พูดคุย:วัดพระธรรมกาย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ขอเอาออกมาไว้ก่อน เพราะยาวมาก ทำให้มีปัญหากับการโหลด ดูเนื้อหาคร่าวๆไม่เกี่ยวข้องกับบทความโดยตรง ไม่ได้จัดหน้า และเป็น POV kinkku ananas (talk) 15:07, 28 พฤศจิกายน 2006 (UTC)

กรณีธรรมกาย

การที่วัดพระธรรมกายมีการอ้างนิพพานเป็นอัตตา ในเมื่อไม่มีที่มาจากคัมภีร์ พระไตรปิฎกที่จะอ้าง ซึ่งระบุว่านิพพานเป็นอัตตา ทางสำนักธรรมกาย นอกจากจะใช้วิธีตีความหรือแปลผิดพลาด ตลอดจนอ้างคำสอนของลัทธิอื่นแล้ว ยังได้อ้างผลจากการปฏิบัติ การอ้างผลจากการปฏิบัติ มีข้อควรพิจารณาดังนี้

1.ผู้ที่ได้ยินคำอ้างเช่นนี้ มีสิทธิตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่า การเห็นในการปฏิบัติไม่ว่าจะเห็นนิพพานหรือเห็นอะไรก็ตามนั้น อาจจะเป็นเหมือนการอ้างของคนที่บอกหวย ว่าเห็นเลขลอตเตอรี่จากการปฏิบัติ

2.ขั้นต่อไป จะต้องตรวจสอบการปฏิบัติด้วยหลักการซึ่งเป็นเกณฑ์ตัดสินว่า เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะว่าเป็นการปฏิบัติที่ผิดหลักการ ผลที่ได้เห็นนั้นก็ไม่ถูกต้อง

          ในสมัยพุทธกาล  ผลจากการตรวจสอบนั้นต้องได้รับการตรวจสอบจากพระพุทธเจ้า  เมื่อพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานไปแล้วก็ต้องตรวจสอบด้วยคำสอนของพระองค์  คือ หลักการที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก
           ทั้ง ๆ ที่ตนอาศัยรูปแบบที่กำหนดไว้ในพระไตรปิฎก แต่เวลาปฏิบัติกลับปฏิบัติไปตามความคิดของตนเอง  ถ้าไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า  แล้วจะเป็นการปฏิบัติที่เรียกว่าพุทธศาสนาได้อย่างไร

3.เป็นการเสี่ยงต่อการอวดอุตริมนุสสธรรม อย่างที่กล่าวแล้วว่า ในสมัยพุทธกาลนั้น เมื่อจะตรวจสอบว่าตนเองได้บรรลุธรรม ได้เห็นนิพพานหรือไม่ เป็นต้น ก็ต้องไปให้พระพุทธเจ้าตรัสรับรองดังที่เรียกว่าพยากรณ์ ถ้าภิกษุรูปใดกล่าวขึ้นกับภิกษุรูปอื่นแทนที่จะนำไปกล่าวขอรับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า อาจจะถูกตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าอวดอุตริมนุสสธรรม

กรณีธรรมกาย

ต้นเรื่อง

กรณีธรรมกาย ถึงขั้นจ้วงจาบพระธรรมวินัย เมื่อ 9 วันที่ผ่านมานี้ คือวันที่ 11 มกราคม 2542 ได้มีผู้สื่อข่าว จากสื่อมวลชนต่าง ๆ มาถามปัญหา เกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย และมีผู้สื่อข่าวคนหนึ่งได้ถวายหนังสือ ชื่อว่า "เจาะลึกวัดพระธรรมกาย ข้อมูลที่ไม่เคยเปิดเผยที่ใดมาก่อน ลับสุดยอด" ต่อมาได้เปิดอ่านดูบ้างบางส่วน และในตอนที่ว่าด้วยคำถามคำตอบที่น่าสนใจ เมื่อพลิกดูผ่านๆ ไปจนจบ ปรากฏว่า 2 ข้อสุดท้ายเป็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา และเรื่องธรรมกายในข้อเกี่ยวกับนิพพานนั้นตั้งเป็นคำถามว่า "มีการถกเถียงกันว่า นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา ไม่ทราบจริง ๆ เป็นอย่างไร?" และข้อสุดท้ายว่า "ธรรมกาย มีในพระไตรปิฎกหรือไม่?"สองข้อนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหลักการ หรือหลักธรรมสำคัญ ของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะข้อที่ว่าด้วย เรื่อง นิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา เมื่ออ่านดูลักษณะการเขียนคำตอบเป็นไปในเชิงที่จะทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจไปว่า หลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะเรื่องนิพพานนั้น ไม่ชัดเจน ไม่แน่นอน ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เป็นเรื่องของความคิดเห็น การเขียนเช่นนี้ถือได้ว่าถึงขั้นที่จ้วงจาบต่อพระธรรมวินัย เป็นเรื่องสำคัญมาก และเป็นเอกสารซึ่งจะคงอยู่ยาวนาน อาจก่อผลกว้างไกล จึงสมควรรีบชี้แจงไว้เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อมาอีก 2-3 วัน ก็มีพระนำเอาหนังสือพิมพ์มติชนรายวันฉบับวันพุธ ที่ 13 มกราคม 2542 มาให้ดู โดยเฉพาะหน้า 12 "สุขสรรค์" มีบทความเรื่อง "สายตรงจากธรรมกาย นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา" โดย พระสมชาย ฐานวุฑฺโฒ บทความนี้เมื่ออ่านแล้วจะยิ่งสร้างความสับสนต่อหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนาที่กล่าวมานั้นยิ่งขึ้น อีก 2-3 วันต่อมาก็มีรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ มติชนรายวัน ฉบับวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2542 กล่าวถึงอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาวัดพระธรรมกาย ได้กล่าวถึงปัญหาบางอย่างที่จะต้องแก้ไข ตอนหนึ่งได้กล่าวว่า "เรื่องนิพพานเป็นความคิดที่หลากหลาย" การที่ท่านกล่าวอย่างนี้ จะเป็นผลจากการเผยแพร่เอกสารของวัดพระธรรมกาย หรือไม่ก็ตาม แต่เป็นเรื่องที่ต้องเอาใจใส่อย่างยิ่ง ที่พูดนี้มิใช่จะว่ากล่าวข้าราชการผู้นั้น เพราะท่านไม่ได้ทำความผิดอะไร แต่คำพูดนั้นเท่ากับเป็นสัญญาณเตือนภัยว่า อันตรายที่ร้ายแรงกำลังเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา เพราะความสับสนหรือเข้าใจผิดต่อหลักการสำคัญของ พระพุทธศาสนากำลังแผ่ขยายออกไปในหมู่ประชาชน ซึ่งจะนำไปสู่ความสั่นคลอนของพระพุทธศาสนาถึงขั้นรากฐานเลยทีเดียว ที่จริงนั้น หลักการสำคัญของพระพุทธศาสนามีความชัดเจน แน่นอน และไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของความคิดเห็น แต่เป็นเรื่องของหลักฐานที่ชาวพุทธถือกันว่ามาจากพระพุทธเจ้าโดยตรง คือมาในพระไตรปิฎก และมีคัมภีร์อรรถกถาเป็นต้น อธิบายประกอบ ซึ่งชาวพุทธทุกยุคสมัย ถือว่าเป็นเนื้อเป็นตัวของพระศาสนา เป็นหลักสำคัญที่สุด และได้เพียรพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ให้ แม่นยำ ด้วยการทรงจำ ศึกษาเล่าเรียน และมีการสังคายนาเป็นงานใหญ่หลายยุคสมัยตลอดมา เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นแก่พระศาสนา ชาวพุทธก็ควรตื่นตัวขึ้นมา ช่วยกันขจัดภัยและปกป้องรักษาพระศาสนาไว้ อย่างน้อยก็ใช้เป็นโอกาสที่จะได้ศึกษา สร้างเสริม หรือแม้แต่ชำระ สะสางความรู้้ความเข้าใจในพระศาสนาที่ตนนับถือ ทำความเห็นให้ถูกต้อง ให้ได้ชื่อว่าสามารถถือเอาประโยชน์จากสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามา และผ่านพ้นปัญหาไปอย่างได้ปัญญา ในการชี้แจงต่อไปนี้ จำเป็นต้องพูดพาดพิง ถ้าข้อความที่กล่าวจะเป็นเหตุให้ท่านผู้เกี่ยวข้องไม่สบายใจ ก็ขออภัยไว้ก่อน แต่ขอให้ตั้งใจร่วมกันว่า เราจะทำการนี้เพื่อดำรงรักษาพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้พระพุทธศาสนาที่บรรพบุรุษได้รักษาสืบต่อตกทอดกันมาจนถึงเรา โดยอาศัยกำลังความเพียรพยายาม เรี่ยวแรง ความอุตสาหะและศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง มิให้สูญเสียไป และเพื่อให้ประชาชนทั้งในบัดนี้และเบื้องหน้า ยังสามารถได้รับประโยชน์ที่แท้จริงจากพระพุทธศาสนา คือ มุ่งเพื่อรักษาพระธรรมวินัยและประโยชน์สุขของประชาชน

ประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัย ก็ร้าย

แต่ทำพระธรรมวินัยให้วิปริต ร้ายยิ่งกว่า

ปัญหาเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายที่กำลังได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นี้มีหลายเรื่อง แยกได้หลายแง่ หลายประเด็น เช่นเรื่องความประพฤติส่วนตัวของพระ เรื่องการดำเนินงานขององค์กร คือวัดและมูลนิธิ เกี่ยวกับการครอบครองกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เป็นต้น ตลอดจนการดำเนินธุรกิจต่างๆ การแสวงหาเงินทอง โดยวิธีซึ่งเป็นที่สงสัยว่าจะไม่ถูกต้อง ในแง่กฎหมายบ้าง ในแง่พระวินัยบ้าง โดยเฉพาะการยกอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ขึ้นมาเผยแพร่ในลักษณะที่เป็นการชักจูงให้คนบริจาคเงิน การใช้วิธีกึ่งเกณฑ์ให้เด็กนักเรียน นักศึกษา ตลอดจนข้าราชการ เป็นต้น จำนวนมากๆ มาร่วมกิจกรรม โดยมีเป้าหมายที่น่าสงสัยว่าจะมุ่งไปที่การให้บริจาคเงินหรือไม่ ตลอดจนในที่สุดก็คือ ปัญหาที่เกี่ยวกับพระธรรมวินัยโดยตรง โดยเฉพาะการแสดงหลักการของพระพุทธศาสนาเรื่องนิพพานเป็นอัตตา และเรื่องธรรมกาย ปัญหาทั้งหมดนั้น ล้วนมีความสำคัญ และจะต้องแก้ไขด้วยวิธีที่เหมาะสมให้ถูกต้องแต่ละอย่าง แต่เมื่อ พิจารณาในแง่ของการดำรงรักษาพระศาสนา ปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือ ปัญหาเกี่ยวกับพระธรรมวินัย ซึ่งกระทบถึงหลักการของพระพุทธศาสนา พูดให้เข้าใจง่ายว่า การทำพระธรรมวินัยให้วิปริต ซึ่งร้ายแรงยิ่งกว่าการประพฤติ วิปริตจากพระธรรมวินัยยกตัวอย่างด้านพระวินัย ถ้าพระภิกษุประพฤติผิดพระวินัย ต้องอาบัติปาราชิก เรียกว่าประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัย ก็ต้องแก้ไขโดยดำเนินการลงโทษไปเป็นการส่วนเฉพาะบุคคล แต่ถ้ามีพระภิกษุยึดถือประกาศขึ้นมาหรือเผยแพร่ว่า การต้องอาบัติปาราชิกไม่ผิดพระวินัย ก็เป็นปัญหาถึงขั้นทำพระธรรมวินัยให้วิปริต ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ถึงกับทำให้เกิดมีการสังคายนา ยกตัวอย่างด้านธรรม ถ้าพระภิกษุเห็นว่านิพพานเป็นอัตตา หรือไม่ยอมรับว่านิพพานเป็นอนัตตา เรียกว่าเป็นการเห็นผิดจากพระธรรมวินัย ก็ต้องแก้ไขด้วยการให้ศึกษาหรือทำความเข้าใจกันให้ถูกต้องเป็นส่วนเฉพาะตัวของภิกษุนั้น แต่ถ้ามีพระภิกษุยึดถือประกาศขึ้นมาหรือเผยแพร่ว่า พระพุทธเจ้าสอน หรือพระไตรปิฎกแสดงหลักการ ว่านิพพานเป็นอัตตา หรือบอกว่าพระไตรปิฎกที่แสดงหลักการว่านิพพานเป็นอนัตตาเป็นหลักฐานที่เชื่อถือไม่ได้ ก็เป็นปัญหาถึงขั้นทำพระธรรมวินัยให้วิปริต ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ถึงกับทำให้ต้องมีการสังคายนา


ไม่ควรยอมเสียพระศาสนา เพื่อรักษาตัวของตน ย้อนกลับไปข้างต้น ปัญหาเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายที่ว่า มีหลายเรื่อง หลายแง่ หลายด้าน หลาย ประเด็นนั้น มีข้อน่าสังเกตว่า เมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ทางวัดโดยเฉพาะเจ้าอาวาส เงียบอยู่ และได้มีผู้เรียกร้องขอให้ ท่านเจ้าอาวาสมาชี้แจง ต่อมาทางวัดมีพระที่ออกมาพูดกล่าวตอบทำนองว่า "เรายึดแนวพระพุทธเจ้าจะชนะด้วยความสงบนิ่ง . . . พระพุทธเจ้ามีผู้หญิงมากล่าวหาว่ามีท้องกับพระพุทธเจ้า บางทีมีคนจ้างคนมารุมด่าสองข้างทาง พระองค์แก้อย่างไร พระพุทธเจ้านิ่งตลอด บอกไว้เลยว่าชนะได้ด้วยความสงบ นิ่ง แล้วความจริงก็ปรากฏในที่สุด พระพุทธเจ้าไม่เคยแก้ข่าว อยู่ด้วยความนิ่งสงบ และสุดท้ายก็ชนะ ความจริงจะปรากฏ เราเองก็เลยใช้วิธีการเดียวกัน" (หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม 2542) การกล่าวอ้างเช่นนี้ ต้องระวังมาก เพราะจะทำให้คนเข้าใจผิดต่อพระพุทธเจ้า ความจริงพระพุทธเจ้าไม่ ได้ใช้วิธีสงบนิ่งอย่างเดียว ทรงใช้วิธีปฏิบัติให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ที่จะให้เรื่องจบสิ้นลงด้วยดี ด้วยความถูกต้องและชัดเจน พุทธศาสนิกชนที่คุ้นเคยวัด คงจะได้ยินพระสวดมนต์บทหนึ่งอยู่เสมอ เวลามีงานเจริญพระพุทธมนต์หรือสวดพระพุทธมนต์ก่อนฉันเพลพระภิกษุสงฆ์ก็จะสวดบทสวดสำคัญบทหนึ่ง เรียก กันว่า บทพาหุง หรือ พาหุง 8 บท เรียกเป็นภาษาทางการว่า ชยมังคลัฏฐกคาถา บทสวดนี้ท่านรวบรวมขึ้นไว้เพื่อแสดงถึงวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงมีชัยชนะผ่านพ้นเหตุการณ์ร้าย โดยทรงแก้ปัญหาด้วยวิธีปฏิบัติต่าง ๆ กัน ดังคำบาลีว่า "พาหุํ สหสฺสมภินิมฺมิตสาวุธนฺตํ . . . " เป็นต้น ในเหตุการณ์และปัญหาเหล่านี้ บางเรื่องพระพุทธเจ้าทรงแก้ด้วยวิธีเมตตา บางเรื่องทรงแก้ด้วยขันติ บางเรื่องทรงแก้ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ บางเรื่องทรงแก้ด้วยวิธีแห่งอาการสงบ บางเรื่องทรงแก้ด้วยความลึกซึ้งแห่งการใช้ปัญญา บางเรื่องทรงแก้ด้วยการชี้แจงแสดงความจริง หรือแสดงธรรม การที่มากล่าวอย่างข้างต้นว่า "เรายึดแนวพระพุทธเจ้า จะชนะด้วยความสงบนิ่ง" นั้นเป็นคำที่กำกวม อาจจะทำให้ผู้คนเกิดความเข้าใจว่า มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นพระพุทธเจ้าก็ทรงนิ่งเฉย ซึ่งนอกจากจะทำให้คนเข้าใจผิดต่อพระพุทธเจ้าแล้ว อาจจะเป็นการเสื่อมเสียต่อพระพุทธคุณสำหรับผู้ที่รู้เรื่องพุทธประวัติดี เมื่อได้ยินได้ฟังอย่างนี้ นอกจากจะตำหนิได้ว่าเป็นการก่อให้เกิดความ เข้าใจผิดแล้ว ก็ยังจะรู้สึกได้ว่า ท่านผู้กล่าวนั้นมุ่งแต่จะรักษาตัวเอง โดยไม่คำนึงว่าการกระทำของตน จะเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อองค์พระพุทธเจ้าและเสื่อมเสียต่อศรัทธาในพระพุทธคุณ ที่ถูกนั้น ควรยอมสละตัวเราเพื่อรักษาพระศาสนา ไม่ใช่ยอมให้เสียแก่พระศาสนา เพื่อรักษาตัวเรา


จับประเด็นให้ชัด วางท่าทีปฏิบัติให้ตรงตามต้นเรื่องสิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ ไม่ใช่เรื่องความคิดเห็น นี้เป็นข้อสำคัญที่ต้องย้ำไว้ก่อน เพราะเอกสารของวัดพระธรรมกายที่เผยแพร่ออกมานั้น มีลักษณะที่ทำให้เกิดความสับสน เช่น เอาเรื่องข้อเท็จจริงบ้าง หลักฐานบ้าง เหตุผลความคิดเห็นต่างๆ บ้าง มาปะปนกันไปหมด จนทำให้คนเกิดความรู้สึกที่มองว่า แม้แต่พระไตรปิฎกก็เป็นเรื่องของความคิดเห็นจะต้องแยกให้ชัดว่า ขณะนี้กำลังพูดถึงหลักฐาน กำลังพูดถึงพระไตรปิฎก เป็นต้น หรือกำลังพูดถึงความคิดเห็นของบุคคล ข้อเขียนต่อไปนี้ หรือคำชี้แจงต่อไปนี้ จะแสดงเฉพาะหลักฐานที่มาในคัมภีร์ เริ่มด้วยพระไตรปิฎกและอรรถกถา ถ้ามีความคิดเห็น ก็จะบอกไว้ด้วยว่าเป็นความคิดเห็น มีบางท่านพูดทำนองว่า ควรจะปล่อยให้ต่างคนต่างทำไป เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดความแตกแยก เรื่องนี้จะต้องระวังรักษาท่าทีให้ถูกต้องขอให้จำตระหนักต้นเรื่องเดิมไว้ให้ดี ว่าไม่ใช่เป็นเรื่องของคนที่เป็นฝักเป็นฝ่ายมาโต้เถียงทะเลาะกัน แต่เรื่องอยู่ที่ว่า มีปัญหาเกิดขึ้นในที่แห่งหนึ่ง โดยมีบุคคลหรือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งทำความเสียหาย หรือมีพฤติกรรมที่น่าสงสัยว่าจะเป็นความผิดหรือเป็นภัย มีผู้พบเห็น แล้วนำมาร้องเรียนแก่เจ้าหน้าที่ และบอกกล่าวแก่มหาชน เจ้าหน้าที่และประชาชนทั้งหลายจึงต้องมาช่วยกันแก้ไขระงับปัญหาโดยเฉพาะกรณีนี้ก็คือ มีกลุ่มคนที่มีพฤติการณ์อันทำให้เกิดความสงสัยกันว่ากำลังกระทำความเสียหายต่อพระธรรมวินัย และต่อประโยชน์สุข โดยเฉพาะผลประโยชน์ทางปัญญาของประชาชน จึงเป็นหน้าที่ของชาวพุทธและประชาชนทุกคน ที่จะต้องสนใจช่วยกันปกป้องรักษาธรรมวินัยไว้ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า จะต้องระวังรักษาท่าทีที่ถูกต้องนี้ไว้ อย่าทำด้วยความรู้สึกเป็นฝักฝ่าย แต่ทำด้วยเจตนาที่มุ่งจะดำรงพระพุทธศาสนา รักษาพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าไว้ให้บริสุทธิ์ในเรื่องพระธรรมวินัยนั้น การรักษาไว้ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ที่สุด เท่าที่จะทำได้ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะพระพุทธศาสนาอยู่ได้ด้วยพระธรรมวินัยนั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องใหญ่โต แม้แต่เพียงว่ามีภิกษุดื่มสุรา ชาวพุทธก็ต้องสนใจหาทางแก้ไข ไม่ใช่บอกว่าปล่อยท่านเถิด ใครอยากประพฤติอย่างไร ก็ต่างคนต่างประพฤติไป ถ้าไปว่ากล่าวหรือทำอะไร เดี๋ยวจะเกิดความแตกแยก ถ้าชาวพุทธมีท่าทีหรือทัศนคติอย่างนี้ พุทธศาสนาก็จะดำรงอยู่ไม่ได้ คงจะสูญไปในไม่ช้าขอให้จำตระหนักไว้ว่า ที่พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ยืนยาว มาถึงพวกเราได้ ก็เพราะพุทธบริษัททุกยุคทุกสมัย ถือว่าการรักษาธรรมวินัย เป็นแกนกลางของการรักษาพระพุทธศาสนา เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานใหม่ๆ เพียงมีภิกษุรูปหนึ่งพูดว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ต่อไปไม่มีใครจะคอยว่ากล่าว เราจะได้ทำอะไรโดยสะดวก พระมหากัสสปะได้ฟังคำเพียงเท่านี้ ก็เร่งชักชวนพระอรหันต์ทั้งหลายมาประชุมกันสังคายนา รวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าวางไว้เป็นหลักของพระศาสนา ดังปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกสืบมาความจริงนั้นเป็นหนึ่งเดียว และเมื่อเข้าถึงความจริง คนก็จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยความจริงนั้น ไม่มีอะไรที่จะทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้จริงเท่ากับความจริง เพื่อให้พิจารณาเรื่องราวได้ชัดเจน ขอโอกาสนำเอาเอกสารของวัดพระธรรมกายที่ได้เผยแพร่ ซึ่งอ้างถึงข้างต้นนั้น มาลงพิมพ์ไว้ด้วย (ดู ภาคผนวก) และขออภัยอีกครั้งหนึ่ง ที่บางครั้งจะต้องยกขึ้นมาเป็นบทตั้งในการพิจารณา ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความชัดเจน


ปัญหาของวัดพระธรรมกาย ส่วนที่กระทบต่อพระธรรมวินัย


สำนักวัดพระธรรมกาย เผยแพร่คำสอนคลาดเคลื่อนไปจากหลักพระพุทธศาสนาหลายประการ เช่น 1. สอนว่านิพพานเป็นอัตตา 2. สอนเรื่องธรรมกายอย่างเป็นภาพนิมิต และให้มีธรรมกาย ที่เป็นตัวตนเป็นอัตตาของพระพุทธเจ้ามาก มายหลายพระองค์ ไปรวมกันอยู่ในอายตน-นิพพาน 3. สอนเรื่องอายตนนิพพาน ให้เข้าใจผิดต่อนิพพาน เหมือนเป็นดินแดนที่จะเข้าสมาธิไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้ ถึงกับมีพิธีถวายข้าวพระ ที่จะนำข้าวบูชาไปถวายแด่พระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานนั้นคำสอนเหล่านี้ ทางสำนักสายวัดพระธรรมกายคิดขึ้นใหม่ เป็นของนอกธรรมนอกวินัยของพระพุทธเจ้า แต่แทนที่จะสอนไปตามตรงว่าเป็นลัทธิของครูอาจารย์ ทางวัดพระธรรมกายกลับพยายามนำเอาคำสอนใหม่ของตนเข้าใส่แทนที่หลักคำสอนเดิมที่แท้ของพระพุทธศาสนายิ่งกว่านั้น เพื่อหาทางให้ลัทธิของตนเข้าแทนที่พระธรรมวินัยได้สำเร็จ สำนักวัดพระธรรมกายยังได้เผยแพร่เอกสาร ที่จ้วงจาบพระธรรมวินัย ชักจูงให้คนเข้าใจผิด สับสน หรือแม้แต่ลบหลู่พระไตรปิฎกบาลี ที่เป็นหลักของพระพุทธศาสนาเถรวาท เช่น - ให้เข้าใจว่าพระไตรปิฎกบาลี บันทึกคำสอนไว้ตกหล่น หรือมีฐานะเป็นเพียงความคิดเห็นอย่างหนึ่ง เชื่อ ถือหรือใช้เป็นมาตรฐานไม่ได้ - ให้นำเอาพระไตรปิฎกฉบับอื่นๆ เช่น พระไตรปิฎกภาษาจีน และคำสอนอื่นๆ ภายนอกมาร่วมวินิจฉัย พระพุทธศาสนาเถรวาท - ให้เข้าใจเขวไปว่าหลักการของพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องอภิปรัชญา ขึ้นต่อการตีความ และความคิดเห็น ตลอดจนการถกเถียงทางวิชาการ - อ้างนักวิชาการต่างประเทศ และการปฏิบัติของตน ดังว่าจะใช้วินิจฉัยหลักพระพุทธศาสนาได้ ฯลฯ อีกทั้งสิ่งที่ยกมาอ้าง เช่น คัมภีร์ของมหายาน และทัศนะของนักวิชาการตะวันตก ก็ไม่ตรงตามความ เป็นจริง หรือไม่ก็เลื่อนลอย นอกจากนั้น ยังนำคำว่า "บุญ" มาใช้ในลักษณะที่ชักจูงประชาชนให้วนเวียนจมอยู่กับการบริจาค ทรัพย์ เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ชนิดที่ส่งเสริมความยึดติดถือมั่นในตัวตนและในตัวบุคคล อันอาจกลายเป็นแนว โน้มที่บั่นรอนสังคมไทยในระยะยาว พร้อมทั้งทำพระธรรมวินัยให้ลางเลือนไปด้วย พฤติการณ์ของสำนักวัดพระธรรมกายอย่างนี้ เป็นการจาบจ้วง ลบหลู่ ย่ำยีพระธรรมวินัย สร้างความ สับสนไขว้เขวและความหลงผิดแก่ประชาชน ข้อความบรรยายต่อไปนี้ ได้เขียนไว้เพื่อเป็นทางแห่งการศึกษา ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องพร้อมทั้งเป็นเหมือนคำขอร้องต่อชาววัดพระธรรมกาย ผู้ยังเห็นแก่พระพุทธศาสนา เมื่อรู้เข้าใจแล้ว จะได้หันมาร่วมกันทำบุญที่ยิ่งใหญ่ และสนองพระคุณบรรพบุรุษไทย ด้วยการรักษาพระธรรมวินัยให้บริสุทธิ์สืบไป


รู้จักพระไตรปิฎก

พระพุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญา เบื้องแรกต้องรู้ความแตกต่างระหว่างศาสนากับปรัชญาก่อน ปรัชญาเป็นเรื่องของการคิดหาเหตุผล และถกเถียงกันในเรื่องเหตุผลนั้นเพื่อสันนิษฐานความจริง เรื่องที่ถกเถียงนั้นอาจจะไม่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตที่เป็นอยู่ เช่น นักปรัชญาอาจจะถกเถียงกันว่า จักรวาลหรือจักรภพเกิดขึ้นเมื่อไรและจะไปสิ้นสุดเมื่อไร โลกจะแตกเมื่อไร ชีวิตเกิดขึ้นเมื่อไร เป็นต้น และนักปรัชญาก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินชีวิตตามหลักการอะไร หรือแม้แต่ให้สอดคล้องกับสิ่งที่ตนคิด เขาคิดหาเหตุผลหาความจริงของเขาไป โดยที่ว่าชีวิตส่วนตัวอาจจะเป็นไปในทางที่ตรงข้ามก็ได้ เช่น นักปรัชญาบางคนอาจจะเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย บางคนสำมะเลเทเมา บางคนมีทุกข์จนกระทั่งฆ่าตัวตาย แต่ศาสนาเป็นเรื่องของการปฏิบัติ เรื่องของการดำเนินชีวิต หรือการนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตจริง การปฏิบัตินั้นต้องมีหลักการที่แน่นอนอย่างใดอย่างหนึ่ง และจะต้องมีจุดหมายชัดเจนด้วยว่าต้องการอะไร การที่ต้องมีข้อปฏิบัติที่แน่นอนและต้องมีจุดหมายที่ชัดเจนนั้น ผู้ปฏิบัติก็ต้องยอมรับหลักการอย่างใดอย่างหนึ่ง และก็ต้องถามต่อไปว่าจะยอมรับหลักการที่บุคคลผู้ใดได้ค้นพบหรือแสดงไว้ ซึ่งเราเรียกว่าพระ "ศาสดา"เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติคือศาสนิกชน เริ่มต้นก็ต้องยอมรับหรือเชื่อการตรัสรู้หรือการค้นพบความจริงขององค์พระศาสดา หรือยอมรับหลักการที่ศาสนานั้นได้แสดงไว้ ซึ่งเราเรียกว่าคำสอน เพราะฉะนั้นศาสนิกจึงมุ่งไปที่ตัวคำสอนของพระศาสดา หรือหลักการที่ศาสนาวางไว้ คำสอนของพระศาสดานั้นก็รวบรวมและรักษาสืบทอดกันไว้ในสิ่งที่เรียกกันว่าคัมภีร์ ในพระพุทธศาสนาเรียกคัมภีร์ที่รักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระศาสดาของพระพุทธศาสนาว่า "พระไตรปิฎก"


