พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ 6
[แก้] พระประสูติกาล
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ 6 มีพระกำเนิดเป็นสามัญชนในสกุลอภัยวงศ์ ประสูติเมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2448 เป็นธิดาของพระยาอภัยภูเบศร (เลื่อม อภัยวงศ์) กับคุณเล็ก บุนนาค มีพระนามเดิมว่า เครือแก้ว อภัยวงศ์ (ติ๋ว อภัยวงศ์)
[แก้] เมื่อทรงพระเยาว์
หลังจากมารดาถึงแก่กรรม ได้เข้ามาอยู่ในความดูแลของท้าวศรีสุนทรนาฏ (แก้ว พนมวัน ณ อยุธยา) ผู้เป็นยายซึ่งเป็นผู้อำนวยการละครหลวงฝ่ายใน กรมมหรสพ ต่อมาได้รับการฝึกฝนดุริยางคศิลป์ไทยในพระราชสำนักจนได้รับเลือกเป็นต้นเสียง ทั้งยังได้แสดงละครที่เป็นบทพระราชนิพนธ์หลายโอกาสด้วยกัน
[แก้] เหตุการณ์ที่ทำให้เป็นที่ทรงต้องพระราชอัธยาศัยในรัชกาลที่ 6
ในคราวที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน จังหวัดเพชรบุรี เป็นครั้งแรกในเดือนเมษายน พ.ศ. 2467 ท่านมีโอกาสร่วมแสดงละครพระราชนิพนธ์เรื่อง “พระร่วง” เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2467 โดยได้รับบทเป็นสาวใช้ของนางจันทร์ ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแสดงเป็นนายมั่นปืนยาว ซึ่งต้องมีบทพูดจาโต้ตอบกับบรรดาสาวใช้ของนางจันทร์
ภายหลังจากการซ้อมและการแสดงละครพระราชนิพนธ์เรื่องพระร่วง ณ พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชประดิพัทธ์ต้องพระราชอัธยาศัย ด้วยท่านมีความสุขุม ไม่ได้ตอบสนองต่อเหตุการณ์กระทบกระเทือนที่เกิดขึ้นในระหว่างการซ้อมละคร จึงได้ทรงพระเมตตาเป็นพิเศษ และได้พระราชทานนามใหม่ว่า สุวัทนา
[แก้] อภิเษกสมรส
ต่อมา ในวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2467 ได้ทรงสถาปนาคุณสุวัทนาขึ้นเป็น เจ้าจอมสุวัทนา พระสนมเอก พร้อมทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง
ต่อมาระหว่างวันที่ 21 กันยายน ถึง 13 ตุลาคม พ.ศ. 2467 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสสิงคโปร์และแหลมมลายูเพื่อเป็นการเจริญทางพระราชไมตรี การนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าจอมสุวัทนา โดยเสด็จพระราชดำเนินด้วย นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าจอมสุวัทนา ได้ตามเสด็จไปในการทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่าง ๆ อยู่เนือง ๆ
[แก้] มีพระครรภ์
ต่อมาไม่นาน เจ้าจอมสุวัทนาก็ตั้งครรภ์พระหน่อ ยังให้บังเกิดความปีติปราโมทย์ในพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างยิ่ง ทรงเฝ้ารอพระประสูติการด้วยพระราชหฤทัยจดจ่อ
[แก้] สถาปนาพระยศ
ในวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2468 เมื่อเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเจ้าจอมสุวัทนาจะมีสูติกาลพระหน่อในไม่ช้า จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้าจอมสุวัทนาขึ้นเป็น พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ด้วยเหตุผลดังปรากฏในพระบรมราชโองการประกาศสถาปนา ดังนี้
เจ้าจอมสุวัทนาได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณโดยความซื่อสัตย์กตเวที มีความจงรักภักดีในใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาท เปนที่ไว้วางพระราชหฤทัย สมควรที่จะทรงยกย่องให้เปนใหญ่ เพื่อผดุงพระราชอิศริยยศแห่งพระกุมารที่จะมีพระประสูติการในเบื้องหน้า
[แก้] พระประสูติกาลพระราชธิดาในรัชกาลที่ 6
แต่แล้วเหตุการณ์มิคาดฝันได้เกิดขึ้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มทรงพระประชวรด้วยโรคพระโลหิตเป็นพิษในพระอุทรนับแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 ภายหลังจากพระราชพิธีฉัตรมงคลเป็นต้นมา
วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน เวลา 12.55 น. พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ก็ประสูติ พระราชธิดา ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว แต่ก็มีพระอาการเพียบหนักขึ้น ทรงมีโอกาสได้ทอดพระเนตรพระราชธิดาอย่างใกล้ชิดในบ่ายวันรุ่งขึ้น แต่ก็มิสามารถมีพระราชดำรัสได้แล้ว จากนั้น ก็ทรงรู้สึกพระองค์น้อยลงกระทั่งสวรรคต เมื่อเวลา 1.45 น. ของวันที่ 26 พฤศจิกายน ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระนามแก่พระราชธิดาในรัชกาลที่ 6 ว่า "สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" มีคำนำพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ" ซึ่งหมายความว่าหญิงที่สืบเนื่องจากพี่ชาย ดังนั้น การออกพระนามสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๗ จึงออกพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ”
[แก้] การดำรงพระชนมชีพในสมัยรัชกาลที่ 7
พระนางเจ้าสุวัทนาฯ พร้อมด้วยพระธิดา ประทับ ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ในหมู่พระมหามณเฑียร พระบรมมหาราชวัง อยู่ระยะหนึ่งจึงทรงย้ายไปประทับ ณ ตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี และทรงย้ายออกมาประทับ ณ พระตำหนักสวนหงษ์ ในพระราชวังดุสิต ของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า ผู้ทรงพระเมตตาเอาพระราชหฤทัยใส่ในความเป็นอยู่ของสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ และพระนางเจ้าสุวัทนาฯ อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด แต่ต่อมาไม่นานได้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือง ทั้งการเปลี่ยนแปลงการปกครองและกบฏบวรเดช จึงต้องทรงย้ายที่ประทับหลายแห่งทั้งในสวนดุสิต สวนสุนันทา วังสระปทุม และตำหนักเขาน้อย จังหวัดสงขลา
เมื่อเหตุการณ์วุ่นวายคลี่คลายลง กอปรกับสมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ ทรงเจริญพระวัยขึ้น พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ทรงขอพระราชทานพระราชานุญาตสมเด็จพระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า เชิญเสด็จพระธิดาไปประทับ ณ ตำหนัก “สวนรื่นฤดี” ที่โปรดให้สร้างขึ้นไว้บนที่ดินบริเวณถนนราชสีมาตัดกับถนนสุโขทัย อันเป็นที่ดินที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานไว้เมื่อคราวราชาภิเษกสมรส
[แก้] ประทับ ณ ประเทศอังกฤษ
ต่อมา เมื่อพระนางเจ้าสุวัทนาฯ ทรงสังเกตว่าพระพลานามัยของพระธิดาไม่สู้สมบูรณ์นัก จึงทรงนำเสด็จพระธิดาไปทรงรักษาพระองค์และทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษซึ่งเป็นประเทศที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปประทับอยู่นับแต่ก่อนทรงสละราชสมบัติใน พ.ศ. 2477 ต้นเดือนเมษายน พ.ศ. 2481 พระนางเจ้าสุวัทนาฯ พร้อมด้วยพระธิดา จึงเสด็จไปยังประเทศอังกฤษ ทรงมีที่ประทับถาวรแห่งแรกอยู่ ณ ตำบลแฟร์ฮิลล์ แคว้นแคมเบอร์ลีย์ และต่อมาทรงย้ายไปประทับที่เมืองไบรตัน
ระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ 2 พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ก็ยังทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่ส่วนรวม เช่น ทรงช่วยเหลือกิจการสภากาชาดอังกฤษ ทรงม้วนผ้าพันแผลและถักเครื่องกันหนาวประทานแก่ทหารผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามหน่วยรบ เป็นต้น กระทั่งสภากาชาดอังกฤษได้ถวายเกียรติบัตรประกาศพระกรุณา
พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ทรงประสบกับความยากลำบากนานาประการโดยเฉพาะในยามเศรษฐกิจฝืดเคืองอันเนื่องมาจากภาวะสงคราม จึงทรงประหยัดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมทั้งทรงทำงานบ้านเองเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจ้างข้าหลวงชาวต่างประเทศ ทรงเรียนรู้วิธีการซื้อขายหุ้นตลอดจนการทำธุรกิจการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ และทรงดำเนินการดังกล่าวได้อย่างชำนาญ
ตลอดระยะเวลา 22 ปีที่ประทับ ณ ประเทศอังกฤษ พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ทรงรักษาพระเกียรติยศแห่งราชนารีได้อย่างมั่นคง ผู้มีหน้าที่รับใช้อยู่บนตำหนักไม่ว่าจะเป็นที่ตำหนักแฟร์ฮิลล์ ตำหนักไบรตัน หรือตำหนักไดก์โรด ล้วนเป็นสตรีทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีพระกรุณาต่อชาวไทยในประเทศอังกฤษ โดยได้โปรดให้เฝ้ารับประทานเลี้ยงอยู่เสมอ
[แก้] นิวัตประเทศไทย
ครั้นพุทธศักราช 2502 สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ และพระนางเจ้าสุวัทนาฯ จึงได้เสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นการถาวร ประทับ ณ วังรื่นฤดี วังแห่งใหม่ในซอยสันติสุข สุขุมวิท 38
[แก้] พระกรณียกิจสังเขป
พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ทรงอุปการะกิจการเพื่อการสาธารณประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย เช่นเมื่อครั้งทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา ในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2508 ได้ประทานเงินก่อสร้างอาคารสำหรับผู้ป่วยนอกและห้องฉุกเฉินใน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้ 1 หลัง ประทานนามว่า “ตึกมงกุฎ-เพชรรัตน” นอกจากนี้ ทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่ทรงได้รับมรดกคือที่ดินและบ้านของพระบุพการี ณ จังหวัดปราจีนบุรี ก็ทรงพระกรุณาประทานกรรมสิทธิ์ให้แก่ทางราชการ เมื่อทางราชการได้ใช้สถานที่ดังกล่าวสร้างโรงพยาบาล ก็ไม่ทรงใช้พระนามของพระองค์เป็นนามโรงพยาบาลแห่งนี้ หากแต่โปรดประทานนามว่า โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เพื่อเป็นเกียรติแก่พระบรรพบุรุษ
ส่วนการพระศาสนานั้น ทรงศรัทธาบำเพ็ญพระกุศลโดยประการต่าง ๆ อยู่เสมอ โปรดเสด็จไปทรงทอดผ้าพระกฐินส่วนพระองค์ทั้งในพระนครและต่างจังหวัดทั่วทุกภาค ทรงเยี่ยมและประทานพระอนุเคราะห์แก่ประชาชนอย่างสม่ำเสมอ
[แก้] พระอัธยาศัย
พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ทรงวางพระองค์ได้งามสม ทรงเป็นที่นับถือของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังทรงเป็นพระชนนีผู้ประเสริฐ ดังจะเห็นได้จากพระอุปนิสัยและพระอัธยาศัยงดงามของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอฯ ล้วนแต่บังเกิดการอบรมพระธิดาให้ทรงงามสมพระอิสริยศักดิ์ ส่วนพระนางเจ้าสุวัทนาฯ เอง ก็มีพระอุปนิสัยร่าเริง ทรงสามารถรับสั่งกับบุคคลทุกอาชีพ ทุกวัยได้เป็นอย่างดี โปรดการเลี้ยงสุนัข โปรดการปลูกต้นไม้ และโปรดธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง
[แก้] สิ้นพระชนม์
พระนางเจ้าสุวัทนาฯ ประชวรด้วยพระอาการพระปัปผาสะอักเสบ กระทั่งสิ้นพระชนม์ในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2528 เวลา 17.09 น. ณ โรงพยาบาลศิริราช ขณะพระชนมายุ 80 พรรษาเศษ
[แก้] อ้างอิง
- พิมาน แจ่มจรัส, รักในราชสำนัก, โอเดียนการพิมพ์, 2510 ISBN 974-341-064-3
![]() |
พระมเหสี พระสนมเอก และ พระคู่หมั้น ใน รัชกาลที่ ๖ |
---|
พระวรราชชายา | สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา |
พระวรราชเทวี | พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี |
พระนางเธอ | พระนางเธอลักษมีลาวัณ |
พระสนม | พระสุจริตสุดา |
พระคู่หมั้น | พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี |