เบอร์ลิน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เบอร์ลิน (เยอรมัน: Berlin) เป็นเมืองหลวงของประเทศเยอรมนี มีประชากร 3,402,312 คน (สำรวจเมื่อ กันยายน พ.ศ. 2549; ลดลงจากจำนวน 4.3 ล้านคน ในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2) เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในเยอรมนี และมากที่สุดเป็นอันดับสองในสหภาพยุโรป รองจากลอนดอนที่เดียว.
เบอร์ลินเป็นหนึ่งในศูนย์กลางที่มีอิทธิพลที่สุดของยุโรป ในด้านการเมือง วัฒนธรรม และวิทยาการ.[1][2] มันเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของการคมนาคมในทวีป และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย การแข่งขันกีฬา ออร์เคสตรา และพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงมากจำนวนหนึ่ง[3] พื้นฐานเศรษฐกิจคือธุรกิจบริการอันหลากหลาย ซึ่งประกอบไปด้วย บริษัทด้านสื่อและวิทยาศาสตร์สุขภาพ ศูนย์การประชุม สถาบันวิจัย และธุรกิจด้านการสร้างสรรค์[4][5][6]
มหานครแห่งนี้วิวัฒน์ไปอย่างรวดเร็ว และมีชื่อเสียงระดับนานาชาติในเรื่องเทศกาล สถาปัตยกรรมร่วมสมัย ชีวิตกลางคืน และศิลปะแนวทดลอง (อาวองการ์ด)[7] จากการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยงแห่งใหญ่ และเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนจากมากกว่า 180 ชาติ[8] เบอร์ลินเป็นจุดรวมของผู้คนมากมายที่ค้นหาวิถีชีวิตแบบเสรี เมืองที่หลากหลาย และเสรีภาพทางศิลปะ[9][10][11]
เบอร์ลินตั้งอยู่บนแม่น้ำสปรีและฮาเฟลทางตะวันออกเฉียงเหนือของเยอรมนี ห้อมล้อมด้วยรัฐบรานเดนบวร์ก. มีพื้นที่ 891.75 ตารางกิโลเมตร. โดยเมืองเบอร์ลินนั้น ถือว่าเป็นรัฐต่างหากรัฐหนึ่ง. ในสมัยก่อน เบอร์ลินเคยเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบรานเดนบวร์กก่อนที่จะแยกการปกครองออกเป็นนครรัฐต่างหาก
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2492 ถึง พ.ศ. 2533 เมืองเบอร์ลินถูกแยกเป็นสองส่วน คือ เบอร์ลินตะวันออก และ เบอร์ลินตะวันตก. ฝั่งตะวันออกปกครองโดยสหภาพโซเวียต ส่วนฝั่งตะวันตกปกครองโดย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส. โดยในช่วงแรก การแบ่งเขตเป็นไปอย่างไม่เคร่งเครียดนัก ประชาชนของทั้งสองฝั่งสามารถไปมาหาสู่กันได้ จนกระทั่งสงครามเย็นถึงจุดตึงเครียด รัฐบาลเบอร์ลินตะวันออกได้สร้างกำแพงเบอร์ลินขึ้นเมื่อ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ตัดขาดสองฝั่งของเมืองออกจากกันอย่างสิ้นเชิง.
ช่วงที่เยอรมนียังถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศ ประเทศเยอรมนีตะวันออกถือเอาเบอร์ลินตะวันออกเป็นเมืองหลวงของตน (แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากชาติพันธมิตรตะวันตก) ส่วนเมืองหลวงของประเทศเยอรมนีตะวันตกคือบอนน์ (และโดยฐานะอย่างเป็นทางการแล้ว เบอร์ลินตะวันตกก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนีตะวันตก) หลังจากการรวมประเทศเมื่อ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2533 เบอร์ลินก็กลับมาเป็นเมืองหลวงของประเทศเยอรมนีอีกครั้งหนึ่ง.