พระไตรปิฎก คือที่สถิตของพระศาสดา คัมภีร์ศาสนา เช่น ในพระพุทธศาสนาคือพระไตรปิฎกนี้ เป็นมาตรฐาน เป็นเกณฑ์ตัดสินความเชื่อและ การประพฤติปฏิบัติ เป็นที่มา เป็นแหล่งรักษาหลักการของศาสนานั้นๆ ถ้าคำสอนหรือหลักการที่แท้ของพระศาสดาที่รักษาไว้ในพระไตรปิฎกหรือในคัมภีร์นั้น สูญสิ้นหมดไป ก็ถือว่าศาสนานั้นสูญสิ้น ดังนั้น ศาสนาทั้งหลายจึงถือการรักษาคัมภีร์ศาสนาของตนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และพระพุทธศาสนาก็ถือว่าการรักษาคัมภีร์พระไตรปิฎกเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด พระพุทธเจ้าเองก็ตรัสไว้ว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว ธรรมวินัยที่ทรงแสดงแล้วและบัญญัติแล้ว แก่สาวกทั้งหลายนั้น จะเป็นศาสดาแทนพระองค์สืบต่อไป ธรรมวินัยนั้นเวลานี้อยู่ที่ไหน ก็รักษาไว้ในพระไตรปิฎก ธรรมวินัย ก็คือหลักการและหลักเกณฑ์ของพระพุทธศาสนา ที่มาจากพุทธพจน์และพุทธบัญญัติ ซึ่งเป็นบรรทัดฐานที่ชัดเจน ยิ่งหลักการที่สำคัญ อย่างนิพพานซึ่งเป็นจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาด้วยแล้ว ก็จะต้องมีความแน่นอนว่าเป็นอย่างไร เพราะว่าศาสนิกหรือผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ยังไม่อาจจะรู้ไม่อาจจะเข้าใจหลักการนี้ด้วยประสบการณ์ของตนเอง พระศาสดาจึงต้องแสดงหลักการนี้ไว้ให้ชัด เท่าที่จะใช้ภาษาสื่อสารให้สติปัญญาของผู้ปฏิบัติรู้เข้าใจได้ ถ้ามิฉะนั้นผู้ปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติไป แทนที่จะบรรลุนิพพานของพระพุทธศาสนา ก็อาจจะกลาย เป็นนิพพานของฮินดูไป หรืออาจจะเข้าถึงฌานสมบัติ แล้วก็เข้าใจว่านี่เป็นนิพพาน หรือปฏิบัติไปรู้สึกว่าจิตไปเข้ารวมกับสภาวะอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วก็นึกว่านั้นเป็นนิพพาน เพราะฉะนั้นหลักการที่สำคัญนี้ พระศาสดาจะต้องวางไว้อย่างชัดเจนที่สุด เท่าที่สติปัญญาของคนที่ปฏิบัติซึ่งยังไม่รู้ได้ด้วยตนเองจะเข้าใจได้ พระไตรปิฎกเป็นแหล่งรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า "ธรรมวินัย" นี้ ตั้งแต่เรื่องนิพพานซึ่ง เป็นจุดหมายสูงสุดลงมา ทั้งคำสอนทางปัญญา อย่างไตรลักษณ์ ปฏิจจสมุปบาท ทั้งข้อปฏิบัติคืไตรสิกขา ตลอดจนวินัยเช่นที่เรียกว่าศีล 227 ของพระภิกษุสงฆ์ ศีล 10 ของสามเณร และศีล 5 ศีล 8 ของอุบาสกอุบาสิกา ทั้งหมดนี้อาศัยพระไตรปิฎกเป็นแหล่งรวบรวมไว้ และเป็นมาตรฐานทั้งสิ้น ควรจะยกพุทธพจน์ที่ตรัสเมื่อจะปรินิพพาน มาย้ำเตือนพุทธศาสนิกชนกันไว้เสมอๆ ว่า โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต, โส โว มมจฺจเยน สตฺถา (ที. ม.10/141/178) แปลว่า: "ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยใดที่เราได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย,ธรรมและวินัย นั้น เป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไป"

พระไตรปิฎกสำคัญต่อพระพุทธศาสนา ยิ่งกว่าที่รัฐธรรมนูญสำคัญต่อประเทศชาติ ถ้าเทียบกับเรื่องที่ชาวบ้านพอจะเข้าใจ พระไตรปิฎกนั้นมีความสำคัญต่อศาสนิกชน ยิ่งกว่าที่รัฐธรรม นูญมีความสำคัญสำหรับพลเมือง คงไม่มีใครพูดว่ารัฐธรรมนูญเป็นเพียงตำราเล่มหนึ่ง หรือว่าเมื่อขึ้นศาลมีการยกรัฐธรรมนูญมาตรานั้นมาตรานี้ขึ้นมากล่าว หรือแม้แต่ยกกฎหมายอาญา กฎหมายแพ่งมาตรานั้นมาตรานี้ขึ้นมาอ้าง คงไม่มีใครพูดว่า กฎหมายมาตรานั้นนี้ รัฐธรรมนูญมาตรานั้นนี้เป็นเพียงความคิดเห็น ที่ว่าพระไตรปิฎกสำคัญยิ่งกว่ารัฐธรรมนูญ สำหรับศาสนิกชน เพราะรัฐธรรมนูญนั้น สามารถเปลี่ยน แปลงไปโดยมติของประชาชนที่ผ่านทางองค์กรนิติบัญญัติตามยุคตามสมัย แต่พระไตรปิฎกไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ เพราะเป็นคำสอนขององค์พระศาสดา และพระศาสดาก็ปรินิพพานแล้ว ถ้าพระไตรปิฎกสูญหาย คำสอนของพระพุทธเจ้าก็สูญสิ้นการที่เรานับถือพระพุทธศาสนา ก็คือเรายอมรับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พร้อมทั้งอยากรู้และนำ ความจริงที่พระองค์ตรัสรู้นั้นมาปฏิบัติ ดังนั้นสิ่งที่เราต้องการที่สุด จึงได้แก่คำสอนของ พระองค์ เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว เราจึงถือเป็นสำคัญที่สุดว่าจะรักษาคำสอนหรือคำตรัสของพระองค์ที่เรียกว่าพุทธพจน์ไว้ให้แม่นยำบริสุทธิ์บริบูรณ์ที่สุดได้อย่างไร เพื่อให้พุทธศาสนิกชนสามารถเข้าถึงคำสอนของพระองค์ได้ต่อไป เมื่อเรารักษาคำสอนของพระองค์ไว้ดีที่สุดแล้ว เราก็ใช้คำสอนของพระองค์นั้นเป็นมาตรฐาน เป็นเกณฑ์ตัดสินความเชื่อและการปฏิบัติที่เรียกว่าพระพุทธศาสนาต่อไป ดังนั้น ในเรื่องธรรมวินัยในพระไตรปิฎกนี้ แทนที่จะคิดว่าจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง มีแต่ว่าจะต้องรักษาไว้ให้บริสุทธิ์ ให้ตรงตามเดิมเท่าที่เป็นไปได้ อีกประการหนึ่ง รัฐธรรมนูญเป็นบทบัญญัติเพียงในด้านวินัย เช่น กำหนดสิทธิเสรีภาพ หน้าที่พลเมือง และหลักเกณฑ์ในการ อยู่ร่วมกันในสังคมเป็นต้น แต่พระไตรปิฎกนั้นบรรจุไว้ทั้งธรรมและวินัย คือทั้งแบบแผนระเบียบความเป็นอยู่ของพระภิกษุสงฆ์ และทั้งหลักการของพระพุทธศาสนา ถ้าศาสนิกชนปฏิเสธพระไตรปิฎกหรือไม่ยอมรับพระไตรปิฎกก็คือไม่ยอมรับพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาแบบนั้น เช่น แบบเถรวาท แบบมหายาน แล้วแต่ว่าจะเป็นพระไตรปิฎกฉบับไหน ยิ่งถ้าเป็นพระภิกษุ การปฏิเสธไม่ยอมรับพระไตรปิฎก ก็คือการปฏิเสธไม่ยอมรับความเป็นพระภิกษุ ของตนนั่นเอง เพราะเหตุว่าการบวชของภิกษุนั้นก็ดี สิ่งที่เรียกว่า ศีล 227 ข้อ คือสิกขาบท 227 ในพระวินัยก็ดี ที่พระภิกษุนั้นรักษาอยู่ ก็มาจากพุทธบัญญัติในพระไตรปิฎก เมื่อภิกษุไม่ยอมรับพระไตรปิฎก ก็คือปฏิเสธการบวช และปฏิเสธศีล 227 เป็นต้นของตนนั้นเองที่กล่าวนี้ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพ พระพุทธศาสนาให้สิทธิและเสรีภาพโดยสมบูรณ์ แม้แต่สิทธิและเสรีภาพที่จะปฏิเสธพระไตรปิฎกและปฏิเสธพระพุทธเจ้า แต่ข้อสำคัญในความเป็นประชาธิปไตย ก็คือความตรงไปตรงมา เมื่อเราไม่ยอมรับพระไตรปิฎกนี้ เราไม่ยอมรับการบวชเป็นพระภิกษุแบบนี้ ก็จะเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่ว่าเรายังเอารูปแบบที่เป็นบัญญัติในพระไตรปิฎกนั้นมาใช้ ยิ่งหลักการที่สูงขึ้นไปอย่างเรื่องนิพพานก็ยิ่งสำคัญเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะว่าวินัยที่รักษานั้นก็เพื่อที่จะเป็นฐานให้เข้าถึงจุดหมายนั้นเอง ถ้ารักษาหลักการอย่างนิพพานซึ่งเป็นจุดหมายสูงสุดไว้ไม่ได้ การรักษาความประพฤติปฏิบัติเบื้องต้นเช่นวินัยก็แทบจะหมดความหมาย


พระไตรปิฎกบาลีที่คนไทยนับถือ คือฉบับเดิมแท้ เก่าแก่ และสมบูรณ์ที่สุด พระพุทธศาสนาแบบที่เรานับถือกันอยู่ ซึ่งสืบต่อมาในประเทศไทยนี้ เรียกว่าพระพุทธศาสนาเถรวาท หรือบางทีก็ถูก เรียกว่า หินยาน ซึ่งตั้งอยู่บนฐานของคำสอนที่รักษามาในพระไตรปิฎกภาษาบาลี พระไตรปิฎกภาษาบาลีของเถรวาทนี้ เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นคำสอนดั้งเดิมแท้ของพระพุทธเจ้า เก่าแก่ ที่สุดเท่าที่จะสืบหาได้ แล้วรักษากันมาอย่างเคร่งครัด ทั้งแม่นยำที่สุดและครบถ้วนที่สุด เวลานี้ในโลกก็รู้กันอยู่ว่าพระพุทธศาสนามีนิกายใหญ่ 2 นิกาย คือ เถรวาท กับมหายาน นอกจากพระ พุทธศาสนาแบบเถรวาทอย่างของเรานี้ ก็มีพระพุทธศาสนาแบบมหายาน ที่มีในประเทศแถบเอเชียภาคเหนืออย่าง ญี่ปุ่น จีน เกาหลี มองโกเลีย เป็นต้น รวมทั้งทิเบตซึ่งมักจะไม่ยอมเรียกตนเป็นมหายาน แต่เรียกตนว่าวัชรยาน กลายเป็น 3 นิกาย ทั้งโลกนี้รู้กันอยู่และยอมรับกันทั่วไปว่า เถรวาทเป็นพระพุทธศาสนาดั้งเดิม พระไตรปิฎกบาลีก็เป็นพระ ไตรปิฎกดั้งเดิม ชาวพุทธฝ่ายมหายานก็ยอมรับเช่นนั้น นักปราชญ์ที่เชี่ยวชาญด้านมหายานนั่นแหละ พูดออกมาเองอย่างเต็มปาก ยกตัวอย่างด้านจีน เช่น Professor Soothill ผู้รวบรวมพจนานุกรมศัพท์พระพุทธศาสนาภาษาจีน เขียน ไว้ในคำ "มหายาน" ว่า "Mahayana . . . is interpreted as มหายาน (คำจีน) the greater teaching as compared with หินยาน (คำจีน ) the smaller, or inferior. Hinayana, which is undoubtedly nearer to the original teaching of the Buddha, is unfairly described as an endeavour to seek nirvana through an ash-covered body, an extinguished intellect, and solitariness; . . ."1 "มหายาน . . . ได้รับการแปลความหมายให้เป็นหลักธรรมที่ยิ่งใหญ่กว่า โดยเปรียบเทียบกับ "หินยาน" ซึ่ง(ถูกแปลความหมายให้) เป็นหลักธรรมที่เล็กน้อยหรือด้อยกว่า. หินยาน ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าใกล้เคียงกับคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้ามากกว่า ถูกกล่าวขานอย่างไม่เป็นธรรม ว่าเป็นความพยายามที่จะแสวงนิรวาณ(นิพพาน) ด้วยอาศัยกายที่หมกเถ้าธุลี ปัญญาที่ดับอับแสง และการปลีกตัวหลีกเร้น; . . ." ตัวอย่างด้านญี่ปุ่น เช่น Professor Mizuno ได้เขียนหนังสือไว้ ให้รู้ว่า ". . . of all the sects and schools of Buddhism, Theravada Buddhism, one of the major Hinayana schools, is the only one that possesses a complete canon in a single language." 2 "ในบรรดาพุทธศาสนาทั้งหมดทุกนิกายนั้น พุทธศาสนาเถรวาท ซึ่งเป็นนิกายใหญ่นิกายหนึ่งในสาย หินยาน เป็นพุทธศาสนานิกายเดียว ที่มีพระไตรปิฎกครบถ้วนบริบูรณ์อยู่ในภาษาเดียว" ตัวอย่างด้านประเทศตะวันตก T. O. Ling ก็เขียนไว้ใน Dictionary ของเขาทำนองเดียวกันว่า "Tipitaka The canon of Buddh. scripture in Pali, regarded as authoritative by the Theravada; it is earliest form of Buddh. teaching available and the most complete"3 "ติปิฏก คัมภีร์หลักของพระพุทธศาสนาในภาษาบาลี ซึ่งเถรวาทยึดถือเป็นแบบแผน ติปิฏกเป็นคำ สอนของพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมสุดเท่าที่มีอยู่ และสมบูรณ์ที่สุด" เรื่องที่ว่าพระไตรปิฎกบาลีเก่าแก่ เดิมแท้ ครบถ้วนที่สุดนี้ เป็นที่รู้และยอมรับกันทั่ว แต่ที่ก้าวไปไกลกว่า นั้น ก็คือการที่ปราชญ์มหายาน รวมทั้งในประเทศมหายานเอง ยอมรับด้วยว่าคัมภีร์ของตนไม่ใช่พุทธพจน์แท้จริง จนกระทั่งเห็นว่าจะต้องหันมาศึกษาพระไตรปิฎกบาลีของเถรวาทด้วย ยกตัวอย่าง นาย Christmas Humphreys ที่ เอกสารของวัดพระธรรมกาย ยกย่องให้เป็น "ปราชญ์ ใหญ่ทางพระพุทธศาสนาในดินแดนตะวันตก ที่มีชื่อเสียงก้องโลก" ได้เขียนไว้ในหนังสือตำราอ้างอิงของเขาให้รู้ว่า พระสูตรของมหายานไม่ใช่คำตรัสของพระพุทธเจ้า ดังความว่า "The Suttas of the Theravada are presented as actual sermons of the Buddha; those of the Mahayana are frankly later compilations put into his mouth" 1 " พระสูตรทั้งหลายของเถรวาทนั้น ท่านนำเสนอไว้โดยเป็นพระธรรมเทศนาที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า; ส่วน พระสูตรทั้งหลายของมหายาน พูดกันตรงไปตรงมาก็คือ คำนิพนธ์ยุคหลังที่บรรจุเข้าในพระโอษฐ์" ในประเทศญี่ปุ่น ความตื่นตัวของมหายานที่จะมาถึงขั้นนี้ ต้องผ่านความกระทบกระทั่งเจ็บปวดกันบ้าง อย่างที่ Dr. Mizuno เขียนเล่าตอนหนึ่งว่า "Dr. Murakami stated that Shakyamuni is the sole historical Buddha and that Amitabha Buddha . . . never existed . . . clearly the statement that Shakayamuni did not expound Mahayana teachings is consistent with historical evidence."2 "ดร.มูรากามิ กล่าวว่า พระศากยมุนีเป็นพระพุทธเจ้าที่มีอยู่พระองค์เดียวในประวัติศาสตร์ และกล่าวว่า พระอมิตาภพุทธะ ที่ศาสนิกนิกายสุขาวดีทั้งหลายนับถือนั้น ไม่เคยมีจริง . . . คำกล่าวที่ว่าพระศากยมุนีมิได้ตรัส แสดงคำสอนของมหายานนั้น เป็นการสอดคล้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างแจ้งชัด" Dr. Mizuno ได้เขียนถึงสภาพปัจจุบันว่า ". . . in Japan it is commonly held that, for a correct understanding, a thorough study of Mahayana Buddhism must include both primitive and fundamental Buddhism. The study of Pali sutras has served three important purposes. It has helped to provide a correct understanding of both primitive and fundamental Buddhism as the basis of Buddhism; to advance unity and cooperation among Japanese Buddhists of different sects, since the Mahayana Buddhist sects all originate in the same sourcesัprimitive and fundamental Buddhism; and to provide agreement that Shakyamuni was the founder of Buddhism."1 ". . . ในประเทศญี่ปุ่น ได้ยึดถือร่วมกันว่า เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง การศึกษาพุทธศาสนามหายาน อย่างทั่วตลอด จะต้องรวมเอาพุทธศาสนา (เถรวาท) ที่ทั้งดั้งเดิมและเป็นพื้นฐานด้วย" "การศึกษาพระสูตรบาลีสนองวัตถุประสงค์สำคัญ 3 ประการ คือ (1) ช่วยให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องต่อพระพุทธศาสนา (เถรวาท) ที่ทั้งดั้งเดิมและเป็นพื้นฐานนั้น ว่าเป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนา; (2) เพื่อส่งเสริมเอกภาพและความร่วมมือกันในหมู่ชาวพุทธญี่ปุ่นผู้นับถือนิกายต่างๆ ด้วยเหตุที่พุทธศาสนามหายานทุกนิกายล้วนมีกำเนิดจากแหล่งเกิดเดียวกันคือ พุทธศาสนา (เถรวาท) ที่ทั้งดั้งเดิมและเป็นพื้นฐานนั้น และ (3) เพื่อให้มีความเห็นร่วมกันว่าพระศากยมุนี เป็นพระศาสดาผู้ประดิษฐานพุทธศาสนา" พระพุทธศาสนาทั้งเถรวาทและมหายานต่างก็มีหลักการของตนเองที่แน่นอน ชัดเจน ยิ่งมหายานแตก แยกเป็นนิกายย่อย ๆ มากมาย ดังเช่นในญี่ปุ่น ไม่ต้องนับนิกายที่ล้มหายสาบสูญไปแล้วในยุคต่าง ๆ ปัจจุบันนี้ก็ยังมีนิกายใหญ่ถึง 5 นิกาย และแตกเป็นนิกายย่อยอีกประมาณ 200 นิกาย แต่ละนิกายก็มีคำสอน มีหลักการต่างๆ ที่แตกต่างกัน และมหายานด้วยกันเองนั้นแหละแตกต่างกันไกล บางทีแตกต่างกันเองมากยิ่งกว่าแตกต่างกับพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทด้วยซ้ำ ถ้าพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทอย่างของเราไม่สามารถรักษาหลักการของตนไว้ได้ ปล่อยให้หลักการหรือคำสอนภายนอกอย่างของมหายานเข้ามาปะปนจะไม่เพียงเกิดความสับสนเท่านั้น แต่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ที่ใครๆ หวังจากเรา ก็จะพลอยเลอะเลือนหมดไป

ถ้าตีรวนพระไตรปิฎกได้ ก็ถอนรากพระสงฆ์ไทยสำเร็จ เรื่องนี้จะต้องทำความเข้าใจให้ชัด เวลาพูดจะต้องจำแนกว่าเถรวาทหรือพระไตรปิฎกเถรวาทว่าอย่างนี้ พระไตรปิฎกมหายานว่าอย่างนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้จะสับสนปนเปเกิดปัญหามากมายยุ่งกันไม่จบ และพระพุทธศาสนาที่แท้ก็จะหมดไปด้วย ยกตัวอย่าง ดังที่กล่าวแล้วว่าในประเทศญี่ปุ่นมีพุทธศาสนามหายานหลายนิกาย และแยกนิกายย่อยเป็นร้อย ๆ นิกาย เอาเฉพาะนิกายใหญ่ 5 นิกาย ก็สอนและปฏิบัติต่างกันมากมาย เวลานี้สิ่งหนึ่งที่พระมหายานของญี่ปุ่นทุกนิกายรักษาไว้ไม่ได้ ก็คือเพศพรหมจรรย์ นิกายเซนที่ว่ารักษาไว้ด้วยดีมานาน เดี๋ยวนี้ ตัวอาจารย์เจ้าสำนักก็มีครอบครัวกันไป พระญี่ปุ่นบางนิกาย อย่างนิกายชิน นอกจากมีครอบครัว แล้ว ยังทำธุรกิจ เป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม เป็นเจ้าของ กิจการ ทำการค้าพาณิชย์ต่าง ๆ บ้างก็เล่นการเมือง บางนิกายถึงกับตั้งพรรคการเมือง อย่างเช่น นิกายโซกะงักไก ที่เป็นนิกายย่อยหนึ่งของนิกายนิจิเรน ได้ตั้งพรรคการเมืองโกเมโตขึ้นพระญี่ปุ่นบางนิกายนั้นในประวัติศาสตร์ถึงกับตั้งกองทัพของตนเอง มีอำนาจทางการเมืองและทางการทหารมาก แข่งอำนาจกับทางฝ่ายบ้านเมืองนั้น หรือแข่งอำนาจกับพวกขุนนาง จนในที่สุดทางฝ่ายบ้านเมืองทนไม่ไหว ต้องยกทัพเข้ามาปราบ ปราม ทำสงครามกันส่วนทางพระพุทธศาสนาเถรวาทนั้น ก็อย่างที่กล่าวแล้วว่า รักษาวินัยแบบแผนคำสอนหลักการเดิมไว้อย่างแม่นยำที่สุด เพราะฉะนั้นสภาพสับสนและเหตุการณ์แปลกๆ อย่างนั้นจะไม่เกิดขึ้น เพราะวินัยที่พระรักษานั้น ป้องกันไว้อย่างรัดกุมที่สุด ไม่มีทางที่จะคลาดเคลื่อนไปได้ นอกเสียจากว่าเราจะไม่รักษาพระไตรปิฎกบาลีนี้ไว้ ถ้าไม่รู้จักแยกอย่างที่ว่าข้างต้น ต่อไปก็อาจจะมีการกล่าว อ้าง เช่นอาจจะมีพระภิกษุบางรูปพูดขึ้นมาว่า เอ๊ะ! ที่ประเทศญี่ปุ่น พระไตรปิฎกฉบับนิกายนั้นไม่เห็นมีพุทธบัญญัติข้อนั้น หรือว่าบางนิกายไม่เห็นต้องให้ความสำคัญมากมายแก่พระไตรปิฎก เพราะเขานับถืออาจารย์เป็นใหญ่ เขาก็เป็นพระพุทธศาสนาอยู่ได้ เขาไม่ได้ถือวินัยอย่างเรา วินัยข้อนั้นๆ ไม่มีในพระไตรปิฎกของญี่ปุ่น เขาถืออย่างนั้น ๆ แล้วทำไมเราจะต้องมาถืออย่างนี้ด้วย ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า พระไทยต่อไปจะรักษาความเป็นพระภิกษุแบบเถรวาทไว้ไม่ได้ จะมีครอบครัว หรือจะทำธุรกิจอุตสาหกรรม เป็นเจ้าของโรงงาน เป็นเจ้าของกิจการค้าขาย ทำการค้าพาณิชย์ ตลอดจนกระทั่งมีอำนาจในทางการเมือง อย่างที่เคยเป็นหรือเป็นอยู่ในประเทศญี่ปุ่นและในบางประเทศอื่น ๆ ในด้านหลักการทางธรรม ถ้าเอาพระไตรปิฎกฉบับอื่นๆ มาอ้างกันสับสน ต่อไปก็อาจจะมีภิกษุบางรูปพูดว่า เอ๊ะ! ในประเทศญี่ปุ่นนั้นบางนิกายเขามีพระสูตรอื่น ๆ ที่เราไม่มี อย่างเช่น สุขาวตีวยูหสูตร ที่เป็น หลักสำคัญของนิกายโจโด และนิกายชิน ซึ่งเป็นนิกายที่นักบวชมีบุตรภรรยา และทำกิจการธุรกิจอุตสาหกรรมที่กล่าวมาแล้ว สุขาวตีวยูหสูตรนั้นสอนว่า มีสวรรค์ทิศตะวันตก เรียกว่าแดนสุขาวดี ที่มีพระพุทธเจ้าชื่อว่า อมิตาภะ ประทับอยู่ ใครอยากจะเกิดในสวรรค์สุขาวดีก็ให้เอ่ยนามพระองค์ให้มากที่สุดโดยเฉพาะเวลาตาย ก็จะได้ไปอยู่กับพระอมิตาภะ และรอเข้านิพพานที่นั่น ถ้าใครเกิดบอกว่าพระสูตรนี้ไม่มีในพระไตรปิฎกบาลีของเรา น่าจะเอาเข้ามาด้วยอย่างนี้เป็นต้น จะว่าอย่างไร ความชัดเจนในหลักการและในคัมภีร์ของตนเองนี้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งคัมภีร์พระไตรปิฎกบาลีของเถรวาทนั้นเป็นของที่สืบมาจากการสังคายนาครั้งแรก จึงถือว่าต้นเดิมที่สุด และก็ได้ชำระสะสางความเห็นแตกแยกแปลกปลอม โดยเฉพาะในการสังคายนาครั้งที่ 3 สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พ.ศ. 235 นั้น เป็นที่ชัดเจนจะแจ้งอยู่แล้ว ว่าอะไรใช่ อะไรไม่ใช่คำสอนของพระพุทธศาสนาแบบเดิมแท้ที่เรียกว่าเถรวาทนี้จริงอยู่ในเรื่องปลีกย่อยเล็กๆ น้อยๆ อาจจะมีอะไรที่ไม่ชัดเจนได้เป็นเรื่องธรรมดา เช่นอย่างพระเทวทัตกับพระสารีบุตร ใครจะมีอายุมากกว่ากันอย่างนี้ อาจจะหาหลักฐานไม่ได้ หรือว่าต้นโพธิ์ชื่อว่าอานันทโพธิที่พระเชตวันปลูกขึ้นปีไหนในระหว่างพุทธกิจ 45 พรรษา ดังนี้เป็นต้น แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ข้อสำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือหลักการใหญ่ๆ อย่างที่กล่าวแล้ว เช่นนิพพานนั้นจะต้องชัดเจน ท่านไม่ปล่อยไว้ให้คลุมเครือ ดังที่กล่าวแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่ผู้ปฏิบัติหรือศาสนิกไม่อาจจะรู้เข้าใจได้ ถ้าพระศาสดาไม่วางหลักการไว้ให้ชัดเจน คำ สอนของพระองค์ก็แทบจะไม่เกิดประโยชน์ เพราะผู้ปฏิบัติไม่รู้ว่าตนปฏิบัติอะไรอยู่ เป็นการปฏิบัติคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือปฏิบัติคำสอนของเจ้าสำนักที่คิดขึ้นเองใหม่ หรือปฏิบัติอะไรที่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของเขาเอง หรือแม้แต่ปฏิบัติลัทธิอื่นนอกพระพุทธศาสนา จริงอยู่ พระไตรปิฎกมหายานที่แปลไปเป็นภาษาจีนเป็นต้นแล้ว อาจให้ประโยชน์ได้บ้างในแง่ที่ว่า มา เทียบเคียงคำสอนเล็ก ๆ น้อยๆ เช่นข้อความในคาถาบางคาถา ว่ามีแปลกกันอย่างไร แต่นั่นไม่ใช่เรื่องหลักการใหญ่ ส่วนตัวหลักการใหญ่นั้นท่านวางไว้และชำระสะสางกันชัดเจนไปแล้ว มีแต่พูดได้ว่าเถรวาทสอนว่าอย่างนี้ มหายานสอนว่าอย่างนั้น หรือมหายานนิกายนี้ว่าอย่างนี้ มหายานนิกายนั้นว่าอย่างนั้น เป็นต้นเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะมาปะปนกัน


เพราะไม่รักษาคำสอนเดิมของพระพุทธเจ้าไว้ มหายานจึงต่างกันเอง ห่างไกล ยิ่งกว่าต่างจากเถรวาทอย่างไทย ความจริงการชำระสะสางแยกกันชัดเจนระหว่างเถรวาทกับมหายานนั้น ได้มีมานานแล้วตั้งแต่ก่อน เกิดเป็นมหายานด้วยซ้ำไป หมายความว่า ก่อนจะมีนิกายมหายานนั้นมีความคิดเห็นแปลกแยกออกไป ซึ่งใน ระยะแรก เรียกว่ามหาสังฆิกะ แล้วจึงพัฒนาขึ้นมาเป็นมหายานภายหลัง การชำระสะสางความคิดเห็นแปลกแยกเหล่านี้ทางฝ่ายเถรวาทได้ชี้แจงแสดงไว้ชัดเจนแล้ว ตั้งแต่สังคายนา ครั้งที่ 3 ที่พระเจ้าอโศกมหาราชเป็นองค์อุปถัมภ์ เมื่อ พ.ศ. 235 พระไตรปิฎกภาษาสันสกฤตก็ดี จีนก็ดี ทิเบตก็ดี หรือภาษาอะไรอื่นก็ดีที่นอกบาลีทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นของมหายาน หรือสืบเนื่องต่อมาหลังสังคายนาครั้งที่ 4 (ทางมหายานถือว่าเป็นครั้งที่ 3) ที่เมืองบุรุษปุระ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย เมื่อ พ.ศ. 643 ซึ่งเป็นการสังคายนาของนิกายสรวาสติวาทิน มหายานยอม รับการสังคายนาครั้งนี้ ต่อมานิกายสรวาสติวาทิน สาบสูญไปแล้ว แต่มหายานพัฒนาต่อมาโดยใช้คัมภีร์ภาษาสันสกฤตอย่างเดียวกับนิกายสรวาสติวาทิน คัมภีร์พระไตรปิฎกสันสกฤตเป็นของเกิดภายหลังจาก พระไตรปิฎกภาษาบาลีที่เป็นของดั้งเดิม การ ชำระสะสางก็ดี การรู้ความแตกต่างกันนั้นก็ดี เป็นเรื่องที่ชัดเจนอยู่ก่อนแล้ว หมาย ความว่า พระเถระที่รวบรวมจัดทำสังคายนาพระไตรปิฎกบาลีของเถรวาทนั้น ท่านรู้ความแตกต่างอยู่ก่อนแล้ว และท่านได้สะสางไว้เสร็จแล้ว เราจึงไม่ควรจะนำกลับไปปะปนกันอีก ยิ่งพระไตรปิฎกจีนด้วยแล้ว ก็เกิดสืบเนื่องจากพระไตรปิฎกฉบับสันสกฤตนั้นอีกต่อหนึ่ง พระไตรปิฎกจีนนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในอินเดีย แต่เกิดขึ้นในประเทศจีน เพราะฉะนั้นก็ห่างหลังฉบับภาษาสันสกฤตออกไปอีก เท่าที่นักประวัติศาสตร์สืบทราบได้ พระพุทธศาสนาที่เข้าไปสู่ประเทศจีนอย่างจริงจังนั้น ได้เริ่มเมื่อประมาณ พ.ศ. 608 เมื่อพระเจ้ามิ่งตี่ หรือเม่งตี่ ทรงส่งทูต 18 คนไปสืบพระพุทธศาสนาในประเทศตะวันตก คือ อินเดีย หรือชมพูทวีป ในครั้งนั้นพระกาศยปะ มาตังคะที่เข้ามาประเทศจีนจากประเทศอินเดีย ได้แปลพระสูตรพุทธวัจนะ 42 บท ที่ฝรั่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า The Sutra of Forty-two Sections ขึ้นเป็นสูตรแรก ต่อมาอีกนานจึงมีการแปลคัมภีร์พระไตรปิฎกภาษาสันสกฤตเป็นจีนอย่างจริงจังประมาณปี พ.ศ. 944 เมื่อพระกุมารชีวะจากแคว้นกูจา ในเอเชียกลาง มาถึงนครเชียงอานแล้วได้แปลคัมภีร์ออกมาส่วนหนึ่ง ต่อจากนั้นเหตุการณ์ใหญ่อีกครั้งหนึ่งก็คือสมัยราชวงค์ถัง เมื่อหลวงจีนที่เรารู้จักกันดี คือพระถังซำจั๋ง หรือหลวงจีนเหี้ยนจัง หรือยวนฉาง ได้ไปสืบพระไตรปิฎกในไซที คือแคว้นตะวันตก หรือดินแดนตะวันตก ซึ่งหมายถึงชมพูทวีป ใน พ.ศ. 1172 แล้วกลับมาถึงเมืองจีนเมื่อ พ.ศ. 1188 คือเกือบ พ.ศ. 1200 และได้แปลพระสูตรภาษาสันสกฤตที่นำมาจากอินเดียเป็นภาษาจีน ส่วนพระไตรปิฎกภาษาทิเบตก็เช่นเดียวกัน เพิ่งแปลมาจากภาษาสันสกฤตหลัง พ.ศ. 1160 เพราะว่าพระพุทธศาสนาเพิ่งเข้าสู่ทิเบตในช่วง พ.ศ. 1160 นั้น เมื่อกษัตริย์ทิเบตอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเนปาลและเจ้าหญิงจีน ที่นับถือพระพุทธศาสนา พระไตรปิฎกมหายานที่เป็นหลัก ก็มีของจีนกับของทิเบตเท่านี้ ส่วนพระไตรปิฎกมหายานนอกจากนี้ ก็ ถ่ายทอดต่อจากจีน-ทิเบตไปอีก อย่างของเกาหลี1 และญี่ปุ่นเป็นต้น หรือไม่ก็เป็นเพียงกระเส็นกระสาย มีนิดๆ หน่อยๆ หาเป็นชิ้นเป็นอันได้ยากที่น่าเสียดายก็คือ พระไตรปิฎกฉบับภาษาสันสกฤตที่เป็นต้นเดิมของมหายานนั้น ได้สูญหายไปแทบหมดสิ้น แม้จะกลับไปพบที่ฝังหรือเก็บใส่สถูปเจดีย์ไว้ ก็อยู่ในสภาพกระจัดกระจายหรือแหว่งวิ่นพระไตรปิฎกเดิมของสันสกฤต เกิดหลังบาลีอยู่แล้ว ยังมาสูญหายไปเสียอีก พระไตรปิฎกฉบับภาษาจีนและทิเบตที่แปลต่อจากฉบับสันสกฤตนั้น ก็เลยแทบไม่มีต้นฉบับเดิมที่จะตรวจสอบ การที่จะสืบหาคำสอนเดิมที่แท้แปลให้ตรงจริงจึงเป็นไปได้ยาก ดังเช่นพระไตรปิฎกของจีนนั้น บางเรื่องเป็นพระสูตรเดียวกัน แต่เมื่อไม่มีฉบับภาษาสันสกฤตที่เป็นตัวเดิม ก็เลยรวมเข้าชุดโดยเอาทั้งฉบับแปลของพระกุมารชีวะ (ราว พศ. 944) และฉบับแปลของหลวงจีนเหี้ยนจัง (ราว พศ. 1188) เพิ่มความใหญ่โตให้แก่พระไตรปิฎกของมหายานเป็นอันว่า พระไตรปิฎกของมหายาน ตั้งแต่ฉบับใหญ่ของจีนและทิเบต ตลอดจนฉบับภาษาอื่นๆ ที่มีกระเส็นกระสาย ไม่ว่าจะพบที่ไหน เราก็พูดได้ชัดเจนว่าเป็นของที่เกิดทีหลัง และเมื่อมองในแง่ของการรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็อยู่ในสภาพง่อนแง่น นอกจากสืบหาพุทธพจน์ได้ยากแล้ว ก็ยังเป็นส่วนที่แต่งใหม่ใส่พระโอษฐ์เข้าไปอีก ต่างจากพระไตรปิฎกบาลีของเถรวาทที่นอกจากเป็นของดั้งเดิมก่อนกว่าแล้ว ก็ยังมีประวัติการรักษาสืบต่อมาอย่างมั่นคง ดังที่ปราชญ์พุทธศาสนาไม่ว่าที่ไหนๆ ไม่ต้องพูดถึงตัวเราเอง แม้ถึงตะวันตกและประเทศมหายานเองก็ยอมรับทั่วกัน การที่เราเจอพระไตรปิฎกอื่น ๆ นั้นก็เป็นข้อดีใน 2 ประการ คือประการที่ 1 จะได้รู้ว่าเรื่องนั้นๆ ทางมหายานสอนว่าอย่างไร และเมื่อพูดถึงมหายานก็ต้องแยกนิกายด้วยว่า นิกายไหนของมหายานสอนไว้ว่าอย่างไร แต่ไม่ใช่หมายความว่าจะเอามาปะปนกัน (มหายานด้วยกันเองเขาก็ไม่ยอมให้ต่างนิกายมาปนกับเขา) แต่เอามาเทียบเพียงให้รู้ว่า ในเรื่องนี้ เช่น นิพพาน ทางเถรวาทสอนว่าอย่างนี้ มหายานนิกายนี้สอนว่าอย่างนี้ มหายานนิกายนั้นสอนว่าอย่างนั้น เพราะนิกายมหายานนั้นแตกแยกกัน ออกไปมาก ตามคำสอนของอาจารย์ในแต่ละนิกาย ดังที่เรียกชื่อมหายานอีกอย่างหนึ่งว่า อาจารยวาท (บาลีว่า อาจริยวาท) มหายานเองก็ไม่ลงกัน เราควรจะปล่อยให้มหายานเถียงกันดีกว่าที่จะไปเถียงด้วย ถ้าเราเอาคำสอนมหายานจากพระไตรปิฎกมหายานเข้ามาละก็จะยุ่งกันใหญ่ เพราะมหายานเองก็ยุ่งกันอยู่แล้ว ประการที่ 2 ยิ่งค้นพบพระไตรปิฎกในประเทศอื่น ๆ มากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการช่วยย้ำให้เราได้หลักฐาน มายืนยันเรื่องราวที่พระไตรปิฎกบาลีของเราได้บันทึกไว้ชัดเจนก่อนตั้งแต่ พ.ศ. 235 แล้วว่าท่านได้ชำระสะสางนิกายแตกแยกแปลกปลอมทั้งหลาย แสดงว่าลัทธิเช่นนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ ดังหลักฐานที่ได้ค้นพบภายหลังเหล่านั้น


เมื่อชาวพุทธยังนับถือพระไตรปิฎก ก็ยังเคารพพระพุทธเจ้า และมีพระศาสดาองค์เดียวกัน ประโยชน์ที่พุทธศาสนิกชนต้องการ คือ พระพุทธศาสนาแท้ที่เป็นพระดำรัสตรัสสอนของพระพุทธเจ้า พระไตรปิฎกเป็นแหล่งที่บรรจุพระดำรัสตรัสสอนที่เราต้องการนั้น และเป็นที่ยอมรับทั่วกันรวมทั้งนักปราชญ์พุทธศาสนาของมหายานว่า พระไตรปิฎกบาลีของเถรวาทนี้ เป็นหลักฐานแสดงพุทธวจนะที่ - ดั้งเดิมแท้เก่าแก่ที่สุด - รักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ได้แม่นยำที่สุด - ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด ที่ว่านี้มิใช่หมายความว่า พระไตรปิฎกบาลีจะมีพุทธดำรัสครบถ้วนทุกถ้อยคำของพระพุทธเจ้า หรือว่า ทุกถ้อยคำในพระไตรปิฎกเป็นพุทธดำรัส แต่หมายความว่าพุทธพจน์เท่าที่บันทึกไว้ ได้ และมีมาถึงเรา อยู่ในพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกนั้นเรียกได้ว่าเป็นแหล่งเดียวที่เราจะหาคำสอนที่แท้ของพระพุทธเจ้าได้ เมื่อเรานับถือพระพุทธศาสนา และปฏิบัติพระพุทธศาสนา ก็คือเรายอมรับและต้องการปฏิบัติตามที่ พระพุทธเจ้าตรัสสอน ซึ่งหมายความว่า เราจะต้องไปเฝ้าและไปฟังพระพุทธเจ้าตรัสเอง ถึงจะมีใคร เช่นครูอาจารย์ช่วยเล่าต่อให้ฟัง ก็ไม่เท่าได้ไปฟังพระองค์ตรัสเอง เพราะฉะนั้น แม้แต่ในสมัยพุทธกาล คนที่อยู่เมืองไกล ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าจากพระอาจารย์นำเข้าสู่พระพุทธศาสนาแล้ว ต่อมาในที่สุดก็เพียรพยายามเดินทางบุกป่าฝ่าดงแสนไกล มาเฝ้าพระพุทธเจ้า บัดนี้ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เราจึงไม่มีทางเลี่ยงที่จะต้องไปหาและไปเอาคำสอนของพระองค์จากพระไตรปิฎก และใช้คำตรัสสอนในพระไตรปิฎกนั้นเป็นเกณฑ์ตัดสินว่า สิ่งที่ใครก็ตามเชื่อถือหรือปฏิบัติอยู่่ เป็นพระพุทธศาสนาหรือไม่ ใครก็ตามที่กล่าวอ้างว่าตนปฏิบัติได้โดยไม่ต้องอาศัยพระไตรปิฎก ก็คือพูดว่า ตนปฏิบัติได้โดยไม่ต้อง อาศัยพระพุทธเจ้า เมื่อเขาปฏิบัติโดยไม่อาศัยคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้า เราจะเรียกการปฏิบัตินั้นว่าเป็นพระพุทธศาสนาได้อย่างไร แน่นอนว่านั่นเป็นการปฏิบัติลัทธิความเชื่อหรือความคิดเห็นของตัวเขาเอง หรือของใครอื่นที่คิดข้อปฏิบัตินั้นขึ้นมา หรืออย่างดีก็เป็นความที่เอามาเล่าต่อจากพระไตรปิฎก แบบฟังตามๆ กันมา ซึ่งเสี่ยงต่อความคลาดเคลื่อนผิดเพี้ยนเวลานี้ ชาวพุทธควรจะติติงและตักเตือนกันให้ตระหนักถึงความสำคัญของการปฏิบัติต่อพระพุทธเจ้าให้ถูกต้อง เพราะมีการกล่าวอ้างพระพุทธเจ้า หรือกล่าวอ้างพระพุทธศาสนา (แปลว่า คำสอนของพระพุทธเจ้า)กันง่ายๆ โดยมิได้มีการตรวจสอบว่าพระองค์ตรัสไว้หรือไม่ หรือเป็นเพียงความเชื่อหรือการคิดเอาของตนเอง ซึ่งถ้าไม่ถือว่าเป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า ก็เป็นการไม่เป็นธรรมต่อพระองค์ และถ้าไม่ถือว่าเป็นการหลอกประชาชน ก็เป็นความไม่ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน เช่นเดียวกัน ในเมืองไทยของเรา น่าเป็นห่วงว่ากำลังมีความโน้มเอียงจะเป็นอาจริยวาทกันมาก มักมีการอ้างพระเถระ พระมหาเถระองค์นั้นองค์นี้ จนจะกลายเป็นการเอาอาจารย์ของตนไปตัดสินพระพุทธเจ้า แทนที่จะอัญเชิญพระพุทธเจ้ามาเป็นมาตรฐานแก่อาจารย์ที่จริงนั้น คำสอนของพระเถระ และครูอาจารย์ที่เราเรียกกันนี้ ตามเกณฑ์มาตรฐาน ท่านไม่ยอมให้เรียกว่าเป็นอาจริยวาทเลย ท่านยอมให้เป็นอัตตโนมติเท่านั้นคำสอนของพระเถระ และพระอาจารย์ทั้งหลายนั้น เป็นเครื่องช่วยเราในการศึกษา และช่วยโยงช่วยสื่อเราเข้าหาพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่เป็นเกณฑ์วินิจฉัยหรือตัดสินพระพุทธศาสนา อย่าว่าแต่พระเถระและพระมหาเถระรุ่นหลังๆ เหล่านี้เลย แม้แต่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร อัครสาวกสูงสุด เมื่อมีปัญหาข้อธรรม ก็ยังมีความเคารพต่อองค์พระศาสดา นำถวายพระพุทธเจ้าทรงวินิจฉัยแม้พระมหากัสสปเถระ พระอุบาลีผู้ยอดแห่งวินัยธร และพระธรรมภัณฑาคาริกอานนท์ พร้อมด้วยพระอรหันตสาวก รวมด้วยกัน 500 รูป ผู้ทันเห็นทันเฝ้าทันตามเสด็จพระพุทธเจ้า ก็พร้อมใจกันยกให้พระธรรมวินัยที่มาอยู่่ในพระไตรปิฎกนี้มีความสำคัญเหนือกว่าวาทะของท่านนั้นๆ เอง เมื่อชาวพุทธทั้งปวงยังนับถือและรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก ก็ยังสมควรแก่คำที่ เรียกว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา และมีหลักที่จะยึดเหนี่ยวให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งองค์เดียวกัน เป็นแกนกลางและเป็นศูนย์รวม


ถ้าหลักคำสอนยังมีมาตรฐานรักษา

พระพุทธศาสนาก็อยู่ไปได้ถึงลูกหลาน

แท้ที่จริง บุคคล 2 ประเภทนี้ เท่ากับประกาศตัวอยู่โดยนัยว่า มิได้นับถือพระพุทธศาสนา มิต้องพูดถึง ว่าจะเป็นพระภิกษุหรือผู้้บวชอยู่่ในพระธรรมวินัย กล่าวคือ 1. ผู้กล่าวอ้างว่า ตนปฏิบัติได้เอง โดยไม่ต้องอาศัย ไม่ต้องฟัง ไม่ต้องสดับคำสอนของพระพุทธเจ้า 2. ผู้ปฏิเสธคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังที่มีมาถึงเราในพระไตรปิฎก ที่พูดทั้งนี้มิใช่หมายความว่าจะต้องยอมรับคำและความทุกอย่างในพระไตรปิฎก โดยมิให้สงสัยหรือไต่ ถาม ในพระพุทธศาสนาไม่มีการผูกขาดเช่นนั้น เพราะท่านเปิดเสรีภาพให้แม้แต่ที่จะปฏิเสธพระไตรปิฎก และปฏิเสธพระพุทธเจ้า แล้วปฏิบัติการอย่างซื่อตรง โดยสละภิกขุภาวะหรือไม่อยู่ในพระพุทธศาสนาต่อไป แต่สำหรับผู้ที่ยังนับถือพระพุทธศาสนา ก็ต้องปฏิบัติการตรงไปตรงมาเช่นเดียวกัน กล่าวคือ การนับถือพระพุทธศาสนา แปลว่านับถือคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงต้องเพียรหาคำสอนของพระองค์ผู้เป็นพระศาสดาในพระไตรปิฎก เมื่อสงสัยคำหรือความใดแม้แต่ในพระไตรปิฎก ก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อทันทีอย่างผูกขาด แต่สามารถตรวจ สอบก่อน ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงวางหลักทั่วไปไว้แล้ว ซึ่งสำหรับพวกเราบัดนี้ก็คือการใช้คำสั่งสอนในพระไตรปิฎก ตรวจสอบแม้แต่คำสั่งสอนในพระไตรปิฎกด้วยกันเอง กล่าวคือ หลักมหาปเทส 4 ได้แก่ ที่อ้างอิงใหญ่ หรือ หลักใหญ่สำหรับใช้อ้างเพื่อสอบสวนเทียบเคียง เริ่มแต่หมวดแรก ที่เป็นชุดใหญ่ ซึ่งแยกเป็น 1. พุทธาปเทส (ยกเอาพระพุทธเจ้าขึ้นอ้าง) 2. สังฆาปเทส (ยกเอาสงฆ์ทั้งหมู่ขึ้นอ้าง) 3. สัมพหุลัตเถราปเทส (ยกเอาพระเถระจำนวนมากขึ้นอ้าง) 4. เอกเถราปเทส (ยกเอาพระเถระรูปหนึ่งขึ้นอ้าง)1 (ที.ม. 10/113/104; องฺ.จตุกฺก. 21/180/227) นอกจากนั้น ถ้าเป็นปัญหาหรือข้อสงสัยที่จำกัดลงมาในส่วนพระวินัย ก็สามารถใช้หลักมหาปเทส 4 ชุด ที่ 2 ตรวจสอบ ซึ่งจะไม่กล่าวรายละเอียดในที่นี้ เพราะนักวินัยทราบกันดี (ดู วินย. 5/92/131) เมื่อพิจารณากว้างออกไป โดยครอบคลุมถึงคำสอนรุ่นหลังๆ หรือลำดับรองลงมา ท่านก็มีหลักเกณฑ์ที่ จะให้ความสำคัญในการวินิจฉัยลดหลั่นกันลงมา โดยวางเกณฑ์วินิจฉัยคำสอนความเชื่อและการปฏิบัติ เป็น 4 ขั้น คือ (ดู ที.อ.2/172/; วินย.อ.1/271; วินย.ฎีกา 3/352) 1. สุตตะ ได้แก่ พระไตรปิฎก 2. สุตตานุโลม ได้แก่ มหาปเทส (ยอมรับอรรถกถาด้วย) 3. อาจริยวาท ได้แก่ อรรถกถา (พ่วงฎีกา อนุฎีกาด้วย) 4. อัตตโนมติ ได้แก่ มติของบุคคลที่นอกจากสามข้อต้น "สุตตะ" คือพุทธพจน์ที่มาในพระไตรปิฎกนั้น ท่านถือเป็นมาตรฐานใหญ่ หรือเกณฑ์สูงสุด ดังคำที่ว่า " แท้จริง สุตตะ เป็นของคืนกลับไม่ได้ มีค่าเท่ากับการกสงฆ์ (ที่ประชุมพระอรหันตสาวก 500 รูป ผู้ทำ สังคายนาครั้งที่ 1) เป็นเหมือนครั้งที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายยังสถิตอยู่" (วินย.อ. 1/272) " เพราะว่า เมื่อค้านสุตตะ ก็คือ ค้านพระพุทธเจ้า" (วินย.ฎีกา.2/71) พาหิรกสูตร (สูตรภายนอก คือสูตรที่ไม่ได้ขึ้นสู่สังคายนาทั้ง 3 ครั้งใหญ่) ตลอดถึงพระสูตรของนิกาย มหาสังฆิกะ (นิกายใหญ่ที่จัดเป็นหินยานที่สืบต่อจากภิกษุวัชชีบุตร และต่อมาพัฒนาเป็นมหายาน) ท่านก็จัดเข้า เกณฑ์ไว้แล้วว่า "...ไม่พึงยึดถือ ควรตั้งอยู่ในอัตตโนมตินั่นแหละ หมาย ความว่า อัตตโนมติ ในนิกายของตน (เถรวาท) ยังสำคัญกว่าสูตรที่นำมาจากนิกายอื่น " (วินย.ฎีกา 2/72) นี้เป็นตัวอย่างหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่พระเถระในอดีตได้ถือปฏิบัติในการดำรงรักษาพระธรรมวินัยสืบกันมา ซึ่งแสดงให้เห็นทั้งประสบการณ์ในการทำงาน และจิตใจที่ให้ความสำคัญแก่พระธรรมวินัยนั้นอย่างมั่นคงยิ่งในหลักการ ท่านจึงรักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่่ยืนนานมาถึงเราได้ ชนิดที่ว่าแม้พวกเราในปัจจุบันจะไม่เอาใจใส่ แต่ก็มีโอกาสให้คนยุคต่อไปที่ตื่นตัวขึ้นสามารถเข้าถึงพระพุทธศาสนาได้อีก


เพราะยังมีพระไตรปิฎกเถรวาทไว้เป็นมาตรฐาน

พระมหายานจึงมีโอกาสย้อนกลับมาหาพุทธพจน์ที่แท้

มองในทางกลับกัน ถ้าพระเถระในอดีตเป็นอย่างที่พวกเราเป็นกันอยู่่เวลานี้ ก็เห็นได้ชัดว่าพระพุทธ ศาสนาคงไม่อยู่ยืนยาวมาถึงปัจจุบันได้แน่ หรือถ้าอยู่ก็คงเป็นคล้ายอย่างพระมหายานในญี่ปุ่น ที่นอกจากมีครอบครัว เป็นนักธุรกิจ ฯลฯ แล้วก็ยังแตกแยกย่อยออกไปมากมายเป็นร้อยๆ นิกายย่อย ที่มหายานเป็นอย่างนี้ ก็สืบมาแต่เดิม คือแตกแยกย่อยกันมาเรื่อยๆตั้งแต่ก่อนเป็นมหายาน คือตั้งแต่ ยุคเดิมที่เป็นหินยาน ซึ่งคัมภีร์ของเถรวาทได้บันทึกเรื่องราวไว้แต่ต้น ขอเล่าโดยย่อ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วได้ 1 ศตวรรษ คือ ถึง พ.ศ. 100 ภิกษุพวกหนึ่งเรียกว่า "วัชชีบุตร" ได้ ถือตามลัทธิอาจารย์ว่าการไม่ปฏิบัติตามพุทธบัญญัติบางอย่าง รวม 10 ข้อ ไม่เป็นความผิด เป็นเหตุให้พระเถระผู้ต้องการรักษาพระธรรมวินัยไว้ตามเดิมแบบเถรวาท ได้จัดให้มีการสังคายนาครั้งที่ 2 ขึ้น อย่างไรก็ตาม ภิกษุวัชชีบุตรไม่ยอม และได้แยกตัวไปตั้งเป็นนิกายขึ้นต่างหาก เรียกชื่อว่า "มหาสังฆิกะ" (พวกสงฆ์หมู่ใหญ่) เป็นอาจริยวาทกลุ่มแรก พอแยกออกไปแล้ว ปรากฏว่าลัทธิถือตามอาจารย์ (อาจริยวาท) ก็เกิดมากขึ้น มหาสังฆิกะได้แตกแยกย่อยออกไป จนกลายเป็นอาจริยวาท 6 นิกายย่อย ทางด้านเถรวาทเดิม ก็ได้มีอาจริยวาทแยกตัวออกไป 2 พวก แล้ว 2 พวกนั้น ก็ไปแตกแยกย่อยออกไป เรื่อยๆ จนกลายเป็น 11 อาจริยวาทความแตกแยกเกิดอาจริยวาทต่างๆ มากมายนี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลา 100 ปี ดังนั้น เมื่อถึง พ.ศ. 200 จึงมีพระพุทธศาสนานิกายย่อยรวมทั้งหมด 18 นิกาย1 เป็นเถรวาทดั้งเดิม 1 กับอาจริยวาท 17 นิกายโดยนัยนี้ เมื่อถึงรัชกาลพระเจ้าอโศกมหาราช ใน พ.ศ. 218 พระพุทธศาสนาซึ่งรุ่งเรืองในด้านการอุปถัมภ์บำรุง กลับไม่มีเอกภาพ มีการสั่งสอนลัทธิแปลกแยกกันมากมายสับสน จนทำให้ต้องจัดการสังคายนาครั้งใหญ่อีกเป็นครั้งที่ 3 ใน พ.ศ. 235 ซึ่งมีการชำระสะสางทิฏฐิต่างๆ ที่แตกแยกแปลกปลอม ดังที่ประมวลไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 37 คือ กถาวัตถุ รวม 219 หัวข้อ (เรียกว่า กถา) เริ่มด้วยข้อแรก คือ ลัทธิถืออัตตา ของพวกนิกายวัชชีบุตร และนิกายสมิติยะ พร้อมทั้งอัญญเดียรถีย์มากมาย มีความยาวเป็นพิเศษถึง 83 หน้า เรียกรวมๆ ว่า "ปุคคลกถา" นิกายมหาสังฆิกะเป็นเจ้าของทิฏฐิที่ท่านชำระสะสางครั้งนี้ หลายเรื่อง(ไม่ต่ำกว่า 19 เรื่อง) ยกตัวอย่าง เช่น พวกมหาสังฆิกะบางส่วน ถือทิฏฐิร่วมกับพวกนิกายสมิติยะ นิกายวัชชิปุตตกะ และนิกายสัพพัตถิกวาท (=สรวาสติวาท) ว่า พระอรหันต์ก็เสื่อมถอยจากอรหัตตผลที่บรรลุแล้ว กลับมาเป็นปุถุชนอีกได้ (เรื่องใน "ปริหานิกถา") ดังนี้เป็นต้นหลังจากสังคายนาครั้งที่ 3 แล้ว ก็เกิดมีเอกภาพขึ้นอย่างน้อยในส่วนกลางแห่งมหาอาณาจักรของพระ เจ้าอโศกมหาราช และได้มีการส่งพระศาสนทูตไปประกาศพระศาสนา 9 สาย ที่รู้กันว่าสายหนึ่งมายังทวาราวดี ซึ่งอยู่ในที่ตั้งของประเทศไทยปัจจุบัน ด้วยอย่างไรก็ตาม ในรอบนอกของชมพูทวีป ไกลออกไป ก็ยังมีพระภิกษุที่ถืออาจริยวาทต่างๆ ไปเผยแพร่อยู่ จึงปรากฏต่อมาว่า หลังจากสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเกือบ 4 ศตวรรษ เมื่อพระเจ้ากนิษกมหาราชครองแผ่นดินแถบอินเดียภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ที่เมืองบุรุษปุระ (ปัจจุบันคือ Peshawar ในปากีสถาน) ไกลออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ จากนครปาตลีบุตร (ปัจจุบันคือ Patna) เมืองหลวงของพระเจ้าอโศกมหาราช ประมาณ 1,625 ก.ม. เมื่อ พ.ศ. 621 พระองค์เลื่อมใสพระพุทธศาสนา ใฝ่พระทัยศึกษาธรรม ถึงกับนิมนต์พระภิกษุไปสอนธรรมแก่พระองค์ทุกวันๆ ละรูป พระภิกษุแต่ละรูปสอนแตกต่างกันบ้าง ขัดกันบ้าง ทำให้ทรงสับสน จนกระทั่งทรงปรึกษาพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งได้ถวายคำแนะนำให้จัดการสังคายนาขึ้นประมาณ พ.ศ. 643 สังคายนาครั้งนี้ ถือว่าเป็นของนิกายสัพพัตถิกวาท (สรวาสติวาทะ) และมีภิกษุมหายานร่วมด้วย ต่อมา แม้นิกายสรวาสติวาทะสูญสิ้นไปแล้ว เช่นเดียวกับอาจริยวาทยุคแรกที่เป็นหินยานหมดทั้ง 17 นิกาย (มหาสังฆิกะได้พัฒนามาเป็นมหายาน) ทางฝ่ายมหายานก็นับเอาสังคายนาครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 3 ของตน (ไม่ยอมรับสังคายนาครั้งที่ 3 ที่พระเจ้าอโศกมหาราชอุปถัมภ์ เมื่อ พ.ศ. 235; และในทำนองเดียวกันทางเถรวาทก็ไม่นับการสังคายนาครั้งนี้) พระเจ้ากนิษกะได้อุปถัมภ์บำรุงพระศาสนา และได้ทรงส่งสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในอาเซียก ลาง ซึ่งได้เป็นแหล่งสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนามหายานแพร่หลายต่อไปสู่จีน เกาหลี มองโกเลีย และญี่ปุ่นเมื่อพระพุทธศาสนามหายาน เจริญขึ้นในประเทศเหล่านั้นแล้ว ก็แตกแยกนิกายและสาขาย่อยออกไปๆ จนในที่สุดจึงมาเห็นกันว่า ถึงจะแตกแยกไปเป็นนิกายไหนๆ ก็ควรจะต้องศึกษาพระไตรปิฎกบาลีของเถรวาท เพื่อจะได้รู้หลักคำสอนตามพระพุทธพจน์ดั้งเดิม และมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างที่ Professor Mizuno ได้กล่าวไว้ข้างต้น


