คุยกับผู้ใช้:Maiya

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

โรคจากพยาธิภายนอก

โรคจุดขาว ปลาที่เป็นโรคนี้จะมีจุดสีขาวขุ่น ขนาดเท่าปลายเข็มหมุดเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วลำตัวและครีบ ปรสิตที่ทำให้เกิดโรคนี้ในปลาน้ำจืดมีชื่อว่า อิ๊กทีอ๊อฟทีเรียส มัลติฟิลิส (Icthyopthirius multifilis) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า อิ๊ก แต่ถ้าทำให้เกิดโรคในปลาน้ำกร่อยมีชื่อว่า คริปโตคาริออน อิริเทนส์ (Cryptocaryon irritans) ซึ่งเป็นโปรโตซัวชนิดที่กินเซลล์ผิวหนังเป็นอาหาร สามารถสังเกตโปรโตซัวชนิดนี้ได้ง่าย ๆ คือ มีนิวเคลียสเป็นรูปเกือกม้าขนาดใหญ่ เมื่อปรสิตชนิดนี้โตเต็มที่จะออกจากตัวปลาจมตัวลงสู่บริเวณก้นบ่อปลา และสร้างเกราะห่อหุ้ม ต่อจากนั้นจะมีการแบ่งเซลล์เป็นตัวอ่อนจำนวนมากภายในเกราะนั้น เมื่อสภาวะแวดล้อมภายนอกเหมาะสม เกราะหุ้มตัวจะแตกออกและตัวอ่อนของพยาธิจะว่ายน้ำเข้าเกาะตามผิวหนังของปลาต่อไป พบโรคนี้ในปลาหลายชนิด เช่น ปลาสวาย ปลาดุก ปลาช่อน ปลานิล ปลาหมู ปลาทรงเครื่อง เป็นต้น การป้องกันรักษา การกำจัดปรสิตที่ฝังอยู่ใต้ผิวหนังยังไม่มีวิธีที่ได้ผลเต็มที่ แต่สามารถทำลายตัวอ่อนในน้ำหรือทำลายตัวแก่ขณะว่ายน้ำอิสระได้ โดยการเลือกใช้สารเคมีอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ 1. ฟอร์มาลิน 150-200 ซีซี. ต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่ไว้นาน 1 ชั่วโมง สำหรับปลาขนาดใหญ่ หรือ 25-50 ซีซี. ต่อน้ำ 1,000 ลิตร นาน 24 ชั่วโมง 2. มาลาไคต์กรีน 1.0 – 1.25 กรัมต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่ไว้นาน 20 นาที สำหรับปลาขนาดใหญ่ หรือ 0.15 กรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร นาน 24 ชั่วโมง 3. เมทิลีนบลู 1-2 กรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่ติดต่อกัน 7 วัน 4. มาลาไคต์กรีน และฟอร์มาลิน ในอัตราส่วน 0.15 กรัม และ 25 ซีซี. ต่อน้ำ 1,000 ลิตร นาน 24 ชั่วโมง ควรเปลี่ยนน้ำใหม่ทุกวัน และแช่ยาวันเว้นวัน จนกระทั่งปลามีอาการดีขึ้น วิธีนี้จะให้ผลดีมากโดยเฉพาะเมื่อน้ำมีอุณหภูมิประมาณ 28-30 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตามเนื่องจากปรสิตชนิดนี้ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว ดังนั้นวิธีการป้องกันเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้ปลาที่นำมาเลี้ยงปราศจากการปนเปื้อนปรสิต โดยดำเนินการดังนี้ 1. ก่อนที่จะนำปลามาเลี้ยงควรนำมาขังไว้ในที่กักกันก่อน ประมาณ 7-10 วัน เพื่อตรวจดูว่ามีปรสิตติดมาหรือไม่ เมื่อแน่ใจว่าไม่เป็นโรคแล้วจึงนำไปเลี้ยงต่อ 2. การป้องกันการแพร่ระบาดของโรคนี้โดยวิธีง่าย ๆ คือ เมื่อปลาเป็นโรคควรย้ายปลาออกจากตู้ แล้วนำไปรักษาในที่อื่น ใส่ฟอร์มาลิน 100-150 ซีซี. ต่อน้ำ 1,000 ลิตร ลงในตู้เดิมทิ้งไว้ 10-12 ชั่วโมง เพื่อกำจัดปรสิตให้หมด แล้วจึงถ่ายน้ำทิ้งไป ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง


โรคสนิมเหล็ก ปลาที่เป็นโรคนี้จะว่ายน้ำทุรนทุรายบางครั้งพบว่ากระพุ้งแก้มเปิดอ้ามากกว่าปกติ อาจมีแผลตกเลือดหรือรอยด่างสีน้ำตาลหรือเหลืองคล้ายสีสนิมตามลำตัว ครีบหางตกหรือลู่ลง ปลาจะทยอยตายติดต่อกันทุกวัน ปรสิตที่ทำให้เกิดโรคนี้ในปลาน้ำจืดมีชื่อว่า โอโอดีเนียม (Oodinium sp.) หรือฟิสซิโนโอดิเนียม (Piscinoodinium sp.) แต้ถ้าทำให้เกิดโรคในปลาน้ำกร่อยหรือปลาทะเล มีชื่อว่า อะมิโลโอดิเนียม (Amyloodinium sp.) ปรสิตพวกนี้เป็นปรสิตเซลล์เดียวชนิดที่มีรูปร่างกลมรี สีเหลืองปนน้ำตาล หรือเหลืองปนเขียวแบบ สีสะท้อนแสงภายในเซลล์มีองค์ประกอบที่คล้ายสบู่อยู่เป็นจำนวนมาก สามารถเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วโดยการแบ่งเซลล์ ถ้าปลาไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ปลาจะตายหมดบ่อ โรคนี้พบมากในลูกปลาขนาดเล็ก เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลากราย และปลาสวยงาม เป็นต้น การป้องกันรักษา 1. แช่ปลาที่เป็นโรคนี้ในฟอร์มาลิน 30-40 ซีซี. ต่อน้ำ 1,000 ลิตร นาน 24 ชั่วโมง แล้วเปลี่ยนน้ำใหม่ ถ้าปลายังมีอาการไม่ดีขึ้นควรเปลี่ยนน้ำแล้วให้ยาซ้ำอีก ปลาที่ป่วยควรจะมีอาการดีขึ้นภายใน 3-4 วัน ในระหว่างการใช้ยาถ้ามีปลาตาย ควรตักออกจากตู้ให้หมด 2. ใช้เกลือเม็ดปริมาณ 1-5 กิโลกรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่นาน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดและขนาดของปลา ถ้าปลาขนาดเล็กควรใช้เกลือน้อยกว่าปลาขนาดใหญ่ (ก่อนใช้โปรดอ่านข้อควรระวังในการใช้เกลือ) 3. นำเกลือเม็ดตามปริมาณที่คำนวณว่าจะใช้ แช่ลงในสารละลายจุนสี (CuSO4) ที่มีความเข้มข้น 1 พีพีเอ็ม (1 กรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร) แล้วนำเกลือนั้นไปใส่ในตู้ปลาแช่ไว้นาน 24 ชั่วโมง จึงเปลี่ยนน้ำ ให้สังเกตอาการปลาถ้าไม่ดีขึ้นทำซ้ำอีก 2-3 ครั้ง