สารบัญ |
[แก้] รัฐบาล
เบอร์ลินเป็นเมืองหลวงของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และเป็นที่อยู่ของประธานาธิบดีแห่งเยอรมนี ซึ่งมีที่อาศัยอย่างเป็นทางการที่วัง Schloss Bellevue[12] ตั้งแต่การรวมเยอรมันเมื่อ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2533 เบอร์ลินก็กลายเป็นหนึ่งในสามนครรัฐ, เคียงคู่กับ ฮัมบูร์ก และ เบรเมน, ในทั้งหมด 16 รัฐของเยอรมนี. สภาสหพันธ์ (Bundesrat) เป็นตัวแทนของรัฐสหพันธ์ (Bundesländer) ทั้งหลายของเยอรมนี และมีที่ตั้งที่อยู่ที่อาคาร Herrenhaus ซึ่งเคยเป็นสภาขุนนางของปรัสเซียในอดีต แม้กระทรวงส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในเบอร์ลิน แต่บางส่วน รวมถึงกรมเล็ก ๆ ก็ตั้งอยู่ที่บอนน์ เมืองหลวงเก่าของเยอรมนีตะวันตก. สหภาพยุโรปลงทุนในหลายโครงการภายในเมืองเบอร์ลิน โดยส่วนใหญ่แล้วแผนงานด้านสาธารณูปโภค การศึกษา และสังคม จะได้ทุนสนับสนุนร่วมจากงบประมาณจากกองทุนเพื่อความเชื่อมแน่นของอียู (EU Cohesion Fund)[13]
[แก้] เขตการปกครอง
เบอร์ลินแบ่งเป็นสิบสองเขตเทศบาล (Bezirke) โดยก่อนหน้าที่จะมีการปฏิรูปการปกครองของเบอร์ลินใน ค.ศ. 2001 เบอร์ลินเคยมี 23 เขตเทศบาล แต่ละเขตเทศบาลจะแบ่งเป็นตำบลย่อย ๆ (Stadtteile) ซึ่งแบ่งตามย่านชุมชนดั้งเดิม โดยบางเขตตำบลก็ถูกจัดใหม่หลายครั้งในช่วงเวลาที่ผ่านมา ในปัจจุบันเบอร์ลินประกอบด้วยทั้งหมด 95 ตำบล. ตำบลต่าง ๆ มักจะประกอบด้วย "ละแวกบ้าน" จำนวนหนึ่ง (มักเรียกว่า Kiez ในภาษาพูด) ซึ่งเป็นย่านอยู่อาศัยเล็ก ๆ
แต่ละเขตเทศบาลจะดูแลโดยสภาเทศบาล (Bezirksamt) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาเทศบาล (Bezirksstadträte) ห้าคน และนายกเทศมนตรี (Bezirksbürgermeister) หนึ่งคน สภาเทศบาลนั้นแต่งตั้งโดยสมัชชาเทศบาล (Bezirksverordnetenversammlung)
[แก้] สถิติประชากร
ณ กันยายน พ.ศ. 2549 เบอร์ลินมีผู้อยู่อาศัยที่ขึ้นทะเีบียนจำนวน 3,402,312 คน[14] ในพื้นที่ 891.82 ตร.กม. เขตพื้นที่มหานครเบอร์ลิน-บรานเดนบวร์กมีประชากรประมาณ 4.3 ล้านคน ในพื้นที่ 5,370 ตร.กม.