สิ่งควรทำที่แท้ คือ เร่งชวนกันหันมายกเอาพระไตรปิฎกของเราขึ้นศึกษา เอกสารของวัดพระธรรมกาย แสดงการยอมรับพระไตรปิฎกบาลีของเถรวาทว่า "เป็นแหล่งอ้างอิงของ คำสอนในพระพุทธศาสนายุคดั้งเดิมที่สำคัญที่สุด" แต่เขียนต่อไปว่า " แต่นอกจากพระไตรปิฎกบาลีแล้ว ยังมีคำสอนยุคดั้งเดิมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในคัมภีร์อื่นอีกหลายแหล่ง เช่น พระไตรปิฎกจีน พระไตรปิฎกธิเบต คัมภีร์สันสกฤต คัมภีร์ในภาษาคันธารี ภาษาเนปาลโบราณ ภาษาถิ่นโบราณของอินเดีย เอเชียกลางและที่อื่นๆ การจะศึกษาให้เข้าใจคำสอนของพระพุทธศาสนายุคดั้งเดิมจริงๆ นั้น จึงมีความจำเป็นจะต้องศึกษา ให้เข้าใจคัมภีร์ทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมด นำเนื้อหาคัมภีร์ที่คล้ายกันมาเปรียบเทียบกัน วิเคราะห์ด้วยหลักทางวิชาการทั้งด้านภาษาศาสตร์ และอื่นๆ จึงจะได้ความเข้าใจที่รอบด้านสมบูรณ์ "เอกสารของวัดพระธรรมกาย ทั้งที่นี้และที่อื่น เมื่อกล่าวถึงพระไตรปิฎก จะมีลักษณะการพูดทำนองนี้ ซึ่งนอกจากสับสนแล้ว ยังเป็นการสร้างความเข้าใจผิดที่ไม่ควรให้อภัย เช่น ออกชื่อคัมภีร์ในภาษาต่างๆ มากมาย ให้ดูน่าทึ่งประหนึ่งว่า แต่ละภาษาเหล่านั้นคงจะมีพุทธพจน์บันทึกไว้นอกเหนือจากที่เรารู้กันอีกมากมาย แต่แท้ที่จริงเอาเป็นหลักอะไรไม่ได้คงจะไม่ต้องชี้แจงให้มากและยืดยาว ขอให้ทราบง่ายๆ สั้นๆ ว่าเรื่องทั้งหมดก่อนที่จะมาเป็นคัมภีร์อะไรต่างๆ ที่ยกมาอ้างข้างบนนี้ (ซึ่งส่วนมากเป็นเรื่องกระเส็นกระสาย บางอย่างก็ไม่ใช่แม้แต่จะเป็นคัมภีร์) พระเถระผู้รักษาพระพุทธศาสนา ยุค 200 กว่าปีแรกท่านรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันดี และได้ชำระสะสางเสร็จสิ้นไปแล้ว หลังจากนั้น ถ้าจะมีการยอมรับกัน ก็เพียงพูดให้ชัดว่า คัมภีร์นั้นๆ เป็นของนิกายไหน และนิกายนั้นสอนว่าอย่างไร เช่น เถรวาทว่าอย่างไร มหายานนิกายย่อยนี้ว่าอย่างไร นิกายย่อยนั้นว่าอย่างไร ไม่ต้องมาสับสนกันอีก ขอทบทวนแต่เพียงโดยสรุปว่า 1. พระไตรปิฎกบาลีของเถรวาทที่เรารักษาไว้ (แต่ไม่ค่อยศึกษากัน) นี้ เป็นที่ยอมรับกันทั่วแม้โดยฝ่าย มหายานเอง ว่าเป็นที่รวบรวมพระพุทธพจน์ที่ดั้งเดิม แม่นยำตรงตามจริง และครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด 2. พระไตรปิฎกฉบับอื่นๆ ก็คือ ที่เป็นของมหายานนั้น แม้แต่นักวิชาการตะวันตก ที่เอกสารของวัดพระ ธรรมกายยกย่องว่าเป็น "ปราชญ์ใหญ่ทางพระพุทธศาสนา . . . ที่มีชื่อเสียงก้องโลก" ก็ยังพูดว่า "พระสูตรทั้ง หลายของมหายาน พูดกันตรงไปตรงมา ก็คือคำนิพนธ์ ยุคหลังที่บรรจุเข้าในพระโอษฐ์" ดังยกมาให้ดูข้างต้นแล้ว (หน้า 18) เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า การรักษาพระพุทธศาสนานั้น เราต้องการคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เมื่อพระสูตรของมหายานเป็นของแต่งใส่พระโอษฐ์ภายหลัง แล้วเราจะนำเอามาสับสนปะปนทำไม 3. แม้ว่าพระไตรปิฎกมหายาน เช่น ฉบับภาษาจีน จะมีคำสอนเก่าครั้งหินยานอยู่ด้วย ก็แทบจะไม่มี คุณประโยชน์อะไรเป็นสาระที่เราจะพึงสนใจ นอกจากจะได้รู้ว่าเคยมีพุทธศาสนานิกายนั้นจริง และสอนว่าอย่างนั้นๆ ขอชี้แจงเล็กๆ น้อยๆ เช่น ก) หินยานที่แตกแยกออกไปถึง 17 นิกายและได้สูญสิ้นไปหมดแล้ว เป็นเรื่องเก่าที่ท่านสะสางเสร็จกันไปแล้ว ถ้าจะไปพบหลงเหลือบันทึกอยู่ในฉบับของจีนหรือแม้ภาษาอื่นๆ บ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ข) ในบรรดานิกายต่างๆ นั้น เถรวาทนี้เป็นหลักมาแต่เดิม ก่อนมีการแตกแยก และแม้หลังแตกแยกแล้ว เมื่อนิกายอื่นสูญสิ้นไป เถรวาทก็ดำรงอยู่ต่อมา และเป็นที่รู้กันว่ารักษาคำสอนเดิมแท้ของพระพุทธเจ้าไว้แม่นยำครบถ้วนที่สุด เมื่อเป็นอย่างนี้ ควรจะตั้งใจศึกษาคำสอนที่ท่านเพียรพยายามรักษาไว้ให้นี้แหละให้ดี ค) คำสอนของหินยานนั้น อย่างของนิกายสรวาสติวาทิน เดิมรักษาไว้ด้วยภาษาสันสกฤต กว่าจะได้แปลเป็นภาษาจีนก็ พ.ศ.ใกล้ 1000 แล้ว และคัมภีร์สันสกฤตเดิมก็หายสูญไปมาก ความน่าเชื่อถือแม้แต่ในแง่ที่จะรักษาคำสอนของนิกายของตนเองก็เหลือน้อยลงไป พระไตรปิฎกตลอดจนคัมภีร์ทั้งหลายอื่นๆ ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง ซึ่งที่จริงนอกจากที่รู้กันอยู่แล้ว ก็ไม่ได้มี มากมายอะไร ถึงแม้นานๆ จะมีการตื่นเต้นกันขึ้นว่าเกิดไปพบอะไรขึ้นมาเหมือนเป็นของแปลกใหม่ โดยมากก็เป็นของเกิดขึ้นรุ่่นหลังกว่าแม้แต่คัมภีร์อรรถกถาของเรา ไม่ต้องพูดถึงที่จะเทียบกับพระไตรปิฎกบาลี ถ้าเรามีเวลาจะสนใจพิเศษก็ได้ในแง่ที่ว่าเป็นความรู้ทั่วไป เช่น เอาไว้พิสูจน์ว่าเป็นของนิกายเก่าที่สูญสิ้นไปแล้วนิกายไหน เป็นหลักฐานยืนยันเรื่องบางอย่างที่ท่านเล่าไว้ในคัมภีร์ของเราเรื่องไหนบ้าง ให้ความรู้ประกอบเกี่ยวกับเหตุการณ์และสภาพสังคม อย่างไรบ้างไหมเป็นต้น แต่ในแง่ตัวหลักการของพระศาสนาแท้ๆ ยากที่จะมีสาระอะไรคุ้มกับการที่จะไปใส่ใจพระไตรปิฎกบาลี 45 เล่ม และอรรถกถา 55 เล่ม เพียง 100 เล่มเท่านี้ก่อน ไม่นับคัมภีร์ภาษาบาลีเล่มอื่นๆ แม้แต่วิสุทธิมัคค์ ที่ท่านรักษาไว้ให้เราศึกษามากมาย ขอให้ตั้งใจศึกษากันจริงๆ จังๆ บ้างเพียง 5 เล่ม 10 เล่ม ก็ยังจะได้รู้จักพระพุทธศาสนาดีกว่าจะไปสนใจคัมภีร์ภายนอกที่กระจัดกระจายเหล่านั้น ซึ่งถ้ามีอะไรเป็นประโยชน์บ้าง ก็ไม่ต้องกังวล ผู้รู้ผู้ชำนาญก็จะเอามาบอกเราเอง หรือแม้ตัวเราจะต้องการรู้ก็ได้ แต่ควรจับหลักเถรวาทของตัวเองให้ชัดเสียก่อนเวลานี้ก็รู้กันดี ใครๆ ก็ยอมรับว่า จะรู้พระพุทธศาสนาที่เป็นคำสอนแท้ของพระพุทธเจ้า ต้องศึกษาพระไตรปิฎกบาลีของเถรวาท และวงการมหายานอย่างในญี่ปุ่นก็เห็นกันแล้วว่า จะต้องหันมาศึกษาคำสอนเดิมของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกบาลีของเราเป็นฐาน ดังได้กล่าวข้างต้น สิ่งควรทำที่แน่แท้ก็คือ ควรจะปลุกเร้ากระตุ้นเตือนพวกเรากันเองนี่แหละ ให้หันมาศึกษาพระพุทธศาสนาที่แท้ จากแหล่งคำสอนที่อยู่่ใกล้ตัวอยู่แล้วนี้กันเสียที ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ถ้าไม่ยอมศึกษาเอง ก็ช่วยรักษาแหล่งคำสอนเดิมแท้นี้ไว้ เพื่อให้คนอื่นที่เขาเห็นคุณค่าจะได้มีโอกาสศึกษา โดยไม่ไปทำให้แปดเปื้อนเสียก่อน ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็ยังจะเป็นบุญกุศลแก่ตนได้ส่วนหนึ่ง


นิพพานเป็นอนัตตา

นิพพาน ไม่ใช่ปัญหาอภิปรัชญา ที่พูดไปแล้วนั้นเป็นเรื่องความสำคัญของพระไตรปิฎก ต่อไปนี้ย้อนกลับไปพูดเรื่องนิพพานไม่ใช่ปัญหา อภิปรัชญา เอกสารของวัดพระธรรมกาย กล่าวไว้ว่า

    " . . . เรื่องซึ่งอยู่พ้นเกินกว่าประสบการณ์ของปุถุชนคนสามัญจะไปถึงหรือเข้าใจได้ เช่น เรื่องนรก 

สวรรค์ กฎแห่งกรรม นิพพาน ที่ท่านเรียกว่าเป็นเรื่องอภิปรัชญา หรือเรื่องที่เป็นอจินไตยนั้น หลายๆ เรื่อง เช่น เรื่องนิพพาน ในทางวิชาการสามารถตีความได้หลายนัย" คำกล่าวนั้นไม่ถูกต้อง เพราะนิพพานไม่ใช่ทั้งเรื่องอจิินไตย และก็ไม่ใช่เรื่องปัญหาอภิปรัชญาด้วย อจิินไตยมี 4 อย่าง ตามพุทธพจน์ที่ตรัสแสดงว่า "ภิกษุทั้งหลาย อจินไตยมี 4 อันไม่พึงคิด (ไม่ได้หมายความว่าห้ามคิด แต่ถ้าคิด จะคิดไม่ออก คือเป็นสิ่งที่ไม่สำเร็จด้วยการคิด หรือไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยการคิด) ซึ่งเมื่อคิด จะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า จิตเครียดไปเปล่า 4 อย่างนั้น คือ 1. พุทธวิสัย 2. ฌานวิสัย 3. กรรมวิบาก หรือวิบากแห่งกรรม และ 4. โลกจินตา ความคิดเกี่ยวกับเรื่องโลก" (องฺ.จตุกฺก. 21/77/104) นิพพานไม่อยู่ในอจินไตย 4 นี้ และก็ไม่ได้เป็นปัญหา metaphysics หรือ อภิปรัชญา ปัญหา metaphysics หรือ อภิปรัชญานั้น เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ คือไม่ทรงตอบ หรือ ไม่ทรงเสียเวลาที่จะพยายามทำให้กระจ่าง แต่นิพพานนั้น ตรงข้ามกับปัญหา metaphysics เลยทีเดียว เรื่องนี้เป็นอย่างไรจะไม่ต้องบรรยายยาว ขอให้มาดูคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องมีว่า ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นครสาวัตถี ในวัดพระเชตวัน พระภิกษุชื่อ มาลุงกยบุตร ได้เกิดความคิดขึ้นมาว่า มีแง่ทิฐิที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบ คือ เรื่องโลกเที่ยง หรือไม่เที่ยง (โลกในที่นี้คือ จักรภพ หรือมวลแห่งทุกสิ่งทุกอย่างที่แวดล้อมตัวมนุษย์เราอยู่) โลกหรือจักรภพนี้มีที่สุด หรือไม่มีที่สุด ชีวะกับสรีระเป็นอัน เดียวกัน หรือชีวะก็อย่างหนึ่งสรีระก็อย่างหนึ่ง ตถาคตหลังจากมรณะแล้วมีอยู่ หรือว่าตถาคตหลังจากมรณะแล้วไม่มี หรือว่าตถาคตหลังมรณะมีอยู่ก็ไม่ใช่ ไม่มีอ ยู่ก็ไม่ใช่ จึงคิดว่าจะไปกราบทูลพระพุทธเจ้าขอให้ทรงตอบ ถ้าพระพุทธเจ้าตรัสตอบก็จะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ต่อไป แต่ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ตรัสตอบก็จะบอกคืน (ลาสิกขา) เสร็จแล้วก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากราบทูลความคิดของตนอย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ถ้าพระพุทธเจ้าตอบก็จะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ต่อไป แต่ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ตอบก็จะบอกคืนสิกขา (คือจะลาสึก) พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามว่า มาลุงกยบุตร เราได้กล่าวหรือเปล่าว่า มาลุงกยบุตร เธอมานี่นะ มา ประพฤติพรหมจรรย์ เราจะตอบเรื่องโลกมีที่สุดหรือไม่มีที่สุด เป็นต้นนี้ มาลุงกยบุตรก็กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสอย่างนั้น แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสถามต่อไปว่า แล้วเธอเองล่ะได้บอกเราไว้ไหมว่า เธอจะประพฤติพรหมจรรย์แล้วให้เราตอบเรื่องโลกเที่ยงหรือโลกไม่เที่ยงนี้ มาลุงกยบุตรก็กราบทูลว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าแล้วอย่างนี้ใครจะเป็นคนบอกคืนใครล่ะ แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า ถ้าใครจะพูดว่า ข้าพเจ้าจะไม่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้า ตราบใดที่พระผู้มี พระภาคเจ้าไม่พยากรณ์ (ไม่ตอบ/ไม่ทำให้กระจ่าง) เรื่องโลกเที่ยงหรือโลกไม่เที่ยงเป็นต้นนี้ ถึงคนนั้นจะตายพระตถาคตก็ยังไม่ได้ตอบ/ยังไม่ได้ทำให้กระจ่าง แล้วพระองค์ก็ตรัสอุปมาว่า เปรียบเหมือนว่า คนผู้หนึ่งถูกเขายิงด้วยลูกศรอาบยาพิษที่ร้ายแรง เพื่อนๆ ญาติมิตรสหายก็พาหมอผ่า ตัดมา คนที่ถูกลูกศรนั้นก็บอกว่า ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้ผ่าตัดเอาลูกศรนี้ออก จนกว่าข้าพเจ้าจะรู้ว่าใครเป็นคนยิงข้าพเจ้า เขาเป็นคนวรรณะกษัตริย์ หรือพราหมณ์ หรือแพศย์ หรือศูทร มีชื่อมีแซ่ว่าอย่างไร เป็นคนสูง เป็นคนร่างเตี้ย หรือสันทัด เป็นคนดำ หรือคนคล้ำ เขาอยู่หมู่บ้าน นิคม นครไหน และธนูที่ใช้ยิงนี้ เป็นแบบไหน ชนิดไหน หัวลูกศรทำด้วยอะไร สายธนูทำด้วยอะไร ปลายธนูติดขนนกชนิดไหน ดังนี้ เป็นต้น กว่าคนนั้นจะรู้สิ่งที่เขาถามเหล่านี้ เขาก็ตายเสียก่อนแล้ว เหมือนกับคนที่มาบวชนี้ ถ้าจะรอให้พระพุทธเจ้าตรัสตอบคำถามอภิปรัชญาเหล่านี้ พระองค์ยังไม่ทันได้ตอบให้เขารู้กระจ่าง เขาก็ตายไปก่อนแล้ว ไม่ว่าจะมีทิฏฐิว่าโลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯลฯ การครองชีวิตประเสริฐก็หาได้เกิดมีขึ้นไม่ ถึงจะมีทิฏฐิ เหล่านี้หรือไม่ ทุกข์ของคนก็ยังมีอยู่นั่นเอง และทุกข์เหล่านี้แหละคือสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์จะแก้ไขให้เสร็จสิ้นไปในปัจจุบัน ฉะนั้น อะไรที่ไม่ทรงพยากรณ์ก็ให้รู้ว่าไม่ทรงพยากรณ์ และอะไรที่ทรงพยากรณ์ก็ให้รู้ว่าทรงพยากรณ์ เรื่องอย่างที่ว่ามานั้น เป็นปัญหาอภิปรัชญา คือคำถามที่ว่าโลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง มีที่สุดหรือไม่มีที่สุด เป็นต้นนั้น พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ เพราะอะไรจึงไม่ทรงพยากรณ์ ก็ตรัสตอบไว้ว่า "นี่แน่ะมาลุงกยบุตร ถึงจะมีทิฏฐิว่า โลกเที่ยง (คงอยู่ตลอดไป) การครองชีวิตประเสริฐจะได้มีขึ้นก็หาไม่ ถึงจะมีทิฏฐิว่า โลกไม่เที่ยง การครองชีวิตประเสริฐจะได้มีขึ้นก็หาไม่ . . . ถึงจะมีทิฏฐิว่าโลกเที่ยง หรือโลกไม่เที่ยง ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส (ความผิดหวังคับแค้นใจ) ก็ยังคงมีอยู่ อันเป็นทุกข์ที่เราบัญญัติให้แก้ไขเสียในปัจจุบันนี้ทีเดียว . . ." " อะไรเล่าที่เราไม่พยากรณ์? ทิฏฐิว่าโลกเที่ยง . . . โลกไม่เที่ยง . . . โลกมีที่สุด . . . โลกไม่มีที่สุด . . . ฯลฯ . . . เราไม่พยากรณ์ . . . เพราะไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งชีวิตประเสริฐ ไม่เป็นไปเพื่อ นิพพิทา วิราคะ นิโรธ สันติ อภิญญา ความตรัสรู้ ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน" "อะไรเล่าที่เราพยากรณ์? เราพยากรณ์(ตอบ/ทำให้กระจ่าง)ว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย (เหตุให้เกิดทุกข์) นี้ ทุกขนิโรธ (ความดับแห่งทุกข์) นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (ข้อปฏิบัติที่นำไปสู่ความดับทุกข์) . . . เพราะประกอบ ด้วยประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งชีวิตประเสริฐ เป็นไปเพื่อนิพพิทา วิราคะ นิโรธ สันติ อภิญญา ความตรัสรู้ นิพพาน" (ม.ม.13/151-2/150-2) จะเห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนหรือทรงพยากรณ์ เรื่องที่จะทำให้ดับทุกข์ได้ คือนิพพานนี้ และนิพพาน ก็อยู่ในข้อทุกขนิโรธ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตรัสโดยตรง และเป็นเรื่องตรงข้ามกับอภิปรัชญา เพราะฉะนั้น นิพพานสำหรับชาวพุทธ ไม่ใช่เรื่องอภิปรัชญา แต่นักปรัชญาอาจจะเอาเรื่องนิพพานนี้ไปถกเถียงในแง่ของปรัชญาของเขาก็ได้ ส่วนใครจะไปร่วมวงถกเถียงเรื่องนิพพานในแง่อภิปรัชญา กับนักปรัชญาก็แล้วแต่ แต่ถ้ามัวถกเถียงอยู่ก็ไม่ได้ปฏิบัติ และก็ไม่บรรลุนิพพานนิพพานเป็นเรื่องของความไร้ทุกข์ ภาวะที่ปราศจากปัญหา หรือภาวะที่ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ ภาวะแห่งความสงบ สันติ อิสรภาพ เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความสะอาด สว่าง สงบ ด้วยปัญญาที่รู้เท่าทันความเป็นจริงของสังขาร หรือโลกและชีวิต ที่เป็นอยู่เฉพาะหน้าตลอดเวลานี้


แหล่งความรู้ที่ชัดเจนมีอยู่ ก็ไม่เอา กลับไปหาทางเดาร่วมกับพวกที่ยังสับสน ต่อไป เอกสารของวัดพระธรรมกายเขียนไว้ว่า "เรื่องอัตตาและอนัตตานี้ ป็นเรื่องหนึ่งที่มีการถกเถียงกันมากตั้งแต่ยุคโบราณหลังพุทธกาลเป็นต้นมา และมีมาตลอดประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา แม้ในยุคปัจจุบันก็มีนักวิชาการพระพุทธศาสนาทั้งในดินแดน ตะวันตก เช่น ยุโรป อเมริกา และทางตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ถกเถียงกันมาก ประเด็นที่ถกเถียงกันก็มีหลากหลายเช่น . . . " ข้อความนี้ถ้าจะให้ถูกต้องและชัดเจน ควรจะพูดใหม่ว่า "เรื่องอัตตานี้ การยึดถือกันมามากตั้งแต่ก่อนพุทธกาล โดยเฉพาะในลัทธิศาสนาพราหมณ์ และหลังพุทธกาลแล้วศาสนาฮินดูก็ได้พยายามทำให้มั่นคงยิ่งขึ้น เห็นได้จากหลักเรื่องพรหมัน-อาตมัน หรือปรมาตมันชีวาตมัน แต่ในพุทธศาสนานั้นท่านมีท่าทีที่ชัดเจน คือไม่ยอมรับทฤษฎีอัตตาด้วยประการใดๆ คือ ไม่ยอมรับอัตตาโดยปรมัตถ์ ซึ่งเป็นท่าทีที่ชัดเจนอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นจึงต้องระวังไม่ให้ลัทธิภายนอก และลัทธิเดิมก่อนพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธแล้วนั้น กลับแทรกแซงเข้ามา " การที่จะยืนยันหลักพุทธศาสนานี้ไว้ได้ จะต้องมีความเข้มแข็งมาก เพราะว่า 1. ลัทธิอาตมัน/อัตตาเดิม ก็มีอิทธิพลมากอยู่แล้ว

2. เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก บุคคลที่เข้ามาในพระพุทธศาสนา แม้มาบวชก็อาจจะนำเอาความคิดเห็นที่ผิด

เข้ามาได้ ลัทธิถืออัตตาว่ามีจริงนี้ ท่านผู้รักษาพระธรรมวินัยในอดีตถือเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องระวังไม่ให้แทรกหรือแปลกปลอมเข้ามาในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นลัทธิที่มีกำลังครอบงำสังคมชมพูทวีปอยู่ก่อนพระพุทธศาสนา เป็นหลักการใหญ่ที่ตรงข้ามกันอยู่ระหว่างพระพุทธศาสนาลัทธิศาสนาเก่า ซึ่งเขาจะต้องพยายามแผ่อิทธิพลเข้ามา และเป็นสภาพความเชื่อของมนุษย์ที่แวดล้อมพระพุทธศาสนาอยู่ตลอดมา พูดง่ายๆ ว่า พระพุทธศาสนาทั้งทวนกระแสทิฏฐิของลัทธิศาสนาที่มีอิทธิพลใหญ่ และทวนกระแสกิเลสในใจของมนุษย์ปุถุชน อย่างไรก็ตาม พระเถระในอดีตท่านก็มั่นคงยิ่งในหลัก การของพระธรรมวินัย ดังที่ปรากฏว่า หลังจากพุทธกาลไม่นาน ประมาณ พ.ศ. 235 ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระสงฆ์มี พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน ได้ปรารภเรื่องทิฐิความเห็นแตกแยกแปลกปลอมเข้ามาในพระพุทธศาสนา ซึ่งมีจำนวนมากมาย แยกกันไปถึง 18 นิกาย ซึ่งจะต้องแก้ไข จึงได้จัดการสังคายนาครั้งที่ 3 ขึ้นในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช ในการสังคายนาครั้งนี้ พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้รวบรวมคำวินิจฉัยขึ้นมาคัมภีร์หนึ่งชื่อว่า กถาวัตถุ อยู่ในพระอภิธรรมปิฎก พิมพ์เป็นพระไตรปิฎกบาลีอักษรไทยเล่มที่ 37 ซึ่งประมวลเอาความเห็นแตกแยก แปลกปลอมมาตั้งขึ้น 219 หัวข้อ แล้วท่านก็กล่าวแก้ เรื่องการถืออัตตานี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่ง ที่เป็นข้อปรารภในการที่ให้ต้องสังคายนา ถึงกับจัด เป็นหัวข้อแรกของ กถาวัตถุ นี้ เรียกว่า " ปุคคลกถา " คำว่า ปุคคละ ใน " ปุคคลกถา " นี้ ท่านใช้แทนคำทั้งหมดที่เกี่ยวกับการถืออัตตา อย่างที่ในภาษาไทย ในวงการธรรมเราพูดกันอยู่เสมอจนติดปากว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ดังที่ท่านให้ความหมายไว้ว่า ตตฺถ ปุคฺคโลติ อตฺตา สตฺโต ชีโว (ปญฺจ.อ. 129) แปลว่า: " ในพระบาลีนั้น คำว่าบุคคล ได้แก่ อัตตา สัตว์ ชีวะ " และคำว่า "อนัตตา" ท่านก็ให้ความ หมายไว้ด้วยว่า อนตฺตาติ อตฺตนา ชีเวน ปุคคเลน รหิโต (ปญฺจ.อ. 158) แปลว่า: " อนัตตา หมายความว่า ปราศจากอัตตา ปราศจากชีวะ ปราศจากบุคคล " พวกปุคคลวาที ซึ่งถือว่า บุคคล หรืออัตตา หรือสัตว์ หรือชีวะ มีจริงโดยปรมัตถ์นี้ ท่านแนะนำให้รู้จักใน อรรถกถาว่า เก ปน ปุคคลวาทิโนติ สาสเนว วชฺชิปุตฺตกา เจว สมิติยา จ พหิทฺธา จ พหู อญฺญติตฺถิยา (ปญจ. อ. 129) แปลว่า: "ชนเหล่าไหนเป็นปุคคลวาที ตอบว่า ในพระศาสนาเองได้แก่พวกภิกษุวัชชีบุตร และพวก นิกายสมิติยะ และภายนอกพระศาสนาได้แก่ อัญญเดียรถีย์จำนวนมาก " การที่ยกเรื่องกถาวัตถุขึ้นมาก็เพื่อให้เห็นว่า 1. เรื่องนิพพานเป็นอัตตาหรือเป็นอนัตตา และการถืออัตตาในรูปแบบต่างๆ นั้น ก) หลักการของเถรวาทมีความชัดเจน และได้ปฏิเสธไว้แน่นอนแล้วว่า อัตตาไม่มี จริงโดย ปรมัตถ์ มีเพียงโดยสมมติ ข) ท่านถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะไม่ทิ้งไว้ให้สาวกหรือศาสนิกทั้งหลายจะต้องมาคิด เห็น และถกเถียงกันวุ่นวายไป 2. เป็นการชี้ให้เห็นว่า เรื่องอย่างนี้ที่มีการถกเถียงกันนั้น พระเถระผู้ดำรงพระศาสนา ท่านมีความ ตระหนักรู้กันอยู่ตลอดมาว่าอะไรเกิดขึ้น และเป็นเรื่องที่ท่านแสดงไว้ชัดเจนแล้ว ท่านรู้มาเนิ่นนานในเรื่องการถือ ความเห็นแตกแยกแปลกปลอม ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยหลังพุทธกาล เพราะสืบเนื่องมาจากลัทธิเก่าก่อนด้วย และ ท่านก็แยกไว้ชัดเจนแล้ว เพราะฉะนั้นถึงเราจะไปพบเห็นคัมภีร์ หรือแนวคิดทิฐิอะไรเกี่ยวกับเรื่องอัตตาอีก ก็ให้รู้ว่าเป็นเพียงหลักฐานยืนยันสิ่งที่ท่านได้ชำระสะสางไว้นานมาแล้วในขณะที่หลักการของพระพุทธศาสนาที่ตนบวชเข้ามาชัดเจนแน่นอนอยู่แล้ว เอกสารของวัดพระธรรมกาย กลับจะให้รอไปหวังพึ่งคนภายนอก ที่ท่านปฏิเสธไปแล้วบ้าง ที่เขายังอยู่ในระหว่างศึกษาคลำหาทางอยู่บ้าง