โรคเห็บระฆัง โรคนี้จะทำให้ปลาเกิดอาการระคายเคือง เนื่องจากพยาธิในกลุ่ม Trichodinids ซึ่งเป็นปรสิตเซลล์เดียวรูปร่างกลม ๆ มีแผ่นขอหนามอยู่กลางเซลล์เข้าไปเกาะอยู่ตามลำตัวและเหงือกปลา มีการเคลื่อนที่ไปมาจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งอยู่ตลอดเวลา ทำให้ปลาเกิดเป็นแผลขนาดเล็กตามผิวตัวและเหงือก มักพบในลูกปลา ถ้าพบเป็นจำนวนมากทำให้ปลาตายได้หมดบ่อหรือหมดตู้ ปลาที่พบว่าเป็นโรคนี้มีหลายชนิด เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลากะพงขาว ปลานิล ปลาไน ปลาตะเพียน ปลาทรงเครื่อง ปลาสวาย และปลาสวยงามหลายชนิด เป็นต้น ควรรีบรักษาตั้งแต่ปลาเริ่มเป็นโรคระยะแรก ๆ จะได้ผลดีกว่าเมื่อปลาติดโรคแบบเรื้อรังแล้ว การป้องกันรักษา การป้องกันจะดีกว่าการรักษา เพราะปรสิตชนิดนี้แพร่ได้รวดเร็ว และทำให้ปลาวัยอ่อนตายได้ในระยะเวลาอันสั้น การป้องกันทำได้โดยการตรวจปลาก่อนที่จะนำมาเลี้ยงว่ามีปรสิตนี้ติดมาด้วยหรือไม่ ระวังการติดต่อระหว่างบ่อผ่านทางอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกัน ควรขังปลาไว้ประมาณ 2-3 วัน เมื่อตรวจจนแน่ใจว่าไม่มีโรคแล้วจึงค่อยปล่อยลงเลี้ยง แต่ถ้ามีปรสิตเกิดขึ้นกำจัดได้โดยการใช้ยาหรือสารเคมี คือ ฟอร์มาลิน 25-30 ซีซี. ต่อน้ำ 1,000 ลิตร นาน 24 ชั่วโมง

โรคตกเลือดตามซอกเกล็ด อาการของโรคนี้คือ ปลาจะมีแผลเปิดสีแดงเป็นจ้ำ ๆ ตามลำตัว โดยเฉพาะที่ครีบและซอกเกล็ด มักพบในปลามีเกล็ดเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเป็นแผลเรื้อรัง อาจมีอาการเกล็ดหลุดบริเวณรอบ ๆ แผลและด้านบนของแผลจะมีส่วนที่คล้ายสำลีสีน้ำตาลปนเหลืองติดอยู่ โรคนี้เกิดจากปรสิตชื่อ อิพิสไทลิส (Epistylis sp.) ซึ่งเป็นปรสิตเซลล์เดียวที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มหรือกระจุก พบมากในปลาแฟนซีคาร์พ ปลาแรด และปลาช่อน เป็นต้น การป้องกันรักษา 1. ใช้เกลือเม็ด จำนวน 1-5 กิโลกรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่นาน 48 ชั่วโมง 2. ใช้ฟอร์มาลิน จำนวน 25-40 ซีซี. ต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่นาน 48 ชั่วโมง หลังจากแช่ยาแล้วถ้าปลายังมีอาการไม่ดีขึ้นควรเปลี่ยนน้ำแล้วพักไว้ 1 วันก่อน จากนั้นใส่ยาซ้ำอีก 1-2 ครั้ง ถ้ารักษาถูกโรค ปลาควรจะมีอาการดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หลังจากการรักษา


โรคเมือกขุ่น อาการของโรคนี้คือปลาจะมีเมือกสีขาวขุ่นปกคลุมลำตัวเป็นหย่อม ๆ หรือขับเมือกออกมามากจนกระทั่งได้กลิ่นคาว ครีบหุบ ว่ายน้ำกระเสือกกระสน บางครั้งจะลอยอยู่ตามผิวน้ำสาเหตุของโรคนี้เกิดจากปรสิตเซลล์เดียว เช่น คอสเตีย (Costia sp.) ชิโลโดเนลล่า (Chilodonella sp.) ไซฟิเดีย (Scyphidia sp.) และ โบโดโมแนส (Bodomonas sp.) ปลาที่พบว่าเป็นโรคนี้มีหลายชนิด ได้แก่ ปลาเงินปลาทอง ปลาดุก ปลาช่อน ปลาตะกรับ เป็นต้น การป้องกันรักษา 1. ฟอร์มาลิน 25-40 ซีซี. ต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่นาน 48 ชั่วโมง 2. ด่างทับทิม 1-3 กรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่นาน 24 ชั่วโมง 3. เกลือเม็ด 1-5 กิโลกรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่นาน 48 ชั่วโมง


