พื้นที่ชุ่มน้ำ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

พื้นที่ชุ่มน้ำเขตร้อน -ป่าพรุศูนย์พิกุลทอง จังหวัดนราธิวาส
พื้นที่ชุ่มน้ำเขตร้อน -ป่าพรุศูนย์พิกุลทอง จังหวัดนราธิวาส

ในเชิงของภูมิศาสตร์กายภาพ พื้นที่ชุ่มน้ำหมายถึงสภาพแวดล้อมที่อยู่ ณ บริเวณ "เขตเชื่อมต่อระหว่างระบบนิเวศบนบกกับระบบนิเวศพื้นน้ำซึ่งมีผลให้เกิดระบบนิเวศเฉพาะตัวที่แตกต่างระบบนิเวศทั้งสองอย่างเห็นได้ชัดเจน (Mitsch & Gosselink, 1986). โดยเนื้อหาแท้ พื้นที่ชุ่มน้ำก็คือ "เขตเชื่อมต่อพืชพรรณ" นั่นเอง พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นบริเวณที่มีการเพิ่มขยายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตพื้นถิ่นมากที่สุด เป็นถิ่นอาศัยของสิ่งที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงและในขณะเดียวกันก็ยังเป็นถิ่นอาศัยของสิ่งมีชีวิต "ถิ่นเดียว" (endemism) อีกด้วย ในหลายพื้นที่ เช่น ในสหราชอาณาจักรและในสหรัฐฯ พื้นที่ชุ่มน้ำกำลังเป็นประเด็นหลักในการทำ "แผนปฏิบัติว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ" (Biodiversity Action Plans) การบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ ถือเป็นส่วนหนึ่งในด้านการจัดการทรัพยากรน้ำโดยรวม

ในสหรัฐฯ หน่วยทหารช่างและสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (EPA) ได้ร่วมมือกันกำหนดนิยามของพื้นที่ชุ่มน้ำไว้ว่า: หมายถึงพื้นที่ที่ถูกท่วมขังหรือพื้นที่ที่อิ่มตัวด้วยน้ำผิวดินหรือน้ำใต้ดินและมีความบ่อยและมีช่วงเวลานานพอ และสนับสนุนพืชพรรณและสิ่งมีชีวิตชนิดที่ปรับตัวให้เข้ากับพื้นที่อิ่มน้ำให้สามารถเจริญเติบโตได้ภายใต้สภาวะปกติ ปกติ พื้นที่ชุ่มน้ำ หมายรวมถึงที่ลุ่มชื้นแฉะ หนองน้ำบึง มาบ พรุและพื้นที่ชุ่มแฉะอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน

สารบัญ

[แก้] ลักษณะเฉพาะ

พื้นที่ชุ่มน้ำจะปรากฏให้เห็นอย่างหลากหลายในสภาวะทางอุทกศาสตร์ที่มีปราฏการณ์อิ่มน้ำในบริเวณพื้นที่อย่างน้อย ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งผลที่เกิดคือ ดินอิ่มน้ำ (hydric soil) ซึ่งเป็นดินที่ขาดออกซิเจนอิสระในบางช่วงหรือตลอดเวลา ซึ่งเรียกว่า “สภาพแวดล้อมที่ถดถอย” reducing environment) พืช (ที่เรียกว่าพืชน้ำ) ที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมถดถอยเฉพาะของดินดังกล่าวสามารถขึ้นได้ในพื้นที่ชุ่มน้ำนี้ ในขณะที่พืชบกที่ไม่สามารถขึ้นได้ในดินที่ขาดออกซิเจนก็ตายหรือไม่งอกงาม พืชชุ่มน้ำทุกชนิดสามารถขึ้นได้ดินที่มีออกซิเจนหรือขาดออกซิเจน