จากจำนวนผู้อยู่อาศัย 3.4 ล้านคน มี 463,723 คน (13.9%) ที่เป็นชาวต่างชาติ จาก 183 ประเทศ[15] โดยกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดมาจากประเทศตุรกี (116,665), โปแลนด์
(42,889), เซอร์เบียและมอนเตเนโกร
(24,337), รัสเซีย
(14,065), อิตาลี
(14,026), สหรัฐอเมริกา
(12,735),
ฝรั่งเศส (11,776), โครเอเชีย
(11,378), เวียดนาม
(11,513), บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
(10,463), กรีซ
(10,102), สหราชอาณาจักร
(9,396), ยูเครน
(8,667), ออสเตรีย
(8,409), สเปน
(5,962), ไทย
(5,876), จีน
(5,620)
กลุ่มศาสนาที่ใหญ่ที่สุดคือ กลุ่มที่ไม่นับถือศาสนา 60%, ศาสนาคริสต์ นิกาย Evangelical 23% (757,000), ศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก 9% (312,000), อิสลาม 6% (213,000), ยิว 0.4% (12,000)[16]
[แก้] เศรษฐกิจ
ใน พ.ศ. 2549 จีดีพีของเบอร์ลินมีอัตราเติบโต 1.5% และมีมูลค่าทั้งหมด 80.3 พันล้านยูโร (104.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ)[17] ก่อนการรวมเยอรมนีและเบอร์ลินทั้งสองฝั่งใน พ.ศ. 2533 นั้น เมืองเบอร์ลินตะวันตกได้รับเงินอุดหนุนก้อนใหญ่จากทางการเยอรมนีตะวันตก เพื่อชดเชยการที่มันถูกตัดขาดทางภูมิศาสตร์ออกจากเยอรมนีตะวันตก เงินอุดหนุนเหล่านั้นจำนวนมากได้เลิกไปหลัง พ.ศ. 2533 การได้รับการอุดหนุนทางการเงินที่ลดลงทำให้รัฐบาลท้องถิ่นเบอร์ลินประสบความยากลำบากทางงบประมาณ และทำให้ต้องตัดงบประมาณในหลายแผนงาน[18] อัตราว่างงานในปัจจุบันยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของเยอรมนีทั้งประเทศ (9.7%) คืออยู่ที่ 16.0% เมื่อธันวาคม พ.ศ. 2549[19]
[แก้] การศึกษา

เขตเมืองหลวงเบอร์ลิน-บรานเดนบวร์กเป็นหนึ่งในศูนย์กลางอุดมศึกษาและการวิจัยที่โดดเด่นที่สุดของสหภาพยุโรป มหาวิทยาลัยสี่แห่งภายในเขตเมือง และวิทยาลัยเอกชน วิทยาลัยอาชีพ และวิทยาลัยเทคนิค (Fachhochschule) อีกเป็นจำนวนมาก เสนอสาขาวิชาที่หลากหลายให้กับนักศึกษา[20] นักศึกษาประมาณ 130,000 คนเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย และวิทยาลัยอาชีพหรือวิทยาลัยเทคนิค[14] มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดสามแห่ง มีจำนวนนักศึกษารวมประมาณ 100,000 คน ได้แก่ มหาวิทยาลัยเสรีแห่งเบอร์ลิน (Freie Universität Berlin) (35,000 คน) มหาวิทยาลัยฮุมโบล์ดทแห่งเบอร์ลิน (35,000) และ มหาวิทยาลัยเทคนิกแห่งเบอร์ลิน (30,000) ส่วนมหาวิทยาลัยศิลปะเบอร์ลิน มีนักศึกษาราว 4,300 คน
เบอร์ลินมีจำนวนสถาบันวิจัยหนาแน่น เช่นสถาบันวิจัยในเครือ Fraunhofer Society และ สมาคมมักซ์ พลังค์ ซึ่งเป็นอิสระหรือเพียงเชื่อมอย่างหลวม ๆ กับมหาวิทยาลัยที่ตนสังกัดอยู่เท่านั้น มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนทั้งหมด 62,000 คนที่ทำงานด้านการวิจัยและพัฒนา[16]
เบอร์ลินมีโรงเรียน 878 แห่ง สอนนักเรียน 340,658 คน ใน 13,727 ชั้นเรียน และมี 56,787 ผู้รับการฝึกงานในภาคธุรกิจและภาคอื่น ๆ[16]
[แก้] วัฒนธรรม

