ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสาธารณรัฐจีน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ปัจจุบัน สถานะของสาธารณรัฐจีนบนเกาะไต้หวันได้รับการรับรองโดยประเทศเพียง 25 ประเทศ ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสาธารณรัฐจีนจึงเน้นเฉพาะความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับประเทศที่รับรองสถานะของสาธารณรัฐจีน และความสัมพันธ์ในเชิงพฤตินัยกับประเทศอื่น ๆ
ทางด้านสถานะทางการเมืองของไต้หวัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐจีนนั้นมีรายละเอียดอยู่ที่ สถานะทางการเมืองของไต้หวัน
สารบัญ |
[แก้] ประวัติศาสตร์
![]() |
[แก้] ความขัดแย้งในระดับนานาชาติ
![]() |
[แก้] รายชื่อประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐจีน
- สาธารณรัฐกัวเตมาลา (พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960))
- สาธารณรัฐแกมเบีย (พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995))
- สาธารณรัฐคอสตาริกา (พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959))
- สาธารณรัฐคิริบาส (พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003))
- สาธารณรัฐชาด (พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997))
- สหพันธรัฐเซนต์คิตส์และเนวิส (พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983))
- ประเทศเซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ (พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981))
- สาธารณรัฐประชาธิปไตยเซาตูเมและปรินซิปี (พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997))
- หมู่เกาะโซโลมอน (พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983))
- สาธารณรัฐโดมินิกัน (พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957))
- ประเทศตูวาลู (พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979))
- สาธารณรัฐนาอูรู (พ.ศ. 2523, 2548 (ค.ศ. 1980, 2005))
- สาธารณรัฐนิการากัว (พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990))
- ประเทศบูร์กินาฟาโซ (พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994))
- ประเทศเบลีช (พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989))
- สาธารณรัฐปานามา (พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954))
- สาธารณรัฐปารากวัย (พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957))
- สาธารณรัฐปาเลา (พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999))
- สาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ (พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998))
- สาธารณรัฐมาลาวี (พ.ศ. 2509 (ค.ศ. 1966))
- ประเทศสวาซิแลนด์ (พ.ศ. 2511 (ค.ศ. 1968))
- ทำเนียบสันตะปาปา (พ.ศ. 2485 (ค.ศ. 1942))
- สาธารณรัฐเอลซัลวาดอร์ (พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1961))
- สาธารณรัฐฮอนดูรัส (พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965))
- สาธารณรัฐเฮติ (พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956))
ทั้ง 25 ประเทศนี้มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐจีนอย่างเป็นทางการ โดยรับรองสถานะเป็นรัฐบาลโดยชอบธรรมเพียงหนึ่งเดียวเหนือแผ่นดินจีนทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะในอาณาเขตของหมู่เกาะในปัจจุบัน ซึ่งประกอบไปด้วย เกาะไต้หวัน, หมู่เกาะเผิงหู, เกาะจินเหมิน และหมู่เกาะหมาจู่ และเกาะเล็กเกาะน้อยอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง
