ลุงขาวไขอาชีพ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

บทความนี้ต้องการ ตรวจสอบ ปรับปรุง แก้ไขรูปแบบหรือภาษา ในหลายส่วนด้วยกัน
คุณสามารถช่วยตรวจสอบ และแก้ไขบทความนี้ได้ด้วยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน
กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไข
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วิธีการแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือการเขียน และ นโยบายวิกิพีเดีย และเมื่อแก้ไขตามนโยบายแล้ว สามารถนำป้ายนี้ออกได้

"นายวราพงษ์ พงษ์บริบูรณ์” หรือคนทั่วไปรู้จักกันในนาม”ลุงขาวไขอาชีพ” สมรสกับ คุณบุญเรือน (ขาวละออ) พงษ์บริบูรณ์ บุตรสาว หมอหลง ขาวละออ (บ.ภ., บ.ว.)ผู้ก่อตั้ง ขาวลออโอสถ ลุงขาวได้ขยายตลาดไปต่างจังหวัดทั่วประเทศ ด้วยวิธีการที่ได้ผลดีในสมัยนั้น คือการฉายหนังพร้อมโฆษณาขายยา ซึ่งในชนบทนั้น เวลาค่ำคืนคนว่างจากไร่นา ก็จะมาดูกันทั้งหมู่บ้าน ยาที่มีชื่อเสียงของ”ขาวลออโอสถ” ในสมัยนั้น เป็นยาถ่ายพยาธิ ซึ่งหมอหลงได้คิดค้นเป็นคนแรกของไทย ทำจากแก่นมะหาดสกัดออกมาทำเป็นยาฆ่าพยาธิตัวตืด ซึ่งยาเกี่ยวกับพยาธิของฝรั่งไม่มี เพราะเขาเป็นเมืองหนาวส่วนพยาธิเกิดในเมืองร้อน สำหรับปัจจุบันนี้ ขาวลออโอสถ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ขาวละออเภสัช

ในเวลากลางวัน "ลุงขาว" ใช้เวลาเดินทาง ตอนกลางคืนตั้งเครื่องและจอฉายหนัง ลุงขาวเห็นว่าในตอนกลางวันชาวบ้าน เมื่อว่างเว้นจากการทำนา-ทำไร่ ก็จะจับกลุ่มกันเล่นการพนัน ชกมวย กัดปลา ตีไก่ คือไม่ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ เมื่อถามว่า ทำไมไม่ทำการเกษตรอื่น หรีอทำการค้าเล็กๆน้อยๆ ไม่ให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ชาวบ้านตอบว่า ไม่รู้จะทำอะไร ที่นี่แห้งแล้ง ไม่มีน้ำเพียงพอ จะประกอบอาชีพอื่นก็ไม่รู้จะทำอะไร

แต่ก่อนนั้น การเก็บกักน้ำก็ต้องใช้ตุ่มซีเมนต์ หรือหากมีอันจะกินก็เป็น โอ่งเคลือบ หรือโอ่งมังกร การทำตุ่มซีเมนต์นั้นก็ยากแล้ว เพราะต้องมีแบบไม้หลายๆชิ้น เมื่อเรียงต่อกันตามแบบแล้วก็จะมีรูปร่างเหมือนตุ่ม เมื่อเอาน้ำมันเครื่องหรือจาระบีทา แล้วพอกซีเมนต์ภายนอกให้มีความหนาตามต้องการ เมื่อซีเมนต์แห้งก็แกะแบบไม้ออก ก็จะได้ตุ่มขึ้นมา 1 ใบ แต่ที่ยากกว่านั้นก็คือการขนส่ง เมื่อเดินทางโขยกเขยกผ่านทุ่งผ่านป่าก็จะแตก จึงเห็นได้ว่าตุ่มมีราคาสูงเพราะการผลิต การเดินทาง และแตกเสียหาย ทำให้ชาวบ้านมีน้ำไม่ทั่วถึง

