กลอนเพลงในดนตรีไทย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

[แก้] คำว่ากลอน

บทความนี้ได้รับแจ้งว่ามีปัญหาเกี่ยวกับการใช้ภาษา การแปลภาษา หรือการสะกดคำ รวมถึงรูปแบบการเขียนที่อาจไม่ใช่สารานุกรม
คุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้! โดยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน จากนั้นแก้ไขภาษาให้สละสลวย และแก้ตัวสะกดให้ถูกต้อง
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คู่มือ และ นโยบายวิกิพีเดีย

ที่เรียกว่า “กลอน” หรือ “กลอนเพลง” นั้นโดยความหมายก็ใกล้เคียงกับคำว่า “กลอน” ในรูปแบบของการประพันธ์ประเภทร้อยกรองของไทยหรือ “โคลงฉันท์กาพย์กลอน” ที่ทุกท่านรู้จักกันดี คือการร้อยเรียงคำต่างๆให้มีความสละสลวยและถูกต้องตามฉันทลักษณ์ คือถูกต้องตามสัมผัสนอกสัมผัสในอันเป็นลักษณะจำเพาะของกลอนแต่ละชนิด ที่ว่าใกล้เคียงกับดนตรีไทยก็คือ “กลอน” ในทางดนตรีไทยก็หมายถึงการร้อยเรียง “เสียง” หรือ “เมโลดี้” ต่างๆให้มีความสละสลวย และให้ต้องตามฉันทลักษณ์อันได้แก่ “ทำนองหลัก” นั่นเอง

ทำนองหลักเป็นทำนอง โครงสร้างของเพลงไทยมีลักษณะเรียงกันเป็นวรรคเป็นตอน ซึ่งแต่ละวรรคตอนนั้นจะมีความยาวแน่นอนตายตัวและท่วงทำนองที่เกิดขึ้นก็มีลักษณะ “จบในตัว” คล้ายกับบทกลอนที่ในแต่ละบาทถ้อยคำที่ร้อยเรียงกันอยู่ก็จบในตัวคือมีความหมายในตัวแต่ยังความ “ความสมบูรณ์” โดยถ้าจะให้จบลงโดยสมบูรณ์คือรู้เรื่องทั้งหมดก็ต้องนำแต่ละบาทมาผูกต่อกันเป็นวรรคเป็นบทและจบลงเป็นเรื่อง ดังดนตรีไทยที่ต้องนำแต่ละวรรคมาเรียงต่อกันเป็นประโยคเป็นท่อนและจบลงเป็นบทเพลงหนึ่งๆที่มีความสมบูรณ์เป็นต้น คำว่าทำนองหลักของดนตรีไทยถ้าจะมองกันอย่างง่ายที่สุดก็หมายถึง “เสียงลูกตก” หรือ “เมโลดี้สุดท้าย” ที่อยู่ในวรรคนั้นหรือหลักการสังเกตุที่ง่ายลงไปอีกก็คือที่ “ในทุกๆเสียงฉับ” กฏเกณฑ์ที่บังคับก็มีอยู่ว่าไม่ว่าผู้บรรเลงจะตบแต่งหนทางการบรรเลงให้วิจิตรพิศดารแค่ไหนหรือร้อยเรียงเสียง (เมโลดี้) ให้สลับซับซ้อนเพียงใด เสียงสุดท้ายที่สิ้นสุดในวรรคหรือประโยคก็ต้องให้ตกตรงกับเสียงที่บังคับไว้แล้วในเสียงลูกตกนั่นเอง (อาจมีบางกรณีที่ในท้ายของวรรคเพลงไม่จบในเสียงลูกตกโดยความตั้งใจ (มักเกิดขึ้นในช่วงทำนองที่เรียกว่า “เท่า” คือมีเสียงลูกตกเสียงเดียวกันเรียงต่อกันมากว่า ๑วรรคเป็นต้น ) แต่ในท้ายของประโยคเพลงก็ต้องผันเสียงให้ลงมาจบในเสียงลูกตกอยู่ดี ซึ่งมีผู้เรียกกลอนชนิดนี้ว่ากลอนฝากหรือกลอนหัวแตกเป็นต้น) อุปมาการยึด “เสียงตก” นี้ได้กับในทางการแต่งกลอนคือการยึด “สัมผัส” ซึ่งบังคับมา และถ้อยคำแต่ละคำที่บรรจงประดิษฐ์ลงไปในแต่ละบาทกลอนก็เปรียบได้กับพยางค์เพลงหรือเสียงแต่ละเสียงที่ร้อยเรียงลงไปในทำนองหลักนั่นเอง