เบอร์ลินมีชื่อเสียงเรื่องสถาบันด้านวัฒนธรรมที่มีเป็นจำนวนมากมาย ซึ่งหลายแห่งมีชื่อเสียงระดับนานาชาติ[3][21] เบอร์ลินมีสภาพแวดล้อมศิลปะที่หลากหลายมาก มีหอศิลป์หลายร้อยแห่ง ทุกปีจะมีการจัดงาน Art Forum งานแสดงศิลปะนานาชาติ ซึ่งเน้นที่ศิลปะร่วมสมัย ศิลปินเยอรมันและนานาชาติรุ่นใหม่ยังคงย้ายเข้ามาอาศัยในเมืองนี้[22] และเบอร์ลินก็ได้เป็นที่ยอมรับว่าเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมป๊อปและ youth cutlure ของยุโรป[23][24] สัญญาณหลายอย่างของการขยายตัวนี้มาจากการประกาศใน พ.ศ. 2546 ว่างาน Popkomm งานชุมนุมอุตสาหกรรมดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปจะย้ายไปจัดที่เบอร์ลิน, หลังจากจัดที่โคโลญมาเป็นเวลา 15 ปี[25] หลังจากนั้นไม่นาน ยูนิเวอร์แซลมิวสิกกรุ๊ป และ MTV ก็ตัดสินใจย้ายสำนักงานใหญ่ประจำยุโรปและสตูดิโอหลักของตนมายังริมฝั่งแม่น้ำสปรีในย่านฟรีดริชชายน์.[26] ตั้งแต่ พ.ศ. 2548 เบอร์ลินได้ขึ้นบัญชีเมืองแห่งการออกแบบ (City of Design) ของยูเนสโก.[6]
[แก้] ชีวิตกลางคืนและเทศกาล
เบอร์ลินมีชีวิตกลางคืนที่หลากหลายและมีสีสันมากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป[27] หลังจากกำแพงเบอร์ลินล่มสลายลงใน ค.ศ. 1989 อาคารจำนวนมากในเขตมิทเท่อ (Mitte) อดีตใจกลางเมืองของเบอร์ลินตะวันออก ได้ถูกซ่อมแซมใหม่ อาคารจำนวนมากไม่เคยถูกรื้อสร้างใหม่เลยนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง อาคารเหล่านี้ถูกจับจองอย่างผิดกฎหมายโดยกลุ่มคนหนุ่มสาว และกลายเป็นแหล่งชุมนุมบ่มเพาะวัฒนธรรมใต้ดินและต่อต้านวัฒนธรรม (counter-culture) สารพัดรูปแบบ. ย่านมิทเท่อเป็นที่ตั้งของไนท์คลับจำนวนมาก รวมถึงคุนสท์เฮาส์ทาเชเลส (Kunst Haus Tacheles), คลับเทคโนอย่าง Tresor, WMF, Ufo, E-Werk, และที่มีชื่อเสียงในทางไม่ดีนักคือ Kitkatclub กับ Berghain. คลับ Linientreu ใกล้กับโบสถ์ไกเซอร์-วิลเฮล์ม (Kaiser-Wilhelm-Gedächtniskirche หรือที่ชาวไทยในเบอร์ลินนิยมเรียกว่า "โบสถ์หัก") นั้นโด่งดังในเรื่องดนตรีเทคโนมาตั้งแต่คริสตทศวรรษ 1990. ดิสโกเธค LaBelle ในฟริเดเนา (Friedenau) ที่ครั้งหนึ่งเป็นที่ ๆ ทหารอเมริกันชอบไปเที่ยว มีชื่อเสียงโด่งดังจากเหตุการณ์วางระเบิดก่อการร้ายใน ค.ศ. 1986[28]
SO36 ในครอยซ์แบร์ก (Kreuzberg) ที่เดิมเน้นดนตรีพังก์เป็นส่วนใหญ่ ก็ได้กลายมาเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการเต้นรำและสังสรรค์ทุกรูปแบบ. SOUND ที่เคยตั้งอยู่ที่เทียร์การ์เทนช่วง ค.ศ. 1971 - 1988 และปัจจุบันอยู่ที่ชาร์ลอทเทนบวร์ก (Charlottenburg) ได้รับชื่อเสียงในทางไม่ดีในช่วงปลายคริสตทศวรรษ 1970 สำหรับการที่มันเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้เฮโรอีนและยาเสพติดชนิดอื่น ๆ ดังที่พรรณนาไว้ในหนังสือ Wir Kinder vom Bahnhof Zoo ของ Christiane F.[29]
งานเฉลิมฉลอง คาร์นิวาลแดร์คูลทัวเรน (Karneval der Kulturen - งานเฉลิมฉลองวัฒนธรรม) - ขบวนแห่บนถนนของนานาชาติพันธุ์ จัดขึ้นทุกปี ในช่วงสุดสัปดาห์ Pentecost (15 วันหลังวันอาทิตย์อีสเตอร์) และ คริสโตเฟอร์สตรีทเดย์ - งานไพรด์ของเกย์-เลสเบี้ยนที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตอนกลาง ถูกสนับสนุนอย่างเปิดเผยจากรัฐบาลเมือง[30] เบอร์ลินยังเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับงานเฉลิมฉลองดนตรีเทคโน เลิฟพาเหรด (Love Parade) และเทศกาลทางวัฒนธรรม แบร์ลีเนอร์เฟสสปีล (Berliner Festspiele) ซึ่งมีเทศกาลแจ๊ส แจ๊สเฟส แบร์ลีน (JazzFest Berlin) เป็นส่วนหนึ่ง
[แก้] คำพูดถึงเบอร์ลิน
"Ich bin ein Berliner." ("ผมเป็นชาวเบอร์ลิน")
(จอห์น เอฟ. เคนเนดี้, ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา, ค.ศ. 1963 ระหว่างเยี่ยมเบอร์ลิน)[31]
"Berlin ist arm, aber sexy." ("เบอร์ลินจน แต่เซ็กซี่")
(Klaus Wowereit, นายกเทศมนตรี, ในการให้สัมภาษณ์สื่อ, พ.ศ. 2546)[32]
"Ihr Völker der Welt ... schaut auf diese Stadt!" ("ชาวโลกทั้งหลาย ... มองที่เมืองแห่งนี้สิ!")