โรคตัวเปื่อย ปลาที่เป็นโรคจะมีผิวตัวเป็นรอยด่างขาว ตกเลือด เกล็ดพอง เกล็ดหลุด จนกระทั่งเป็นแผลเปื่อยบางตัวเกิดแผลลึกจนถึงกล้ามเนื้อ ลำตัว ลักษณะอาการต่าง ๆ นี้ เกิดขึ้นได้ทั่วทั้งลำตัว และถ้าอาการของโรครุนแรงมากอาจทำให้ปลาตายได้ในระยะเวลาสั้น โรคนี้เกิดขึ้นได้ในปลาสวยงามหลายชนิด โดยเฉพาะปลาหางนกยูงพบได้ในปลาหลายขนาด มีสาเหตุจากปรสิตเซลล์เดียว เททราไฮมีนา (Tetrahymena sp.) เป็นโปรโตซัวเซลล์เดียว ขนาดเล็กรูปไข่ มีขนเล็ก ๆ (cilia) รอบตัวใช้ในการเคลื่อนที่ซึ่งลักษณะคล้ายลูกรักบี้หมุนเป็นเกลียวและใช้ในการยึดเกาะผิวหนังหรือเหงือกจนทำให้ปลาเกิดการระคายเคืองเป็นแผล นอกจากนี้พบว่าขณะที่โปรโตซัวชนิดนี้ชอนไชปลาโดยใช้ cilia นี้จะผลิตน้ำย่อยโปรตีน (Protease) ออกมาทำลายเนื้อเยื่อปลาและเคลื่อนที่ไปยังอวัยวะภายในต่าง ๆ ได้ เททราไฮมีนามีร่องปากที่มีลักษณะเฉพาะตัว สามารถเพิ่มจำนวนได้รวดเร็วด้วยการแบ่งตัว โดยเฉพาะเมื่อมีเศษอาหาร หรือซากปลาตายที่พื้นบ่อหรือตู้กระจก การป้องกันรักษา 1. การจัดการระบบการเลี้ยงที่ดีและเหมาะสมจะช่วยป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. เมื่อตรวจพบเททราไฮมีนาในน้ำหรือในตัวปลาที่เริ่มป่วย ให้ใช้ฟอร์มาลิน 25-30 ซีซี. ต่อน้ำ 1,000 ลิตร พร้อมทั้งให้ออกซิเจน ตลอดเวลานาน 24 ชั่วโมง แล้วเปลี่ยนถ่ายน้ำ ทำซ้ำติดต่อกันอย่างน้อย 3 วัน 3. กรณีที่ปลาเป็นโรคจากเททราไฮมีนาขั้นรุนแรง ยังไม่มีวิธีรักษาที่ได้ผล ควรทำลายปลาป่วยทั้งหมดโดยการฆ่าหรือฝัง และเว้นระยะการเลี้ยงเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคไปยังปลาและแหล่งเลี้ยงอื่น ๆ


โรคเชื้อรา โดยทั่วไปโรคที่เกิดจากเชื้อรา มักจะเกิดร่วมกับโรคอื่น ๆ หลังจากที่ปลาเกิดเป็นแผลแบบเรื้อรังแล้วมักพบเชื้อราเข้ามาร่วมทำให้แผลลุกลามไป โดยบริเวณแผลที่ติดเชื้อราจะมีลักษณะเป็นปุยขาว ๆ ปนเทา คล้ายสำลีปกคลุมอยู่ ในการเพาะปลาถ้ามีไข่เสียมากก็จะพบเชื้อราเข้าเกาะไข่ที่เสีย และลุกลามไปทำลายไข่ดีต่อไป หากไม่ได้ทำการรักษาอย่างทันที การป้องกันรักษา 1. สำหรับปลาป่วยในโรงเพาะฟักใช้มาลาไคต์กรีน จำนวน 0.1 – 0.15 กรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่นาน 24 ชั่วโมง 2. กรณีของปลาที่เลี้ยงในบ่อดินป่วยเป็นโรคเชื้อรามักจะพบว่ามีสาเหตุมาจากคุณภาพของน้ำในบ่อไม่ดี ให้ปรับคุณภาพน้ำด้วยปูนขาวในอัตรา 60 กิโลกรัมต่อไร่


โรคพยาธิปลิงใส ปลาที่มีพยาธิปลิงใสเกาะ จะมีอาการว่ายน้ำทุรนทุราย ลอยตัวตามผิวน้ำ ผอม กระพุ้งแก้มเปิดปิดเร็วกว่าปกติ อาจมีแผลขนาดเล็กเท่าปลายเข็มหมุดกระจายอยู่ทั่วลำตัว ถ้าเป็นการติดโรคในขั้นรุนแรง อาจมองเห็นเหมือนกับว่า ปลามีขนสีขาว สั้น ๆ อยู่ตามลำตัว ซึ่งจะทำให้ปลาตายได้ โรคนี้พบได้ในปลาเกือบทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกปลาดุกที่เริ่มปล่อยลงเลี้ยงในบ่อดินใหม่ ๆ ควรระวังโรคนี้ด้วย ถ้าพบว่าปลาเป็นโรคในระยะแรก ๆ ก็สามารถรักษาให้หายได้ไม่ยาก การป้องกันรักษา 1. ใช้ฟอร์มาลิน 25-40 ซีซี. ต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่นาน 24 ชั่วโมง 2. ใช้ไตรคลอร์ฟอน 0.25 – 0.5 กรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่นาน 24 ชั่วโมง


โรคเห็บปลา เห็บปลาเป็นปรสิตภายนอกรูปร่างค่อนข้างกลมรีมีสีเขียวปนน้ำตาลขนาดประมาณ 5-10 มิลลิเมตร จึงมองเห็นได้โดยใช้ตาเปล่า เกาะอยู่ตามลำตัว หัว และครีบ พบมากในปลามีเกล็ด เช่น ปลาช่อน ปลาแรด ปลานิล ปลาไน ปลาตะเพียน เป็นต้น สำหรับปลาที่เป็นโรคนี้จะว่ายน้ำทุรนทุรายและพยายามถูกตัวเองกับข้างล่อหรือตู้เพื่อให้พยาธิหลุด ทำให้เกิดแผลเลือดออกตามลำตัว การป้องกันรักษา 1. แช่ปลาที่มีพยาธินี้ในสารละลายยาไตรคลอร์ฟอน (Trichorfon) ในอัตราส่วน 0.25-0.5 กรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร นาน 24 ชั่วโมง 2. แช่ปลาในสารละลายด่างทับทิม ในอัตราส่วน 1 กรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร นานประมาณ 15-30 นาที แล้วจึงจะย้ายปลาไปใส่ในน้ำสะอาด 3. กำจัดเห็บปลาออกโดยการจับออกด้วยปากคีบ หากพยาธิชนิดนี้เกาะแน่นเกินไป ให้หยดน้ำเกลือหรือด่างทับทิมเข้มข้นประมาณ 1-2 หยด ลงบนตัวพยาธิ แล้วจึงใช้ปากคีบดึงออก พยาธิจะหลุดออกโดยง่าย 4. กำจัดเห็บปลาที่เกิดขึ้นในบ่อ ทำได้โดยการตากบ่อให้แห้งแล้วโรยปูนขาวในอัตราส่วน 30-50 กิโลกรัมต่อไร่ให้ทั่วบ่อ