ความยากของดนตรีไทยก็คือการประดิษฐ์กลอนอย่างไรให้มีความสละสลวยงดงามและไม่ขัดกับทำนองหลัก ซึ่งการทักษะประดิษฐ์กลอนเพลงนี่เองที่เป็นตัวแบ่งแยกว่านักดนตรีผู้นั้นเป็นผู้ที่ “เล่นดนตรีเป็น” หรือแค่ “เล่นดนตรีได้” ซึ่งต่างกับของดนตรีตะวันตกที่ลักษณะของเพลงไม่ได้เป็นกลอนเหมือนอย่างของไทยเรา และในแต่ละเสียงหรือเมโลดี้นั้นก็ล้วนเป็นทำนองที่เรียบเรียงมาสำเร็จเป็นโน้ตแล้วทั้งสิ้น ผู้เล่นก็เพียงแต่เล่นตามโน้ตโดยไม่ให้มีผิดพลาดบกพร่องเท่านั้นพอ อันจะคิดหนทางการบรรเลงให้เป็นตัวของตัวเองอย่างดนตรีไทยนั้นเห็นไม่มี จึงมีผู้กล่าวว่าเพลงสากลเป็นเพลงที่ตายแล้วคือหยุดอยู่แค่นั้น แต่เพลงในดนตรีไทยเป็นเพลงที่มีชีวิต คือมีการตบแต่งเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาที่บรรเลงจะคงไว้ก็แต่ทำนองหลักและสำเนียงเพลงเท่านั้น ดังที่พูดกันว่าเพลงไทยที่บรรเลงออกมาอย่างเพราะพริ้งต้องชมว่านักดนตรีเก่ง ส่วนเพลงสากลที่บรรเลงออกมาอย่างไพเราะกลับต้องชมว่าผู้ประพันธ์เก่ง อย่างนี้เป็นต้น


[แก้] ศาสตร์แห่งกลอน

กลอนเพลงแต่ละกลอนที่ประดิษฐ์กันออกมานั้นใช่ว่าจะไม่มีกฏเกณฑ์เสียทีเดียว อย่างที่ทราบกันว่าคนไทยสมัยก่อนเป็นคนละเอียดละเมียดละไม อันจะทำสิ่งใดโดยปราศจากครรลองคงเป็นไปไม่ได้ การจะประดิษฐ์กลอนเพลงออกมานั้นก็ต้องอาศัยระเบียบแบบแผนที่ว่า ทั้งนี้ก็มี “อารมณ์” เป็นหลักใหญ่ แบ่งออกเป็น ๕ อารมณ์ อันได้แก่