การทำตุ่มโดยใช้แบบไม้ ทำยาก ค่าแบบแพง จึงมีแบบน้อย และความที่หนักจึงย้ายไปทำที่อื่นยาก วันหนึ่ง"ลุงขาว"ได้เห็นการทำตุ่มวิธีใหม่ ซึ่งใช้วิธีเย็บกระสอบให้เป็นรูปตุ่ม เอารูปตุ่มนี้วางบนแผ่นซีเมนต์กลมๆก้นตุ่มซึ่งได้จัดเตรียมไว้แล้ว เอาแกลบใส่ลงไปให้เต็ม ก็จะเป็นรูปตุ่ม หลังจากนั้นทากระสอบภายนอกด้วยจาระบี เอาซีเมนต์พอก พอแห้งก็เอาแกลบออก ก็จะได้ตุ่มขึ้นมา 1 ใบ วิธีนี้ทำให้สามารถมีแบบตุ่มจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็วและไม่แพง แต่ที่สำคัญที่สุดคือไม่ต้องเคลื่อนย้ายตุ่ม แต่เคลื่อนย้ายซีเมนต์แทน ทำให้ราคาถูกลงมาก และชาวบ้านสามารถทำโอ่งใหญ่ขนาดไหนก็ได้ เพราะไม่ต้องเคลื่อนย้าย แต่ทำอยู่กับที่เลย

"ลุงขาว" ช่วยชาวบ้านแก้ปัญหาเรื่องน้ำให้มีน้ำใช้นอกหน้าฝน แต่ถึงกระนั้นชาวบ้านก็ยังไม่รู้ว่าจะทำมาหากินอะไรนอกหน้านา คนต่างจังหวัดมักถูกเย้ยหยันว่า เกียจคร้าน มีความประพฤติไม่ดี และด้อยปัญญา แต่"ลุงขาว"กลับมองว่าเขาเหล่านั้นไม่มีช่องทางอะไรที่จะประกอบอาชีพ ทำนองกับคำพูดปัจจุบันว่า โง่-จน-เจ็บ "ลุงขาว"จึงเริ่มมองว่าระหว่างเดินทางจากหมู่บ้านต่างๆ มีอาชีพอะไรที่พอจะนำไปให้ชาวบ้านในที่อื่นได้บ้าง

"ลุงขาว" เป็นคนสระบุรี เกิดที่ตำบลหนองควายโซ อำเภอเสาไห้ เมื่อมาเรียนมัธยมที่กรุงเทพฯ จนจบชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ และปวส. ที่พาณิชยการพระนคร พักอาศัยบ้านผู้อื่นจึงต้องแบกน้ำขึ้นบันไดทุกวันจึงแข็งแรง "ลุงขาว"สนใจการพูดในที่ชุมนุมชน เพราะการพูดช่วยโน้มน้าวคนให้เข้าใจ และช่วยเหลือผู้อื่นได้ด้วย ประมาณปี 2509 "ลุงขาว" ได้จัดและเป็นผู้ดำเนินรายการ “กระจกเงาเยาวชน” ทางช่องสี่ บางขุนพรหม ถ้าจำไม่ผิดมีทุกเย็นวันอังคาร "ลุงขาว"เสาะหาเด็กดีๆที่เป็นตัวอย่างแก่เยาวชนมาออกรายการอย่างสม่ำเสมอ ลุงขาวยังได้จัดรายการ “ชีวิตนี้มีความหวัง” ทางสถานีวิทยุในเวลา 5 นาฬิกา ทุกวันด้วย จัดรายการ “ลุงขาวไขอาชีพ” สอนอาชีพง่ายๆทางวิทยุด้วย เวลา 4 ทุ่มทุกคืนทางสถานีวิทยุ ททท. สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน ภายหลังก็มีคนจำนวนมากที่ร่วมอุดมการณ์ด้วย ด้วยการแนะนำอาชีพเข้ามาฟรีๆ เพราะถือว่าตนเองไม่ได้ประกอบอาชีพนี้แล้ว หรือสูงอายุแล้ว

"ลุงขาว"พูดทางวิทยุอยู่เสมอว่า อาจารย์มักจะกลัวว่าศิษย์จะคิดล้างครูตามความเชื่อสมัยก่อน ทำให้ถ้าอาจารย์รู้สิบ ก็จะบอกแปดหรือเก้า ไม่บอกทั้งหมดเพื่อจะมีไม้ตายไว้เอาชนะศิษย์ ดังนั้น วิชาการ ความรู้ ความชำนาญ ต่างๆจึงสืบทอดกันน้อยลงๆ แตคนที่เข้ามาร่วมสอนอาชีพต่างๆก็จะถ่ายทอดกันหมดสิ้น เพราะถือเป็นวิทยาทาน