ในสหรัฐฯ พื้นที่ชุ่มน้ำบางแห่งอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบัญญัติน้ำสะอาด (Clean Water Act) ซึ่งช่วยระงับข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเส้นแบ่งระหว่างพื้นที่ชุ่มน้ำกับพื้นที่บกได้ชัดเจน ทั้งนี้เนื่องจากการกำหนดเส้นแบ่งระหว่างพื้นที่ชุ่มน้ำกับพื้นที่บกเปรียบเสมือนกับการลากเส้นแบ่งระหว่างดนตรีร็อกแอนด์โรลกับดนตรีลูกทุ่ง หรือเส้นแบ่งระหว่างควาวเร็วรถตามกฎหมายกับที่ผิดกฎหมาย ในความเป็นจริงจะไม่มีเส้นแบ่งที่เป็นธรรมชาติให้เห็นระหว่างลำดับชั้นของสิ่งเหล่านี้ (ระหว่าง: พื้นที่ชุ่มน้ำ / พื้นที่บก, ความเร็วตามกฎหมาย / ดนตรีร็อก / ดนตรีลูกทุ่ง, ความเร็วผิดกฎหมาย) กฎที่จะใช้บังคับเพื่อปกป้องคุณภาพน้ำกับความปลอดภัยบนทางหลวงบังคับให้เราต้องกำหนดเส้นแบ่งระหว่างระดับของทั้งสองสิ่งนั้นเอาเอง โดยเส้นแบ่งนี้ต้องบ่งชี้ได้ กำหนดแนวได้และใช้บังคับได้ หากไม่กำหนดขึ้นเองแล้วเราคงต้องยอมเสียพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อการพัฒนา (หรือกลับกัน) หรือในแง่ของการจำความเร็ว เราต้องยอมเสียความปลอดภัยในเการเดินทางเพื่อความรวดเร็วในการถึงที่หมาย (หรือกลับกัน)

การกำหนดว่าพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งใดที่ควรอยู่ในบังคับของกฎหมายเรียกว่า “การลากเส้นพื้นที่ชุ่มน้ำ” ซึ่งปกติจะทำโดยผู้สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานของรัฐหรือบริษัทที่ปรึกษา การกำหนดเส้นแบ่งขึ้นอยู่กับลักษณะชนิดของดิน ลักษณะเฉพาะของพืชพรรณ ซึ่งทำได้ง่ายถ้าพื้นที่มีความลาดชันมาก การตัดสินใจว่าควรให้อยู่ในบังคับของกฎหมายหรือไม่นั้น ขี้นอยู่กับการจำแนกน้ำที่อยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำนั้นๆ ตาม พ.ร.บ. น้ำสะอาดของสหรัฐฯ

พื้นที่ชุ่มน้ำที่อยู่ในเขตน้ำขึ้นน้ำลง (intertidal) ที่พบตามชายฝั่งทะเลจะต้องมีอุณหภูมิไม่สุดโต่ง คลื่นไม่รุนแรงจัดมาก มีความเค็มไม่สูงและการนำพาของตะกอนเบาบาง รวมทั้งอยู่ในตำแหน่งที่เข้าลักษณะระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมของชวากทะเล (estuarine environment)