ประเทศเกาหลีใต้และซาอุดีอาระเบียได้ยุติความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐจีนในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) และประเทศแอฟริกาใต้ได้เปลี่ยนไปรับรองสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) สาธารณรัฐไลบีเรียเปลี่ยนจากการรับรองสาธารณรัฐประชาชนจีนมารับรองรัฐบาลบนเกาะไต้หวันในปี พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) และเปลี่ยนกลับไปรับรองรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2546 (พ.ศ. 2003) ทางเครือรัฐโดมินิกาหลังจากรับรองสาธารณรัฐจีนมาตั้งแต่ พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) ก็ได้ยุติการรับรองลงในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) เนื่องจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เสนอให้ความช่วยเหลือเป็นมูลค่ากว่า 117 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในหกปี ส่วนสาธารณรัฐมาซิโดเนียซึ่งรับรองสาธารณรัฐจีนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) ก็ได้เปลี่ยนไปสานสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนแทน หลังจากถูกจีนแผ่นดินใหญ่คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และใช้สิทธิ์วีโต้ขัดขวางขบวนการรักษาสันติภาพในการประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งองค์การสหประชาชาติเมื่อปี พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001)
ถึงแม้ว่าสิงคโปร์จะเปลี่ยนไปสานสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) แต่ก็ยังคงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและกองทัพกับสาธารณรัฐจีนอย่างใกล้ชิด อันเป็นความพยายามของสิงคโปร์ที่จะวางตัวเป็นกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย และก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนทางการทูตที่มักจะทำให้เกิดความขัดแย้งกันอยู่เสมอ สาธารณรัฐประชาชนจีนและสิงค์โปร์เกิดความขัดแย้งทางการทูตกันอย่างรุนแรงเมื่อนายลี เซียน ลุง ได้เดินทางไปเยือนไต้หวันเพียงหนึ่งเดือนก่อนหน้าที่จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) [1] ปัจจุบันสิงคโปร์เป็นประเทศเดียวที่ยังคงมีค่ายฝึกทหารอยู่ในไต้หวัน และยังส่งกำลังพลไปฝึกที่นั่นเป็นประจำทุกปี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ได้มีการพูดคุยถึงความเป็นไปได้ที่จะย้ายค่ายฝึกบางส่วนหรือทั้งหมดไปยังไหหนานตามข้อเสนอของสาธารณรัฐประชาชนจีน ถึงแม้ว่านั่นอาจจะเป็นข้อเสนอที่ไม่สามารถตอบรับได้เนื่องจากอาจเกิดปัญหาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสิงคโปร์กับประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่มีเชื้อสายชาวจีน [2] [3]
ประเทศที่มีสถานทูตประจำอยู่ในไทเป ได้แก่ สาธารณรัฐกัวเตมาลา, สาธารณรัฐแกมเบีย, สาธารณรัฐคอสตาริกา, สาธารณรัฐชาด, สาธารณรัฐประชาธิปไตยเซาตูเมและปรินซิปี, หมู่เกาะโซโลมอน, สาธารณรัฐโดมินิกัน, สาธารณรัฐนิการากัว, ประเทศบูร์กินาฟาโซ, ประเทศเบลีช, สาธารณรัฐปานามา, สาธารณรัฐปารากวัย, สาธารณรัฐปาเลา, สาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์, สาธารณรัฐมาลาวี, ประเทศสวาซิแลนด์, ทำเนียบสันตะปาปา, สาธารณรัฐเอลซัลวาดอร์, สาธารณรัฐฮอนดูรัส, และสาธารณรัฐเฮติ
[แก้] ความสัมพันธ์สหรัฐ-ไต้หวัน
[แก้] ตัวแทนความสัมพันธ์ในสหรัฐอเมริกา
ในปัจจุบัน ไม่มีการสานสัมพันธ์ทางการทูตในระดับทางการ แต่จะเป็นการประสานสัมพันธ์ทางด้านการค้าและวัฒนธรรมอย่างไม่เป็นทางการแทน โดยดำเนินการผ่านสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ซึ่งโดยพฤตินัยแล้วเทียบได้กับสถานทูต มีสำนักงานตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และในอีก 12 เมืองทั่วสหรัฐอเมริกา โดยทางเทคนิคแล้วถือว่าสำนักงานมีสถานะเป็นองค์กรเอกชน แต่เจ้าหน้าที่ของสำนักงานก็คือ นักการทูตที่ "ออกจากงานชั่วคราว"
[แก้] ตัวแทนความสัมพันธ์จากสหรัฐอเมริกา
เมื่อความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการได้ยุติลงในปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) จากการที่สหรัฐอเมริกาเริ่มกระชับความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีน แต่ยังคงมีการรักษาความสัมพันธ์ทางด้านการค้าและวัฒนธรรมผ่านองค์กรที่โดยพฤตินัยแล้วถือว่าเป็นสถานทูตในชื่อ สถาบันอเมริกาในไต้หวัน