พระพุทธเจ้าตรัสไว้แน่นอนเด็ดขาด ว่าลัทธิถืออัตตา ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การปฏิเสธเรื่องอัตตาท่านถือเป็นเรื่องสำคัญเพียงไร จะเห็นได้จากการที่ท่านยกขึ้นตั้งเป็นปัญหาแรก ในคัมภีร์กถาวัตถุนี้ และอุทิศเนื้อที่ให้มากเป็นพิเศษ ดังเนื้อความภาษาบาลีอักษรไทย พิมพ์ในพระไตรปิฎกยาวถึง 83 หน้าจะยกตัวอย่างพุทธพจน์ที่ท่านอ้างไว้ใน "ปุคคลกถา" มาแสดงให้เห็นหลักการเกี่ยวกับเรื่องอัตตา ๓ แบบ ว่าอย่างไหนไม่ใช่พุทธศาสนา อย่างไหนเป็นพุทธศาสนาดังนี้ ตโยเม เสนิย สตฺถาโร สนฺโต สํวิชฺชมานา โลกสฺมึ . . . ตตฺร เสนิย ยฺวายํ สตฺถา ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อตฺตานํ สจฺจโต เถตโต ปญฺญเปติ, อภิสมฺปรายญฺจ อตฺตานํ สจฺจโต เถตโต ปญฺญเปติ; อยํ วุจฺจติ เสนิย สตฺถา สสฺสตวา โท. ตตฺร เสนิย ยฺวายํ สตฺถา ทิฏฺเฐว หิ โข ธมฺเม อตฺตานํ สจฺจเถตโต ปญฺญเปติ, โน จ โข อภิสมฺปรายํ อตฺตา นํ สจฺจโต เถตโต ปญฺญเปติ; อยํ วุจฺจติ สตฺถา อุจฺเฉทวาโท. ตตฺร เสนิย ยฺวายํ สตฺถา ทิฏฺเฐ เจว ธมฺเม อตฺตานํ สจฺจโต เถตโต น ปญฺญเปติ, อภิสมฺปรายญฺจ อตฺตา นํ สจฺจโต เถตโต น ปญฺญเปติ; อยํ วุจฺจติ เสนิย สตฺถา สมฺมาสมฺพุทฺโธ. (อภิ.ก. 37/188/82 และ อภิ.ปุ 36/103/179) แปลว่า: "ดูกรเสนิยะ ศาสดา ๓ ประเภทนี้มีปรากฏอยู่ในโลก . . . ในศาสดา 3 ประเภทนั้น 1. ศาสดาที่บัญญัติ อัตตา โดยความเป็นของจริง โดยความเป็นของแท้ ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในเบื้องหน้า นี้เรียกว่าศาสดาที่เป็นสัสสตวาท (ลัทธิมิจฉาทิฏฐิว่าเที่ยง) 2. ศาสดาที่บัญญัติ อัตตา โดยความเป็นของจริง โดยความเป็นของแท้ เฉพาะในปัจจุบัน ไม่บัญญัติ เช่นนั้นในเบื้องหน้า นี้เรียกว่าศาสดาที่เป็นอุจเฉทวาท (ลัทธิมิจฉาทิฏฐิว่าขาดสูญ ) 3. ศาสดาที่ไม่บัญญัติ อัตตา โดยความเป็นของจริง โดยความเป็นของแท้ ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในเบื้อง หน้า นี้เรียกว่าศาสดาผู้สัมมาสัมพุทธะ " โดยเฉพาะลัทธิมิจฉาทิฐิที่เรียกว่าสัสสตวาทนั้น อรรถกถาได้อธิบายไว้อีกว่า

       อตฺตานํ สจฺจโต เถตโต ปญฺญเปติ: อตฺตา นาเมโก อตฺถิ นิจฺโจ ธุโว สสฺสโตติ ภูตโต ถิร        โต 

ปญฺญเปติ (ปญฺจ.อ.83) แปลว่า: "ข้อความว่า บัญญัติอัตตา โดยความเป็นของจริง โดยความเป็นของแท้ หมายความว่า (ศาสดาที่เป็นสัสสตวาท) บัญญัติโดยความเป็นของจริง โดยความเป็นของมั่นคงว่า มีภาวะอย่างหนึ่งที่ เป็นอัตตา ซึ่งเที่ยง (นิจจะ) คงที่ (ธุวะ) ยั่งยืน (สัสสตะ)" ถ้าจะพูดกันให้ชัดลงไป ตามหลักการของพระพุทธศาสนานั้น ไม่มีเรื่องอัตตาที่จะเลยขึ้นมาให้มา พิจารณาในขั้นว่า นิพพานเป็นอัตตาหรือไม่ด้วยซ้ำ คือเรื่องอัตตานั้นจบไปตั้งแต่ขั้นพิจารณาเรื่องขันธ์ 5 ว่าไม่เป็นอัตตา แล้วก็จบ คือท่านถือว่าอัตตาซึ่งเป็นศัพท์ที่ใช้แทนกันได้กับ ชีวะ หรือสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขานี้ เป็นคำที่มีโดยสมมติ เป็นภาษาสำหรับสื่อสารกันเท่านั้น และในภาษาบาลีของพุทธศาสนาเถรวาท คำว่า "อัตตา/ตัวตน" นั้นก็ใช้ในความหมายที่เป็นสมมติทั้งหมด ถ้าอ่านพุทธศาสนาด้วยความเข้าใจอย่างนี้ก็ไม่มีปัญหาเรื่องอัตตา ที่จะต้องมาพิจารณากันเลยในขั้นปรมัตถ์ ขอย้ำว่า ไม่มีเรื่องอัตตาที่จะพิจารณาขึ้นมาถึงขั้นว่านิพพาน เป็นอัตตาหรือไม่ เพราะมันจบไปก่อนหน้านั้นแล้ว

พระไตรปิฎกและอรรถกถาระบุว่า นิพพานเป็นอนัตตา อย่างไรก็ตาม เมื่อยังจะยืนยันให้ได้ว่า นิพพานเป็นอัตตา ท่านก็ให้หลักการที่ชัดเจนไว้ สำหรับเอามา ใช้เป็นหลักฐาน ที่จะแสดงว่านิพพานเป็นอนัตตา ขอย้ำอีกว่า การชี้แจงต่อไปนี้ เป็นการนำหลักฐานมาแสดง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ซึ่งบันทึกไว้ใน พระไตรปิฎก พร้อมทั้งคำอธิบายประกอบในอรรถกถา ไม่ใช่เป็นเรื่องของความคิดเห็น หรือแม้แต่ตีความ ถ้าที่ใดเป็นความคิดเห็นก็จะเขียนบอกหรือวงเล็บไว้ด้วย ว่าเป็นความคิดเห็น แต่คิดว่าจะไม่มีเรื่องความคิดเห็น อย่างมากก็มีเพียงคำอธิบายประกอบ คำอธิบายประกอบก็คือ การขยายความหมายของคำออกไปตามหลักที่มีอยู่แล้ว เช่น ถ้ามีหลักฐานกล่าวถึง อริยสัจจ์ 4 หาก กลัวว่าคนทั่วไปจะไม่เข้าใจก็อาจจะวงเล็บไว้ว่า (คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) อย่างนี้เป็นต้น นี้ถือเป็นการอธิบาย ไม่ใช่ความเห็น ขอสรุปให้ว่า - ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา เริ่มแต่พระไตรปิฎก และอรรถกถา ไม่มีหลักฐานในคัมภีร์ใดเลยที่กล่าวถ้อย คำระบุลงไปว่านิพพานเป็นอัตตา - แต่หลักฐานในคัมภีร์ที่ระบุลงไปว่านิพพานเป็นอนัตตานั้นมี และมีหลายแห่ง ขอให้ทำความเข้าใจกันไว้ก่อนว่า ที่ว่านิพพานเป็นอนัตตา คำว่า "เป็นอนัตตา" นั้น เป็นการทับศัพท์ บาลีเพื่อความสะดวกในการกำหนดหมาย โดยสาระก็คือเป็นการปฏิเสธอัตตา มิใช่หมายความว่า มีอะไรอย่างหนึ่งที่เรียกชื่อว่าเป็นอนัตตา (จะแปลอนัตตานี้ว่า ไม่ใช่อัตตา ไม่เป็นอัตตา หรือไม่มีอัตตา ก็ไม่ต้องเถียงกัน อยู่ที่ความเข้าใจให้ชัด แต่เมื่อว่าโดยสาระก็คือ เป็นการปฏิเสธความเป็นอัตตา) หลักฐานในพระไตรปิฎกและอรรถกถา ที่ระบุว่านิพพานเป็นอนัตตา มีมากแห่ง ในที่นี้จะยกมาพอเป็น ตัวอย่าง 1. ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 8 มีคำสรุประบุชัดไว้ ดังนี้ว่า

    อนิจฺจา สพฺพสงฺขารา           ทุกฺขานตฺตา จ สงฺขตา
    นิพฺพานญฺเจว ปณฺณตฺติ         อนตฺตา อิติ นิจฺฉยา ฯ            (วินย. 8/826/224)

แปลว่า: "สังขารทั้งปวง อันปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นิพพานและบัญญัติเป็น อนัตตา วินิจฉัยมีดังนี้ "1 คัมภีร์วิมติวิโมทนีได้อธิบายข้อความในคาถาสรุปนี้ไว้ว่า

       ปาฬิยํ นิพฺพานญฺเจว ปญฺญตฺตีติ เอตฺถ ยสฺมา สงฺขตธมฺเม อุปาทาย ปญฺญตฺตา    สมฺมุติสจฺจภูตา 

ปุคฺคลาทิปญฺญตฺติ ปรมตฺถโต อวิชฺชมานตฺตา อุปฺปตฺติวินาสยุตฺตวตฺถุธมฺมนิยเตน อนิจฺจทุกฺข-ลกฺขณทฺว เยน ยุตฺตาติ วตฺตุํ อยุตฺตา, การกเวทกาทิรูเปน ปน ปริกปฺปิเตน อตฺตสภาเวน วิรหิตตฺตา " อนตฺตา "ติ วตฺตุํ ยุตฺตา. ตสฺมา อยํ ปญฺญตฺติปิ อสงฺขตตฺตสามญฺญโต วตฺถุภูเตน นิพฺพาเนน สห " อนตฺตา อิ ติ นิจฺฉยา " ติ วุตฺตา. อวิชฺชมานาปิ หิ สมฺมุติ เกนจิ ปจฺจเยน อกตตฺตา อสงฺขตา อวาติ (วิมติวิโนทนีฏีกา 2/351) แปลว่า: " ในข้อความนี้ว่า " นิพฺพานญฺเจว ปญฺญตฺติ " ในพระบาลี อธิบายความว่า ด้วยเหตุที่ บัญญัติมีบุคคลเป็นต้น อันเป็นสมมติสัจจะ ซึ่งท่านบัญญัติไว้โดยอาศัยสังขตธรรม เพราะเหตุที่เป็น สิ่งไม่มีจริงโดยปรมัตถ์ จึงไม่ควรจะกล่าวว่าประกอบด้วยลักษณะ 2 คือ อนิจจลักษณะ และทุกข ลักษณะ ซึ่งกำหนดด้วยสิ่งที่ประกอบด้วยอุบัติ และวินาศ (เกิด-ดับ) แต่ควรจะกล่าวว่าเป็นอนัตตา เพราะปราศจากสภาวะที่เป็นอัตตา อันกำหนดด้วยอาการที่เป็นผู้กระทำและเป็นผู้เสวยหรือรับผล เป็นต้น เพราะฉะนั้น แม้บัญญัตินี้ พร้อมด้วยนิพพานซึ่งเป็น สิ่งที่มีอยู่ ท่านกล่าวว่า "วินิจฉัยว่าเป็น อนัตตา" เพราะเสมอกันโดยความเป็นอสังขตะ จริงอยู่ สมมติแม้ไม่มีอยู่ ก็เป็นอสังขตะ เพราะไม่ถูกปัจจัยใดๆ กระทำขึ้น" (นิพพานเป็นอสังขตธรรมที่มีจริง ส่วนบัญญัติเป็นอสังขตะที่ไม่มีจริง เพราะฉะนั้นอสังขตธรรมแท้จริงมี อย่างเดียว คือนิพพาน แต่ทั้ง 2 อย่างนั้นเป็นอนัตตา) 2. หลักธรรมหมวดใหญ่ที่ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งชาวพุทธรู้้จักกันดี คืออริยสัจจ์ 4 นิพพานก็อยู่ใน อริยสัจจ์ 4 ด้วย คือเป็นจุดหมายของพระพุทธศาสนา ได้แก่ อริยสัจจ์ข้อ 3 ที่เรียกว่า "นิโรธ" คำว่านิโรธนี้เป็นไวพจน์ คือใช้แทนกันได้กับ "นิพพาน" พระไตรปิฎกเล่ม 31 ระบุว่าอริยสัจจ์ 4 ทั้งหมดซึ่งรวมทั้งนิโรธ คือนิพพานด้วยนั้น เป็นอนัตตา ดังนี้ อนตฺตฏฺเฐน จตฺตาริ สจฺจานิ เอกปฏิเวธานิ . . . นิโรธสฺส นิโรธฏฺโฐ อนตฺตฏฺโฐ. (ขุ.ปฏิ. 31/546/450) แปลว่า: "สัจจะทั้ง 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) มีการตรัสรู้ด้วยกันเป็นอันเดียว (คือด้วยมรรค ญาณเดียวกัน) โดยความหมายว่าเป็นอนัตตา . . . นิโรธมีความหมายว่าดับ(ทุกข์) ก็มีความหมายว่า เป็นอนัตตา "อรรถกถาอธิบายว่า อนตฺตฏฺเฐนาติ จตุนฺนมฺปิ สจฺจานํ อตฺตวิรหิตตฺตา อนตฺตฏฺเฐน. (ปฏิสํ.อ.2/229) แปลว่า: "คำว่า 'โดยความหมายว่าเป็นอนัตตา' หมายความว่า โดยความหมายว่าเป็น อนัตตา เพราะสัจจะแม้ทั้ง 4 เป็นสภาวะปราศจาก อัตตา " 3. อีกแห่งหนึ่ง ในพระไตรปิฎกเล่ม 31 คัมภีร์ปฏิสัมภิทามัคค์ กล่าวไว้ว่า

         เอกสงฺคหิตาติ    ทฺวาทสหิ   อากาเรหิ   สพฺเพ   ธมฺมา   เอกสงฺคหิตา  ตถฏฺเฐน  อนตฺตฏฺเฐน 

สจฺจฏฺเฐน . . . (ขุ.ปฏิ 31/242/155) แปลว่า: "ที่ว่ารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อธิบายว่า ธรรมทั้งปวงรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยอาการ 12 คือ โดยอรรถว่าเป็นอย่างนั้น โดยอรรถว่าเป็นอนัตตา โดยอรรถว่าเป็นสัจจะ...." อรรถกถาอธิบายความตรงนี้ไว้ให้ชัดขึ้นว่า

         สพฺเพ ธมฺมา เอกสงฺคหิตา    สงฺขตาสงฺขตธมฺมา เอเกน สงฺคหิตา ปริจฺฉินฺนา.       ตถฏฺเฐนาติ ภูต

ฏฺเฐน, อตฺตโน อตฺตโน สภาววเสน วิชฺชมานฏฺเฐนาติ อตฺโถ. อนตฺตฏฺเฐนาติ การกเวทกสงฺขาเตน อตฺต นา รหิตฏฺเฐน. (ปฏิสํ.อ. 1/343) แปลว่า: "ธรรมทั้งหลายทั้งปวงสงเคราะห์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือ ทั้ง สังขตธรรม (สังขาร/ขันธ์ 5) และ อสังขตธรรม (นิพพาน) สงเคราะห์ หมายความว่า กำหนดได้โดยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

        ที่ว่า " โดยอรรถว่าเป็นอย่างนั้น " (ตถา) คือโดยอรรถว่า มีอยู่ หมายความว่า โดยอรรถว่า มีอยู่

ตามสภาพของมัน ๆ ที่ว่า " โดยอรรถว่าเป็นอนัตตา " คือโดยความหมายว่าปราศจากอัตตา ซึ่งนับว่าเป็นผู้ทำและผู้ เสวยหรือรับผล...." 4. ในพระไตรปิฎกเล่ม 17 กล่าวถึงพุทธพจน์ว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา, สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ (สํ.ข. 17/233) แปลว่า: " สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา " อรรถกถา อธิบายว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ สพฺเพ เตภูมกสงฺขารา อนิจฺจา. สพเพ ธมฺมา อนตฺตาติ สพเพ จตุภูมกธมฺมา อนตฺตา (สํ.อ. 2/346) แปลว่า: "พุทธพจน์ว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยงหมายความว่า สังขารในภูมิ 3 (กามาวจรภูมิ รู ปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ) ทั้งปวง ไม่เที่ยง

 พุทธพจน์ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา หมายความว่า ธรรมในภูมิ 4 (กามาวจรภูมิ รูปาวจร

ภูมิ อรูปาวจรภูมิ และโลกุตตรภูมิ คือมรรค ผล นิพพาน) ทั้งหมดทั้งปวงเป็นอนัตตา " 5. อรรถกถาที่อธิบายเรื่องเหล่านี้ยังมีอีกมากมาย จะยกมาเพียงอีก 2-3 แห่งก็เพียงพอ ที่จริงเพียงแห่ง เดียวก็ต้องถือว่าพอ เพราะไม่มีที่ใดขัดแย้ง 1) สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ นิพฺพานํ อนฺโตกริตฺวา วุตฺตํ (นิทฺ.อ.2/8) แปลว่า: "ข้อความว่า ' ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา' นั้น พระพุทธองค์ตรัสรวมทั้งนิพพานด้วย" 2) สพฺเพ ธมฺมาติ นิพฺพานมฺปิ อนฺโตกริตฺวา วุตฺตา อนตฺตา อวสวตฺตนฏฺเฐน. (นิทฺ.อ. 1/219 และ ปฏิสํ.อ. 1/68) แปลว่า: " ข้อความว่า ' ธรรมทั้งปวง' ตรัสไว้รวมแม้ทั้งนิพพานด้วย ชื่อว่าเป็นอนัตตา โดยความหมาย ว่าไม่เป็นไปในอำนาจ " บางแห่งใช้คำว่า อัตตสุญญ แปลว่า ว่าง หรือ สูญจากอัตตา ก็มี เช่น 3) นิพฺพานธมฺโม อตฺตสฺเสว อภาวโต อตฺตสุญฺโญ (ปฏิสํ.อ. 2/287) แปลว่า: "ธรรม คือนิพพาน สูญ (ว่าง) จากอัตตา เพราะไม่มีอัตตานั่นเอง " 4) สงฺขตาสงฺขตา ปน สพฺเพปิ ธมฺมา อตฺตสงฺขาตสฺส ปุคฺคลสฺส อภาวโต อตฺตสุญฺญาติ. (ปฏิสํ.อ. 2/287) แปลว่า: " ก็ธรรมทั้งหลาย แม้ทั้งปวง ทั้งสังขตะ (สังขาร) และอสังขตะ (นิพพาน) ล้วนสูญ (ว่าง) จาก อัตตา เพราะไม่มีบุคคล กล่าวคือ อัตตา " เอกสารของวัดพระธรรมกาย กล่าวว่า " อัตตามีนัยมากมาย ทั้งอัตตาโดยสมมติ...และอัตตาในระดับที่สูงขึ้น " ขออธิบายสั้นๆ ว่า ในที่นี้ ข้อความในพระไตรปิฎก และอรรถกถานั้น ปฏิเสธตรงไปที่อัตตาเลย ไม่ว่าจะ มีกี่นัย คือ ไม่ต้องปฏิเสธนัยไหนของอัตตาทั้งนั้น แต่ปฏิเสธอัตตาทีเดียวหมดไปเลย คือปฏิเสธอัตตาว่าไม่มีอยู่จริงโดยปรมัตถ์ เป็นอันว่าไม่ต้องไปพูดว่าเป็นอัตตาหรือตัวตนแบบไหน นัยอย่างไหน เพราะท่านไม่ได้ปฏิเสธความหมายต่างๆ ของอัตตา แต่ท่านปฏิเสธที่คำว่าอัตตาตรงไปตรงมา ทีเดียวเสร็จสิ้นไปเลยว่า อัตตาโดย ปรมัตถ์ไม่มี ส่วนอัตตาโดยสมมติ คือตัวตนตามภาษาพูดที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันและในระดับศีลธรรม ก็เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ไม่ได้มีปัญหาอะไร หมายความว่า นอกจากอัตตาที่ท่านปฏิเสธไปแล้วนี้ คำที่กล่าวถึงอัตตาก็เป็นการกล่าวโดยสมมติเท่านั้นแต่ที่สำคัญก็คือว่า ไม่มีพุทธพจน์ หรือข้อความในอรรถกถา หรือในคัมภีร์แห่งใดที่ระบุว่านิพพานเป็นอัตตา แต่มีชัดเจนที่ระบุว่านิพพานเป็นอนัตตา ส่วนคำว่าอัตตาจะใช้ในนัยไหน อันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งหรือเป็นอีกประเด็นหนึ่งทีเดียว และก็ไม่ได้มี ปัญหาอะไรในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าเป็นการใช้โดยสมมติทั้งสิ้น

การหาทางตีความ ให้นิพพานเป็นอัตตา ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า - ไม่มีหลักฐานในคัมภีร์ใดเลยที่กล่าวถ้อยคำระบุลงไปว่านิพพานเป็นอัตตา - แต่หลักฐานในคัมภีร์ที่ระบุลงไปว่านิพพานเป็นอนัตตานั้นมี และมีหลายแห่ง ดังที่ยกตัวอย่างมาแสดงแล้ว เมื่อไม่สามารถหาหลักฐานมาแสดงว่านิพพานเป็นอัตตา ผู้ที่หาทางจะทำให้นิพพานเป็นอัตตา ก็ใช้วิธี ตีความ หรือทำให้เกิดความสับสนขอให้พิจารณาข้อความที่เอกสารของวัดพระธรรมกายได้กล่าวไว้ " 3. คำว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ซึ่งเป็นคำที่มีการอ้างอิงกันมากนี้ คำว่า สพฺ เพ ธมฺมา คือ ธรรมทั้งปวง กินความกว้างเพียงใดเพราะมีทั้งคัมภีร์ชั้นอรรถกถาที่บอกว่า ธรรมทั้งปวง ในที่นี้ รวมเอาพระนิพพานด้วย (อรรถกถา ขุททกนิกาย จูฬนิเทส ฉบับมหาจุฬาลงกรณราช-วิทยาลัย หน้า 8; อรรถกถา ขุททกนิกาย มหานิเทส ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หน้า 219) และมีทั้ง คัมภีร์อรรถกถาที่บอกว่า ธรรมทั้งปวงที่ว่าเป็นอนัตตานั้นหมายเอาเฉพาะขันธ์ 5 ไม่ได้ครอบคลุมถึง พระนิพพาน (อรรถกถาธรรมบท ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย ภาค 7 หน้า 62 ) " คำกล่าวนี้จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือสับสน ถ้าไม่เป็นเพราะตัวผู้กล่าวสับสนเอง ก็เป็นเพราะตั้งใจ จะทำให้เกิดความ สับสน เป็นการเสี่ยงต่อการตู่พระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง ความจริงคำอธิบายของอรรถกถาไม่ได้ขัดกันเลย ขอให้ดูพุทธพจน์แสดงหลัก นี้ ที่ท่านนำมาอธิบายไว้ ซึ่งต่างกันเป็น 2 แบบ แบบที่ 1 พุทธพจน์ที่แสดงแต่หลักทั่วไปเป็นกลาง ๆ ว่า

            สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ                                                 (เช่น สํ.ข. 17/233/164) 

แปลว่า: " ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา " ในกรณีเช่นนี้ คำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์ จะกล่าวครอบคลุมหมดโดยไม่มีข้อแม้ว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ สพฺเพ จตุภูมกธมฺมา อนตฺตา (สํ.อ. 2/346) แปลว่า: " ธรรมที่มีในภูมิ 4 ทั้งหมด เป็นอนัตตา " ข้อนี้ชัดเจนไม่มีข้อแม้ ไม่มีเงื่อนไขใดๆ คือ ทุกอย่างรวมทั้งนิพพานด้วย เป็นอนัตตา แบบที่ 2 พุทธพจน์เฉพาะแห่ง ซึ่งมีข้อความที่เป็นเงื่อนไขจำกัดต่อท้าย

                   สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ      ยทา ปญฺญาย ปสฺสติ 
                อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข      เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา 
                                                                            (ขุ.ธ. 25/30/52; ขุ.เถร. 26/383/366) 

แปลว่า: " เมื่อใดบุคคลมองเห็นด้วยปัญญาว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อนั้นย่อมหน่ายในทุกข์ นี้เป็น ทางแห่งวิสุทธ " ในกรณีนี้ อรรถกถาเถรคาถา อธิบายไว้บริบูรณ์ว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ สพฺเพปิ จตุภูมิกา ธมฺมา อนตฺตา.

อิธ ปน เตภูมิกธมฺมาว    คเหตพฺพา                                                        (เถร.อ. 2/283) 

แปลว่า: " ข้อความ (พุทธพจน์) ว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา หมายความว่า ธรรมทั้งหลายที่เป็นไปในภูมิ 4 แม้ทั้งหมด (คือ กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ และโลกุตตรภูมิ คือ มรรค ผล นิพพาน) เป็นอนัตตา แต่ในที่นี้ พึงถือเอาเฉพาะธรรมที่เป็นไปในภูมิ 3 (สังขาร/ขันธ์ 5) เท่านั้น "1 ที่จริงคำอธิบายนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว คือ ท่านแบ่งเป็น 2 ท่อน ท่อนแรก แสดงหลักทั่วไป คือตัวความจริงแท้ๆ ที่เป็นกลาง ๆ ซึ่งเป็นความหมายที่สมบูรณ์ว่า ธรรมทั้ง ปวง รวมหมดทั้งภูมิ 4 ซึ่งรวมทั้งนิพพานด้วยนั้น เป็นอนัตตา ส่วนท่อนที่สอง จำกัดความหมายให้อยู่ในขอบเขตที่ต้องการ หรือตามความประสงค์เฉพาะกรณี ดังจะ เห็นว่ามีทั้งคำว่า อิธ ซึ่งจำกัดเทศะว่า " ที่นี้ " หรือ " ในกรณีนี้ " หรือ " ในคาถานี้ " และคำว่า คเหตพฺพา ซึ่งจำกัด วัตถุประสงค์ว่า " พึงถือเอา " (หรือในอรรถกถาธรรมบทใช้คำว่า อธิปฺเปตา แปลว่า " ทรงประสงค์เอา ") คำว่า ในที่นี้ ก็ดี คำว่า พึงถือเอา หรือทรงประสงค์เอา ก็ดี เป็นคำจำกัดขอบเขต คือ อิธ " ที่นี้ " ก็ จำกัดสถานที่ หรือเฉพาะกรณี และ คเหตพฺพา " พึงถือเอา " หรือ อธิปฺเปตา " ทรงประสงค์เอา " ก็จำกัดความ ต้องการ การใช้คำจำกัดอย่างนี้เป็นการบอกชัดอยู่แล้วว่า เป็นการตัดออกมาจากส่วนรวมทั้งหมด โดยจับเอา เฉพาะส่วนที่ประสงค์ในกรณีนั้นๆ เพราะในทางพุทธศาสนาถือว่าความจริงนั้นเป็น กลางๆ ไม่ขึ้นต่อความ ต้องการของใคร เพราะฉะนั้นท่านจึงแสดงหลักที่เป็นความจริงกลางๆ ไว้ก่อน แล้วท่อนหลังจึงแสดงความมุ่ง หมายที่ต้องการใช้เฉพาะในกรณีนั้นๆ หรือเป็นเรื่องสัมพันธ์กับเงื่อนไขบางอย่างในที่นั้น อย่างในกรณีนี้ ขออธิบายประกอบ จะเห็นว่ามีคำว่า "อถนิพฺพินฺทติ ทุกฺเข" ซึ่งแปลว่า " เมื่อนั้นย่อม หน่ายในทุกข์" ทุกข์คืออะไร ทุกข์ในทางธรรม ว่าโดยรวบยอดก็ได้แก่อุปาทานขันธ์ 5 ในที่นี้ อรรถกถาเองก็ได้อธิบายต่อไปว่า เป็นวิปัสสนาวิธีในการปฏิบัติของผู้พิจารณา ซึ่งหมายถึงพิจารณาเบญจขันธ์ แต่ยกหลักทั่วไปที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ 3 ข้อ คือ สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา, สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา, สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มากล่าว โดยยกเอาหลักนั้นมาอ้างเต็มตามเดิม ส่วนความหมายที่ต้องการในที่นี้ ซึ่งใช้ในวิปัสสนาวิธีนั้น จำกัดเฉพาะการพิจารณาขันธ์ 5 หรือพิจารณา สังขาร และเมื่อพิจารณาเห็นอย่างนั้นก็หน่ายในทุกข์ รับกัน คือ หน่ายในขันธ์ 5 หรืออุปาทานขันธ์ 5 นั้น เป็นอันว่าในที่นี้เป็นการใช้จำกัดความหมายเฉพาะขอบเขตโดยมีเงื่อนไข แต่หลักกลางก็ไม่ได้เสียหาย ไปไหน เพราะได้บอกแจ้งไว้ท่อนต้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น คำอธิบายของท่านจึงไม่ได้ขัดกันแต่ประการใด และถึงอย่างไร คำอธิบายพุทธพจน์เหล่านี้ก็ไม่มีการระบุว่า นิพพานเป็นอัตตา แต่ตรงข้าม คำอธิบายที่ ปรากฏมาแล้วนั้นก็บอกชัดว่า นิพพานรวมอยู่ในธรรมที่เป็นอนัตตา บางท่านเมื่อหาพุทธพจน์ หรือคำระบุในคัมภีร์ว่านิพพานเป็นอัตตาไม่ได้แล้ว ก็เลยมาเอาข้อความตรง นี้ที่ว่า " ในกรณีนี้ ธรรมทั้งปวงทรงประสงค์เอาขันธ์ 5 " แล้วก็ไปตีความหมายเอาว่า เมื่อธรรมทั้งปวงหมายเอาขันธ์ 5 เพราะฉะนั้นนิพพานก็เป็นอัตตา ซึ่งก็ 1. ไม่มีพุทธพจน์ ไม่มีข้อความ ไม่มีถ้อยคำที่ระบุอย่างนั้น 2. ขัดต่อคำอธิบายของอรรถกถาที่กล่าวข้างต้นนั้น ซึ่งชัดอยู่แล้ว