(Ernst Reuter, นายกเทศมนตรี, ในสุนทรพจน์ช่วง Berlin blockade, พ.ศ. 2491)[33]
"Ich hab noch einen Koffer in Berlin" ("ฉันยังมีกระเป๋าเสื้อผ้าอีกใบอยู่ที่เบอร์ลิน")
(Marlene Dietrich, เพลงโดยนักแสดงและนักร้องที่เกิดในเบอร์ลิน-เชินเนอแบร์ก)[34]
"“Berlin ist eine Stadt, verdammt dazu, ewig zu werden, niemals zu sein” ("เบอร์ลินเป็นเมืองที่อยู่ในสภาพ 'กำลังจะเป็น' อยู่เสมอ และไม่เคย 'เป็น' เลย")
(Karl Scheffler, ผู้เขียน Berlin: Ein Stadtschicksal, 1910)[35]
“Berlin combines the culture of New York, the traffic system of Tokyo, the nature of Seattle, and the historical treasures of, well, Berlin.” ("เบอร์ลินผสมวัฒนธรรมของนิวยอร์ก ระบบจราจรของโตเกียว ธรรมชาติของซีแอตเทิล และสมบัติทางประวัติศาสตร์ของ, อืม, เบอร์ลิน")
(Hiroshi Motomura, ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายสหรัฐอเมริกา, พ.ศ. 2547)[36]
[แก้] อ้างอิง
- ↑ Culturally, Berlin Is Ascending, if Slowly ((อังกฤษ)) , New York Times, เรียกดูเมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2549
- ↑ Innovationsindex für die Länder der EU ((เยอรมัน)) , Baden-Württemberg Stat Office, เรียกดูเมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2549
- ↑ 3.0 3.1 World Heritage Site Museumsinsel ((อังกฤษ)) , ยูเนสโก, เรียกดูเมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2549
- ↑ Sites and situations of leading cities in cultural globalisations/Media ((อังกฤษ)) , GaWC Research Bulletin 146, เรียกดูเมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2549
- ↑ Convention and congress cities ((อังกฤษ)) , ICCA, เรียกดูเมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2006
- ↑ 6.0 6.1 Berlin City of Design Press Release ((อังกฤษ)) , ยูเนสโก, เรียกดูเมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2549
- ↑ The Club Scene, on the Edge ((อังกฤษ)) , New York Times, เรียกดูเมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2549
- ↑ Berlin Germany's most popular Destination ((อังกฤษ)) , Tourismus Marketing GmbH, เรียกดูเมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2549
- ↑ For Young Artists, All Roads Now Lead to a Happening Berlin ((อังกฤษ)) , New York Times, เรียกดูเมื่อ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2006
- ↑ That's creativity with a capital B ((อังกฤษ)) , International Herald Tribune, เรียกดูเมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2006
- ↑ Poor But Sexy ((อังกฤษ)) , Newsweek, เรียกดูเมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2006
- ↑ Bundespräsident Horst Köhler ((อังกฤษ)) , www.bundespraesident.de, เรียกดูเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
- ↑ URBAN regeneration, an European Commission initiative ((อังกฤษ)) , ErasmusPC, เรียกดูเมื่อ 12 มีนาคม พ.ศ. 2550
- ↑ 14.0 14.1 Berlin statistical figures ((เยอรมัน)) , Statistisches Landesamt Berlin, เรียกดูเมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2549
- ↑ Foreign residents of Berlin ((เยอรมัน)) , Statistisches Landesamt Berlin, เรียกดูเมื่อ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