ประมาณปี 2510 "ลุงขาว"ได้เป็นกรรมการสมาคมศิษย์เก่า พาณิชยการพระนคร จึงได้จัดโครงการ อาสาสมัครพาณิชยการ คือ พระนคร พระเชตุพนธ์ และตั้งตรงจิตร ทั้งสามวิทยาลัยร่วมทำกิจกรรมเดียวกัน ไปเป็นอาสาสมัครเข้าไปขอช่วยถือของให้ผู้สูงอายุที่ตลาดนัดท้องสนามหลวงในวันเสาร์และอาทิตย์ ผู้ทีมีของพะรุงพะรัง หรือมีเด็กเล็ก อาสาสมัครจะเข้าไปขอช่วยเองโดยไม่ต้องมีผู้ใดร้องขอ เพื่อฝึกฝนให้มีความกล้าและรู้จักทำประโยชน์แก่ผู้อื่น ฝึกสอนให้เป็นผู้รู้จักคิดรู้จักทำในทางที่ถูกต้อง

ในปี 2511 เกิดอุบัติเหตุ รถยนต์แลนด์โรเวอร์ที่ใช้เดินทางไปฝึกสอนอาชีพ คนขับได้ชนท้ายรถเบนซ์ไฟไหม้ทั้งคัน ต้องชดใช้เป็นเงินกว่าแสนบาทในสมัยนั้น จึงไม่สามารถเดินทางไปสอนได้อีก ผู้ที่ฝังวิทยุอย่างสมำเสมอจึงรวมกลุ่มกันจัดตั้งชมรมสัมมาอาชีพวิทยาทาน โดยในปี 2512 ได้ร่วมกับสันนิบาตเสรีชนแห่งประเทศไทย ถนนเพลินจิตร ตรงข้ามโรงเรียนมาแตร์เดอี วิทยาลัย ซึ่งอยู่กลางเมืองและมีพื้นที่กว้างขวาง ใช้เป็นสถานที่สอนอาชีพโดยไม่คิดเงิน คนที่มาสอนก็ไม่ได้คิดเงิน แต่ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งสิ้น คนมาเรียนก็มาแต่ตัวไม่ต้องจ่ายอะไรทั้งสิ้น วิชาที่จะเรียนก็เป็นอาชีพง่ายๆ รู้ได้ในวันเดียวหรือครึ่งวัน มีทุนทรัพย์นิดหน่อยก็ทำได้ ดังเช่นแม่บ้านคนหนึ่งสามีเป็นเจ้าของร้านตัดผมปากซอยทองหล่อ มีช่างเป็นลูกจ้าง แต่สามีเสียชีวิตกระทันหัน ตนเองดูแลร้านไม่เป็น ช่างไม่ร่วมมือ มีภาระลูกที่ต้องเลี้ยงดู คิดมากคิดสั้นจะฆ่าตัวตาย วันหนึ่งได้ฟังวิทยุและได้มาเรียนการทำขนมครก แรกๆยังอายอยู่ ก็ตั้งเตาหน้าประตูร้าน เพราะไม่เคยค้าขาย พอขายได้ก็มีกำลังใจ ออกมาขายนอกร้าน ขยายเตา จนภายหลังส่งลูกเรียนได้สำเร็จหมด ชมรมสัมมาอาชีพวิทยาทานนี้ ภายหลังได้เปลี่ยนเป็นชมรมลุงขาวไขอาชีพ และในปัจจุบันเป็น มูลนิธิลุงขาวไขอาชีพ องค์กรสมาชิกของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย

ภรรยาของคุณลุงขาว คุณบุญเรือน พงษ์บริบูรณ์ ได้เป็นกำลังสำคัญสนับสนุนให้การสอนอาชีพเป็นไปโดยราบรื่นตลอดมา คือไม่เพียงไม่ขัดข้องที่จะทำ แต่ยังสนับสนุนด้วยแรกๆทำอาหารเลี้ยงวิทยากรและคนที่มาฝึกอาชีพเป็นเวลากว่าสองปี เพราะแต่ละคนที่มา หาอาหารทานไม่ได้ อาชีพที่"ลุงขาว"ได้สอนแรกๆ คือการทำปาท่องโก๋ เทคนิคการถ่ายภาพและอัดภาพ โดยคุณบุญเรือนสอนปาท่องโก๊ และลุงขาวสอนเทคนิคการถ่ายภาพ ทั้งสองอาชีพนี้แต่ก่อนล้วนอยู่ในมือคนจีนเท่านั้น และไม่ยอมบอกใครถึงวิธีทำ คุณบุญเรือนก็เพียรพยายามจนได้วิธีทำมา และนำมาสอนแก่ประชาชนฟรีๆ บางครั้งยังเห็ขายปาท่องโก๋ คนขายเป็นคนไทยอิสาณ ขึ้นป้ายว่าปาท่องโก๋ลุงขาว ซึ่งแสดงถึงความขอบคุณ ทั้งๆที "ลุงขาว"มีหลักการว่า

ไม่เก็บเงินไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะคนสอนมาเพื่อเป็นวิทยาทานและบอกหมดเพราะเป็นการได้บุญเช่นการไปทำบุญที่วัด ไม่ขึ้นตึก เพราะคนจน เสื้อขาด รองเท้าไม่มี กลัวตึก กลัวสถานที่ราชการ ดังนั้นจึงกางเต๊นท์สอนตามใต้ต้นไม้และสนามหญ้า ไม่ต้องลงทะเบียน ไม่มีชั้นเรียน จะมาและอยู่เรียนนานเท่าใดก็ได้ นับแต่จำนวนคนที่มาเท่านั้น ไม่ต้องวัดผลเพราะเป็นอาชีพง่ายๆ จะมากี่ครั้งก็ได้ จนกว่าจะทำเป็น ไม่ต้องมาขอบคุณ เพราะสิ่งที่ให้คือให้เขาประกอบอาชีพเป็น ผู้สอนไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ให้อะไรไม่สู้ให้อาชีพ เพราะให้อาหารก็คุ้มแค่อาหารหมด ให้ผ้าก็คุ้มแค่ผ้าขาดเป็นต้น

ในปี 2517 "ลุงขาว"ได้เป็นสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และ ปี 2522 ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตบางเขน สังกัดพรรคประชากรไทย โดยมีคะแนนสูงที่สุดในกรุงเทพฯ ทั้ง"ลุงขาว"และคุณบุญเรือน พงษ์บริบูรณ์ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานครื่องราชอิสริยาภรณ์ เป็นเกียรติและนำความปลาบปลื้มอย่างยิ่ง

ในด้านอื่น ลุงขาวไม่เพียงแต่เป็นนักธุรกิจ นักประชาสัมพันธ์ นักพูด นักเขียน ท่านยังเป็นนักประดิษฐ์ด้วย เช่นได้ประดิษฐ์เครื่องคั้นน้ำอ้อยแบบลูกกลิ้งทองเหลือง และเครื่องปั่นสายไหม เคยผลิตน้ำอ้อยสดบรรจุขวดออกจำหน่าย และสายไหมบรรจุถุงอยู่ได้นานโดยไม่ยุบตัว เป็นสินค้าชื่อไทยแคนดี้ และยังได้ประดิษฐ์หุ่นโครงเป็นเหล็ก ข้างนอกเป็นไม้พ่นสีขนาดเท่าคนติดมอเตอร์ มีสายบังคับให้เดินหน้า ถอยหลัง พร้อมลำโพงที่หน้าอก ที่สามารถฟังและพูดตอบกับผู้ชมได้ ประดิษฐ์กล่องไฟมีตัวหนังสือที่เดินได้ ซึ่งได้มีขึ้นก่อนป้ายไฟปัจจุบันที่เป็นชนิด LED ถึง 30 ปี หรือกระทั่งการฉายหนังผ่านตู้ทีวีที่มีแต่กระจกด้านหน้า แทนการขึ้นจอผ้า และสามารถออกพร้อมๆกันได้หลายจอ โดยการใช้เทคโนโลยีการสะท้อนแสงผ่านปริซึม ลุงขาวเป็นนักอ่านด้วยเช่นกัน ทั้งเดลล์ คาร์เนกี และหนังสือแนวความคิดและแรงบันดลใจหลายเล่ม หรือจากการรับหนังสือพิมพ์รายวันถึง 7 ฉบับ สมัยเมื่อยังจัดรายการวิทยุ เป็นต้น