การใช้ตรรกะที่ผิด เพื่อให้คิดว่านิพพานเป็นอัตตา นอกจากนั้น เอกสารของวัดพระธรรมกาย ยังเขียนไว้ว่า " และนิพพานนี้เป็นสิ่งที่อยู่พ้นจากกฎของไตรลักษณ์แน่นอน เพราะมีพุทธพจน์ยืนยันว่า นิพพาน นั้นเป็นนิจจัง คือเที่ยงแท้ ยั่งยืน และเป็นบรมสุข . . . นิพพานํ ปรมํ สุขํ แปลว่าพระนิพพานเป็นสุขอย่าง ยิ่ง " อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เพราะรับกันอยู่แล้วกับพุทธพจน์แสดงไตรลักษณ์ แต่ควรพูด ให้ครบถ้วนว่า นิพพานพ้นจากไตรลักษณ์ 2 ข้อแรก คือ ข้อที่ 1 สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง, ในเมื่อนิพพานพ้นจากความเป็นสังขาร นิพพานก็ เที่ยง เป็นนิจจัง ข้อนี้ถูก ข้อที่ 2 สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์, นิพพานไม่เป็นสังขาร พ้นจากสังขาร เพราะฉะนั้น นิพพานก็เป็นสุข ข้อนี้ก็มีหลักฐานยืนยันอยู่มากมาย ไม่มีปัญหา แต่หลักฐานที่จะบอกว่า นิพพานเป็นอัตตานั้น ไม่มี มีแต่ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา ซึ่งรวมทั้งนิพพานด้วยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ข้อ 3 นี้ ถึงอย่างไรก็เอานิพพานเป็นอัตตาไม่ได้ เอกสารของวัดพระธรรมกาย ยังพยายามใช้วิธีตรรกศาสตร์มาสรุปโดยอ้างพุทธพจน์ว่า " ยทนิจฺจํ ตํ ทุกฺขํ, ยํ ทุกฺขํ ตทนตฺตา " ที่แปลว่า " สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา " แล้วก็บอกว่า " จึงน่าคิดว่า ถ้ามองในเชิงกลับกัน ในเมื่อนิพพานเที่ยง และเป็นสุข เราก็จะสรุปได้ ว่า สิ่งใดเที่ยง สิ่งนั้นเป็นสุข สิ่งใดเป็นสุข สิ่งนั้นก็น่าจะเป็นอัตตา " คำว่า " น่าจะ " นั้นเป็นคำที่ท่านว่าเอาเอง ซึ่งไม่มีทางเป็นจริง ทั้ง 2 ประการ ประการที่ 1 มีบาลีระบุไว้แล้วว่า นิพพานเป็นอนัตตา และไม่มีข้อความใดระบุว่านิพพานเป็นอัตตา ประการที่ 2 การใช้ตรรกะแบบนั้นไม่ถูกต้อง เหมือนกับคำพูดในประโยคที่ว่า " ชีวิตใด เคลื่อนไหวย้ายที่เองได้ ชีวิตนั้นเป็นสัตว์, ชีวิตที่เป็นสัตว์ทั้งปวงต้องตาย" แล้วก็จะมาสรุปเอาว่า " พืชไม่เป็นชีวิตที่เคลื่อนไหวย้ายที่เอง ได้ ก็จึงไม่เป็นสัตว์ เพราะฉะนั้น พืชก็ ไม่ต้องตาย " การสรุปอย่างนี้ใช้ไม่ได้ เป็นตรรกะที่ผิดพลาดไร้ผล เพราะว่าชีวิตที่เป็นพืชก็ต้องตายเหมือนกัน เฉพาะ ข้อความที่ว่าต้องตายนี้ครอบคลุมหมด ไม่เฉพาะชีวิตที่เคลื่อนไหวย้ายที่เองได้ ที่เป็นสัตว์เท่านั้น เช่นเดียวกับคำว่า " ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา " ก็คลุมไม่เฉพาะสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เท่านั้น แต่รวมทั้งสิ่งที่เที่ยงและเป็นสุขด้วยในที่สุด ที่ว่ามาทั้งหมดก็สอดคล้องกลมกลืนกัน ลงในข้อสรุปแห่งพุทธพจน์ที่ว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา = สังขาร (ขันธ์ 5/สังขตธรรม)ทั้งปวง ไม่เที่ยง สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา = สังขาร (ขันธ์ 5/สังขตธรรม)ทั้งปวง เป็นทุกข์ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา = ธรรม (ขันธ์ 5 + อสังขตธรรม)ทั้งปวง เป็นอนัตตา ชีวิต มีความหมายกว้างกว่าสัตว์ คลุมไปถึงพืชด้วย ฉันใดธรรม ก็มีความหมายกว้างกว่าสังขาร(สังขตธรรม) คลุมไปถึงวิสังขาร (อสังขตธรรม) คือ นิพพานด้วย ฉันนั้น


การจับคำความที่ผิดมาอ้างเป็นหลักฐาน เพื่อให้นิพพานเป็นอัตตา มีพุทธพจน์อีกแห่งหนึ่ง ที่บางท่านชอบนำไปอ้างเพื่อยืนยันว่านิพพานเป็นอัตตา คือ พุทธพจน์ว่า

                           ชญฺญา นิพฺพานมตฺตโน                                                             (ขุ.อุ. 25/77)

แปลว่า: " พึงรู้นิพพานของตน " ที่จริงในสุตตนิบาตก็มีพุทธพจน์คล้ายกันว่า

                             สิกฺเข นิพฺพานมตฺตโน                                                               (ขุ.สุ 25/422) 

แปลว่า: " พึงศึกษานิพพานของตน " ที่จริงพุทธพจน์นี้ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ไม่ใช่นิพพานเป็นอัตตา แต่มีสิ่งหนึ่งที่ท่านใช้คำว่าอัตตา/ตน มาเป็นเจ้าของนิพพาน สิ่งที่ว่าเป็นอัตตา/ตัวตนที่เป็นเจ้าของนิพพาน คือ อัตตโน ตัวนี้ สำหรับในสุตตนิบาต ท่านมีคำอธิบายไว้ในพระไตรปิฎกนั่นเอง คือคัมภีร์มหานิทเทส ซึ่งขยายความว่า " สิกฺเข นิพฺพานมตฺตโนติ . . . นิพฺพานมตฺตโนติ อตฺตโน ราคสฺส นิพฺพานาย โทสสฺส นิพฺพา นาย โมหสฺส นิพฺพานาย...แปลว่า: " พุทธพจน์ว่า ' พึงศึกษานิพพานของตน ' มีความหมายว่า . . . นิพพานของตน คือ (พึงศึกษา) เพื่อดับราคะ เพื่อดับโทสะ เพื่อดับโมหะ ของตน " (ขุ.ม.29/816 เป็นต้น) และอรรถกถา (ทั้งอรรถกถาสุตตนิบาตัสุตฺต.อ 2/440 และอรรถกถามหานิทเทสันิทฺ.อ.1/27) ยังเอาไปไขความอีกคล้ายๆ กันว่า " สิกฺเข นิพฺพานมตฺตโนติ อตฺตโน ราคาทีนํ นิพฺพานมตฺถาย อธิสีลาทีนิ สิกฺเขยฺย " แปลว่า: " พุทธพจน์ว่า ' พึงศึกษานิพพานของตน ' หมาย ความว่า พึงศึกษาอธิศีลเป็นต้น เพื่อ ประโยชน์ในการดับกิเลสทั้งหลาย มีราคะเป็นต้น ของตน " ส่วนพุทธพจน์ในคัมภีร์อุทาน ที่ว่า " พึงรู้นิพพานของตน " นั้น คำว่า " ของตน " อรรถกถา (อุ.อ.201) อธิบายว่าได้แก่ มรรคญาณ และผลญาณ ซึ่งก็ชัดอยู่แล้วว่า มรรค ก็ตาม ผล ก็ตาม ญาณ หรือปัญญา ก็ตาม นั้นเป็น สังขตธรรม คือเป็นสังขารอยู่ในขันธ์ 5 เพราะฉะนั้น คำว่าตนในที่นี้ จึงเป็นอัตตาโดยสมมติอย่างที่รู้กันอยู่แล้ว เพราะว่าเมื่อ มรรคญาณ ผลญาณ เป็นสังขาร อยู่ในขันธ์ 5 ก็เป็น อนัตตานั่นเองโดยปรมัตถ์ เรารู้กันดีว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการพึ่งตน และ " พึ่งตน " ก็คือ ผลักดันกระบวนการแห่งเหตุปัจจัย ที่เรียกว่า " ธรรม " ให้ดำเนินไปสู่่จุดหมาย พูดง่ายๆ ว่า ทำเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น จึงมีคำสอนที่ให้รู้้ว่าพึ่งตน ก็คือพึ่งธรรม และในระหว่างการปฏิบัติก็จะมีคำสอนที่กล่าวถึงตน/อัตตานี้มากมาย ตลอดเวลาเมื่ออธิบายท่านก็จะบอกว่า ตน/อัตตา คือ ธรรม หรือบางทีเรียกว่า ธรรมกาย (คือประมวลแห่งธรรมหรือคุณสมบัติทั้งหลาย) นี้ ได้แก่ โลกิยโลกุตตรธรรม บ้าง ได้แก่ โลกุตตรธรรม บ้าง (เช่นว่าพึ่งตน พึ่งธรรม, ที.ม.10/93/119; ตน/อัตตา = ธรรม = โลกิยโลกุตตรธรรม, ที.อ. 3/30; ตน/อัตตา = ธรรม = โลกุตตรธรรม 9, สํ.อ. 3/277; ตน/อัตตา = ธรรมกาย ซึ่งอย่างสูงคือโลกุตตรธรรม 9, จริยา อ.324) แล้วแต่ขั้นตอนของการปฏิบัติ เป็นการบอกให้รู้ในตัวว่า ตน/อัตตานี้ เป็นคำเรียกขานตามสมมติของภาษา และเป็นคำที่ใช้ในกระบวนการปฏิบัติ หมายถึงธรรมที่เป็นข้อปฏิบัติต่างๆ ตลอดจนคุณสมบัติที่เป็นผลของการปฏิบัติ (คือธรรมต่างๆ ในระดับสังขาร/สังขตธรรม/ขันธ์ 5 ที่ข้างต้นได้บอกแล้วว่าโดยปรมัตถ์เป็นอนัตตา) แต่ไม่มีการใช้ "ตน/อัตตา" นี้ในฐานะเป็นจุดหมายที่จะไปเข้าถึง เช่น ไม่มีคำว่าบรรลุอัตตา หรือเข้าถึง/เข้ารวมกับอัตตา/อาตมัน อย่างลัทธิที่ถืออัตตา พูดง่ายๆ ว่า นิพพานไม่ใช่ภาวะเช่นนั้น

เมื่อจำนนด้วยหลักฐาน ก็หาทางทำให้สับสน ปัญหาทั้งหมดนี้เกิดขึ้นมาจากการพยายามทำให้สับสนโดยวิธีต่างๆ เช่น เอาหลักฐานกับความคิดเห็น ของบุคคลมาปะปนกันเป็นต้น ทุกคนจะต้องทันและแยกแยะให้ถูก การที่จะวินิจฉัยได้แน่ชัดจะต้องไม่ออกนอกประเด็น ขอยกข้อความในหนังสือ " นิพพานัอนัตตา " (หน้า 10-11) มากล่าวซ้ำอีก " ประเด็นที่พิจารณาในที่นี้ คือ พระไตรปิฎกและอรรถกถาว่าอย่างไร ไม่ได้พูดถึงความเห็นของบุคคล จึงเป็นเรื่องง่าย ๆ เพียงเอาคำพูดของคัมภีร์มาแสดงให้เห็นแท้ ๆ ล้วน ๆ เมื่อแสดงหลักฐาน ถ้อยคำของคัมภีร์เสร็จแล้ว ตนเองมีความเห็นอย่างไรก็แสดงออกไป ไม่เอาไป ปะปนกับถ้อยคำของคัมภีร์ ผู้อ่านจึงจะไม่สับสนและไม่เข้าใจผิด ต้องการรู้อย่างเดียวว่า คัมภีร์พูดว่าอย่างไร ก็เอาถ้อยคำของคัมภีร์มาแสดงจำเพาะ แท้ ๆ ล้วน ๆ ไม่เอาถ้อยคำและความคิดเห็นของตนเข้าไปปะปน ต่อจากนั้นตนมีความเห็นอย่างไร ในเรื่องนั้น หรือได้เห็นผลจากการปฏิบัติของตน หรือของสำนักของตนอย่างไร ก็บอกแจ้งหรือแสดงไปตามนั้น (ผู้อื่นไม่จำเป็นต้องยอมรับและเห็นด้วย) ถ้อยคำหรือมติของคัมภีร์นั้นๆ ตนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็มีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ไปตามตรง คัมภีร์นั้นๆ ตนจะเชื่อหรือไม่ หรือจะว่าเชื่อถือได้หรือไม่ ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง แต่ไม่ว่าตนจะเชื่อหรือไม่ ข้อความในคัมภีร์ก็เป็นอยู่อย่างนั้น " นอกจากนี้เอกสารของวัดพระธรรมกายยังพูดเฉไฉออกไปอีกว่า " นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นต้องศึกษาให้เข้าใจสภาพสังคมอินเดียในครั้งพุทธกาล ว่าผู้คนมีความคิด ความอ่าน ความเชื่ออย่างไร นักวิชาการทางพระพุทธศาสนาจึงต้องศึกษาให้เข้าใจ คำสอนของ พระเวท อุปนิษัท เชน และลัทธิความเชื่ออื่นๆ ของอินเดียที่มีอิทธิพลในยุคนั้น ๆ รวมทั้งศึกษาประวัติศาสตร์ และวิวัฒนาการของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา การแตกนิกาย ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนานิกายต่าง ๆ และระหว่างพุทธกับลัทธิศาสนาอื่น การศึกษาให้เข้าใจภูมิหลังทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ความเชื่อในยุคนั้นๆ นี้เอง จะทำให้เราตีความเข้าใจความหมายของคำสอนในพระพุทธศาสนาของเราเองได้ถูกต้องลึกซึ้งชัดเจนขึ้น " ข้อความนี้เป็นคำกล่าวผิดที่และสรุปผิดเป้า เพราะกรณีนี้เป็นเรื่องของหลักการที่มีหลักฐานแน่นอนอยู่ แล้ว ซึ่งระบุไว้ชัดเจนมาแต่ดั้งเดิมในพระไตรปิฎก ไม่ใช่เป็นเรื่องของการตีความ และไม่ใช่เรื่องความเห็น สิ่งที่ต้องทำคือการกล่าวให้ตรงไปตรงมาตามข้อความที่มีมาในคัมภีร์ ท่านว่าอย่างใดก็ยกมากล่าวอย่างนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า เมื่อเราได้หลักฐานของพระไตรปิฎกแน่ชัดแล้ว การศึกษาสังคมอินเดีย พร้อมทั้ง ประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการทางความคิด จึงจะเกิดประโยชน์ที่แท้จริง คือจะช่วยให้เรามองอะไรๆ ชัดเจนขึ้น เช่น เข้าใจขึ้นมาว่าสังคมอินเดียเป็นอย่างไร ศาสนาพราหมณ์มีอิทธิพลอย่างไร และประชาชนถูกครอบงำทำให้เกิดปัญหาอย่างไร พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสแสดงหลักการนี้ขึ้น แต่ตรงข้าม ถ้าจับหลักการของพระพุทธศาสนา ไม่ชัด แล้วไปศึกษาผิดๆ มา ตนเองก็จะเกิดความลุ่่มหลงไขว้เขว แทนที่จะเข้าใจสังคมอินเดีย และเข้าใจพระพุทธศาสนา ก็กลายเป็นการสร้างความสับสนยิ่งขึ้น


เมื่อหลักฐานก็ไม่มี ตีความก็ไม่ได้ ก็หันไปอ้างผลจากการปฏิบัติ เมื่อไม่มีแหล่งที่มาจากคัมภีร์ที่จะอ้าง ซึ่งระบุว่านิพพานเป็นอัตตา ทางสำนักธรรมกาย นอกจากจะใช้ วิธีตีความหรือแปลผิดพลาด ตลอดจนอ้างคำสอนของลัทธินิกายอื่น และคำถกเถียงของนักวิชาการแล้ว อีกอย่างหนึ่ง คือการอ้างว่าตนได้เห็นอย่างนั้นจากการปฏิบัติ การอ้างผลจากการปฏิบัตินั้น มีข้อพิจารณาและวิธีที่จะตรวจสอบ คือ 1. ผู้ที่ได้ยินคำอ้างเช่นนี้ มีสิทธิตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่า การเห็นในการปฏิบัติ ไม่ว่าจะเห็นนิพพานหรือ เห็นอะไรก็ตามนั้น อาจจะเป็นเหมือนการอ้างของคนที่บอกหวย ว่าเห็นเลขลอตเตอรี่ จากการปฏิบัติ 2.ขั้นต่อไป จะต้องตรวจสอบการปฏิบัติด้วยหลักการซึ่งเป็นเกณฑ์ตัดสินว่า เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง หรือไม่ เพราะว่า ถ้าเป็นการปฏิบัติที่ผิดหลักการ ผลที่ได้เห็นนั้นก็ไม่ถูกต้อง ในสมัยพุทธกาล ผลการปฏิบัตินั้นจะต้องได้รับการตรวจสอบจากพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้า ปรินิพพานไปแล้ว ก็ต้องตรวจสอบด้วยคำสอนของพระองค์ คือหลักการที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก สำหรับพระพุทธศาสนาเถรวาท ถ้าการปฏิบัตินั้นไม่เป็นไปตามหลักการ ซึ่งปรากฏในพระไตรปิฎก การ ปฏิบัตินั้นก็เป็นเรื่องของการปฏิบัติไปตามทัศนะส่วนตัวของบุคคลนั้น หรือไม่ก็เป็นเพียงเรื่องของสำนักนั้น หรือมีค่าเท่ากับการปฏิบัติของฤาษีโยคี เป็นต้น นอกพระพุทธศาสนา เป็นแต่เพียงอาศัยรูปแบบในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ทั้งๆ ที่ตนอาศัยรูปแบบที่กำหนดไว้ในพระไตรปิฎก แต่เวลาปฏิบัติกลับปฏิบัติไปตามความคิดเห็นของตนเอง ถ้าไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วจะเป็นการปฏิบัติที่เรียกว่าพุทธศาสนาได้อย่างไร 3. เป็นการเสี่ยงต่อการอวดอุตริมนุสสธรรม อย่างที่กล่าวแล้วว่า ในสมัยพุทธกาลนั้น เมื่อจะตรวจสอบ ว่าตนเองได้บรรลุ ธรรม ได้เห็นนิพพานหรือไม่ เป็นต้น ก็ต้องไปให้พระพุทธเจ้าตรัสรับรองดังที่เรียกว่าพยากรณ์ ถ้าภิกษุรูปใดกล่าวขึ้นกับภิกษุรูปอื่น แทนที่จะนำไปกล่าวขอรับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า อาจจะถูกตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าอวดอุตริมนุสสธรรม เรื่องนี้จะเห็นได้ว่าแม้แต่ พระสารีบุตรอัครสาวกเคยพูดอะไรบางอย่าง ภิกษุบางรูปก็ยังตั้งข้อกล่าวหาว่าท่านอวดอุตริมนุสสธรรม ซึ่งต้องรับคำวินิจฉัยจากพระพุทธเจ้า (ดูเรื่องใน สํ.นิ.16/104/59)เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว การที่จะตัดสินก็คือ ตัดสินด้วยหลักการที่พระองค์ทรงวางไว้ ซึ่งมีอยู่แล้วในพระไตรปิฎก อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า " ภิกษุเห็นรูปด้วยตา . . . ได้ยินเสียงด้วยหู . . . ฯลฯ ย่อมรู้ชัดในตัวของตัวเองว่า ภายในใจของเรามี โลภะ มีโทสะ มีโมหะหรือไม่ " (สํ.สฬ. 18/240/173) การตรวจสอบตนเองอย่างนี้ จึงจะทำให้รู้ได้ว่าบรรลุธรรม หรือไม่ และพระพุทธเจ้าทรงมุ่งให้แต่ ละคนสำรวจตรวจสอบในตนเอง ไม่ใช่ให้ไปอวดอ้างแก่ผู้อื่น ถ้าเห็นโน่นเห็นนี่ แล้วมาอวดอ้างแก่ผู้อื่น บอกว่าได้มรรค ได้ผล เห็นนิพพาน ก็ควรจะต้องถูกขอให้ดูใน ตัวของผู้อวดอ้างนั้นเองว่าใจยังมี โลภะ โทสะ โมหะ หรือไม่ พร้อมกับการที่จะต้องถูกตรวจสอบว่าอาจจะเป็นการอวดอุตริมนุสสธรรมเวลานี้ไปกันไกลถึงกับมีการพูดว่า ท่านผู้นั้นผู้นี้ พระภิกษุรูปนั้นรูปนี้ เป็นนักปฏิบัติหรือไม่ โดยจะดูว่าไปนั่งสมาธิหรือเปล่า ไปเข้าป่า ไปนั่งวิปัสสนาหรือเปล่า อะไรทำนองนี้ คือไปติดอยู่ที่รูปแบบ จริงอยู่ รูปแบบเหล่านี้ก็ช่วยเป็นเครื่องประกอบในการพิจารณาขั้นต้น แต่ถ้าเป็นวิธีของพระพุทธเจ้าแท้ ๆ ไม่ใช่อยู่ที่ตรงนี้ การดูว่าท่านผู้ใดเป็นผู้ปฏิบัติหรือไม่ ก็ดูที่พฤติกรรมของท่านว่าเป็นไปตามศีลหรือไม่ แล้วก็ดูความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิต การแสดงออกและอาการความเป็นไปทั้งหลายที่แสดงว่า มีโลภะ โทสะ โมหะน้อยหรือมากเพียงใด อันนี้คือการดูการปฏิบัติที่แท้จริง ซึ่งเป็นเนื้อแท้ตามหลักการของพระพุทธเจ้า


เพราะไม่เห็นแก่พระธรรมวินัย จึงต้องหาทางดิ้นรนเพื่อหนีให้พ้นสัจจะระยะหลังนี้ ทางวัดพระธรรมกายได้เผยแพร่ข้อเขียนคำกล่าวที่ชื่อว่า " เถรบัญญัติ " ที่ว่าเป็นของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์หนึ่ง " เถรบัญญัติ " นั้น แสดงความไม่เห็นด้วยกับเรื่องนิพพานเป็นอนัตตา และเห็นว่า นิพพานเป็นอัตตา และได้ทราบว่าหลังจากนั้นก็ยังได้เผยแพร่ทัศนะของพระเถระ และพระมหาเถระรูปอื่นๆ อีก ที่กล่าวในเชิงว่านิพพานเป็นอัตตาข้อเขียนคำกล่าวทั้งหมดนี้ ทำให้ได้ข้อพิจารณาสำหรับทำความเข้าใจในเรื่องนี้ เบื้องแรกที่สุด ข้อเขียนคำกล่าวของพระเถระและพระมหาเถระเหล่านี้ เป็นตัวอย่างของสิ่งที่เรียกว่าทัศนะหรือความคิดเห็นต่างๆทัศนะหรือความคิดเห็นเหล่านี้ เป็นข้อพิจารณาที่ช่วยให้เห็นได้ชัดว่าจะนำหลักเกณฑ์ในพระศาสนามาใช้ปฏิบัติอย่างไร ดังนี้ 1. ทัศนะหรือความคิดเห็น ตลอดจนคำอธิบายบรรยายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้แต่ของท่านผู้ที่เรียกว่าเป็นผู้รู้ หรือเป็นปราชญ์ ยังมีอีกมากมาย เมื่อทางวัดพระธรรมกายยกทัศนะที่เห็นว่านิพพานเป็นอัตตามาอ้าง ผู้อื่นก็อาจจะยกทัศนะของผู้รู้ท่านอื่นที่เห็นว่านิพพานเป็นอนัตตาขึ้นมาอ้าง เช่น ยกข้อเขียนคำกล่าวของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์อื่นขึ้นมาคัดค้านมติขององค์ก่อน แล้วก็จะอ้างกันไปอ้างกันมา ไม่มีที่สิ้นสุด ในการวินิจฉัยว่า อะไรเป็นธรรม อะไรเป็นวินัยอย่างนี้ ท่านมีหลักเกณฑ์วินิจฉัย ซึ่งเป็นเครื่องรักษา พระศาสนาตลอดมา เป็นเครื่องตัดสิน ดังได้ยกมาแสดงข้างต้นแล้ว (หน้า 32-33) คือมหาปเทส 4 ทั้ง 3 ชุด สำหรับกรณีอย่างนี้ ก็ใช้ชุดที่ 3 อันได้แก่ 1. สุตตะ คือ พระไตรปิฎก 2. สุตตานุโลม คือ มหาปเทส (ยอมรับอรรถกถาด้วย) 3. อาจริยวาท คือ อรรถกถา (พ่วงฎีกา อนุฎีกา) 4. อัตตโนมติ คือ มติ ทัศนะ ความเห็นของท่านผู้รู้ เป็นต้น ข้อ 1. ตัดสิน ข้อ 2 - 3 - 4 ข้อ 2. ตัดสิน ข้อ 3 - 4 ข้อ 3. ตัดสิน ข้อ 4 ทัศนะ ความเห็น คำอธิบายของพระเถระ และพระมหาเถระทั้งหลายเป็นต้น จัดเป็นอัตตโนมติ (ท่านไม่ ยอมรับเป็นอาจริยวาท เพราะอาจริยวาทนั้นจับเอาขั้นเป็นอาจริยวงส์) ในการวินิจฉัยเรื่องนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา เมื่อมี สุตตะ จนถึงอาจริยวาทอยู่แล้ว ก็นำมาตัด สินทีเดียว ไม่ว่าจะมีทัศนะของพระเถระ พระมหาเถระ เป็นต้น กี่ร้อยกี่พันอย่าง ก็จบทีเดียว และไม่มีประโยชน์ที่ จะยกมาอ้างต่อไปมติ ทัศนะ ความเห็น คำอธิบายของพระเถระ พระมหาเถระ ครูอาจารย์นั้น มีไว้สำหรับเป็นเครื่องช่วย หรือเป็นเครื่องร่วมในการศึกษาพระธรรมวินัยแก่เรา แต่จะนำมาใช้เป็นเกณฑ์วินิจฉัยพระธรรมวินัยไม่ได้ มีแต่ต้องเอาธรรมวินัยมาวินิจฉัยครูอาจารย์


ความชื่อตรงต่อหลักพระศาสนา และมีเมตตาต่อประชาชน คือหัวใจของการรักษาระบบไตรสิกขาไว้ให้แก่ประชาสังคม หลักเกณฑ์ที่กล่าวมานี้มีความจำเป็นและยุติธรรม เพราะพระพุทธศาสนาไม่มีการบังคับศรัทธา แต่ให้ เสรีภาพแก่ทุกคนอย่างเปิดกว้างที่สุด จึงมีหลักเกณฑ์เป็นมาตรฐาน เหมือนอย่างในสังคมประชาธิปไตย ซึ่งต้องอยู่ด้วยกฎหมายหรือกติกา ด้วยวิธีนี้ พระพุทธศาสนาตัวจริงที่เป็นหลักการจึงอยู่มาได้ ท่ามกลางประชาชนที่มีความรู้ความเข้าใจในพระศาสนาต่างๆ กัน มากบ้างน้อยบ้าง และมีความคิดเห็นหลากหลาย โดยที่สถาบันพระพุทธศาสนาอยู่กับเขาด้วยเมตตา ไม่ไปบังคับเขาให้ต้องเชื่อและทำตาม เมื่อมองสังคมพุทธเถรวาทในวงกว้าง ก็เป็นคล้ายอย่างที่ฝรั่งเป็นต้นบางพวกมามองว่า เมืองไทย เหมือนมีพระพุทธศาสนา 2 แบบ คือ พุทธศาสนาที่เป็นตัวแท้ตัวจริง กับพุทธศาสนาแบบชาวบ้าน แต่นอกเหนือจากที่ว่านี้ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่เขาอาจจะมอง ไม่ถึง คือสะพานเชื่อมระหว่างพระพุทธศาสนา 2 แบบนั้น ที่ว่านี้หมายความว่า ในขณะที่พระพุทธศาสนาแบบตัวแท้ดำรงรักษาหลักการแห่งนิพพานที่เป็นสภาวธรรมอสังขตะไว้ ประชาชนอาจจะเชื่อถือเพี้ยนออกไปไกล จนแม้แต่มองพระนิพพานเป็นอมตมหานคร ดังคำประพันธ์เชิงกวีในภาษาบาลีและวรรณคดีเก่าๆ ของไทย ทั้งสองอย่างก็อยู่คู่กันมาได้ โดยไม่อึดอัดขัดแย้ง เพียงแต่คอยระวังโดยไม่ประมาท ไม่ให้ถลำไปไกลแต่ข้อสำคัญ ระหว่าง 2 แบบนั้น ที่ว่ามีสะพานเชื่อม ก็คือ พระพุทธศาสนาแบบตัวแท้ก็จะคอยหาโอกาสแนะนำสั่งสอนหลักการที่แท้จริงอยู่เสมอ แล้วในหมู่ประชาชนมากมายที่แตกต่างหลากหลายเหล่านั้น บางคนบางส่วนก็จะทยอยก้าวขึ้นมาสู่พระพุทธศาสนาแบบตัวแท้ตัวจริงนั้น โดยนัยนี้การพัฒนาคน และพัฒนา สังคมก็เกิดขึ้น ปัจจัยสำคัญที่รักษาระบบนี้ไว้ ก็คือ การดำรงรักษาหลักการที่แท้จริงไว้อย่างมั่นคงด้านหนึ่ง และเสรีภาพทางปัญญาของประชาชนในบรรยากาศแห่งเมตตาอีกด้านหนึ่ง พร้อมกับตัวประสานก็คือการที่พระสงฆ์ปฏิบัติศาสนกิจนำธรรมวินัยที่ได้เล่าเรียนศึกษาปฏิบัติมาเผยแผ่สั่งสอนประชาชนโดยไม่ประมาท ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้น ซึ่งจะมาทำลายระบบที่ว่ามานี้เสีย ก็คือ การฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากศรัทธาของประชาชนชาวบ้าน พร้อมกับทำลายตัวหลักการที่แท้ของพระพุทธศาสนา ซึ่งจะทำให้สะพานเชื่อมระหว่างพระพุทธศาสนา 2 แบบนั้น พังทะลายขาดไปด้วย เหลือไว้แต่ความสับสน พร้อมกับความสูญสิ้นของพระพุทธศาสนา และความเสื่อมสลายแห่งประโยชน์สุขของประชาชน 2. ความชัดเจนในการพิจารณาปัญหาอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ การแยกแยะขั้นตอนหนักเบาของการกระทำ ว่าแค่ไหนจะกระทบกระเทือน หรือถึงกับทำลายพระธรรมวินัย อย่างน้อยจะเห็นได้ว่าสามารถแยกเป็น 3 ขั้น 1) ขั้นทัศนะส่วนตัว ท่านผู้นั้นยังไม่รู้ไม่เข้าใจ หรือไม่เชื่อ และอาจจะแสดงทัศนะออกมาเป็นการไม่ยอมรับ ไม่พอใจ หรือน้อยใจต่อคำสั่งสอนในพระธรรมวินัย ซึ่งยังเป็นเรื่องของการที่จะชี้แจงถกเถียง และดำเนินการต่างๆ ในกระบวนการของการศึกษา 2) ขั้นปฏิเสธพระศาสดา หรือปฏิเสธพระธรรมวินัย เช่น กล่าวว่าพระไตรปิฎกเป็นหลักฐานที่เชื่อถือไม่ได้ หรือพยายามทำให้ผู้คนเข้าใจสับสนว่า พระไตรปิฎกบันทึกไว้ตกๆ หล่นๆ เอาเป็นมาตรฐานไม่ได้ เพราะฉะนั้นหลักการที่มีอยู่ในคัมภีร์จึงเชื่อถือไม่ได้ (ขั้นนี้คือที่กล่าวว่า ถ้าผู้ปฏิเสธเป็นพระภิกษุ ก็คือปฏิเสธความเป็นพระภิกษุของตน เพราะเป็นการปฏิเสธพุทธบัญญัติที่กำหนดการบวชและศีล 227 ที่ตนรักษา) 3) ขั้นปลอมปนพระธรรมวินัย คือกล่าวให้ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป เช่น เมื่อพระไตรปิฎกสอนว่าอย่างนี้ กลับบอกว่าพระไตรปิฎกไม่ได้สอนอย่างนี้ แต่สอนอย่างนั้น หรือนำเอาคำสอนและบัญญัติภายนอก แม้แต่ของพุทธศาสนานิกายอื่นๆ เข้ามาแทรกแซงปะปนในพระธรรมวินัยหรือในพระไตรปิฎก ขั้นที่ 2 และ 3 นี้ เรียกว่า เป็นการจาบจ้วงพระธรรมวินัยจะเห็นว่า พระเถระ และพระมหาเถระทั้งหลาย ที่แสดงมติ ทัศนะ ความเห็นต่างๆ กันไปนั้น มักอยู่เพียงในขั้นที่ 1 ท่านไม่ได้ก้าวล่วงมาถึงขั้นที่ 2 และ 3 เมื่อพุทธศาสนิกชนรู้หลักเกณฑ์วินิจฉัยในพระศาสนา ก็รับฟังด้วยความเท่าทันและช่วยกันศึกษาต่อไป แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นตามเอกสารของวัดพระธรรมกาย เป็นเหตุให้ต้องแก้ไข ก็เพราะเป็นการกระทำที่ถึง ขั้นจ้วงจาบพระธรรมวินัย ทั้งขั้นที่ 2 และ ขั้นที่ 3


