พระเจ้าติโลกราช

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

พระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. 1952พ.ศ. 2030) พระมหากษัตริย์องค์ที่ 11 (ล้านนาคดีว่าเป็นลำดับที่ 9) แห่งราชวงศ์เม็งรายที่ครองนครเชียงใหม่ (ครองราชย์ พ.ศ. 1985พ.ศ. 2030) พระมหากษัตริย์แห่ง อาณาจักรล้านนาคู่ปรับร่วมสมัยกับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ผู้ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาและสร้างความเข้มแข็งเป็นปึกแผ่นแก่อาณาจักรล้านนา พระนามเดิมคือ “เจ้าลก” เป็นโอรสองค์ที่ 6 ของพระเจ้าสามฝั่งแกน ซึ่งมีพระโอรส 10 พระองค์ต่างมารดากัน มีนามว่า เจ้าอ้าย เจ้ายี่ เจ้าสาม เจ้าไส เจ้าเงา เจ้าลก เจ้าเจ็ด เจ้าแปด เจ้าเก้า เจ้าสิบ และโปรดให้พระโอรสไปครองเมืองต่างๆ กัน โดยเจ้าลกได้ไปครองเมืองพร้าววังหิน


สารบัญ

[แก้] การชิงราชสมบัติจากพระบิดา

เมื่อเจ้าลกได้ไปครองเมืองพร้าววังหินได้ระยะหนึ่งพระบิดาก็เนรเทศไปครองเมืองยวม เพราะทรงทำผิดทางอาญาเนื่องจากมีอำมาตย์คนหนึ่งชื่อ “สามเด็กย้อย” คิดเอาราชสมบัติให้เจ้าลก ได้ซ่องสุมกำลังลอบไปรับเจ้าลกจากเมืองยวมมาซุ่มและซ่อนตัวไว้ที่นครเชียงใหม่ในขณะที่พระเจ้าสามฝั่งแกนประทับอยู่ที่เวียงเจ็ดสิน การเริ่มชิงราชสมบัติทำโดยการเผาเวียงเจ็ดสิน เมือ่พระเจ้าสามฝั่งแกนทรงทราบก็รีบหนีไปเชียงใหม่ เจ้าลกและขุนสามเด็กย้อยก็ได้เข้าจับกุมตัวบิดาแล้วบังคับให้เวนราชสมบัติให้แก่พระองค์

[แก้] การขึ้นครองราชย์

พระเจ้าสามฝั่งแกนจำต้องมอบราชสมบัติให้เจ้าลกเป็นพระเจ้าเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 1985 ทรงพระนามว่า พระมหาศรีสุธรรมติโลกราช มีพระชนมายุ 34 พรรษา ส่วนพระราชบิดาถูกส่งตัวไปไว้ที่เมืองสาดและปูนบำเหน็จความชอบขุนสามเด็กย้อยเป็นเจ้าแสนขาน แต่อยู่มาได้เพียง 1 เดือน 15 วัน เจ้าแสนขานก็คิดการเป็นขบถอีก พระเจ้าติโลกราช จึงให้อาของเจ้าแสนขาน คือหมื่นโลกนครผู้ครองเมืองลำปางไปจับตัวไปคุมขังแต่ไม่ให้ทำร้าย เมื่อพ้นโทษได้โปรดให้เจ้าแสนขานไปครองเมืองเชียงแสน

[แก้] การทำสงครามกับกรุงศรีอยุธยา

อาณาจักรล้านนาในสมัยพระเจ้าติโลกราช ได้ทำสงครามกับกรุงศรีอยุธยาหลายครั้งด้วยกับ ในปี พ.ศ. 1985 เจ้าเมืองเทิง แห่งอาณาจักรล้านนา (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดน่าน) เกิดเป็นศัตรูกับพระเจ้าติโลกราช ได้ขอสวามภักดิ์ต่อกรุงศรีอยุธยาซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบรมราชาธิราช ที่ 5 (เจ้าสามพระยา) จึงทรงถือเป็นโอกาสเสด็จยกทัพไปตีนครเชียงใหม่ แต่ไปไม่ทันถึง พระเจ้าติโลกราชได้จับเจ้าเมืองเทิงประหารชีวิตเสียก่อน กองทัพไทยที่ยกไปถึงได้แต่เพียงจับชาวล้านนาไปเป็นเชลย แต่ก็ถูกอุบายชาวล้านนาปลอมเป็นตะพุ่นช้างปะปนในกองทัพไทยและถือโอกาสยามวิกาลตัดปลอกช้าง ฟันหางช้างจนช้างจนแตกตื่นแล้วฟันนายช้างตาย ทัพเชียงใหม่ได้ยินเสียงอึกทึกก็ได้ยกเข้าตีกองทัพกรุงศรีอยุธยาแตกพ่ายไป เจ้าสามพระยาได้พยายามอีกครั้งหนึ่งโดยยกทัพกรุงศรีอยุธยาเข้าตีเมืองเชียงใหม่แต่ทรงประชวรสิ้นพระชนม์กลางทาง