[แก้] ประเภทของพื้นที่ชุ่มน้ำ

  • พรุ (bog) หรือ มัสเคก (พรุเขตหนาว) คือดินพิตที่เป็นกรด (พรุพิต – peat bog)
  • ทุ่งมัวร์ (moor) ในขั้นแรกมีลักษณะเหมือนพรุแต่ต่อมาได้รวมตัวกับดินบนยอดเนิน
  • มอสส์ (แหล่งที่อยู่) ได้แก่พรุที่ยกตัวสูงขึ้นในสก็อตแลนด์
  • พรุดินด่าง (fen) คือดินพรุน้ำจืดที่มีคุณสมบัติทางเคมีของน้ำใต้ดินเป็นด่าง ซึ่งหมายความว่ามีสัดส่วนของประจุไฮดร็อกซีล ปานกลางถึงสูง (มีค่า pH มากกว่า 7)
  • ที่ลุมชื้นแฉะ (marsh) อาจเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นน้ำจืดหรือน้ำเค็มก็ได้ ลักษณะสำคัญของมันก็คือความเปิดโล่งที่มีพืชพรรณประเภทเตี้ยขึ้นอยู่
  • ที่ลุ่มชื้นแฉะชายฝั่ง (น้ำเค็ม) อาจอยู่คู่กับชวากทะเลและอยู่ยาวตามทางน้ำระหว่างเกาะขวางชายฝั่งและชายฝั่งด้านใน พืชพรรณอาจเริ่มจากต้นกกที่ขึ้นในน้ำกร่อยไปจนถึงต้นซาลิโคเนีย ที่ขึ้นบนดินเลนเค็ม พื้นที่ประเภทนี้ยังอาจปรับใช้เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์หรือนาเกลือ
  • ที่ลุ่มชื้นแฉะน้ำจืดอาจประกอบด้วย หญ้า กก หญ้าทรงกระเทียมและไม้ล้มลุกอื่นๆ (อาจมีไม้พุ่มเตี้ย) ที่อยู่ได้กับน้ำตื้น ถือเป็นพรุที่มีรูปแบบเปิดโล่ง
  • คารร์ (carr) คือพรุดินด่างอีกชนิดหนึ่งที่ได้พัฒนามาถึงจุดที่สามารถรองรับต้นไม้ได้ คารร์เป็นชื่อเรียกันยุโรปตอนเหนือ
  • มาบ (swamp) คือพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีต้นไม้ขึ้นมากกว่าหญ้าและวัชพืชเตี้ย เป็นชื่อที่เรียกในเขตร้อนและอเมริกาเหนือ ดินและน้ำอาจมีความเป็นกรด
  • ป่าชายเลน (mangrove forest) คือพื้นที่ที่สภาพที่ลุ่มน้ำเค็มหรือน้ำกร่อยที่มีต้นไม้ชายเลนขึ้นอยู่เป็นส่วนใหญ่ เช่น ต้นโกงกาง แสม
  • บึงบายู (bayou) หรือ (slough) เป็นชื่อที่เรียกร่องหรือทางน้ำที่ไหลผ่านมาบ หรือบึง บางครั้งก็เรียก”ร่องน้ำขึ้น-ลง” (creek)
  • พื้นที่ชุ่มน้ำมนุษย์สร้าง สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ที่ทำขึ้นเพื่อจงใจให้เป็นที่สำหรับรองรับน้ำท่วมฉับพลัน เพื่อทำให้น้ำโสโครกสะอาดขึ้น ส่งเสริมให้เกิดที่พักพิงและที่อยู่อาศัยของสัตว์ และอาจเพื่อประโยชน์ด้านการหย่อนใจ อาจเรียกว่าแก้มลิงก็ได้
  • หนองน้ำในที่ดอน (pocosin) คือพื้นที่ชุ่มน้ำที่คล้ายพรุการมีไม้พุ่มและต้นไม้ทนไฟขึ้นเป็นส่วนใหญ่ พบมากในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ
ภาพมุมกว้างและสะพานไม้ พื้นที่ชุ่มน้ำเขตหนาว อุทยานแห่งชาติพอยต์เพลี ออนทาริโอ แคนาดา ในฤดูใบไม้ผลิ
ภาพมุมกว้างและสะพานไม้ พื้นที่ชุ่มน้ำเขตหนาว อุทยานแห่งชาติพอยต์เพลี ออนทาริโอ แคนาดา ในฤดูใบไม้ผลิ

[แก้] ประเภทของพื้นที่ชุ่มน้ำที่พบในสหรัฐฯ

[แก้] พื้นที่น้ำจืดในแผ่นดิน

  • แอ่งน้ำหรือที่ราบท่วมเป็นฤดูกาล
  • ทุ่งหญ้าน้ำจืดบนแผ่นดิน
  • ที่ลุ่มชื้นแฉะน้ำจืดบนแผ่นดิน


[แก้] การจัดประเภทพื้นที่ชุ่มน้ำในประเทศไทย

สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรได้สำรวจและพบว่าประเทศไทยมีพื้นที่ชุ่มน้ำประกอบด้วยป่าชายเน ป่าพรุ หนอง บึง สนุ่น ทะเลสาบและแม่น้ำกระจายอยู่ทั่ประเทศรวมเนื้อที่ได้ 21.36 ล้านไร่ เท่ากัยร้อยละ 6.75 ของพื้นที่ประเทศโดยแบ่งกลุ่มตามลำดับความสำคัญตามอนุสัญญาแรมซาร์ได้ดังนี้

  • พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ 61 แห่ง
  • พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ 48 แห่ง
  • พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับท้องถิ่น 19,295 แห่ง
  • พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับระหว่างประเทศที่ขึ้นทะเบียนแรมซาร์ 10 แห่ง
  • พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีสมควรได้รับการคุ้มครองและฟื้นฟู 28 แห่ง


[แก้] หน้าที่ของพื้นที่ชุ่มน้ำ

โดยการอุ้มซับพลังอันรุนแรงของลมและคลื่น พื้นที่ชุ่มน้ำคือตัวปกป้องแผ่นดินที่เชื่อมต่อจากพายุ น้ำท่วมและความเสียหายจากการกระแทกของคลื่น ต้นไม้ในพื้นที่ชุ่มน้ำช่วยกรองมลพิษและสิ่งสกปรกที่มากับน้ำ ที่ลุ่มชื้นแฉะน้ำจืดส่วนใหญ่จะอยู่ในบริเวณที่ราบน้ำท่วมของแม่น้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำที่อยู่ระหว่างบริเวณน้ำขึ้นน้ำลงเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดที่แสดงให้เห็นการแพร่กระจาย (invasion) การปรับตัว (modification) และการทดแทน (succession) ของพืชพรรณในพื้นที่ กระบวนการแพร่กระจายและการทดแทนได้แก่การเจริญงอกงามของหญ้าทะเล พืชเหล่านี้ช่วยดักตะกอนและเพิ่มอัตราการตกตะกอน ตะกอนที่ถูกจับไว้จะเพิ่มกลายเป็นที่เลนราบ สิ่งมีชีวิตในเลนเริ่มตั้งตัวและกระตุ้นให้เกิดสิ่งมีชีวิตรูปแบบอื่นมากขึ้นทำให้องค์ประกอบอินทรย์ของดิน

ป่าแสม โกงกางขึ้นงอกงามบนพื้นที่น้ำตื้นที่มีความลาดเลยไปจากที่เลนราบ เป็นผลให้ความรุนแรงของกระแสน้ำขึ้นลงลดลง พวกต้นไม้เหล่านี้ทำให้การตะกอนตกมากขึ้นทำให้การเกิดที่ลุ่มชื้นแฉะน้ำเค็มขึ้น ความเค็มตามธรรมชาติของดินจำกัดให้มีเฉพาะพืชพรรณทนเค็มเท่านั้นที่ขึ้นทดแทนได้ เช่น หญ้าชายเลน หญ้าทรงกระเทียม ฯลฯ ในระหว่างการทดแทนกันแต่ละครั้งก็ยังมีการเปลี่ยนความหลากหลายในชนิดพืชและสัตว์ของการเกิดทดแทนแต่ละครั้งด้วย

ในที่ลุ่มชื้นแฉะที่เป็นน้ำเค็มมีความหลากหลายในชนิดพืชพรรณค่อนข้างมาก วัฏจักรทางอาหารและที่อยู่สำหรับสิ่งมีชีวิตที่ต้องการวิถีชีวิตเฉพาะ (niche specialisation) มาก ทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำประเภทนี้กลายเป็นระบบนิเวศที่ให้ผลิตผลสูงที่สุดในพื้นที่ประเภทอื่นใดบนโลก

พื้นที่ชุ่มน้ำขนาดเล็กในอินเดียนา ประเทศสหรัฐฯ
พื้นที่ชุ่มน้ำขนาดเล็กในอินเดียนา ประเทศสหรัฐฯ


[แก้] การปรับตัวให้เข้ากับความเครียดทางธรรมชาติ

พื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณน้ำขึ้นน้ำลงถือเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ที่รับความเครียดทางธรรมชาติ (natural stress) นี้เกิดจากความเค็มและการขึ้นลงของน้ำทะเล พื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณน้ำขึ้นน้ำลงนี้จึงต้องทนและสามารถอยู่รอดจากสภาพที่รุนแรงมากสุดจากคลื่นน้ำเค็มที่ขึ้นสูงสุดและความจืดของน้ำจืดเมื่อเวลาน้ำลง และในช่วงน้ำเอ่อที่เป็นน้ำกร่อยซึ่งขึ้นลงเป็นประจำในเวลาต่างๆ ต้นโกงกางสีเทาจัดการกับปัญหาน้โดยไล่เกลือออกทางตุ่มตามระบบรากที่ลอย มีกักตุ่มเกลือในใบและมีใบเตลือบมันที่ลดการสูญเสียน้ำ แต่ถึงกระนั้นต้นโกงกางเหล่านี้ก็ยังอ่อนแอต่อการเปลี่ยนระดับความจืดหรือเค็มที่ผิดปกติ