บำรุงเลี้ยงบริหารร่างกายไว้ รูปกายก็เจริญงอกงาม หมั่นบำเพ็ญศีลสมาธิปัญญา ธรรมกายก็เจริญขึ้นมาเติบโตได้เองคำว่า " ธรรมกาย " ในพระไตรปิฎกอีก 3 แห่งต่อมา ที่ว่ามาในคำร้อยกรองแสดงประวัติเชิงสดุดีนั้น ก็ เป็นการใช้เชิงเปรียบเทียบอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นความหมายที่ใช้ได้กับคนอื่นๆ ทั่วไปด้วย โดยใช้คู่หรือใช้เชิงเทียบเคียงกับคำว่า " รูปกาย "คนเรานั้น ตามปกติก็มีความเจริญเติบโตของร่างกาย ที่ภาษาบาลีเรียกว่า" รูปกาย " ซึ่งแปลว่า กอง หรือที่รวม หรือที่ชุมนุมแห่งรูปธรรมต่าง ๆ เช่น ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ หรืออวัยวะต่างๆ เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต หัวใจ ปอด เป็นต้นคนเรากินอาหารเป็นต้น เวลาผ่านไป ร่างกายหรือรูปกายก็เจริญเติบโตมากขึ้น ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราศึกษาปฏิบัติธรรม พัฒนาคุณสมบัติที่ดีงามต่างๆ เช่น ศรัทธา ศีล เมตตา กรุณา สติ สมาธิ ปัญญา เป็นต้น เพิ่มขึ้นๆ ธรรมก็เจริญเพิ่มพูนขึ้น กลายเป็นกองแห่งธรรมที่ใหญ่ขึ้นๆ คำว่ากองแห่งธรรมหรือชุมนุมแห่งธรรมนี้เรียกว่า " ธรรมกาย " คนเราเจริญเติบโตขึ้นมาทางรูปกายนั่น ด้านหนึ่งแล้ว แต่อีกด้านหนึ่งเราก็ควรเจริญด้วยคือด้านธรรมกาย เพราะฉะนั้นในความหมายนี้ "ธรรมกาย " ก็เลยเป็นคำคู่กันกับ " รูปกาย " ธรรมกายที่เจริญขึ้นมาถึงขั้นสูงสุดในขั้นอุดมคติก็คือ ถึงขั้นโลกุตตรธรรม ได้แก่ มรรค ผล นิพพาน เพราะฉะนั้น ในขั้นสูงสุดและในความหมายที่จำเพาะ ท่านจึงใช้คำว่าธรรมกายนี้ ให้หมายถึง ชุมนุมแห่งธรรมที่เป็นโลกุตตระ คือ มรรค ผล นิพพาน แต่ก็เป็นคำพูดครอบคลุมรวมๆ กันไปทั้งกลุ่มทั้งหมด ไม่ใช่หมายถึงหลักธรรมข้อหนึ่งข้อใดโดยเฉพาะ คำว่า" ธรรมกาย " ที่ใช้ในความหมายนี้ครั้งสำคัญก็คือ คราวที่พระมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระมารดาเลี้ยงและเป็นพระน้านางของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้มาผนวชเป็นภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนา เมื่อชราภาพแล้ว วันหนึ่งได้มาทูลลาพระพุทธเจ้าไปปรินิพพาน พระนางได้กล่าวเป็นคำร้อยกรอง คือคาถา ตอน หนึ่งว่า พระนางเป็นพระมารดาของพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้า ก็เป็นพระบิดาของพระนางด้วยเช่นเดียวกัน ขยายความว่า พระนางได้เลี้ยงดูรูปกายของพระพุทธเจ้าให้เจริญเติบโตขึ้นมา แต่พระพุทธเจ้าก็ได้ช่วยทำให้ธรรมกายของพระนางเจริญเติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน คือช่วยให้พระนางได้ปฏิบัติธรรม บำเพ็ญไตรสิกขา จนกระทั่งบรรลุ มรรค ผล นิพพาน (ดู ขุ.อป.33/157/284)อย่างในกรณีของพระวักกลิ ที่ติดตามดูพระพุทธเจ้า เพราะหลงใหลในพระรูปโฉมของพระองค์ ครั้งหนึ่งพระองค์ได้ตรัสว่า

        " อลํ วกฺกลิ กึ เต อิมินา ปูติกาเยน ทิฏฺเฐน.โย โข วกฺกลิ ธมฺมํ ปสฺสติ, โส มํ ปสฺสติ; โย มํ ปสฺสติ, 

โส ธมฺมํ ปสฺสติ . . ." " ดูก่อนวักกลิ ร่างกายที่เปื่อยเน่าได้นี้ เธอเห็นแล้วจะได้ประโยชน์อะไร ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้น เห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม " (สํ.ข. 17/216/146) คำว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรานี้ ในพระไตรปิฎกเอง พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงใช้คำว่าธรรมกายและรูป กาย แต่อรรถกถา ได้อธิบายโดยใช้คำว่ารูปกายกับธรรมกายเข้ามาเทียบ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น เมื่อว่าโดยสาระที่แท้จริง การเห็นธรรมนั้นแหละคือการเห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้ สาวกติดอยู่กับพระรูปกายของพระองค์ แต่ทรงพระประสงค์ให้ทุกคนเห็นธรรม คือเห็นความจริงที่พระองค์ตรัสรู้ ซึ่งจะเป็นการเห็นพระพุทธเจ้าที่แท้ คือเห็นความเป็นพระพุทธเจ้า หรือเห็นความจริงที่ทำให้พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อเราเห็นธรรม คือเห็นความจริง ก็คือเห็นสิ่งเดียวกับที่พระพุทธเจ้าเห็น และด้วยการเห็นธรรม ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับที่พระองค์เห็น เราก็เป็นพุทธะอย่างที่พระองค์เป็น ที่นี้เมื่อเอาคำว่าธรรมกายและรูปกายเข้ามาอธิบายแบบเทียบกัน ก็ทำให้รู้สึกเป็นจริงเป็นจังยิ่งขึ้น คำว่าเห็นธรรมกายก็คือ เห็นตัวธรรมนั่นเองคำว่า " ธรรมกาย " ที่มาอีก 2 ครั้ง ในพระไตรปิฎก ก็ใช้ในความหมายอย่างนี้ แต่ไม่ได้ระบุคำว่า " รูปกาย " เข้าคู่ไว้ด้วย ครั้งแรกเป็นคำพรรณนาพระคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายว่าเป็น " พหุธมฺมกายา " คือทรงเหมือนกับเป็นพระวรกายที่ทรงไว้ซึ่งธรรมมากมายเป็นอเนก1 (ขุ.อป.32/2/20)อีกครั้งหนึ่งเป็นคำร้อยกรองแสดงประวัติของพระเถระชื่อ อัตถสันทัสสกะ เล่าถึงการที่ท่านได้เคยเฝ้าพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระในอดีต และตอนหนึ่งมีคำสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นว่า " ธมฺมกายญฺจ ทีเปนฺตํ เกวลํ รตนากรํ " ทรงสาดส่องธรรมกาย อันล้วนเป็นแหล่งแห่งรัตนะ (คือธรรมมากมาย-ไม่ใช่ " บ่อเกิดแห่งพระรัตนตรัย " อย่างที่เอกสารของวัดพระธรรมกาย ว่า) (ขุ.อป.32/139/242) คำสรรเสริญพระคุณอย่างนี้มีมากมาย และท่านกล่าวไว้ในแง่อื่นๆ ด้วยถ้อยคำพรรณนาที่หลากหลาย สมกับเป็นคัมภีร์เชิงสดุดีพระคุณ ถ้าได้อ่านคัมภีร์อปทาน 2 เล่มนี้ตลอดหรือผ่านไป ทั่วๆ ก็จะเข้าใจลักษณะคัมภีร์ และไม่มองคำว่า " ธรรมกาย " เกินเลยออกนอกความหมายที่ท่านต้องการ


จะมองดูรูปกาย ก็อาศัยเพียงตาเนื้อ แต่ต้องมีตาปัญญา จึงจะมองเห็นธรรมกาย ในคัมภีร์รุ่นรองลงมา ตั้งแต่อรรถกถา มีการใช้คำว่า "ธรรมกาย" บ่อยขึ้น เพราะมีการพรรณนาพระคุณ ของพระ พุทธเจ้าบ่อยขึ้น และจำนวนคัมภีร์ก็มากด้วย แต่ความหมายก็ชัด คือ มักใช้คู่เคียงกับคำว่า " รูปกาย " ยกตัวอย่างสักแห่งหนึ่ง โยปิ โส ภควา อสีติอนุพฺยญฺชนปฏิมณฺฑิตทฺวตฺตึสมหาปุริสลกฺขณวิจิตฺตรูปกาโย สพฺพาการปริสุทฺธสีล กฺขนฺธาทิคุณรตนสมิทฺธธมฺมกาโย (วิสุทฺธิ.2/7) แปลว่า: " พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น แม้พระองค์ใด ทรงมีพระ รูปกายอันวิจิตรด้วยมหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ อันประดับด้วยอนุพยัญชนะ 80 ทรงมีพระธรรมกายอันสำเร็จด้วยรัตนะ คือพระคุณ เช่น ศีลขันธ์ (กองศีล) อันบริสุทธิ์โดยอาการทั้งปวง" ยกตัวอย่างอีกแห่ง แต่เพราะข้อความยาวมาก ขอคัดมาแสดงเพียงบางส่วน ปาสาทิกนฺติ พตฺตึสมหาปุริสลกฺขณ . . . รูปกาย . . . ปสาทนียนฺติ ทสพลจตุเวสารชฺชฉอสาธารณ ญาณอฏฐารสอาเวณิกพุทฺธ-ธมฺมปฺปภุติอปริมาณคุณคณสมนฺนาคตาย ธมฺมกายสมฺปตฺติยา . . . ปสา ทารหํ วา. (อุ.อ.90) แปลว่า: " (พระผู้มีพระภาคเจ้า) ' ผู้น่าเลื่อมใส ' หมายความว่า ทรงนำมาซึ่งความเลื่อมใสทั่วทุกด้าน แก่ชนผู้ขวนขวายในการเห็นพระรูปกาย เพราะความสมบูรณ์ ด้วยความงามแห่งพระสรีระของพระองค์ อันประดับด้วยมหาบุรุษลักษณะ 32 อนุพยัญชนะ 80 พระรัศมีเปล่งออก 1 วาโดยรอบ และพระเกตุ มาลา น่าเลื่อมใสทั่วทุกส่วน ' ผู้เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส ' หมายความว่า เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส เหมาะที่จะพึงเลื่อมใส หรือควรแก่ความเลื่อมใสของคนผู้มีปัญญาอันสม เพราะความสมบูรณ์ด้วยพระธรรมกาย อันประกอบ ด้วยมวลแห่งพระคุณอัน ประมาณมิได้ เริ่มแต่พระทศพลญาณ เวสารัชชญาณ 4 อสาธารณญาณ 6 และพุทธธรรมที่เป็นพระคุณสมบัติเฉพาะ 18 ประการ' จากตัวอย่างเล็กน้อยนี้ ก็พอจะให้มองเห็นความหมายของคำว่า " ธรรมกาย " พร้อมทั้งความมุ่งหมาย ในการกล่าวคำนี้ในคัมภีร์ ว่ามุ่งใช้ในการพรรณนาพระคุณสมบัติต่างๆ ของพระพุทธเจ้าเป็นส่วนมาก แต่ก็เป็นพระคุณที่เราควรจะอนุวัตรตามกำลัง เพื่อให้ธรรมกาย คือ กองแห่งธรรมหรือคุณสมบัติในตัวเราเจริญงอกงามขึ้นด้วย โดยบำเพ็ญคุณสมบัติและข้อปฏิบัตินั้นๆ ขึ้นมา แต่ไม่ใช่มาปฏิบัติการอะไรอย่างหนึ่ง เป็นการเฉพาะ ที่เรียกว่าเข้าถึงธรรมกายขอประมวลไว้เป็นความรู้ประกอบว่า คำว่า " ธรรมกาย " นี้ มีมาในคัมภีร์ต่างๆ ที่เป็นภาษาบาลีเท่าที่ รวบรวมไว้ตอนนี้ ก. โดยรูปศัพท์ 43 รูป แยกเป็น

    1) มาในรูปโดดๆ เฉพาะ ธมฺมกาย-ที่แจกวิภัตติต่างๆ          14 รูปศัพท์
    2) มาในคำสมาส มีคำอื่นต่อท้าย                                     13 รูปศัพท์
    3) มาในคำสมาส มีคำอื่นนำหน้า                                  16 รูปศัพท์  

ข. โดยหลักฐานที่มา 125 แห่ง แยกเป็น

    1)มาในพระไตรปิฎก (รูปโดด 3+รูปสมาส 1)                                       4   แห่ง
     2)มาในปกรณ์พิเศษ (มิลินทปัญหา 1+เปฏโกปเทส 1+วิสุทธิมัคค์ 2)        4    แห่ง
     3)มาในอรรถกถา                                                                             43  แห่ง
     4)มาในฎีกาและอนุฎีกา                                               68  แห่ง
     5)มาในคัมภีร์รุ่นหลังนอกนี้                                        6    แห่ง

(ส่วนเอกสาร และหลักฐานนอกภาษาบาลี ไม่ต้องนำมากล่าว) ถ้าเทียบกับข้อธรรมสำคัญอย่าง ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ฯลฯ ก็นับว่า " ธรรมกาย " มาไม่มากครั้ง แต่ ถ้ามองในแง่ว่าเป็นคำที่ใช้ในความหมายพิเศษ ไม่ใช่ตัวหลักธรรม หลักฐานที่มาเพียงเท่านี้ก็ไม่น้อย และเกินพอที่จะให้เห็นความหมายได้ชัดเจน จึงมองไม่เห็นเหตุผลที่จะกล่าวว่าตกหล่นไป (ถึงจะตกหล่น ก็ไม่เป็นเหตุให้เสียความหมาย หรือกระทบอะไรต่อหลักการแม้แต่น้อย)เป็นอันว่า " ธรรมกาย " นี้เป็นคำพูดรวมๆ หมายถึงธรรมหลายๆ อย่าง ทั้งชุดทั้งหมวด (สมกับคำว่า " กาย " ที่แปลว่ากอง หรือที่รวม หรือชุมนุม) โดยเฉพาะโลกุตตรธรรมทั้งหมด คือมรรค ผล นิพพาน ทั้ง 9 คำว่า "ธรรมกาย" มีความหมายอย่างที่กล่าวมานี้ คือเดิมนั้นไม่ได้เป็นคำสำคัญในพระพุทธศาสนา แต่เป็นการกล่าวขึ้นในสถานการณ์บางอย่าง โดยเฉพาะใช้ในเชิงเปรียบเทียบ และข้อสำคัญก็คือไม่ใช่เป็นหลักธรรมอันใดอันหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นการกล่าวรวมๆ เช่นอย่าง โลกุตตรธรรม ก็หมายถึงโลกุตตร-ธรรมที่พูดแบบคลุม ๆ รวมๆ ทั้งหมดทั้งชุดอนึ่ง การเห็นธรรมกายที่ว่านี้ ท่านก็อธิบายว่าได้แก่การเห็น อริยสัจจ์ 4 นั่นเอง และท่านก็บอกไว้ด้วยว่า การเห็นธรรมกายคือเห็นอริยสัจจ์ 4 นี้ ต้องเห็นด้วยปัญญาจักษุ คือด้วยตาปัญญา เราเห็นรูปกายด้วยตาเนื้อ แต่จะเห็นธรรมกายด้วยตาปัญญา (ไม่ใช่เห็นด้วยสมาธิ ถ้าเห็นด้วยสมาธิก็จะเป็นการเห็นนิมิตอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง) สมาธินั้นเราใช้เพียงเป็นตัวช่วยทำให้จิตพร้อมที่จะทำงานในทางปัญญา ซึ่งจะทำให้มองเห็นธรรมกาย ด้วยปัญญานั่นอีกที หนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีคำว่าวิชชาธรรมกาย เพราะธรรมกายเป็นเพียงถ้อยคำอย่างที่กล่าวมาแล้ว ใช้เฉพาะในบางกรณี และใช้เชิงเปรียบเทียบ อีกทั้งเป็นคำกล่าวคลุมๆ รวมๆ ในหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนานั้น คำว่า " วิชชา " ท่านมีหลักวางไว้แล้ว ในคำวิชชา 3 ซึ่งหมาย ถึง บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ และอาสวักขยญาณ หรือวิชชา 8 ประการ ที่ขยายออกไปอีก ซึ่งก็ไม่มีคำว่าวิชชาธรรมกายนี้ หมายความว่า คำว่า " วิชชา " ของท่านมีอยู่แล้ว และวิชชาเหล่านี้ก็ยังปรากฏในคำสอนอยู่ครบถ้วน และเป็นตัวหลักที่แท้ของการที่จะให้บรรลุธรรมขั้นสูงในพระพุทธศาสนา ตลอดจนบรรลุนิพพาน ไม่มีวิชชาอะไรที่หายไป จึงไม่ต้องมีวิชชาอะไรมาเพิ่มเติมอีก จะต้องย้ำว่า " ธรรมกาย " เป็นคำพูดรวมๆ หมายถึงองค์ธรรมหลายอย่าง ประมวลเข้าด้วยกัน โดย เฉพาะมรรค ผล นิพพาน หลักธรรมสำคัญๆ เหล่านั้น มีวิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุหรือเข้าถึงชัดเจนจำเพาะอยู่แล้ว จึงไม่ต้องมีวิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงธรรมกายซ้อนขึ้นมาอีก

จะเอาธรรมกายของพระพุทธเจ้า หรือธรรมกายแบบไหน

ก็มีเสรีภาพเลือกได้ แต่ขอให้บอกไปตามตรง

เรื่องธรรมกายที่มีความหมายแตกต่างกัน เป็นเรื่องสัมพันธ์กับกาลเวลาที่ต่างยุคต่างสมัย จึงไม่มีอะไร จะสับสน เรื่องธรรม- กายในมหายานเขาก็มีชัดของเขาอยู่แล้ว และถ้าต้องการรู้ว่าต่างกับเถรวาทอย่างไรก็ไม่ต้องไปเที่ยวหาให้ยาก จะศึกษาหาอ่านเมื่อไรก็หาได้ มหายานเขาก็ยอมรับอยู่ว่า คำสอนเรื่องธรรมกายนั้นเขาพัฒนากันขึ้นมาหลังพุทธกาลหลายร้อยปี และของมหายานนั้นธรรมกายเป็นส่วนหนึ่งของหลักตรีกาย ที่ถือว่าพระพุทธเจ้าทรงมี 3 กาย คือ ธรรมกาย สัมโภคกาย และนิรมาณกาย ทางเถรวาทเรามีข้อความในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงธรรมกายอยู่บ้าง ซึ่งมีความหมายชัดเจนอยู่แล้ว ความต่างระหว่างธรรมกายที่เป็นความหมายเดิมของพระไตรปิฎกบาลี กับธรรมกายที่มหายานพัฒนาขึ้นมา ก็ศึกษากันได้ง่าย แต่เวลานี้ยังมีธรรมกายของมหายาน กับธรรมกายของวัดพระธรรมกาย ซึ่งมีความหมายไม่เหมือนกัน อันนี้จะต้องมาศึกษากันใหม่ คือกลายเป็นเรื่องว่า จะต้องศึกษาความแตกต่างระหว่างธรรมกายของมหายานซึ่งเป็นกายหนึ่งในสามของตรีกาย กับธรรมกายของวัดพระธรรมกายซึ่งทางมหายานเขายังไม่เคยได้ยิน และทางวัดพระธรรมกายเองยังไม่ได้พูดถึงอีก 2 กาย คือ สัมโภคกาย และนิรมาณกาย จึงควรแสดงเหตุผลแก่ทางฝ่ายมหายานว่า เหตุใดจึงไม่มีอีก 2 กายนั้น ส่วนทางเถรวาทนี้ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ต้องเถียงกับใคร เพราะไม่ได้ถือธรรมกายเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร ตรีกายนั้นเป็นหลักของฝ่ายมหายาน เท่าที่ทราบก็ว่าพัฒนากันขึ้นในพุทธศาสนานิกายสรวาสติวาทิน หรือสรวาสติวาทะที่ได้สูญไปแล้ว แล้วมหายานก็พัฒนาต่อมา ซึ่งเป็นเรื่องของผู้ศึกษาพุทธศาสนามหายานเอง ไม่ใช่เรื่องที่ทางเถรวาทจะไปพูดว่าอะไร เพราะปราชญ์มหายานก็ยอมรับอยู่เองว่าเรื่องตรีกายนั้นเกิดหลัง พุทธกาลตั้งหลายศตวรรษอย่างที่กล่าวแล้วว่า มหายานรับช่วงพัฒนาต่อจากนิกายสรวาสติวาทะ ซึ่งเวลานี้ว่าอย่างไร ก็หาคำอธิบายได้ไม่ยาก ต่อมาพอถึงพุทธศาสนาแบบตันตระ ธรรมกายก็มาเป็นอาทิพุทธะ คือเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต้น ซึ่งน่าสงสัยว่าจะเป็นที่มาของลัทธิต้นธาตุต้นธรรมหรือไม่ ปัจจุบันนี้ องค์ทะไลลามะนั้น ทางพุทธศาสนาแบบทิเบตถือว่าเป็นนิรมาณกายของพระโพธิสัตว์อวโลกิ เตศวร พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเองก็เป็นเรื่องสมัยหลังพุทธกาลมากมายหลายศตวรรษ เรื่องอย่างนี้นักปราชญ์ศึกษากันมาเพียงพอแล้ว เพียงแต่เรารู้ว่าเป็นคำสอนของมหายานที่เกิดขึ้นทีหลัง ส่วนในทางพุทธศาสนาเถรวาทนั้น เรามุ่งที่คำสอนเดิมแท้ของพระพุทธเจ้า คำว่าธรรมกายก็เป็นคำที่มีอยู่เดิม ทางมหายานนั่นแหละที่จะต้องมาศึกษาว่า หลักคำสอนเรื่องตรีกาย ของตนซึ่งรวมทั้งเรื่องธรรมกายนั้น ได้พัฒนาขยายความหมายขึ้นมาจากธรรมกายในพุทธศาสนาดั้งเดิมที่มีในพระไตรปิฎกบาลีของเถรวาทอย่างไร เพื่อจะหาความหมายเดิมแท้ ๆ การที่จะเอาคำสอนเรื่องธรรมกายของมหายานที่เกิดขึ้นภายหลังตั้งหลายศตวรรษ มาปะปนกับความหมายเดิมนั้นไม่ถูกต้อง มีแต่จะทำให้วุ่นวายสับสนกันใหญ่ขอย้ำว่า คำสอนธรรมกายของมหายาน กับคำสอนธรรมกายของวัดพระธรรมกายนั้น ต่างกันมากมายยิ่งกว่าธรรมกายมหายานต่างจากธรรมกายเดิมของพระพุทธเจ้า เรื่องวิชชาธรรมกายปัจจุบันของสำนักวัดพระธรรมกายนั้น ก็ควรจะกล่าวลงไปตรงๆ ไม่ต้องไปบอกว่า พระพุทธเจ้าค้นพบ หรือทรงสอนไว้แล้วหายไปจนต้องมีการค้นพบใหม่ ก็พูดไปตรงๆ ว่า อาจารย์ของสำนักท่านได้จัดวางของท่าน และได้สอนขึ้นมาในความหมายของท่าน เรื่องก็เท่านั้นเอง เพราะว่าธรรมกายที่ว่านี้ ก็ไม่ได้มีความหมายตรงกับธรรมกายเดิมในพระไตรปิฎก หรือแม้แต่ธรรมกายของมหายาน ที่เขาได้พัฒนาขึ้นมาในยุคหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปหลายร้อยปี ควรจะมีความแจ่มชัดดังที่กล่าวมาแล้ว