[แก้] พระเจ้าติโลกราชในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

[แก้] คู่ปรับ

ในสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991พ.ศ. 2031) ก่อนขึ้นครองราชย์ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถประทับอยู่ที่เมืองพิษณุโลก เมื่อขึ้นครองราชย์ได้เสด็จลงมาประทับที่กรุงศรีอยุธยา เป็นเหตุให้เจ้าเมืองต่างๆ ชิงอำนาจกันเอง พระเจ้าติโลกราชเห็นโอกาส จึงเริ่มเป็นฝ่ายรุกรานอาณาเขตไทยของกรุงศรีอยุธยาตอนบน โดยได้พยายามยกเข้าตีเมืองสุโขทัยเมื่อ พ.ศ. 1994 แต่เมื่อทรงทราบข่าวว่าพระเจ้ากรุงล้านช้างยกทัพมาประชิดแดนลานาไทยจึงโปรดให้ยกทัพกลับ แต่กองทัพกรุงศรีอยุธยาตามไปตีกองหลังของกองทัพพระเจ้าติโลกราชแตกที่เมืองเถินแตกพ่ายไป

ครั้นถึง พ.ศ. 2004 พระเจ้าติโลกราชยกทัพลงมาตีหัวเมืองตอนเหนือของไทยอีก แต่บังเอิญพวกฮ่อยกกำลังมาตีแดนเชียงใหม่ก็จำต้องยกทัพกับไปรักษาเมืองเชียงใหม่ อย่างไรก็ดี พระเจ้าติโลกราชได้พยายามยกทัพมารบกวนหัวเมืองฝ่ายเหนือของไทยอยู่เนืองๆ เป็นเหตุให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเปลี่ยนนโยบายเสด็จขึ้นไปประทับครองราชสมบัติเสีย ณ เมืองพิษณุโลกเมื่อ พ.ศ. 2006 เพื่อสะดวกในการจัดกำลังทัพคอยรับข้าศึกฝ่ายเหนือ อีกทั้งยังทำหัวเมืองฝ่ายเหนือซึ่งมักแก่งแยกอำนาจกันและแตกออกจากฝ่ายกรุงศรีอยุธยามีความสามัคคีด้วยความยำเกรงสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์ได้ประทับครองราชย์อยูที่เมืองพิษณุโลกจนสิ้นรัชกาล เมื่อ พ.ศ. 2031 แต่กระน้นก็ยังต้องคอยสู้รบกับการรังควาญของพระเจ้าติโลกราชอยู่เรื่อยมา

[แก้] การโอนอ่อนเป็นพันธมิตร

ใน พ.ศ. 2008 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงผนวชที่วัดจุฬามณี เมืองพิษณุโลก พระเจ้าติโลกราชได้โปรดให้หมื่นล่ามแขกเป็นราชทูตพร้อมด้วยพระเทพคุณเถระและพระอับดับ 12 รูปลงมาเมืองพิษณุโลกเพื่อเข้าเฝ้าถวายเครื่องสักการะแด่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์ได้ทรงถือโอกาสให้พระเถระเจรจาขอเมืองสวรรคโลกคืนจากพระเจ้าติโลกราชแต่ไม่เป็นผล เมือทรงลาผนวชแล้วจึงได้ออกอุบายให้พระเถระพุกามรูปหนึ่งไปเป็นไส้สึก ยุแยงให้พระเจ้าติโลกราชเกิดความระแวงสงสัยบรรดข้าราชบริพาร จนถึงกับสำเร็จโทษท้าวบุญเรืองราชโอรส รวมทั้งการลงโทษหมื่นด้งนครผู้เป็นอาอีกด้วย

พระเจ้าติโลกราชเพียรพยายามทำสงครามกับฝ่ายกรุงศรีอยุธยาต่อเนื่องมาเป็นเวลา 20 ปี ก็มิประสบผลสำเร็จแต่ประการใด ทั้งเสียไพร่พลไปก็มาก ดินแดนก็ยังมีเท่ากับเมื่อขึ้นครองราชย์ ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2018 พระเจ้าติโลกราชจึงทรงติดต่อกับฝ่ายกรุงศรีอยุธยาขอเป็นไมตรีกัน ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาซึ่งบอบช้ำมากพอกันจึงรับข้อเสนอของพระเจ้าติโลกราช ในปลายสมัยของรัชกาลของทั้งสองพระองค์อาณาจักรล้านนากัยกรุงศรีอยุธยาจึงมีความสงบเป็นไมตรีกันจนสิ้นรัชกาล