- ↑ 16.0 16.1 16.2 Berlin fact sheet ((อังกฤษ)) [PDF] 99.1 KiB, www.berlin.de, เรียกดูเมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2549
- ↑ Gross domestic product Berlin ((อังกฤษ)) , Statistische Ämter des Bundes und der Länder, เรียกดูเมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2549
- ↑ Die Zukunft der Region Berlin-Brandenburg ((เยอรมัน)) , Friedrich Ebert Stiftung, เรียกดูเมื่อ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
- ↑ Unemployment rate ((เยอรมัน)) , rbb-online, Arbeit und Soziales, เรียกดูเมื่อ 4 มกราคม พ.ศ. 2550
- ↑ Metropolis of Sciences ((อังกฤษ)) , Berlin Partner GmbH, เรียกดูเมื่อ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
- ↑ World Heritage Site Palaces and Parks of Potsdam and Berlin ((อังกฤษ)) , ยูเนสโก, เรียกดูเมื่อ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
- ↑ A New Williamsburg! Berlin’s Expats Go Bezirk ((อังกฤษ)) , New York Observer, เรียกดูเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2006
- ↑ Die Kunstszene ((เยอรมัน)) , Deutschland Online, เรียกดูเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
- ↑ CULTURE of Berlin ((อังกฤษ)) , Metropolis 2005, เรียกดูเมื่อ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
- ↑ Saucy Berlin transforms itself into a 'music city' ((อังกฤษ)) , Taipei Times, เรียกดูเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
- ↑ Berlin's music business booms ((อังกฤษ)) , Expatica.com, เรียกดูเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
- ↑ Losing your mind in Berlin ((อังกฤษ)) , metrotimes, เรียกดูเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
- ↑ Compensating Victims of the La Belle Attack ((อังกฤษ)) , German Embassy, Washington D.C., เรียกดูเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
- ↑ Christiane F.-Page ((เยอรมัน)) , christianef, เรียกดูเมื่อ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
- ↑ Berlin for Gays and Lesbians ((อังกฤษ)) , Berlin Tourismus Marketing GmbH, เรียกดูเมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2549
- ↑ Teaching JFK German ((อังกฤษ)) CNN Interactive, เรียกดูเมื่อ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
- ↑ „Arm, aber sexy“ ((เยอรมัน)) , Focus Online, เรียกดูเมื่อ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
- ↑ Ernst Reuter: "Schaut auf diese Stadt" ((เยอรมัน)) , SPD Press Portal, เรียกดูเมื่อ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
- ↑ Citysongs ((อังกฤษ)) , The New Colonist, เรียกดูเมื่อ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
- ↑ Scheffler,Karl . Berlin: Ein Stadtschicksal, 222 S. ISBN 3-927574-02-3 ((เยอรมัน))
- ↑ Welcome to Berlin ((อังกฤษ)) , Berlin Magazin, เรียกดูเมื่อ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น
- Berlin.de เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของเมือง
- กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี, สาระน่ารู้ก่อนเดินทาง โดยกระทรวงการต่างประเทศ ประเทศไทย
- นักเรียนไทยในเบอร์ลิน-บรานเดนบวร์ก