อายตนนิพพาน คือดับอายตนะ

"อัตตา" ไม่มีโดยปรมัตถ์ เป็นเรื่องที่ชัดเจนไปแล้ว เอกสารของวัดพระธรรมกาย เขียนว่า "ลำพังการอาศัยหลักฐานทางคัมภีร์เท่าที่มีเหลืออยู่และศึกษาคัมภีร์เพียงบางส่วนเท่านั้นแล้ว มาสรุปลงไปว่า มีลักษณะเป็นอย่างใดอย่างนั้นโดยเด็ดขาด พร้อมกับปฏิเสธทรรศนะอื่นโดยสิ้นเชิง ทั้ง ที่ยังมีประเด็นทางวิชาการที่ต้องศึกษาวิเคราะห์อย่างละเอียดรอบคอบอีกมากอย่างที่ทำอยู่นั้น เป็นสิ่ง ที่พระเถระทั้งหลายในอดีตของเราไม่ทำกัน เป็นการสรุปเกิน เป็นผลเสียต่อพระพุทธศาสนาและอาจนำ มาซึ่งความแตกแยก" ต่อมาอีกแห่งหนึ่งเขียนว่า "ในขณะที่ประเด็นปัญหาว่า นิพพานเป็นอัตตาหรือเป็นอนัตตา ในทางวิชาการยังไม่อาจสรุป ลงได้นั้น สิ่งที่ชาวพุทธพึงทราบก็คือ อายตนนิพพานนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยืนยันว่า มีอยู่จริง และทรงปฏิเสธว่าไม่ใช่สิ่งนั้น ไม่ใช่สิ่งนี้ เพราะอายตนนิพพานเป็นสิ่งที่เกินกว่าวิสัยและประสบการณ์ ในโลกของปุถุชนใดๆ จะสามารถเข้าใจได้ . . ." ข้อสังเกตเบื้องต้น ก็คือ ในตอนแรกที่พูดถึงเรื่องนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา ทั้งที่หลักฐานว่านิพพาน เป็นอนัตตา มีหลายแห่งและสอดคล้องกันทั้งหมด เอกสารของวัดพระธรรมกาย ก็พูดเฉออกไปทำนองว่าหลัก ฐานที่มีเหลืออยู่เท่านี้ไม่เพียงพอ อ้างว่าเป็นข้อสรุปทางวิชาการ ซึ่งยังสรุปไม่ได้ และยังอ้างว่าพระเถระในอดีตก็ไม่วินิจฉัยอีกด้วย แต่ตอนหลัง พอพูดเรื่องอายตนนิพพาน ทั้งที่หลักฐานที่จะอ้างในพระไตรปิฎกมีแห่งเดียว กลับยกเป็น ข้อยืนยันเต็มที่เรื่อง " นิพพานเป็นอนัตตา " หลักฐานว่าอย่างไรและสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือไม่ ก็ได้ยกตัวอย่างมาแสดงเพียงพอแล้ว " นิพพานเป็นอนัตตา " เป็นเรื่องของหลักฐานแสดงหลักการของพระธรรมวินัย และหลักฐานนั้นชัดเจน ไม่ใช่เรื่องทัศนะความคิดเห็น และไม่เป็นเพียงข้อสรุปทางวิชาการ เรื่องนี้ชัดเจนแล้ว ไม่ควรอ้างเรื่องทัศนะความ คิดเห็นและข้อถกเถียงทางวิชาการขึ้นมาอีก " นิพพานเป็นอนัตตา " เป็นเรื่องของหลักการที่แน่นอนของพระพุทธศาสนา พระเถระในอดีตถือเป็น เรื่องสำคัญยิ่งที่จะไม่ให้เกิดการสอนผิดพลาด และไม่ให้เกิดการนำลัทธิแปลกปลอมเข้ามาปน ท่านจึงเอาจริงเอาจังในการชำระสะสาง ดังกรณีสังคายนาครั้งที่ 3 ที่ได้เล่าไปแล้ว เอกสารของวัดพระธรรมกายที่ว่า " พระเถระทั้งหลายในอดีตของเราไม่ทำกัน " นั้น เป็นการกล่าวตรงข้ามกับความเป็นจริง จะกลายเป็นการกล่าวตู่พระเถระในอดีตเหล่านั้น เรื่อง " พระพุทธศาสนาไม่ยอมรับอัตตาโดยปรมัตถ์ โดยประการทั้งปวง " เป็นเรื่องของหลักการสำคัญ ซึ่งเมื่อมีปัญหา ท่านก็ได้ยกขึ้นมาพิจารณาและชำระสะสางเสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้ายังมีพระไตรปิฎกหรือคัมภีร์ มหายานฉบับใด หรือนิกายใดว่าอย่างอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาอ้างให้สับสนปะปน ทำนองเดียวกับเรื่องสวรรค์แดนสุขาวดีของพระอมิตาภะ ทางพุทธศาสนานิกายชินของญี่ปุ่นว่ามี ก็เป็นเรื่องของนิกายชินนั้น ไม่จำเป็นที่พุทธศาสนาเถรวาทจะต้องมีสวรรค์สุขาวดี หรือแม้แต่พระอมิตาภะนั้นไปด้วย วิธีพูดเพื่อแสดงหลักการก็มีอยู่แล้ว คือ อ้างให้ชัดลงไปว่า คัมภีร์ของนิกายนั้น หรือคำสอนของนิกายนั้นว่าอย่างนั้น จะได้รู้ความแตกต่างกัน ไม่ต้องเอามาปะปนกัน (ที่จริงนั้น คำสอนของพุทธศาสนามหายานทั่วไป ก็ไม่ปรากฏว่าจะสอนให้นิพพานเป็นอัตตาหรือ อาตมันแต่ประการใด ถ้ามีมหายานนิกายย่อยใดสอนอย่างนั้น ทางวัดพระธรรมกายก็ควรยกขึ้นมาแสดงให้ ปรากฏ มหายานนิกายอื่นๆ จะได้แสดงเหตุผลข้อโต้แย้งบ้าง) เรื่อง " มติของพระพุทธศาสนาที่แท้ว่า อัตตามีเพียงโดย สมมติ ไม่มีจริงโดยปรมัตถ์ " นั้น เมื่อมองดู ข้อสรุปของนักวิชาการทางตะวันตก แม้ว่าข้อสรุปนั้นจะไม่มีความสำคัญที่จะมาวินิจฉัยหลักการของพระพุทธศาสนาได้ แต่ก็น่าอนุโมทนาว่า เวลานี้นักวิชาการตะวันตกรุ่นใหม่ๆ ได้เริ่มมีความเข้าใจถูกต้องตรงตามหลักการนี้ ดัง Professor Richard Gombrich นายกสมาคมบาลีปกรณ์แห่งอังกฤษ คนปัจจุบัน ได้เขียนหนังสือแสดงไว้ (ไม่ตรงกับที่ เอกสารของวัดพระธรรมกายอ้าง) " มติของพระพุทธศาสนาที่แท้ว่า อัตตามีเพียงโดยสมมติ ไม่มีจริงโดยปรมัตถ์ และนิพพานก็รวมอยู่ใน ธรรมที่เป็นอนัตตา " นั้น พระไตรปิฎกและอรรถกถากล่าวระบุไว้ชัดเจนแล้ว การมีหลักฐานแสดงหลักการ สำคัญๆ ของพระศาสนาไว้เป็นการแน่นอนนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่พุทธบริษัทจะได้ใช้เป็นมาตรฐานวัดการศึกษาและการปฏิบัติของตน ทำให้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และไม่เกิดความแตกแยก แต่ตรงข้าม ถ้าไม่มีหลักการที่ชัดเจนแน่นอน หรือมีแล้ว แต่ไม่ปฏิบัติต่อหลักการนั้นด้วยความซื่อตรง จึงจะทำให้เกิดความแตกแยกในเรื่องหลักฐานที่แสดงหลักการนั้น แท้ที่จริง ถึงจะมีระบุแน่นอนแห่งเดียว เมื่อสอดคล้องกับคำสอนและหลักการโดยรวม ก็เพียงพอ แต่ที่ตั้งข้อสังเกตในที่นี้ก็เพราะว่า เอกสารของวัดพระธรรมกาย นั้น แสดงท่าทีที่ไม่สม่ำเสมอ


"อายตนนิพพาน" ไม่มีโดยบาลีนิยมก็ชัดเจนเช่นกัน เรื่อง "อายตนนิพพาน" นั้น ถ้าเป็นจริงตามหลักฐานที่อ้างก็ไม่มีปัญหา แต่เรื่องไม่เป็นเช่นนั้น เพราะถ้า สังเกตดูจะเห็นว่า ทั้งเอกสารของวัดพระธรรมกาย และพฤติการณ์ต่างๆ มุ่งจะให้ประชาชนเข้าใจไปว่า มีนิพพานอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า "อายตนนิพพาน" ซึ่งมีลักษณะเป็นสถานที่ หรือเป็นดินแดน ว่าที่จริง ในพุทธพจน์ที่ยกมาอ้างนั้น (และไม่ว่าในที่ไหนๆ รวมทั้งคัมภีร์อื่นๆ ที่รองลงมาจากพระไตร ปิฎก) ไม่มีคำว่า "อายตนนิพพาน" อยู่เลย เพียงแต่ว่า ในพระสูตรที่อ้างนั้น (ปฐมนิพพานสูตร, ขุ.อุ.25/158/206 ) พระพุทธเจ้าทรงนำคำว่า "อายตนะ" มาใช้อธิบายหรือบรรยายลักษณะของภาวะดับทุกข์ที่เรียกว่า "นิพพาน" ว่า นิพพานนั้นเป็นอายตนะที่ไม่มีดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นต้น ตามบาลีที่ว่า "อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตนํ ยตฺถ เนว ปฐวี น อาโป น เตโช น วาโย น อากาสานญฺจายตนํ น วิญฺญาณญฺ จายตนํ น อากิญฺจญฺญายตนํ น เนวสญฺญานาสญฺญายตนํ นายํ โลโก น ปรโลโก น อุโภ จนฺทิมสุริยา ตมหํ ภิกฺข เว เนว อาคตึ วทามิ น คตึ น ฐิตึ น จุตึ น อุปปตฺตึ อปฺปติฏฺฐํ อปฺปวตฺตํ อนารมฺมณเมว ตํ เอเสวนฺโต ทุกฺขสฺส ฯ (ขุ.อุ.25/158/206) แปลว่า: "ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อา กิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวอายตนะนั้นว่าเป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์" คำว่า " อายตนะ " นั้น แปลว่า แหล่ง แดน บ่อเกิด ขุม ที่เกิด ที่ต่อ ที่บรรจบ ที่ชุมนุม ที่อยู่ เหตุ เป็นถ้อย คำสามัญที่ชาวบ้านเขาใช้กัน เช่น สุวัณณายตนะ แปลว่า บ่อทอง อรัญญายตนะ แปลว่า แดนป่า เทวายตนะ แปลว่า ถิ่นเทวดา หรือในข้อความเช่นว่า แคว้นกัมโพชเป็นแหล่งม้า ทักษิณาบถเป็นแหล่งโค เป็นต้น ซึ่งเป็นความหมายทางรูปธรรมมื่อนำมาใช้ในทางธรรม คำว่า " อายตนะ " ก็จะมีความ หมายเชิงนามธรรม โดยเฉพาะที่คุ้นเคยพบกันบ่อย ก็คือ แดนรับรู้ หรือที่มาบรรจบกันของอินทรีย์ (เช่น ตา) กับอารมณ์ (เช่น รูป) และวิญญาณ (เช่นจักขุวิญญาณ) ทำให้เกิดการรับรู้ขึ้น ซึ่งแยกเป็นอายตนะภายใน 6 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะภายนอก 6 ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัสกาย และธรรมารมณ์ หรือสิ่งรับรู้ทางใจเรื่องนี้ก็ทำนองเดียวกับคำว่า " นิพพาน " เอง ซึ่งเป็นคำที่ชาวบ้านใช้กันในความหมายสามัญเชิงรูปธรรม แปลว่าการดับ เช่น " อัคคินิพพาน " คือดับไฟ หายร้อน อย่างสิ่งที่ถูกเผามา เมื่อดับไฟแล้วเย็นลง แต่เมื่อนำมาใช้ในทางธรรม ก็มีความหมายพิเศษเชิงนามธรรม หมายถึงการดับกิเลส ดับทุกข์ โดยดับเพลิงกิเลส หรือดับไฟโลภะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ไฟทุกข์ ไฟโศก หมดความเร่าร้อน สงบเย็น สำหรับพระสูตรนี้ ท่านอธิบายด้วยความหมายทางธรรม ตรงกับที่เราคุ้นๆ กันอย่างข้างต้น คืออธิบาย โดยเทียบกับความหมายของอายตนะ คือ อายตนะภายใน กับอายตนะภายนอกว่า เหมือนกับที่รูปเป็นแดนรับรู้ คือเป็นอารมณ์ของจักขุุวิญญาณ นิพพานก็เป็นแดนรับรู้ เพราะเป็นปัจจัยโดยเป็นอารมณ์แก่มรรคญาณ คือปัญญาที่ทำให้ทำลายกิเลสได้ และผลญาณ คือปัญญาที่รู้ภาวะหมดสิ้นกิเลสและกองทุกข์เป็นต้น (พึงสังเกตว่า นิพพานไม่มีอารมณ์ แต่นิพพานเป็นอารมณ์ได้) ดังอรรถาธิบายว่า " ตทายตนนฺติ ตํ การณํ, ทกาโร ปทสนฺธิกโร. นิพฺพานํ หิ มคฺคผลญาณาทีนํ อารมฺมณปจฺจยภาวโต รูปา ทีนิ วิย จกฺขุวิญญาณาทีนํ อารมฺมณปจฺจยภูตานีติ การณฏฺเฐน " อายตนนฺติ วุจฺจติ." (อุ.อ.417) แปลว่า: " บทว่า 'ตทายตนํ' ได้แก่ เหตุนั้น, ท อักษรเป็นตัวเชื่อมคำ. จริงอยู่ พระนิพพานตรัสเรียกว่า ' อายตนะ' เพราะอรรถว่าเป็นเหตุ โดยเป็นอารัมมณปัจจัยแก่มรรคญาณและผลญาณเป็นต้น เหมือนรูปารมณ์ เป็นต้น เป็นอารัมมณปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ เป็นต้น "คำอธิบายของท่านให้ความหมายชัดเจนอยู่แล้ว ซึ่งเป็นการบอกไปด้วยในตัวว่า ไม่ให้แปลความหมาย " อายตนะ " เป็นแดนทางรูปธรรม คือ เป็นสถานที่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนั้น พุทธพจน์ที่ตรัสต่อไปว่า ไม่มีดิน น้ำ ลม ไฟ ฯลฯ จนถึงว่าไม่ใช่พระจันทร์ พระอาทิตย์ ก็เป็นการบ่งบอกว่าไม่ให้เข้าใจเอานิพพานเป็นดินแดนหรือสถานที่ใด และอรรถกถาก็อธิบายย้ำเข้าไปอีกว่า ที่ตรัสตั้งแต่ไม่มีดิน น้ำ เป็นต้น ไปจนถึงไม่มีอากาสานัญจายตนะ เป็นต้น ก็เป็นการแสดงว่า ไม่ใช่เป็นภพไหนๆ รวมทั้งอรูปภพ และยังตรัสต่อไปว่า ไม่มีการไป การมา จุติ อุบัติ ฯลฯ ซึ่งเป็นคำปฏิเสธเรื่องสถานที่ โลก หรือภพ ทุกอย่าง ทั้งนั้นแต่ทั้งที่พระพุทธเจ้าและพระสาวก พยายามอธิบายปฏิเสธเรื่องดินแดนสถานที่ทั้งหลายทั้งปวงอย่างนี้ ทางสำนักวัดพระธรรมกาย ก็ตีความให้มีสถานที่และดินแดนที่เลยจากนี้ขึ้นไปให้ได้ พระพุทธเจ้าทรงมุ่งให้รู้ว่า นิพพานเป็นภาวะที่ไม่ใช่ ภพ สถาน ดินแดนใดๆ แต่วัดพระธรรมกายก็จะตีความให้นิพพานเป็นดินแดนสูงขึ้นไปอีก เอาคำของท่านมาใช้ แต่มาดัดแปลงความหมายเอาตามที่ตนต้องการความจริง คำว่า " อายตนะ " ที่ใช้ในคำว่า " ตทายตนะ " อย่างในพระสูตรนี้ พระพุทธเจ้าทรงใช้ในที่อื่นๆ ในการอธิบายเรื่องอื่นๆ อีกหลายแห่ง เช่น ใช้อธิบาย วิโมกข์ต่างๆ ซึ่งเป็นภาวะจิตแห่งฌานทั้งหลาย และพระเถรีธรรมทินนาก็ได้ใช้คำนี้ทำนองนั้น (ม.มู. 12/511/554; ม.อุ. 14/628/404) และที่พระอานนท์ยกพุทธพจน์มาอธิบายการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงอรหัตตผลสมาธิ ที่ในกระบวนการปฏิบัติ ตลอดอรูปฌาน 3 ขั้นต้น ไม่มีการเสวยอายตนะ มีรูปเป็นต้น (องฺ.นวก.23/241/445) และอธิบายเรื่องกายสักขีโดยเรียกอนุปุพพวิหารทั้ง 9 ว่าเป็นอายตนะ (องฺ.นวก.23/247/473)


อายตนนิพพาน ไม่มี แต่แปลให้ดีก็ได้ความหมาย นิพพานายตนะ ถึงจะใช้เป็นศัพท์ได้ แต่ไม่ให้ความหมายที่ดี ได้กล่าวแล้วว่า คำว่า " อายตนนิพพาน " นั้น ไม่มีในพระพุทธศาสนามาก่อน ท่านผู้ใช้คงจะมุ่งให้แปล ว่า " แดนนิพพาน " แต่คำว่า อายตนนิพพาน ไม่ช่วยให้ได้ความหมายที่ประสงค์ เพราะกลายเป็นมีความหมายว่า " ดับอายตนะ " ถ้าจะให้นิพพานเป็นดินแดนจริงๆ ก็ควรจะประกอบศัพท์ใหม่ให้ถูกต้องตามหลักภาษา จึงจะได้คำแปล ที่ต้องการ คือ นิพพาน+อายตนะ เป็น " นิพพานายตนะ " แปลว่า แดนนิพพาน เมื่อประกอบศัพท์ถูกต้องตรงตามหลักภาษาบาลีแล้ว ก็จะมีคำเทียบไว้ยืนยันมากมาย ดังเช่น เทวายตนะ = ถิ่นแดนเทวดา อิสสรายตนะ = ถิ่นแห่งอิสรชน อรัญญายตนะ = แดนป่า เป็นต้น สูงขึ้นไปในการปฏิบัติทางจิตก็มีคำเทียบ เป็นฌานระดับสูงสุดเลยทีเดียว ได้แก่ อรูปฌาน 4 คือ อากาสานัญจายตนะ (อากาสานัญจ+อายตนะ) = แดนอวกาศอันอนันต์, วิญญาณัญจายตนะ (วิญญาณัญจ+ อายตนะ) = แดนวิญญาณอันอนันต์, อากิญจัญญายตนะ (อากิญจัญญ+อายตนะ) = แดนแห่งภาวะที่ไม่มีอะไรเลย, และเนว-สัญญานาสัญญายตนะ (เนวสัญญานาสัญญา+อายตนะ) = แดนแห่งฌานที่มีสัญญาก็ไม่ใช่ไม่มี สัญญาก็ไม่ใช่ แล้วนิพพานก็จะมาต่อยอดสมาบัติที่สูงสุดนี้ ดูจะเข้าชุดกัน แต่ก็เห็นอยู่ว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงปฏิเสธไว้แล้วในพระสูตรที่อ้างนั้นเอง ฉะนั้นจะใช้ " นิพพานายตนะ " ก็ไม่ถูกต้อง รูปศัพท์จะชวนให้ตีความไขว้เขวออกไปจากหลักพระพุทธศาสนาสำหรับ " อายตนนิพพาน " นั้น ถึงจะหักแปลให้เป็นว่า นิพพานที่เป็นอายตนะ ภาษาก็ไม่ให้ และจะกลายเป็นว่าต้องมีนิพพานที่ไม่เป็นอายตนะมาเข้าคู่ ถ้าจะใช้อายตนนิพพาน กันจริงๆ ก็ต้องใช้ในความหมายที่ถูกต้องตามศัพท์ว่า " ดับอายตนะ " จึงจะ สอดคล้องกับหลักพระพุทธศาสนา ซึ่งก็จะมีความหมายที่ดีว่า อายตนะต่างๆ ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ดับเย็น ไม่เร่าร้อน ไม่ลุกเป็นไฟ ไม่เผาลน ถ้าใช้ในความหมายอย่างนี้ ก็จะเข้ากับพุทธพจน์ใน อาทิตตปริยายสูตร (วินย.4/55/63; สํ.สฬ.18/31/23) ที่ตรัสสอนเหล่าชฎิล ผู้เป็นนักบวชบูชาไฟว่า อายตนะทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ลุกเป็นไฟ ร้อนไปหมดแล้ว คือ เร่าร้อนด้วยไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ และไฟแห่งความทุกข์ในรูปลักษณ์ต่างๆ เมื่อเกิดปัญญามองเห็นความจริงแล้วก็จะดับไฟเหล่านั้นได้ หายเร่าร้อน หายร้อนรน ก็จะมาเข้าสู่่ความหมายที่ว่า อายตนะเหล่านี้ คือ ตา หู . . . จิตใจ สงบเย็นลง อย่างนี้ก็พอจะนำคำว่าอายตนนิพพานมาใช้ได้อายตนนิพพาน ที่แปลว่า ดับอายตนะนี้ จะมีศัพท์เทียบเข้าชุดกันได้ และเป็นคำสำคัญมากด้วย คือ กิเลสนิพพาน (ดับกิเลส) ขันธนิพพาน (ดับขันธ์) โดยเฉพาะขันธ์กับอายตนะ เป็นศัพท์ธรรมประเภทเดียวกัน มักมาตามกันอยู่แล้วด้วย ก็จะมีขันธนิพพาน (ดับขันธ์) ต่อด้วยอายตนนิพพาน (ดับอายตนะ) อย่างไรก็ตาม ทั้งคำว่า " อายตนนิพพาน " ก็ดี " นิพพานายตนะ " ก็ดี ก็ไม่มีมาก่อนในพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุด ถ้าเห็นแก่พระธรรมวินัย ไม่ประสงค์จะทำให้กระทบกระเทือนต่อหลักการของพระพุทธศาสนา และเป็นความตรงไปตรงมา เมื่อจะใช้คำว่า " อายตนนิพพาน " และให้มีความหมายตามประสงค์ ก็สอนให้ชัดเจนตรงตามที่เป็นจริงว่า คำนี้ท่านพระอาจารย์ผู้นั้นๆ ได้นำมาใช้ให้มีความหมายดังนี้ๆ ตามหลักการที่ท่านได้จัดวางขึ้นใหม่ ก็จะเป็นการรักษาผลประโยชน์ทางปัญญาของประชาชน มิให้เกิดความสับสน และไม่เสียหาย แต่ถ้าจะให้ถูกต้องแท้จริง เมื่อเป็นพระภิกษุก็ต้องสอนให้ตรงตามพระธรรมวินัย

อายตนนิพพานแท้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ดังได้กล่าวแล้วว่า คำว่า " อายตนนิพพาน " ไม่เคยมีในพระพุทธศาสนามาก่อน อย่างไรก็ตาม ถ้าจะใช้ คำนี้ให้ได้ ก็ไม่ใช่แปลว่าแดนนิพพาน หรือนิพพานที่เป็นคล้ายดินแดน แต่แปลว่า " ความดับเย็นแห่งอายตนะ " ดังกล่าวแล้วข้างต้น ซึ่งทั้งได้ความหมายที่ถูกต้องตามหลักภาษา และสอดคล้องกับหลักการของพระพุทธศาสนาอายตนนิพพานตามหลักภาษา และในความหมายที่ถูกต้องอย่างนี้ เป็นภาวะที่ชีวิตและสังคมขณะนี้กำลังต้องการอย่างยิ่งคนจำนวนมากมีอายตนะ ตั้งแต่ ตา หู จนถึงใจ ที่เร่าร้อน ถูกรุนเร้าด้วยเพลิงราคะหรือไฟโลภะ ซึ่งทำให้ร่านรนจ้องมองหาแต่สิ่งเสพบำรุงบำเรอตน มุ่งแต่จะแสวงหาผลประโยชน์มาสนองความเห็นแก่ตัว หาทางเอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์คนมีอายตนะ ตา หู ฯลฯ ใจ ที่เร่าร้อนด้วยไฟโทสะ เพราะถูกขัดผลประโยชน์เป็นต้น แล้วขัดเคืองแค้นใจ ทำให้คิด ประทุษร้ายผู้อื่น หาทางขัดขวางและใช้พลังอำนาจมาทำลายล้างซึ่งกันและกันคนมี ตา หู จนถึง ใจ ที่เร่าร้อนด้วยไฟโมหะ ถูกกดดันครอบงำด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจและไม่รู้จักแสวงปัญญา ทำให้ต้องหาสิ่งปลอบประโลมกล่อมใจ ตลอดจนมอมเมาหลอกตัวเอง และหลอกกันเอง เพื่อช่วยให้เพลิดเพลิน หลบทุกข์ ลืมปัญหา หรืออยู่่ด้วยความหวัง รอคอยผลดลบันดาลจากอำนาจยิ่งใหญ่หรือสิ่งลึกลับภายนอก ถ้าอายตนะ คือ ตา หู จนถึง จิตใจ ทั้งหมดนี้ ดับเย็นสงบลงได้ ไม่ถูกเปลวและควันแห่งไฟโลภะ โทสะ โมหะ เผาลนให้เร่าร้อนและกลุ้มรุมบดบังให้พร่ามัว ก็จะแจ่มใส สามารถใช้ปัญญาพิจารณาแก้ปัญหา และมองเห็นว่าอะไรเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ที่แท้จริง แล้วทำการสร้างสรรค์ให้สำเร็จได้อย่างถูกต้อง อายตนะที่บริสุทธิ์แจ่มใส สงบเย็นจากไฟกิเลสและเพลิงทุกข์นั้น ก็จะมองดูเพื่อนร่วมโลก ด้วยความรู้ ความเข้าใจ มองเห็นสุขทุกข์ของเขา ทำให้เกิดเมตตากรุณาที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เป็นทางที่จะนำโลกนี้ไปสู่สันติสุข ถ้าปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ให้อายตนะทั้งหลาย โดยเฉพาะใจ สงบเย็นจากไฟราคะ/โลภะ โทสะ และ โมหะ ได้อย่างนี้ จึงจะเข้าถึงอายตนะที่เป็นนิพพานได้ อายตนนิพพานชนิดเป็นแดน ที่ตัวตนของเราไปพบไปเฝ้าตัวตนของพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีในพระพุทธ ศาสนาอย่างแน่นอน แต่ถ้าเป็นอายตนนิพพาน ที่เป็นภาวะดับเย็นของอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่พ้นจากความ เผาลนของไฟราคะ/โลภะ โทสะ และโมหะแล้ว สว่างผ่องใสด้วยปัญญา และแผ่รังสีแห่งเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ ก็เป็นอายตนนิพพานแท้ที่นี่ เดี๋ยวนี้ และอย่างนี้จึงจะเป็นนิพพานของพระพุทธเจ้า


ใจหมดโลภโกรธหลง สว่างโล่งสดใส เมื่อไร ก็ได้เห็นนิพพานของพระพุทธเจ้า เมื่อนั้นทันที อายตนะเป็นเพียงคำหนึ่งในบรรดาคำมากหลายที่ทรงใช้อธิบายความหมายของนิพพาน ไม่ใช่มี นิพพานอย่างหนึ่งที่เรียกว่า " อายตนนิพพาน " คำสำคัญที่มิใช่เพียงใช้อธิบายนิพพาน แต่เป็นไวพจน์ คือใช้แทนกันได้กับนิพพานเลยทีเดียว ก็เช่น วิมุตติ วิสุทธิ สันติ อสังขตะ (ไม่ปรุงแต่ง) อนาทาน (ไม่ยึด) อนาลัย (ไม่ติด) อิสสริยะ (อิสรภาพ) อโสก (ภาวะไร้โศก) อาโรคยะ (ภาวะไม่มีโรคทางจิตใจ) นิโรธ (ภาวะที่ไม่มีทุกข์เกิดขึ้น) เขมะ (ความเกษม) ปรมัตถ์ (ประโยชน์หรือจุดหมายสูงสุด) เป็นต้น และคำที่ใช้เชิงอธิบาย ที่สำคัญ ก็เช่น ตัณหักขยะ (ภาวะสิ้นตัณหา) ภวนิโรธ (ความดับภพ) โดยเฉพาะคำที่ใช้พิจารณาตรวจสอบวัดผลการปฏิบัติของตนที่ชัดเจน คือ ราคักขยะ โทสักขยะ โมหักขยะ (ภาวะสิ้นราคะ โทสะ โมหะ) ดังพุทธพจน์ตรัสแสดงวิธีตรวจสอบในใจของตนเอง ที่เคยยกมาอ้างแล้วข้างต้น (หน้า 72) อย่างน้อยควรจะรู้ตระหนักว่า นิพพานไม่ใช่มีไว้สำหรับไปดูไปเห็นไปชม หรือไปพบกับใครๆ แต่มีไว้ สำหรับทำให้ประจักษ์แจ้งเป็นจริงกับตัวในภาวะหมดกิเลสหมดทุกข์ ถ้าจะไปนิพพาน ก็ไม่ใช่เข้าสมาธิเหาะไป แต่ไปกับความก้าวหน้าในการปฏิบัติที่จะทำให้โลภะ โทสะ โมหะ ลดน้อยหมดสิ้น เพราะฉะนั้นจึงต้องตรวจสอบตนเองว่า เมื่อปฏิบัติไปๆ ความโลภ ความโกรธ ความหลงในใจของเรา ลดน้อยลงหรือไม่ ถ้ากิเลสเหล่านี้ และความขุ่นมัวเศร้าหมองความทุกข์ไม่ลดหายไป ไม่ว่าจะเห็นอะไร ที่ดีเลิศวิเศษแค่ไหน ก็ไม่ใช่การปฏิบัติของพระพุทธเจ้า แต่เป็นการห่างออกไปจากนิพพาน เป็นการไถลหลงออกนอกทางถ้าจะพูดว่าเห็นนิพพาน ก็ไม่ใช่เห็นสถานที่หรือแดนวิเศษอัศจรรย์อะไรทั้งสิ้น แต่เป็นการเห็นความเบาบางจางหายจนหมดไปของโลภะ โทสะ โมหะ ในใจของตนเอง เห็นความบริสุทธิ์หมดจดปราศจากความขุ่นมัวเศร้าหมอง ปลอดพ้นความโศก ความทุกข์และความยึดติดถือมั่นทั้งหลาย โดยสรุป การเห็นนิพพาน มีจุดตรวจสอบที่สำคัญ คือ 1. รับรู้รูปเสียงหรืออารมณ์ใดๆ ก็มีจิตบริสุทธิ์เห็นภาวะที่ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ ในใจของตน ไม่ใช่เห็น บุคคล สถานที่ รูปภาพ หรือองค์อะไรที่ดีวิเศษ 2. เป็นการเห็นด้วยปัญญา ไม่ใช่เห็นด้วยจิตสมาธิ 3. ถึงภาวะหลุดพ้น โปร่งโล่งเป็นอิสระ ไม่ใช่จมอยู่แค่ความปลาบปลื้มดื่มด่ำติดใจ จะต้องย้ำเตือนกันอย่างยิ่ง ให้มั่นอยู่ในหลักตรวจสอบของพระพุทธเจ้าข้อนี้ คือ การมองในจิตใจของ ตนเองว่า มีโลภะ โทสะ โมหะ เบาบางลงหรือไม่ อยู่กับความเป็นจริงและปฏิบัติต่อประสบการณ์และสถาน การณ์ต่างๆ ด้วยปัญญาได้ดีขึ้นหรือไม่ หายทุกข์โศก และมีความสุขอย่างเป็นอิสระเบิกบานโดยไม่ต้องอาศัยสิ่งปลอบประโลมกล่อมใจหรือพึ่งพาความหวังหรือไม่ ลึกๆ ในใจตรวจดูแล้วมีความมั่นคงสดใสอย่างไม่ต้องพึ่งพา และพร้อมที่จะเป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่นหรือไม่ ถ้ายัง ก็พึงปฏิบัติในหนทางที่จะให้เป็นอย่างนี้ โดยไม่ต้องห่วงเรื่องการที่จะได้เห็นสิ่งวิเศษใดๆ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนพุทธบริษัทให้ไปตามหาตามดูนิพพานที่ไหน นอกจากนิพพานที่เป็นความสงบระงับกิเลส ไถ่ถอนทุกข์โศกภายใน และทำจิตใจของตนเองให้บริสุทธิ์สะอาดเป็นอิสระอย่าว่าถึงจะไปดูนิพพานเลย แม้แต่สวรรค์ที่ว่ามีความสุขพรั่งพร้อม ก็ไม่ทรงสอนให้วุ่นวายกับการที่จะไปดูไปเห็น ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า เมื่อเราปฏิบัติ ดำเนินชีวิต พัฒนาตนถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ก็เป็นผลดีที่เกิดขึ้นเองตามเหตุปัจจัย