[แก้] พระกรณียกิจ

พระเจ้าติโลกราชนอกจากการเป็นนักรบที่สามารถที่แผ่ขยายอำนาจของเมืองเชียงใหม่ไปทั่วหัวเมืองต่างๆ ทั่วอาณาจักรล้านนาแล้ว พระองค์ยังได้ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น ทรงเอาใจใส่ด้านศิลปะที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา ในปี พ.ศ. 1985 ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลบวชกุลบุตรเป็นพระภิกษุ 500 รูปในอุทกสีมา แม่น้ำปิง ในปี พ.ศ. 1990 เมื่อพระราชบิดา พระเจ้าสามฝั่งแกนสิ้นพระชนม์ได้จัดการปลงพระศพแล้วสถาปนาพระสถูปบรรจุพระอัฐิไว้ ณ ป่าแดงหลวง โดยบุทองแดงแล้วปิดทองทั้งองค์ เมื่อเสร็จงานในปีเดียวกันก็ออกผนวชโดยให้พระมารดาว่าราขการแทนพระองค์ ทั้งนี้เพื่อศึกษาปฏิบัติพระธรรมวินัย ต่อมาเมื่อพระมารดาสิ้นพระชนม์ก็ถวายพระเพลิง ณ สถานที่เดียวกันกับพระบิดา แล้วสถาปนาที่นั้นเป็นพระอารามในปี พ.ศ. 1994 โดยทรงขนานนามว่าวัดอโสการามวิหาร ลุถึงปี พ.ศ. 1998 โปรดให้สร้างวัดโพธารามวิหาร หรือวัดเจดีย์เจ้ดยอด

[แก้] การสังคายนาชำระพระคัมภีร์พระไตรปิฏก

ที่วัดเจดีย์เจ็ดยอดนี้เองที่พระเจ้าติโลกราชทรงโปรดให้ชุมนุมพระเถนานุเถระ โดยมีพระธรรมทินมหาเถระ เจ้าอาวาสวัดป่าตาลเป้นประธาน กระทำสังคายนาชำระพระคัมภีร์พระไตรปิฎกที่วัดโพธารามนี้ได้รับการยอมรับต่อเนื่องต่อเนื่องว่าเป็นการสังคายนาครั้งที่ 8 ในประวัติพระพุทธศาสนต่อจากที่ทำมาแล้ว 7 ครั้งในประเทศอินเดียและศรีลังกา โดยเรียการสังคายนาครั้งที่ 8 ที่เชียงใหม่นี้ว่า “อัฏฐสังคายนา” ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยนี้ จนเป็นที่เลื่องลือพระเกียรติยศไปทั่วประเทศข้างเคียง ทำให้พระเจ้าติโลกราชได้รับากรเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า “พระเจ้าศิริธรรมจักรวัติโลกราชามหาธรรมิกราช พระเจ้านครพิงค์เชียงใหม่”

[แก้] การก่อสร้างและปฏิสังขรพระพุทธสถาน

เมื่อปี พ.ศ. 2022 พระเจ้าติโลกราชโปรดให้หมื่นด้ามพร้าคตเดินทางไปถ่ายแบบโลหปราสาท และรัตนมาลีเจดีย์ที่เมืองลังกาเพื่อนำแบบมาปฏิสังขรพระเจดีย์ใหญ่ที่วัดเจดีย์หลวงที่พระเจ้าแสนเมืองมา กษัตริย์องค์ที่ 9 แห่งราชวงษ์เม็งรายโปรดฯ ให้สร้างขึ้น พระเจดีย์ใหญ่องค์นี้จึงได้รับการขยายเสริมฐานให้กว้างเป็น 70 เมตร สูง 88 เมตร โปรดให้บรรจุพระบรมธาตูที่ได้มาจากลังกาไว้ในองค์พระเจดีย์นี้ พร้อมทั้งโปรดฯ ให้สร้างหอพระแก้วตามอย่างโลหปราสาทที่ลังกา แล้วอาราธนาพระแก้วมรกตและพระแก้วขาวมาไว้ในหอพระแก้ววัดเจดีย์หลวงนื

ในปี พ.ศ. 2025 โปรดฯ ให้อัญเชิญพระพุทธปฏิมากรแก่นจันทน์แดงจากวิหารวัดป่าแดงเหนือเมืองพะเยามาไว้ที่นครเชียงใหม่ โดยเสด็จไปรับด้วยพระองค์เองที่เมืองลำพูน ตลอดเวลาในช่วงปลายรัชกาล พระเจ้าติโลกราชได้สนพระทัยทะนุบำรุงพระศาสนาเป็นอันมาก ได้โปรดฯ ให้หล่อพระพุทธรูปทองคำองค์หนึ่งและโปรดฯ ให้บรรจุพระบรมธาตู 500 องค์ ขนานนามว่า พระป่าตาลน้อย ประดิษฐานไว้ ณ วัดป่าตาลวัน ที่ซึ่งพระธรรมทินเถระผู้เป็นประธานในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 เป็นเจ้าอาวาส

พระเจ้าติโลกราชสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2330 ก่อนสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเพียงปีเดียว หลังครองราชย์มาเป็นเวลานานถึง 44 ปี พระองค์ได้ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่อาณาจักรล้านนาและนครเชียงใหม่มากที่สุดพระองค์หนึ่ง เพื่อเป็นเกียรติแก่พระองค์ ทางราชการจึงได้ตั้งชื่อหอประชุมใหญ่ของจังหวัดเชียงใหม่ว่า “หอประชุมติโลกราช”

[แก้] อ้างอิง

  • วิลาสวงศ์ พงศะบุตร ติโลกราช สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิยสถาน เล่ม 13 พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ 2524
  • สรัสวดี อ๋องสกุล เว็บไซต์ล้านนาคดี 2530 [[1]]