โรคหนอนสมอ หนอนสมอเป็นปรสิตภายนอกที่พบเสมอในปลาน้ำจืด หนอนสมอตัวเมียเท่านั้นที่พบเกาะอยู่ตามผิวหนังของปลา โดยเฉพาะบริเวณโคนครีบ ที่ส่วนหัวมีอวัยวะรูปร่างคล้ายสมอเรือแทงทะลุลงไปใต้ผิวหนังลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อสำหรับยึดเกาะกับตัวปลา ทำให้เห็นเฉพาะส่วนลำตัวที่มีลักษณะคล้ายหนอนซึ่งตอนปลายมีถุงไข่อยู่ 1 คู่ โผล่ออกมาจากผิวหนังของปลา บริเวณที่พยาธิชนิดนี้อาศัยอยู่จะเกิดเป็นแผลขนาดใหญ่ได้ เนื่องจากการเข้าทำลายของเชื้อแบคทีเรีย ปลาที่มีหนอนสมอเกาะอยู่มักมีผลตกเลือดตามตัว มีอาการระคายเคือง และผอมลงจนผิดปกติ ถ้าเกิดโรคนี้ในปลาขนาดเล็กอาจทำให้ปลาตายได้ ปลาที่เป็นโรคเนื่องจากหนอนสมอจะว่ายน้ำผิดปกติ กระโดดขึ้นลงบริเวณผิวน้ำและเอาลำตัวสีข้างบ่อ ปลาที่เป็นโรคนี้มีหลายชนิด ได้แก่ ปลาแรด ปลากะพงขาว ปลาบู่ ปลาตะเพียนขาว ปลาแฟนซีคาร์ป ปลาซ่ง ปลาทอง และปลามิดไนท์ เป็นต้น การป้องกันรักษา 1. ควรย้ายปลาที่มีหนอนสมอเกาะอยู่ไปไว้ในถังอื่นประมาณ 3-4 สัปดาห์ ทั้งนี้เพื่อกันไม่ให้ตัวอ่อนของหนอนสมอที่เพิ่งออกเป็นตัวเข้าอยู่อาศัยในปลาตัวอื่น ก็จะทำให้มันตายไปเองได้ 2. แช่ปลาที่มีพยาธินี้ในสารละลายไตรคลอร์ฟอน ในอัตราส่วน 0.5 กรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่นานประมาณ 24 ชั่วโมง แล้วเปลี่ยนน้ำเว้นระยะ 5-7 วัน จึงแช่น้ำซ้ำอีก 2-3 ครั้ง 3. การกำจัดหนอนสมอในบ่อที่ไม่มีปลาอยู่แล้ว สามารถกำจัดให้หมดไปได้โดยการละลาย ไตรคลอร์ฟอน 2 กรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร แล้วสาดลงไปในบ่อให้ทั่ว ทิ้งไว้ 1-2 สัปดาห์ แล้วจึงนำปลากลับมาเลี้ยงตามเดิมได้


โรคที่เกิดจากพยาธิภายใน


โรคพยาธิใบไม้ พยาธิใบไม้ที่ทำให้เกิดโรคปลานั้น พบทั้งขณะที่เป็นตัวเต็มวัยและตัวอ่อน ตัวเต็มวัยของพยาธิใบไม้จะพบได้ในทางเดินอาหาร ไม่ค่อยทำอันตรายต่อปลาเท่าใดนัก ต่างกับตัวอ่อนซึ่งพบฝังตัวอยู่บริเวณเหงือก ภายในช่องท้อง และอวัยวะภายในต่าง ๆ ทำให้เกิดความเสียหายกับเนื้อเยื่อเหล่านั้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในลูกปลาที่เป็นโรคนี้จะมีอาการกระพุ้งแก้มเปิดอ้าอยู่ตลอดเวลา ว่ายน้ำทุรนทุราย ลอยตัวที่ผิวน้ำ ผอม เหงือกบวม อาจมองเห็นจุดขาว ๆ คล้ายเม็ดสาคูขนาดเล็ก เป็นไตแข็งบริเวณเหงือกได้ และปลาจะทยอยตายเรื่อย ๆ ปลาหลายชนิดในแหล่งน้ำธรรมชาติอาจพบพยาธิใบไม้เต็มวัยได้ในลำไส้ ส่วนตัวอ่อนของพยาธิใบไม้พบมากในปลาจีน ปลาดุก ปลานิล ปลาสวาย และปลาสวยงามอีกหลายชนิดที่เลี้ยงในบ่อดินที่มีการใส่ปุ๋ยคอกเพื่อทำให้น้ำเขียว การป้องกันรักษา 1. ควรหลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยคอก เพราะอาจจะมีไข่ของพยาธิใบไม้ติดมาถ้าหากจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยคอก ควรตากให้แห้งเป็นอย่างดีก่อน 2. ตัดวงจรชีวิตของพยาธิชนิดนี้ เช่น การกำจัดหอยออกจากบ่อให้หมด โดยการตากบ่อให้แห้งและโรยปูนขาวให้ทั่วในอัตรา 30-50 กิโลกรัมต่อไร่หลังจากจับปลาขึ้นขายแล้วทุกครั้ง 3. ยังไม่มีวิธีรักษาหรือกำจัดตัวอ่อนของพยาธิใบไม้ที่อาศัยอยู่ในตัวปลา



โรคพยาธิตัวกลม โรคนี้มักพบกับปลาที่อยู่ตามแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือปลาที่เลี้ยงในกระชัง ไม่ค่อยเป็นปัญหาสำหรับปลาที่เลี้ยงในบ่อหรือตู้กระจก ตัวเต็มวัยของพยาธิชนิดนี้มักพบในทางเดินอาหารและหลังลูกตา ตัวอ่อนจะพบได้ในกล้ามเนื้อลำตัว และอวัยวะภายในต่าง ๆ ไม่ทำให้เกิดอันตรายกับปลามากนัก ถ้าพบพยาธิชนิดนี้บริเวณหลังลูกตาจะทำให้ปลามีอาการตาโปน หรือตาขุ่นขาวพยาธิตัวกลมนี้มีขนาดใหญ่มองเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า มีลำตัวยาวเป็นแท่งทรงกระบอกสีขาวขุ่น สีครีม หรือสีแดง การป้องกันรักษา ยังไม่มีวิธีการรักษาที่เหมาะสม


โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย


โรคตัวด่าง ปลาที่เป็นโรคนี้จะมีแผลด่างขาวตามลำตัว โรคนี้มักเกิดกับปลาหลังจากการย้ายบ่อ การลำเลียงหรือขนส่งเพื่อนำไปเลี้ยง หรือในช่วงที่อุณหภูมิของอากาศมีการเปลี่ยนแปลงในรอบวันมาก ปลาที่ติดโรคนี้จะตายเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็วภายใน 24-48 ชั่วโมง ปลาที่พบว่าเป็นโรคนี้อยู่เสมอคือ ปลากะพงขาว ปลาดุก ปลาช่อน ปลาบู่ และปลาสวยงามอีกหลายชนิด การป้องกันรักษา วิธีที่ดีที่สุดที่ควรทำคือ การปรับปรุงสภาพภายในบ่อให้เหมาะสม เช่น การเพิ่มออกซิเจน และการลดอินทรีย์สารในน้ำให้น้อยลง 1. ในขณะขนส่งลำเลียงปลา ควรใส่เกลือเม็ดลงในน้ำที่ใช้สำหรับลำเลียงปลาประมาณ 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1 ลิตร 2. ก่อนปล่อยปลาลงเลี้ยงควรปรับปรุงอุณหภูมิของน้ำในภาชนะบรรจุปลาให้ใกล้เคียงกับน้ำในบ่อก่อน 3. ใช้ด่างทับทิม จำนวน 1-3 กรัมต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่นาน 24 ชั่วโมง เพื่อการรักษา 4. ใช้ฟอร์มาลิน จำนวน 40-50 ซีซี. ต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่นาน 24 ชั่วโมง


โรคท้องบวม สาเหตุของโรคท้องบวมเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย อาการบวมของปลาที่เป็นโรคนี้มี 2 ลักษณะ คือ ลักษณะที่มีสาเหตุจากกระเพาะหรือลำไส้มีก๊าซมาก ส่วนอีกลักษณะ คือ มีเลือดปนน้ำเหลืองในช่องท้อง ปลาที่มีรายงานว่าเป็นโรคนี้ ได้แก่ ปลาดุก ปลาบู่ ปลานิล และปลาสวยงามหลายชนิด การป้องกันรักษา 1. แช่ปลาในยาต้านจุลชีพชนิดออกซี่เตตร้าไซคลิน หรือเตตร้าไซคลิน ในอัตราส่วน 10-30 มิลลิกรัมต่อน้ำ 1 ลิตร 2. การฆ่าเชื้อในบ่อเลี้ยงปลา ควรใช้ปูนขาวโรยให้ทั่วบ่อหลังจากสูบน้ำออกแล้ว 3. ไม่ควรเลี้ยงปลาในปริมาณที่แน่นจนเกินไป และควรให้อาหารอย่างเหมาะสม


โรคเกล็ดตั้ง โรคนี้มักพบได้เสมอไนปลาสวยงาม อาการของโรคอาจพบเกล็ดตั้งเป็นบางส่วนหรือเกล็ดตั้งตลอดลำตัว นอกจากนี้ยังพบลักษณะจุดแดงทั่วตัวโดยเฉพาะบริเวณครีบและลำตัว โรคเกล็ดตั้งที่พบอาจเกิดขึ้นโดยเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเกิดโรคท้องบวมหรืออาจเป็นอาการของโรคโดยเฉพาะที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การป้องกันรักษา 1. แช่ปลาในยาต้านจุลชีพชนิดออกซี่เตตร้าไซคลิน หรือเตตร้าไซคลิน ในอัตราส่วน 10-30 มิลลิกรัมต่อน้ำ 1 ลิตร 2. การฆ่าเชื้อในบ่อเลี้ยงปลา ควรใช้ปูนขาว 50-60 กิโลกรัมต่อไร่ โรยให้ทั่วบ่อหลังจากสูบน้ำออกแล้ว และตากบ่อให้แห้งก่อนเตรียมน้ำเพื่อปล่อยปลาลงเลี้ยงรุ่นใหม่



โรควัณโรคปลา เป็นโรคที่พบเสมอโดยเฉพาะกับปลาที่กินเนื้อเป็นอาหารทั้งที่เลี้ยงในตู้กระจกและในบ่อซึ่งได้แก่ ปลากัด ปลาปอมปาดัวร์ ปลาออสการ์ ปลาคาร์พ ปลาทอง ปลาเทวดา และปลาช่อน สาเหตุของโรคนี้มาจากเชื้อแบคทีเรีย ปลาที่ป่วยส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการภายนอกให้เห็น แต่บางชนิดก็จะแสดงอาการต่าง ๆ ต่อไปนี้ ผอม ไม่กินอาหาร สีซีดลง หรือเข้มขึ้น เกล็ดหลุด ผิวหนังเป็นแผล ครีบเปื่อย / ขาด ขากรรไกรหรือกระดูกสันหลังบิดเบี้ยวหรือผิดรูปไป ตาโปนหรือตาอาจจะหลุดออกมาได้ ตาขุ่น เกิดจุดขาวตามอวัยวะภายใน การป้องกันรักษา เนื่องจากยังไม่มีวิธีการรักษาที่ได้ผลแน่นอน สิ่งที่ควรทำเมื่อเกิดการระบาดของโรค คือ 1. ควรแยกปลาที่เป็นโรคนี้ออก และทำลายให้หมด แล้วฆ่าเชื้อในบ่อเลี้ยงโดยการตากบ่อให้แห้งและใส่ปูนขาวในอัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ 2. หลีกเลี่ยงการให้อาหารมีชีวิต เช่น ลูกน้ำ ลูกไร เนื่องจากเป็นพาหะของโรค 3. สำหรับการป้องกันวัณโรคนั้น ต้องพยายามอย่าเลี้ยงปลาหนาแน่นเกินไป ไม่ว่าจะเป็นลูกปลาหรือปลาใหญ่ และจะต้องรักษาบ่อเลี้ยงให้สะอาดอยู่เสมอ 4. ปลาที่นำมาเลี้ยงควรมาจากแหล่งที่ไม่มีประวัติการเกิดโรควัณโรคปลา 5. โรคนี้อาจทำให้เกิดโรควัณโรคที่ผิวหนังของคนได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสปลาที่เป็นโรคโดยตรง



โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส


ไวรัสจัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอนุภาคเล็กกว่า ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เป็นสารพันธุกรรมที่ถูกห่อโดยโปรตีนที่มีคุณสมบัติเฉพาะ ไม่สามารถเจริญเพิ่มจำนวนในอาหารเลี้ยงเชื้อและในน้ำที่ใช้เลี้ยงปลา ไวรัสจำเป็นต้องอาศัยเซลล์เจ้าบ้านหรือเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในการเพิ่มจำนวน ไวรัสที่ทำอันตรายสัตว์น้ำนั้นมีหลายชนิดด้วยกัน เช่น แรบโดไวรัส (Rhabdovirus) รีโอไวรัส (Reovirus) เบอร์นาไวรัส (Birnavirus) อิริโดไวรัส (Iridovirus) และโนดาไวรัส (Nodavirus) เป็นต้น พฤติกรรมการทำอันตรายต่อสัตว์น้ำของไวรัสชนิดต่าง ๆ จะคล้ายคลึงกันโดยสัตว์น้ำที่ป่วยด้วยโรคไวรัสนั้น มีความสัมพันธ์กับสภาพไม่สมดุลของสิ่งแวดล้อม สภาพการเลี้ยงที่หนาแน่นเกินไป และปริมาณของตัวเชื้อไวรัส โดยปกติเชื้อไวรัสจะก่อให้เกิดโรคและการตายเป็นจำนวนมากกับสัตว์น้ำขนาดเล็กหรือที่อายุยังน้อย อุณหภูมิของน้ำที่ลดต่ำลง จะทำให้ความรุนแรงและการระบาดของเชื้อไวรัสสูงขึ้น ขณะนี้ยังไม่มียาที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อไวรัสในสัตว์น้ำได้ ดังนั้น การควบคุมและการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสจะเป็นแนวทางที่ช่วยลดความสูญเสียได้ โดยการทำลายสัตว์น้ำที่เป็นโรคและฆ่าเชื้อโรคในบ่อเพาะเลี้ยงรวมทั้งสัตว์น้ำที่นำเข้ามาเลี้ยงจะต้องมาจากแหล่งที่ปลอดเชื้อไวรัสเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี ลักษณะอาการ ปลาที่ติดเชื้อไวรัสนั้นมีอาการคล้ายปลาป่วยทั่วไป โดยมีแผลตามผิวตัวบางครั้งลูกตาจะโปนออก ท้องบวมเล็กน้อย และการว่ายน้ำมีอาการหมุนไม่มีทิศทาง ปลาที่ป่วยด้วยเชื้อไวรัสบางครั้งจะพบการติดเชื้อแบคทีเรียด้วย ทำให้มีอัตราการตายสูงมาก ปลาน้ำจืดที่มีการตรวจพบเชื้อไวรัส ได้แก่ ปลาช่อน ปลาบู่ ปลาแรด ปลาหมอ ปลาหางนกยูง ปลาเสือพ่นน้ำ และปลากระดี่ เป็นต้น ส่วนปลาทะเลที่ตรวจพบเชื้อไวรัส ได้แก่ ปลาเก๋า และกะพงขาว การวินิจฉัยโรคติดเชื้อไวรัส ต้องอาศัยห้องตรวจเชื้อที่มีเครื่องมือเฉพาะด้าน แต่ในกรณีโรคติดเชื้อไวรัสที่สามารถวินิจฉัยตามอาการได้โดยเกษตรกร คือ โรคหูดปลาหรือโรคแสนปม


โรคหูดปลาหรือโรคแสนปม เป็นโรคที่พบมากในปลาน้ำกร่อย เกิดจากเชื้อไวรัสในครอบครัวอิริโดไวรัส (Iridovirus) โรคนี้อาจพบได้บ้างในปลาน้ำจืดบางชนิด

ลักษณะอาการ ปลาจะมีตุ่มสีขาวครีม หรือ เทาดำ คล้ายหูดมีขนาดต่าง ๆ กัน มักพบบริเวณหลังและครีบหลังของปลา ตุ่มเหล่านี้มักอยู่รวมกันเป็นกระจุก เนื่องจากการขยายตัวของเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสดังกล่าว ปลาที่พบว่าเป็นโรคนี้ได้แก่ ปลากะพงขาว ปลาตะกรับ ปลากระดี่หม้อ และปลาแป้นน้ำจืด เป็นต้น

การป้องกันและรักษา ในขณะนี้ยังไม่มียาหรือสารเคมีที่ใช้รักษาปลาป่วยที่ติดเชื้อไวรัสได้ แต่ปลาที่เป็นโรคหูดปลานี้สามารถหายเป็นปกติได้เองในกรณีที่มีอาการป่วยไม่มาก โดยการปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เช่น เลี้ยงปลาไม่แน่นจนเกินไป อาหารมีคุณภาพดี และมีการหมุนเวียนถ่ายเทน้ำที่เหมาะสม



โรคที่เกิดจากปัจจัยอื่น ๆ


การขาดออกซิเจนในบ่อเลี้ยง

ปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำที่มีปริมาณออกซิเจนไม่เพียงพอมักจะว่ายน้ำเร็วกว่าปกติ กระวนกระวายและพยายามกระโดดออกจากบ่อ หรืออาจว่ายอยู่บริเวณใกล้ผิวน้ำ และโผล่ส่วนปากขึ้นมาเหนือน้ำเพื่อฮุบอากาศ การขาดออกซิเจนในน้ำในบ่อเลี้ยงมักเกิดจาก 1. การไม่เปลี่ยนถ่ายน้ำทำให้มีสารอินทรีย์สะสมในบ่อมาก หรือให้อาหารมากเกินไป อาหารที่เหลือจะเกิดการเน่าเสียและแบคทีเรียใช้ออกซิเจนในการย่อยสลายอินทรีย์มาก ทำให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง 2. การที่น้ำมีอุณหภูมิสูงจะมีผลช่วยเร่งปฏิกริยาการเน่าเสียของอาหารทำให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง 3. การตายของแพลงก์ตอน สาหร่าย หรือพืชน้ำในบ่อจะทำให้ออกซิเจนต่ำ 4. การใช้สารเคมีบางชนิดเพื่อรักษาโรคก็อาจทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจนได้ เช่น ฟอร์มาลิน ด่างทับทิม เป็นต้น 5. การเลี้ยงปลาในอัตราปล่อยที่หนาแน่นเกินไป การป้องกันการขาดออกซิเจน ในบ่อเลี้ยง ทำได้โดยการดูแลความสะอาดของบ่อ มีระบบการให้อากาศที่ดีและมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำอยู่เสมอ โดยดูดน้ำจากก้นบ่อออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ควรเลี้ยงปลาในปริมาณที่ไม่หนาแน่นจนเกินไป