การเปลี่ยนแปลงการขึ้นลงของน้ำทะเลจากการไหลตามผิวบนที่เพิ่มขึ้น หรือระบบการระบายน้ำที่เปลี่ยนไปทำให้น้ำท่วมรากไม้แสมโกงกางมากขึ้นนานกว่าปกติ ย่อมมีผลต่อรากหายใจที่โผล่จากผิวดินพ้นน้ำที่ระดับปกติ นอกจากนี้คุณภาพน้ำที่เปลี่ยนไปยังอาจทำให้เกินขีดความสามารถที่จะรอดชีวิตของต้นไม้เดหล่านี้ได้

สิ่งมีชีวิตบางชนิด เช่นหอย และหอยกาบ เป็นตัวช่วยบ่งชี้ความสมบูรณ์หรือการเสื่อมถอยของระบบนิเวศที่กำลังอยู่ในสภาวะเครียดได้ การลดปริมาณธาตุอาหารในระบบนิเวศมีผลให้การผลิตของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ลดลง การเปลี่ยนแปลงย่อมเกดขึ้น พื้นที่ชุ่มน้ำส่วนใหญ่จะถูกเติมน้ำหรือระบายให้แห้ง เพื่อการใช้ประโยชน์หลายๆ อย่างของมนุษย์ ตั้งแต่เกษตรกรรมไปถึงที่จอดรถ สาเหตุคือความไม่รู้ กล่าวคือยังไม่รู้คุณค่าทางเศรษฐกิจของพื้นที่ชุ่มน้ำ ตัวอย่างเช่น กุ้งและปลาที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจที่จับขายได้ในน้ำลึกเกิดจากการขยายพันธุ์และอนุบาลเติบโตในช่วงแรกในพื้นที่ชุ่มน้ำ

มนุษย์สามารถเพิ่มพื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณน้ำขึ้นน้ำลงให้สมบูรณ์และได้ประโยชน์สูงสุดด้วยการลดสาเหตุที่ทำให้เกิดกระทบให้เหลือน้อยที่สุด คิดค้นยุทธวิธีการจัดการที่จะช่วยปกป้อง และหากเป็นไปได้ควรทำการฟื้นฟูระบบนิเวศส่วนที่เสียหายหรือที่เสี่ยงต่อการเสียหาย


[แก้] การปกป้องหรือฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณน้ำขึ้นน้ำลง

ในช่วงที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ มนุษย์ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างมากเพื่อระบายน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อพัฒนาเพื่อการต่างๆ หรือ เติมหรือกั้นฝายยกระดับน้ำให้สูงเพื่อกิจกรรมทางนันาการ นับตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2513 เป็นต้นมา ได้เกิดความพยายามในรูปใหม่เพื่อการสงวนรักษาหน้าที่ใช้สอยที่เป็นธรรมชาติดั้งเดิมของพื้นที่ชุ่มน้ำไว้ ซึ่งบางครั้งต้องใช้งบประมาณสูงมาก ตัวอย่างได้แก่ความพยายามของหน่วยงานทหารช่างสหรัฐฯ ในการเอาชนะธรรมชาติด้วยการควบคุมการท่วมของน้ำแล้วใช้พื้นที่เพื่อการพัฒนา ซึ่งโครงการนี้ก็ยังคงอยู่แต่ปัจจุบันกลับเป็นการฟื้นฟูและปกป้องในพื้นที่ชุ่มน้ำกลับเข้าสู่สภาพปกติที่เป็นแหล่งพักพิง ขยายพันธุ์และอนุบาลสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ รวมทั้งเปลี่ยนแปลงวิธีการควบคุมน้ำท่วมซึ่งได้แก่:

  1. การแยกออกหรือกันออก หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านบริหารจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำมักจัดให้มีทางเข้าและทางสัญจรให้ไปถึงเฉพาะบริเวณที่กำหนดไว้ ในขณะเดียวกันก็ออกข้อจำกัดไม่ให้คนเข้าถึงพื้นที่อื่นที่เปราะบาง การออกแบบจัดวางทางเดินไม้สะพานไม้ (boardwalks) หรือทางเดินเฉพาะบนดิน ซึ่งนับเป็นยุทธวิธีการจัดการสงวนรักษาพื้นที่เปราะบางทางนิเวศเอาไว้ รวมทั้งการออกใบอนุญาตที่มีการจำกัดจำนวน
  2. การศึกษา ในอดีต พื้นที่ชุ่มน้ำถูกมองว่าเป็นที่ดินที่เปล่าไร้ประโยชน์ การรณรงค์ด้านการศึกษาได้ช่วยให้ความเข้าใจและปรับเปลี่ยนแนวความคิดของสาธารณชนไปในทางดีและถูกต้องขึ้น ทำให้สาธารณชนหันมาสนับสนุนพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่เนื่องจากพื้นที่ชุ่มน้ำอยู่กระจายในพื้นที่รับน้ำ จึงต้องจัดให้มีไกด์คอยให้คำอธิบายสำหรับประชาชนทั่วไป มีการไปบรรยายให้ความรู้ตามโรงเรียน ทำการติดต่อประสานงานกับสื่อต่างๆ รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์ให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับพื้นที่ชุ่มน้ำ


[แก้] อนุสัญญาแรมซาร์ว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำของโลก

สืบเนื่องจากความห่วงใยจากการสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำที่เกิดขึ้นในอัตราสูงที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบอุทกวิทยาโดยรวมของโลก รวมทั้งการเริ่มเข้าใจในคุณค่าเชิงนืเวศวิทยาที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมในอนาคต ประเทศต่างๆ จึงร่วมกันจัดประชุมหาหนทางร่วมกันเพื่อปกป้องพื้นที่ชุ่มน้ำในระดับนานาชาติขึ้น

การชุมนุมทางวิชาการว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำได้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศอิหร่านเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 ที่เมืองแรมซาร์ (Ramsar) โดยมีผู้แทนเป็นทางการของรัฐบาลประเศต่างๆ มาชุมนุมหารือหาแนวปฏิบัติให้แต่ละชาตินำไปปฏิบัติและหาทางร่วมมือกันช่วยอนุรักษ์ ยับยั้บการสูญเสียและเพื่อใช้ทรัพยากรพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างชาญฉลาดมากขึ้น เรียกว่าอนุสัญญาแรมซาร์ จะมีผลใช้บังต่เมื่อมีประเทศต่างๆ ร่วมลงนามตั้ง 7 ประเทศขึ้นไป ซึ่งครบ 7 ประเทศและมีผลใช้บังคับเมื่อ พ.ศ. 2518

ปัจจุมีประเทศเข้าร่วมชุมนุม 153 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย มีการประกาศพื้นที่ชุ่มน้ำแรมซาร์ (Ramsar sites) ที่มีความสำคัญต่อโลกครั้งนั้น 1634 แห่ง รวมเป็นเนื้อที่ได้ 145.6 แฮกตาร์ หรือ 910 ล้านไร่

ได้มีการประกาศภารกิจของการชุมนุมครั้งนั้นไว้ว่า: "ภารกิจของการชุมนุมวิชาการนี้ได้แก่การอนุรักษ์และการใช้พื้นที่ชุ่มน้ำทั้งหมดอย่างชาญฉลาดผ่านหน่วยงานระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค ระดับระดับชาติ และที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ โดยให้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติภารกิจให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาแบบอย่างยั่งยืนเกิดขึ้นทั่วโลก"


[แก้] ประเทศไทยและการเข้าร่วมในอนุสัญญาแรมซาร์

ทะเลสาบเชียงแสน หรือ พื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงกาย จังหวัดเชียงราย แรมซาร์ไซต์ลำดับที่ 1101 ประกาศเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2544
ทะเลสาบเชียงแสน หรือ พื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงกาย จังหวัดเชียงราย แรมซาร์ไซต์ลำดับที่ 1101 ประกาศเมื่อ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2544