ในทางเทคนิค สถาบันนี้ก็ถือว่าเป็นองค์กรเอกชน แต่เจ้าหน้าที่จะเป็นนักการทูตจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในสถานะ "ลางาน" เพื่อทำงานให้กับสถาบัน อันเป็นวิธีการเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาทางการทูต
[แก้] ความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีน
![]() |
[แก้] ความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ
เพื่อเป็นการรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศต่าง ๆ จึงได้จัดตั้ง 'คณะทำงานทางการค้า' หรือ 'สำนักงานตัวแทน' ขึ้นในไทเปสำหรับการปฏิบัติภารกิจทางด้านการค้าและกงสุล อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความอ่อนไหวทางการเมืองทำให้งานทางด้านวีซ่ามักจะไม่ได้ดำเนินการในไต้หวันแต่จะถูกส่งต่อไปยังสถานทูตหรือสถานกงสุลที่ใกล้ที่สุดแทน และในทางกลับกัน ทางสาธารณรัฐจีนก็ได้ดำเนินการจัดตั้ง สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป หรือ สำนักงานตัวแทนไทเป ขึ้นในประเทศต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน
สาธารณรัฐจีนได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคและการแข่งขันกีฬานานาชาติอื่น ๆ ภายใต้ชื่อ 'จีนไทเป' โดยมีการเปลี่ยนธงชาติและเพลงชาติใหม่ เนื่องจากการกดดันจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
ปัญหาในเรื่องสถานะของสาธารณรัฐจีนนั้นยังส่งผลกระทบกับเส้นทางการบินด้วย โดยเฉพาะประเทศในยุโรป, อเมริกาเหนือ และออสเตรเลีย สายการบินแมนดารินแอร์ไลน์ซึ่งเป็นสายการบินลูกของไชน่าแอร์ไลน์อันเป็นสายการบินประจำชาติของสาธารณรัฐจีนได้ให้บริการไปยังจุดหมายปลายทางหลายแห่งในต่างประเทศแทนสายบินแม่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางการเมือง แต่ในปี พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1998) ไชน่าแอร์ไลน์ก็ได้เปลี่ยนเครื่องแบบพนักงานใหม่โดยไม่มีการใช้สีธงชาติของสาธารณรัฐจีนอีกต่อไป และเริ่มบินให้บริการไปยังต่างประเทศภายใต้ชื่อของตัวเอง
สายการบินประจำชาติอื่น ๆ หลายแห่งก็ได้ให้บริการเส้นทางไปยังไทเปโดยใช้ชื่อและเครื่องแบบพนักงานอื่นแทน ตัวอย่างเช่น บริติชแอร์เวย์ไม่มีเส้นทางบินระหว่างลอนดอนกับไทเปเลย แต่ให้บริการโดยสายการบินลูกที่ชื่อ บริติชเอเชียแอร์เวย์ โดยมีตัวอักษรจีนบนหางเครื่องบินแทนรูปธงสหราชอาณาจักรที่บริติชแอร์เวย์ใช้ สายการบินแควนตัสของออสเตรเลียก็มีสายการบินลูกชื่อ ออสเตรเลียเอเชียแอร์ไลน์ ซึ่งมีเส้นทางบินระหว่างซิดนีย์และไทเป และในปัจจุบันก็ใช้วิธีบินร่วมกับอีวีเอแอร์ ซึ่งเป็นสายการบินสัญชาติไต้หวัน
ในช่วงก่อนที่รันเวย์ที่สองของสนามบินนานาชาติโตเกียวแห่งใหม่จะสร้างเสร็จ หรือชื่อในปัจจุบันคือ ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ สายการบินจากไต้หวันจะต้องบินไปลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติโตเกียว (รู้จักกันในชื่อ "สนามบินฮะเนะดะ") เพื่อหลีกให้กับสายการบินจากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่บินไปลงที่นะริตะ และเช่นเดียวกับสายการบินอื่น ๆ เจแปนแอร์ไลน์ก็ได้จัดตั้งสายการบินลูกชื่อ เจแปนเอเชียแอร์ไลน์ เพื่อบินในเส้นทางไต้หวันแทน
รหัสโทรศัพท์ระหว่างประเทศซึ่งจะกำหนดโดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศให้กับประเทศสมาชิก ทางสาธารณรัฐจีนซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกของสหภาพ แต่ก็ได้รับการกำหนดรหัส 886 ให้อย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งเป็นรหัสที่ทางสหภาพระบุไว้ว่า 'สำรอง' ทางสาธารณรัฐประชาชนจีนไม่ได้รับรองการใช้รหัสประเทศ 886 นี้ ถึงแม้ว่าจะรับรองการใช้รหัสประเทศที่กำหนดให้กับฮ่องกงและมาเก๊าก็ตาม โดยได้สำรองหมายเลขโทรศัพท์หมวด 26 ไว้ใช้สำหรับเมืองไทเป และหมวด 06 สำหรับส่วนอื่น ๆ ของไต้หวัน
[แก้] การเข้าร่วมเป็นสมาชิกในองค์กรนานาชาติ
APEC, AsDB, BCIE, ICC, IOC, WCL, WTrO
[แก้] ดูเพิ่ม
[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น
![]() |
ไต้หวัน หรือ จีนไทเป | แก้ | ||||||
|