ความเป็นกรด – ด่างของน้ำ (pH)

ความเป็นกรดหรือด่างนั้นวัดด้วยค่า pH (พีเอช) ถ้า pH ต่ำกว่า 7 แสดงว่าน้ำมีสภาพเป็นกรด หาก pH เท่ากับ 7 แสดงว่าเป็นกลาง และ pH สูงกว่า 7 แสดงว่าเป็นด่าง

ปลาแต่ละชนิดจะมีความทนทานต่อความเป็นกรด- ด่างของน้ำได้ต่างกันปลาบางชนิดสามารถอยู่ได้ในน้ำที่เป็นกรดอ่อน แต่ส่วนมากปลาจะชอบน้ำที่เป็นกลางหรือด่างอ่อน ๆ หากน้ำมีสภาพเป็นกรดมากเกินไปจะทำให้ปลามีผิวหนังซีดหรือขาวขุ่นได้ ท้ายที่สุดปลาอาจตายได้ ดังนั้นจึงควรตรวจสอบสภาพความเป็นกรด – ด่าง ของน้ำอยู่เสมอ การปรับสภาพความเป็นกรด-ด่าง ของน้ำอาจทำได้โดยใช้ปูนขาว ถ้าน้ำมีสภาพเป็นด่างมาก (ค่า pH 8-9 หรือสูงกว่า) จะทำให้ครีบปลากร่อนและเกิดอาการระคายเคืองที่บริเวณเหงือก การป้องกันไม่ให้ pH ของน้ำสูงเกินไป ทำได้โดยการควบคุมไม่ให้สีของน้ำในบ่อเขียวจัดจนเกินไป การที่น้ำสีเขียวจัดแสดงว่ามีอาหารมากเกินไปและประกอบกับก้นบ่อไม่สะอาด ควรจะถ่ายน้ำออกบางส่วน


สารพิษในน้ำ

บ่อหรือตู้เลี้ยงปลาอาจมีสารพิษปะปนอยู่ในน้ำ อุปกรณ์ที่ใช้กับตู้ปลาหลายชนิดที่มีส่วนประกอบเป็นพวกสารพิษอยู่ด้วย เช่น ท่อยางฉาบสีต่าง ๆ กาวสำหรับทาขอบตู้ปลา ซีเมนต์หรือสีชนิดต่าง ๆ ในบ่อเลี้ยงปลาอาจมีสารพิษจำพวกยาฆ่าแมลง เช่น ดีดีที หรือสารมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมปะปนได้ ปลาจะดูดซึมสารพิษเหล่านี้เข้าไปในตัวโดยผ่านทางเหงือกและผิวหนัง นอกจากนี้ในบ่อเลี้ยงอาจเกิดสารประกอบจำพวกไนไตรท์และแอมโมเนีย ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเน่าของอาหารหรือการสะสมของของเสียต่าง ๆ ภายในบ่อ การป้องกัน ทำได้โดยพยายามหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งที่คาดว่าจะนำสารพิษมาสู่บ่อปลา และควรเลือกแหล่งน้ำที่จะนำมาใช้ในการเลี้ยงปลาเป็นแหล่งที่ปลอดสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม การเกษตรอื่น ๆ และบ้านเรือน


ปริมาณคลอรีนในน้ำ

ถ้าน้ำมีปริมาณคลอรีนอยู่เกินกว่า 4 มิลลิกรัม/ลิตร จะเป็นอันตรายต่อปลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกปลา สารคลอรีนนี้จะไปรบกวนระบบการแลกเปลี่ยนแร่ธาตุและออกซิเจนที่เหงือกของปลา ทำให้ปลามีอาการช็อก ดิ้นทุรนทุรายและตายในที่สุด โดยทั่วไปน้ำประปามีปริมาณคลอรีน 1-2 มิลลิกรัม/ลิตร ดังนั้นก่อนที่จะนำมาใช้เลี้ยงปลาจึงควรตั้งทิ้งไว้กลางแจ้ง นานประมาณ 2 วัน และเติมอากาศลงในน้ำด้วย เพื่อให้คลอรีนระเหยออกไปเสียก่อนจะนำมาใช้ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้น้ำที่มีคลอรีนโดยรีบด่วน อาจใช้โซเดียมไทโอซัลเฟต ซึ่งมีลักษณะเป็นผลึกใส ๆ ใส่ลงในน้ำอัตรา 10-20 กรัมต่อน้ำ 1,000 ลิตรก่อนก็จะช่วยกำจัดคลอรีนได้


อุณหภูมิที่ผิดปกติ

ถ้าอุณหภูมิของน้ำเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันอาจทำให้ปลาตายได้ โดยทั่วไปถ้าอุณหภูมิรอบวันเปลี่ยนแปลงอยู่ในระหว่าง 1-2 องศาเซลเซียส ปลาส่วนใหญ่จะปรับตัวทัน ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่เกิดขึ้นเสมอ คือ การขนถ่ายปลาจากบ่อหนึ่งไปยังอีกบ่อหนึ่ง ดังนั้นจึงควรระมัดระวังให้มากในช่วงการขนถ่ายดังกล่าว ถ้าปลาเกิดการช็อกเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างกะทันหันมักทำให้ปลานั้นอ่อนแอลงและติดเชื้อได้ง่าย ปลาที่อยู่ในน้ำที่เย็นมากหรือมีอุณหภูมิต่ำผิดปกติ จะมีลักษณะผิวหนังซีด และเกิดการติดเชื้อราหรือแบคทีเรียได้ง่าย