ประเทศไทยได้ตกลงเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ หรืออนุสัญญาแรมซาร์และปฏิบัติตามพันธกรณีเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2541 เป็นลำดับที่ 110 โดยเสนอพื้นที่ชุ่มน้ำควนขี้เสียน เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จังหวัดพัทลุงเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ ซึ่งจะได้ใช้ชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "Ramsar Site" ได้ และถือได้ว่าเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่จัดไว้ในทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (List of Wetland of International Impotance)

ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (Ramsar Site) 10 แห่งได้แก่:

  1. พื้นที่ชุ่มน้ำพรุควนขี้เสี้ยนเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จังหวัดสงขลา-พัทลุง ลำดับที่ 948 ประกาศเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 เนื้อที่ 281,625 ไร่ ตำแหน่งที่ตั้ง 07º50’N 100º08’E
  2. พื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขลหลง จังหวัดหนองคาย ลำดับที่ 1098 ประกาศเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 เนื้อที่ 8,062 ไร่ ตำแหน่งที่ตั้ง 17°59’N 103°59’E
  3. พื้นที่ชุ่มน้ำดอนหอยหลอด จังหวัดสมุทรสงคราม ลำดับที่ 1099 ประกาศเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 เนื้อที่ 15,056.25 ไร่ ตำแหน่งที่ตั้ง 13°21’N 099°59’E
  4. พื้นที่ชุ่มน้ำปากแม่น้ำกระบี่ จังหวัดกระบี่ ลำดับที่ 1100 ประกาศเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 เนื้อที่ 133,118 ไร่ ตำแหน่งที่ตั้ง 07°58’N 098°55’E
  5. พื้นที่ชุ่มน้ำเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงกาย จังหวัดเชียงราย ลำดับที่ 1101 ประกาศเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 เนื้อที่ 39,000 ไร่ ตำแหน่งที่ตั้ง 20°14’N 100°02’E
  6. พื้นที่ชุ่มน้ำเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ (พรุโต๊ะแดง) จังหวัดนารธิวาส ลำดับที่ 1102 ประกาศเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 เนื้อที่ 15,056.25 ไร่ ตำแหน่งที่ตั้ง 06°12’N 101°57’E
  7. พื้นที่ชุ่มน้ำหาดเจ้าไหม (144,330 ไร่)-เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง (279,687 ไร่)-ปากแม่น้ำตรัง (100,000 ไร่) จังหวัดตรัง ลำดับที่ 1182 ประกาศเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2545 เนื้อที่รวมทั้งสิ้น 524,017 ไร่ ตำแหน่งที่ตั้ง 07°22’N 099°24’E
  8. พื้นที่ชุ่มน้ำอุทยานแห่งชาติแหลมสน-ปากแม่น้ำกระบุรี-ปากคลองกะเปอร์ ลำดับที่ 1183 จังหวัดระนอง ประกาศเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2543 เนื้อที่ 120,675ไร่ ตำแหน่งที่ตั้ง 09°36’N 098°39’E
  9. พื้นที่ชุ่มน้ำอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ลำดับที่ 1184 ประกาศเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2545 เนื้อที่ 15,056.25 ไร่ ตำแหน่งที่ตั้ง 09°37’N 099°41’E
  10. พื้นที่ชุ่มน้ำอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จังหวัดพังงา ลำดับที่ 1185 ประกาศเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2545 เนื้อที่ 40,250 ไร่ ตำแหน่งที่ตั้ง 08°17’N 098°36’E

[แก้] อ้างอิง

  • Wetland วิกิพีเดียภาคภาษาอังกฤษ[[1]]
  • มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2543 เรื่องทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติและระดับชาติของประเทศไทยและมาตรการการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ เอกสารเผยแพร่ของสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2546
  • The Ramsar Convention on Wetlands,list of Wetlands of International Importance, 21 December 2006 [[2]]

[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น

  • รายชื่อพื้นที่ชุ่มน้ำแรมซาร์ของทั้งโลก[[3]]