคับให้ต้องจัดทำรายงายผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIR)

ข้อบังคับที่ใช้บังคับของรัฐต่างๆ มีผลที่ทำให้ได้ข้อมูลจำนวนมากที่ไม่เฉพาะผลกระทบที่มีต่อโครงการเฉพาะราย แต่ยังช่วยอธิบายให้ความกระจ่างทางวิทยาศาสตร์ที่ยังไม่เคยได้รับการศึกษาวิจัยที่ดีพอมาก่อน ตัวอย่างเช่น รายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ทำส่งเมืองมอนเทอเรย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีข้อมูลสำคัญที่เผยให้เห็นรายชื่อชนิดของสิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์ของหน่วยงานรัฐบาลกลางที่เรียกกันว่า “ฮิกแมนโพเทนทิลลา” (Hickman's potentilla) หรือรายชื่อพืชสมุนไพรชายฝั่งชนิดใกล้สูญพันธุ์ยังขาดดอกไม้ป่าที่เป็นพืชถิ่นเดียวตระกูลกุหลาบที่หายากมากที่มีขึ้นอยู่เฉพาะถิ่นนี้


[แก้] ประเทศไทย

[แก้] ประวัติ

[แก้] กฎหมายและการบังคับใช้

[แก้] ขั้นตอนการดำเนินการ

[แก้] ดูเพิ่ม

  • แบบจำลองการกระจายตัวของมลพิษทางอากาศ[1]
  • สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ [2]
  • รายชื่อเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ [3]
  • การออกแบบเพื่อดูผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม[4]
  • ขบวนการเพื่อสิ่งแวดล้อม [5]
  • รอยเหยียบทางนิเวศ [6]
  • สิ่งดีทางสิ่งแวดล้อม [7]
  • ภูมิทัศน์ร่วม [8]
  • สถาบันภูมิทัศน์ [9]
  • การประเมินสิ่งแวดล้อมของบริเวณระยะที่ 1 [10]
  • ประเมินผลกระทบทางสังคม [11]
  • การประเมินผลทางสังคม [12]
  • แถลงผลกระทบสิ่งแวดล้อม[13]


[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น

  • European Commission - EIA website [14]
  • Environmental Impact Assessment at the University of Sydney [15]
  • Guide to Environmental Impact Assessment and Design [16]
  • International Association for Impact Assessment (IAIA)[17]


[แก้] อ้างอิง

  1. Dr. Michael Watson, Environmental Impact Assessment and European Community Law, XIV International Conference "Danube-River of Cooperation", Beograd, November 13-15, 2003. [18]
  2. Court decision in Sierra Club v. United States Army Corps of Engineers
  3. News item in USA Today
  4. Sive,D. & Chertok,M., "Little NEPAs" and Environmental Impact Assessment Procedures
  • Petts, J. (ed), Handbook of Environmental Impact Assessment Vol 1 & 2, Blackwell, Oxford ISBN 0-632-04772-0
  • Environmental Impact Assessment Review (1980 - ), Elsevier
  • Glasson, J; Therivel, R; Chadwick A, Introduction to Environmental Impact Assessment, (2005) Routledge, London