การผิดปกติเนื่องจากการทำงานของอวัยวะภายใน


การเกิดไขมันพอกตามอวัยวะภายใน

ปลาที่เลี้ยงในตู้ส่วนมากมักจะว่ายน้ำในที่แคบหรือเคลื่อนไหวน้อยประกอบกับการให้อาหารมากเกินความต้องการ ทำให้เกิดมีไขมันพอกสะสมตามอวัยวะภายในต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผนังยึดลำไส้ รังไข่ และตับ ปลาที่เป็นโรคไขมันอุดตันที่ตับ จะทำให้ตับทำงานไม่เป็นปกติ และเกิดโรคได้ง่าย ปลาที่อ้วนเกินไปจึงไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ เพราะอวัยวะสืบพันธุ์ไม่สามารถเจริญและพัฒนาได้เต็มที่ เนื่องจากไขมันสะสมอยู่ โรคนี้จะป้องกันได้โดยการให้อาหารที่มีคุณค่าในปริมาณที่เหมาะสม ลดปริมาณไขมันและคาร์โบไฮเดรต (แป้ง) ลงจากสูตรอาหาร


การขาดวิตามิน

อาหารปลาที่มีชีวิต เช่น พวกไรน้ำ หนอนแดง ตลอดจนพวกสาหร่ายและพืชต่าง ๆ เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน แต่เนื่องจากอาหารมีชีวิตบางชนิด เช่น ไรน้ำ หนอนแดง เป็นพาหะของโรค เกษตรกรจึงเปลี่ยนมาใช้อาหารสำเร็จรูปมากขึ้น การใช้อาหารสำเร็จรูปหรือผสมอาหารเองนั้นควรระวังปัญหาการขาดวิตามินซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการสลายตัวของโปรตีน เช่น

การขาดวิตามินเอ จะส่งผลกระทบถึงการทำงานของระบบย่อยอาหารและระบบประสาท ทำให้การเจริญเติบโตของปลาช้าลง

การขาดวิตามินบี 1 หรือวิตามินบีรวม อาจทำให้ภูมิต้านทานโรคในปลาลดลง และอาจก่อให้เกิดอาการอื่น ๆ ด้วย

การขาดวิตามินซี เป็นอีกโรคหนึ่งที่พบเสมอในการเลี้ยงปลาดุก โดยปลาจะมีอาการหัวแตกและหนวดกุด วิธีแก้ไขทำได้โดยการผสมวิตามินซีในอาหารอัตรา 1 กรัม ต่ออาหาร 1 กิโลกรัม


โรคฟองอากาศ

โรคนี้มักจะเกิดขึ้นในขณะที่น้ำมีไนโตรเจนหรือออกซิเจนละลายอยู่เกินจุดอิ่มตัว แล้วเกิดลดความดันอย่างกะทันหัน ก๊าซในเส้นเลือดของปลาโดยเฉพาะไนโตรเจนจะถูกปล่อยออกมาเป็นฟองอากาศอย่างรวดเร็วเพื่อปรับความดันในเลือดให้ลดต่ำลงเช่นกัน จึงเกิดเป็นฟองอากาศขึ้นในท่อเลือดขนาดเล็กลูกปลาวัยอ่อน ฟองอากาศจะเกิดตามบริเวณใต้ผิวหนัง และที่ถุงอาหาร สำหรับปลาโตเต็มวัยนั้นจะเกิดตามบริเวณตา ผิว เหงือก และที่ปาก การป้องกันและรักษา

แยกปลาที่มีอาการผิดปกตินี้ออกไปเลี้ยงในบ่ออื่น การป้องกันอาจทำได้โดยการพ่นอากาศในบ่อพักน้ำก่อนที่จะนำมาเปลี่ยนถ่าย เพื่อลดความดันก๊าซลงก่อน ถ้าในตู้ปลาที่มีพืชน้ำก็ควรระวังไม่ให้พืชน้ำได้รับแสงแดดมากเกินไป การที่อุณหภูมิของน้ำเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอาจะเป็นเหตุให้ความดันของก๊าซในน้ำลดลงด้วย ดังนั้นจึงควรระวังไม่ให้อุณหภูมิของน้ำเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเพื่อป้องกันโรคฟองอากาศในปลา


ข้อควรระวังในการใช้ยาและสารเคมีในปลาสวยงาม

a. ควรใช้ยาและสารเคมีตามคำแนะนำของนักวิชาการประมงหรือสัตวแพทย์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านโรคปลา b. การใช้ยาต้านจุลชีพ ควรใช้ยาที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาโดยใช้ตามรายละเอียดที่ระบุไว้ในฉลากของยา เพื่อให้ผลการรักษาโรคมีประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัย c. ไม่ควรใช้ยาที่เสื่อมคุณภาพ หรือยาที่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางด้านภายภาพ เช่น สี กลิ่น ตกตะกอน ความขุ่น เพราะทำให้การรักษาโรคปลาไม่ได้ผล d. กรณีที่ใส่สารเคมีลงไปในน้ำเพื่อการรักษาโรค ควรคำนวณปริมาตรน้ำให้ถูกต้อง เพราะจะส่งผลถึงประสิทธิภาพในการรักษาหรือความเป็นพิษต่อปลา e. ควรหลีกเลี่ยงการรักษาโรคปลาด้วยยาหรือสารเคมีตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปพร้อม ๆ กัน ยกเว้นแต่จะอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของนักวิชาการประมงหรือสัตวแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญในการรักษาโรคปลา f. ควรเพิ่มออกซิเจนในน้ำระหว่างการรักษาโรคโดยเฉพาะยาหรือสารเคมีที่มีผลทำให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง g. ควรลดปริมาณอาหาร หรืองดอาหารในระหว่างการรักษาโรค h. ควรสังเกตอาการของปลาอย่างใกล้ชิดในระยะเวลา 30 นาที – 1 ชั่วโมงแรกหลังจากมีการใช้ยาหรือสารเคมี หากสัตว์น้ำมีอาการกระวนกระวาย ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำทันที 50-70 % i. ควรเตรียมน้ำที่มีคุณภาพดีและมีปริมาณมากเพียงพอสำรองไว้เมื่อมีการใช้ยาหรือสารเคมีทุกครั้ง เพื่อจะได้มีน้ำเปลี่ยนได้รวดเร็วและทันเวลา ในกรณีที่เกิดความเป็นพิษของสารเคมีหรือยาที่ใช้ j. ควรจัดอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ในการรักษาโรคปลาที่ป่วยให้เป็นสัดส่วนไม่ใช้ร่วมกับปลาปกติ และควรมีการทำความสะอาดทุกครั้งด้วยยาฆ่าเชื้อหลังจากใช้งานแล้ว k. สารเคมีหลายชนิดอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ถ้าจำเป็นต้องใช้ ควรใช้อย่างระมัดระวังและไม่ควรสัมผัสกับยาหรือสารเคมีโดยตรง