  1. อารมณ์เพลง อารมณ์เพลงนี้สำคัญนักทั้งยังแบ่งออกได้เป็นอีก ๒ ข้อย่อยๆคือ
    1. อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากลักษณะบังคับของเพลง เป็นต้นว่าเพลงทยอย ถ้าเป็นทางร้องต้องร้องให้โศกเศร้ารำพึงรำพันอันเป็นลักษณะที่แท้จริงของเพลงทยอย แต่พอมาในทางบรรเลงก็ต้องเล่นให้สนุกสนานคึกคักโดยเฉพาะในอัตรา ๓ ชั้น ซึ่งตรงกันข้ามกับเพลงบังคับทางหรือเพลงกรอทั้งหลาย ซึ่งมักจะเป็นไปในทางหวานๆ อย่างนี้เป็นต้น
    2. อารมณ์ที่ผู้แต่งจงใจให้เกิดขึ้นหรือแฝงไว้ในบทเพลงนั้นๆ เช่น อย่างเพลงหกบทที่แฝงอารมณ์หวานปนเศร้า กลอนที่บรรเลงก็ควรจะให้อารมณ์หวานให้เข้ากันกับอารมณ์เพลงโดยการเรียงเสียงให้ไล่เรียงกันไม่กระโดดข้ามเสียงข้ามไปข้ามมา และเน้นที่เสียง “ลูกผ่าน” ได้แก่ตำแหน่งเสียงที่ ๔ และ ๗ ในบันไดเสียงนั้นๆ ซึ่งเสียงลูกผ่านนี้เมื่อบรรเลงร่วมเข้ากับ “เสียงแท้” ซึ่งเป็นเสียงหลักในเพลงก็จะฟังดูเป็น “ครึ่งเสียง” หรือเสียงที่ “ไม่เต็ม” ให้อารมณ์ที่ลึกซึ้งและโหยหา แต่เสียงนี้ห้ามใช้เด็ดขาดในกรณีเพลงที่เป็นไปในทางดุดันหรือห้าวหาญลำพองเช่นเพลงกราวใน
    1. อารมณ์ของการบรรเลง ในที่นี้หมายถึงโอกาสที่ทำการบรรเลงเพลงนั้นๆ ซึ่งการบรรเลงบทเพลงหนึ่งๆนั้นโอกาสที่บรรเลงก็มีผลต่ออารมณ์ของเพลงไม่น้อย เช่นการตีเพลงประกอบรำอวยพร จะบรรเลงกลอนให้วิจิตรพิสดารหรือกระแทกกระทั้นขยี้ขยำมากก็ไม่ควร ในขณะที่ในเพลงเดียวกันนั้นเมื่อมาบรรเลงเป็นเพลงหางเครื่องจะบรรเลงกลอนให้เรื่อยๆสุภาพๆก็เห็นจะไม่เหมาะอีกเช่นกันเป็นต้น
    1. อารมณ์ของเครื่องดนตรี จริงอยู่ลีลาของเพลงสำคัญมาก แต่อารมณ์ของเครื่องดนตรีต่างๆจะไม่คำนึงถึงก็ไม่ได้ เครื่องดนตรีไทยแต่ละเครื่องมีลักษณะที่เรียกว่า “สีเสียง” หรือ “เนื้อเสียง” ต่างกันออกไป อารมณ์ที่แต่ละเครื่องแสดงออกมาก็ต่างกันเมื่อเป็นเช่นนั้นลีลาก็ควรจะต้องต่างกันเพื่อให้ “สอดคล้อง” กันกับอารมณ์ของแต่ละเครื่องมือนั้น ซึ่ง “ลีลาของเครื่องดนตรีไทย” นั้น “ไม่อาจกำหนดหรือบัญญัติให้ตายตัวลงไปได้” ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อม เช่นว่า เล่นเพลงอะไรอยู่ ในเพลงกรอหวานๆจะขยี้ก็ไม่ควร หรือในเพลงเก็บจะไปตีกรอโดยตลอดก็ไม่สวย หรือว่าใครเป็นผู้เล่น เช่นว่าเด็กๆเล็กๆเล่น จะให้ตีให้ออกรสชาดของเครื่องดนตรีนั้นๆอย่างเต็มที่ก็เห็นจะเกินกำลัง (ดังจะเห็นได้ทั่วไปที่มีผู้ตีระนาดทุ้มหรือฆ้องวงเล็กด้วยแนวทางของฆ้องวงใหญ่เป็นต้น) เพราะฉะนั้นถ้าจะให้สรุปตายตัวลงไปเลยว่าลีลาของเครื่องดนตรีเครื่องนี้ๆจะต้องเป็นอย่างนี้ๆเท่านั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากว่าเราจะมานั่งบัญญัติใหม่เองเลยก็ดูจะเป็นการ “อะไร” ไปมากกว่าที่จะ “จรรโลง”
    1. อารมณ์ของวงดนตรี ในวงดนตรีแต่ละประเภทย่อมมีลีลาและอารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป ถึงแม้จะบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีชนิดเดียวกันในบทเพลงเดียวกัน แต่เมื่ออยู่ต่างวงกันลีลาก็ใช่จะเหมือนเดิมไปเสียทั้งหมด ทั้งนี้ผู้บรรเลงก็สมควรจะต้องเข้าใจถึงลักษณะของวงที่ตนกำลังบรรเลงอยู่ด้วยว่าเป็นวงประเภทไหน และสมควรจะต้องมีลีลาอย่างไร จึงจะค่อยคิดประดิษฐ์กลอนเพลงหรือหนทางการบรรเลงให้มีลีลาต้องตามวงดนตรีนั้นๆ เช่นว่าบรรเลงระนาดเอกเพลงกล่อมนารี เมื่อบรรเลงวงมโหรี โดยธรรมชาติของวงมโหรีถือเป็นเครื่องราชูปโภค อดีตเคยใช้ขับกล่อมพระเจ้าแผ่นดินขณะทรงพักผ่อนอิริยาบท ลีลาของวงควรดำเนินไปอย่างอ่อนหวานปราศจากความมุทะลุดุดันใดๆทั้งปวง ถึงระนาดเอกจะตีได้สารพัดรสและเพลงกล่อมนารีจะเป็นเพลงประเภทเก็บทั้งยังมีทางเปลี่ยน ท่วงทำนองก็ชวนให้ขยี้ สะบัด เสดาะหรือลักเหลื่อมจังหวะได้มากมายมหาศาล แต่เมื่อกำลังบรรเลงในวงมโหรีก็ไม่สมควรตีอย่างนั้น ซ้ำในบางวรรคบางตอนก็สมควรจะตีกรอบ้างเพื่อดึงให้ทำนองของเพลงออกมามีความอ่อนหวานผิดกับสำเนียงของของระนาดเอกด้วยซ้ำ เมื่อเปลี่ยนมาเป็นวงปี่พาทย์ไม้นวมก็ควรตีให้มีความกระชับมากยิ่งขึ้น ไม่ควรตีกรอยาวในจังหวะที่ต้องเก็บ แต่ก็ไม่ควรกระโชกโฮกฮากหรือดึงแนวให้ทะยานอย่างรวดเร็วจนทำให้ความรู้สึกสบายๆอันเป็นลีลาของวงนี้สูญเสียไป แต่เมื่อมาอยู่ในวงปี่พาทย์ไม้แข็ง ถึงแม้เพลงกล่อมนารีอารมณ์เพลงจะเย็นๆ ออกจะติดหวานเสียด้วยซ้ำ ระนาดก็ไม่ควรจะแสดงอารมณ์นั้นออกมา หากแต่ควรตีอย่างเกรี้ยวกราดดุดันตามวิถีของวงไม้แข็งอย่างนี้เป็นต้น
    1. อารมณ์ของนักดนตรีผู้บรรเลง อารมณ์อย่างอื่นสำคัญแต่ก็ใช่ว่าอารมณ์นี้จะไม่สำคัญ การบรรเลงดนตรีไทยนั้นนับแต่โบราณมามักเป็นการบรรเลงแบบคิดตรงนั้นตีตรงนั้น เป็นการบรรเลงออกมาจากความรู้สึกนึกคิดของผู้บรรเลงโดยแท้จริง หมายความว่าถ้าพื้นฐานจิตใจของผู้บรรเลงเป็นอย่างไรลีลากลอนเพลงหรือท่วงทำนองที่พรั่งพรูออกมาในบทเพลงก็จะแสดงออกตามนั้น เป็นต้นว่าถึงจะบรรเลงด้วยซอด้วงเหมือนกันในวงเดียวกันเพลงเดียวกัน แต่นักดนตรีคนแรกเป็นคนรักสนุกติดตลกอยู่เป็นนิจ ลีลาซอด้วงที่ออกมาก็มักจะฟังดูสนุกสนานมีมุขตลกแทรกอยู่เรื่อยไปในตลอดการบรรเลง หรือถ้าผู้ที่สีเป็นคนที่มีอารมณ์ลึกซึ้งอ่อนไหวลีลาซอก็มักเป็นแบบวาดหวานออดอ้อนอ่อนหวาน ในขณะที่ถ้าผู้บรรเลงเป็นคนที่มีความภูมิฐานเข้มแข็งสำเนียงที่ออกมาก็มักจะเน้นที่การดำเนินกลอนให้ไพเราะคมคาย โดยมักไม่คำนึงถึงลูกเล่นลูกชนต่างๆเพื่อเพิ่มสีสันในการบรรเลงอย่างนี้เป็นต้น