ธรรมทาส พานิช

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

นายธรรมทาส พานิช เดิมชื่อ ยี่เกย พานิช เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวน 3 คน ของนายเซี้ยง นางเคลื่อน พานิช มีพี่ชายคือท่านพุทธทาสภิกขุ และน้องสาวคือ นางกิมช้อย เหมะกุล นายธรรมทาสเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2451 ที่บ้านพุมเรียง หมู่ที่ 2 ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครอบครัวมีอาชีพค้าขาย บิดาเป็นคนไทยเชื้อสายจีนฮกเกี้ยน มารดาเชื้อสายไทย

[แก้] การศึกษา

เมื่ออายุได้เจ็ดขวบได้เข้ารับการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนโพธิพิทยากร จนจบชั้นประถม ปีที่ 4 และเรียนต่อชั้นมัธยม 1-3 ที่นี่ต่อไปอีก หลังจากนั้นได้เข้าเรียนต่อมัธยมปีที่ 4 ที่โรงเรียนสารภีอุทิศ เรียนได้ครึ่งปีบิดาเสียชีวิต จึงบวชเป็นสามเณรจำพรรษาที่พุมเรียง 1 ปี ในปีที่ 2 ได้ไปจำพรรษาที่วัดไตรธรรมารามและเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำมณฑลสุราษฎร์ จนจบมัธยมปีที่ 5 แล้วลาสึกและเรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในปี พ.ศ. 2466 และได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จนจบชั้นมัธยมปีที่ 8 หลังจากนั้น ได้สอบเข้าศึกษาเตรียมแพทย์ปีที่ 1 ที่คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียนได้ 1 ภาคเรียนก็ตัดสินใจลาออกเนื่องจากพี่ชายคือพระเงื่อมไม่ลาสิกขาบท ตามกำหนด เพื่อช่วยมารดาดำเนินกิจการค้าขายและเพื่อพระเงื่อมพี่ชายจะได้บวชต่อไป

[แก้] ผลงาน

นายธรรมทาส พานิช สนใจพุทธศาสนาและอยากส่งเสริมให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ตอนเข้าเรียนเตรียมแพทย์ เขาได้ค้นคว้าบทความที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งของชาวไทยและชาวต่างชาติมากมาย ครั้นกลับบ้านในปี พ.ศ. 2470 เขาได้รวบรวมหนังสือต่างๆ จัดตั้งหีบหนังสือเพื่อให้ผู้สนใจได้ยืมอ่านขึ้นเมื่อปี 2472 มีกลุ่มผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมนี้หลายคนและได้มีผู้บริจาคหนังสือในกิจการนี้หลายราย ต่อมาในปี พ.ศ. 2475 นายธรรมทาสได้จัดตั้งคณะธรรมทานขึ้นโดยนางเคลื่อน พานิช ผู้เป็นมารดาได้บริจาคเงินเป็นทุนดำเนินการระยะแรก เพื่อไว้ใช้ดอกผลในกิจการพุทธศาสนา โดยเฉพาะส่งเสริมการปฏิบัติธรรมของสวนโมกขพลาราม ซึ่งตั้งขึ้นที่วัดตระพังจิต ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา คณะธรรมทานที่ตั้งขึ้นนี้ได้รับ การสนับสนุนจากบุคคลและหน่วยงานต่างๆ เป็นอย่างดี

จากการที่นายธรรมทาสได้ศึกษาเกี่ยวกับพุทธศาสนาอย่างกว้างขวาง ทำให้ท่านเห็นว่าควรเผย แพร่ต่อผู้อื่นด้วย จึงได้นำความรู้มาเขียนบทความและบางคราวก็แปลเรื่องจากหนังสือที่ได้อ่านออกเผยแพร่และต่อมาในปี 2476 ได้ตั้งโรงพิมพ์ธรรมทานขึ้นเพื่อพิมพ์เอกสารและหนังสือเผยแพร่งานศาสนา สำหรับหนังสือที่พิมพ์เผยแพร่เป็นรายสามเดือนชื่อ "พุทธศาสนา"

ในปี พ.ศ. 2479 นายธรรมทาสเล็งเห็นว่าในตลาดไชยายังไม่มีโรงเรียน ทำให้นักเรียนต้องเดิน ทางไกลไปเรียนที่อื่น จึงตัดสินใจจัดตั้งโรงเรียนพุทธนิคมขึ้น โรงเรียนนี้ได้จัดอบรมนักเรียนในทางพุทธศาสนาควบคู่ไปด้วย ทำนองเดียวกับโรงเรียนมิชชันนารี คือ นักเรียนจะต้องปฏิบัติตาม วินัยของโรงเรียนที่เรียกว่า "กฎชาวพุทธ" โดยละเว้นสิ่งเสพติด การพนันและความฟุ่มเฟือย มีความเพียรในการทำงาน ไม่เลือกงาน และประพฤติตามหลักพุทธศาสนา

ในปี พ.ศ. 2496 นายธรรมทาสได้จัดตั้งคณะธรรมทานเป็นมูลนิธิ เพื่อให้การอุปถัมภ์แก่กิจการของโรงเรียน ให้ทุนนักเรียนเผยแพร่ธรรมะโดยการพิมพ์หนังสือออกเผยแพร่และส่งเสริมสนับสนุนสำนักปฏิบัติธรรมสวนโมกขพลาราม กิจการของมูลนิธิได้เจริญก้าวหน้าตามลำดับซึ่งเป็นหลักสำคัญในการสนับสนุนการเผยแพร่พุทธศาสนาของสวนโมกขพลารามมาจนถึงปัจจุบัน

นอกจากนายธรรมทาสสนใจต่อพุทธศาสนาอย่างจริงจังแล้ว ท่านยังสนใจศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ภาคใต้ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับหลักฐานทางโบราณคดีของไชยา ผลงานที่พิมพ์เผยแพร่ได้แก่ พนม ทราวดี ศรีวิชัย ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาสมัยศรีวิชัย พระแก้วมรกตของไทยและนิพพานธรรมใน ประวัติศาสาตร์สุวรรณภูมิ เป็นต้น

นายธรรมทาส แต่งงานกับนางพร้อม ทั่งสุสังข์ มีบุตรธิดารวมทั้งหมด 5 คน คือ นายสิริ นายประชา นางสุนทรี นายไมตรี และนายเมตตา

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา นายธรรมทาสไม่ได้เดินทางไปที่ใดไกลๆ เพราะสายตาไม่ดีแต่ นายธรรมทาสยังคงศึกษาค้นคว้างานทางโบราณคดี เขียนบทความทางศาสนาดูแลกิจการของโรงเรียน ธรรมทานมูลนิธิ โรงพิมพ์ และช่วยเหลือกิจการของสวนโมกขพลารามอย่างเอาจริงเอาจังมาโดยตลอด ภารกิจประจำวันของท่านในปัจจุบันนี้คือ ตื่นนอนเช้า เดินเล่น ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ต้อนรับแขก ฯลฯ และเข้านอนในเวลา 4 ทุ่มเป็นประจำ ชีวิตครอบครัว ของท่านมีแต่ความสุขสงบจนถือได้ว่าเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนทั่วไป

นายธรรมทาสเป็นผู้ที่ทำงานหนักมาโดยตลอด ผลงานของท่านล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างกว้างขวาง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้เล็งเห็นความสำคัญของท่านและผลงาน จึงได้มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตให้แก่ท่าน นับเป็นการสมควรอย่างยิ่ง

[แก้] อ้างอิง

จากหนังสือสุราษฎร์ธานีของเรา ชวน เพชรแก้ว,สบาย ไสยรินทร์