ผู้ใช้:ติ๋งต้อม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ความเป็นกฎหมายมหาชนของกฎหมายสาธารณสุข
ถ้าหากเราคิดว่ากฎหมายมีความเป็นมาอย่างไร คำตอบอย่างตรงไปตรงมา ก็คือ กฎหมายไม่ว่าจะถือกำเนิดที่ไหน ก็จะมีบ่อเกิดมาจาก กฎหมายลายลักษณ์อักษร ศาสนา จารีตประเพณี และ ทฤษฏีด้านวิชาการต่างๆ เมื่อคิดต่อไปว่าแล้ว กฎหมายแบ่งออกเป็นกี่ประเภทกันแน่ ก็สามารถสรุปได้เลยว่าแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่หนึ่งกฎหมายเอกชนซึ่งเป็นการผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนโดยรัฐจะไม่ไปก้าวก่าย แต่จะกำหนดกรอบแนวทางกว้างไว้ให้ในกรณีที่เกิดข้อพิพาทขึ้น ซึ่งได้แก่ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กับ ประเภทที่สองกฎหมายมหาชน ซึ่งเป็นเรื่องของการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับราษฎร ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานของรัฐกับราษฎร และ ในฐานะที่รัฐเป็นผู้ปกครอง ดังนั้น คงสรุปได้อย่างชัดเจนว่ากฎหมายสาธารณสุข จึงเป็นกฎหมายมหาชนอย่างแน่แท้ เพราะแท้ที่จริงแล้วปรัชญารากฐานของกฎหมายมหาชน คือ ความต้องการที่จะให้เกิดสังคมในอุดมคติที่มุ่งให้การเมืองมีการพัฒนา โดยการให้ประชาชนมีส่วนร่วม ให้ความสำคัญกับการแบ่งแยกอำนาจ ซึ่งเป็นการมอบอำนาจอธิปไตยให้องค์กรต่างๆแยกกันทำหน้าที่ตามความจำเป็นและเหมาะสม เมื่อผสมผสานกับทฤษฎีทางวิชาการที่จะทำให้เกิดสมดุลภาพที่เหมาะสมระหว่างสิ่งแวดล้อม พฤติกรรม และ สิ่งที่ทำให้เกิดโรค เข้าไปคงทำให้ท่านทั้งหลายมองเห็นภาพของความเป็นกฎหมายมหาชนของพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดุลยภาพที่เหมาะสมจะก่อให้เกิดผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์ ซึ่งจะทำให้เกิดสุขภาวะที่ดี ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และ อยู่ในสังคมที่เอื้ออาทรกัน ไม่ละเมิดสิทธิ ซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันในขนบธรรมเนียมที่ดีงาม เมื่อพิจารณาถึง เป้าหมาย และ วัตถุประสงค์ของกฎหมายสาธารณสุขฉบับนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นการมุ่งให้ความคุ้มครองประชาชน ซึ่งครอบคลุมถึงชุมชน ผู้ประกอบกิจการ คนงาน และ ผู้ปฏิบัติงาน โดยต้องการให้เกิดสภาวะความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพ ด้านสาธารณสุขสิ่งแวดล้อม 4 ด้านด้วยกัน อาทิ การสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม การอนามัยสิ่งแวดล้อม การอาชีวอนามัย และ การสุขาภิบาลอาหาร ท่านทั้งหลายคงไม่ปฏิเสธว่า การดำรงชีวิตของคนเราในแต่ละวัน ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนถึงเวลาเข้านอนต่างเกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ และ อื่นๆ ซึ่งพฤติการณ์นั้นจะเกิดผลิตผลที่เป็นทั้งสิ่งดีๆและ มลพิษ ของเสียต่างๆ ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของคนในสังคม ดังนั้น ดุลยภาพที่เหมาะสม จะคงอยู่ต่อไป จึงต้องรู้จักใช้ทรัพยากรที่เหมาะสมควบคู่กับการนำเทคโนโลยีที่มีคุณภาพมาใช้ ซึ่งวิธีการที่เหมาะสมคือ การพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต กับ เทคโนโลยีในการควบคุมของเสียที่เกิดจากการผลิต แล้วกำหนดเป็น มาตรฐานหลักเกณฑ์ขึ้นมาให้เป็นที่รับรู้ร่วมกัน กำหนดเป็นกติกาในสังคมร่วมกัน เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีตามวิถีชีวิต นั่นคือ การออกข้อกำหนดท้องถิ่นขึ้นมา อาทิ เทศบัญญัติ ซึ่งต้องให้สอดคล้องกับการป้องกันปัญหาที่คาดว่าจะเกิด ผ่านการกลั่นกรองจากผู้เกี่ยวข้องในสังคม ทำประชาพิจารณ์ ปรับปรุงแก้ไข จนกระทั่งประกาศใช้ สิ่งเหล่านี้ตรงกับปรัชญารากฐานของกฎหมายมหาชนที่ต้องการจะให้เกิดการพัฒนาทางการเมืองตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงรากแก้ว กฎหมายสาธารณสุขจึงเป็นกฎหมายที่มีสิ่งเหล่านี้ ยังขาดแต่การบังคับใช้อย่างจริงจัง ถึงเวลาหรือยังที่เราจะปลุกกฎหมายฉบับนี้ให้ตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ควบคุมกติกาสังคมในท้องถิ่น คำตอบอยู่ที่ผู้บริหารท้องถิ่นนั่นเอง