ที-34
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ที่-34 เป็นรถถังขนาดกลางของโซเวียต ที่ผลิตกันในช่วงปีค.ศ. 1940 - ค.ศ.1958 และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าดีที่สุดในโลกช่วงที่สหภาพโซเวียตเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ต่อมาเกราะและอาวุธของมันจะสู้รถถังรุ่นหลังๆที่ออกมาในช่วงสงครามโลกไม่ได้ แต่มันก็ยังได้ชื่อว่าเป็นรถถังที่มีอิทธิพลมากที่สุด ทำการรบได้ดีที่สุด มีประสิทธิเยี่ยมที่สุดในสงคราม เนื่องจากความสมดุลย์กันอย่างที่สุดของทั้งอำนาจการยิง ความเร็ว และการป้องกันตัวของมัน
มันเป็นแกนหลักในกองกำลังยานเกราะของฝ่ายโซเวียตตลอดสงคราม หลังสงครามมีการส่งออก ที-34ไปต่างประเทศมากมาย มันเป็นรถถังยุคสงครามที่ผลิตออกมามากที่สุดในโลก และครองอันดับ 2 สำหรับรถถังทุกรุ่นทุกแบบที่มีการผลิตออกมามากที่สุดในโลก โดยตามหลังแค่รถถังรุ่นน้องอย่าง ที่-54/55 โดยจนถึงปี ค.ศ.1996 ที-34 ก็ยังคงมีใช้กันใน 27 ประเทศทั่วโลก
ชื่อรถถังโซเวียตส่วนใหญ่นั้น จะขึ้นด้วยอักษร T ที่ภาษารัสเซียออกเสียงว่า แต และย่อมาจากคำว่า ตั๊งก์ ซึ่งหมายถึงรถถัง และตามด้วยตัวเลข 2 ตัวท้ายของปี ค.ศ.ที่เริ่มมีแนวคิดที่จะสร้างรถถังรุ่นนั้นๆ ที-34 จึงหมายถึงรถถัง ที่เริ่มมีแนวคิดที่จะสร้าง ปี ค.ศ.1934
ที-34 พัฒนามาจากรถถังตระกูลบีที หรือที่ภาษารัสเซียเรียก แบแต ซึ่งเป็นรถถังเคลื่อนที่เร็ว และถูกนำเข้าประจำการณ์แทนที่รถถังตระกูลบีที และ ที-26 แต่ในเบื้องต้น ที-34 ยังมีข้อบกพร่องอยู่หลายจุด แต่ปลายปี ค.ศ.1943 ที่-34-85 ซึ่งได้รับการปรับปรุงใหม่ก็ถูกปรากฏตัวออกมา พร้อมด้วยอาวุธที่ร้ายกาจกว่า จากนั้น ที-34 ก็ยังได้รับการปรับปรุงตลอดช่วงสงครามทั้งเพื่อยกระดับประสิทธิภาพ ความสูญเสีย และค่าใช้จ่ายในการจัดสร้าง เมื่อสงครามโลกยุติลงในปี ค.ศ.1945 ที-34 รุ่นที่มีความสามารถรอบตัว และใช้งบก่อสร้างที่ลงตัวก็เข้ามาประจำการณ์รถถังเบาและรถถังหนักหลายรุ่น ที-34 มีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาคอนเซ็ปต์ของสิ่งที่เรียกว่า รถถังรบหลัก ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20
[แก้] กำเนิด
ช่วงก่อนปี ค.ศ.1939 รถถังโซเวียตส่วนมากเป็นรถถังเบารุ่นที-26 และ รถถังเคลื่อนที่เร็วตระกูลบีที รุ่น ที-26 นั้นเป็นรถถังเคลื่อนที่ช้าสำหรับทหารราบ มันถูกออกแบบมาให้เกาะไปกับทหารเดินเท้า ส่วนบีทีนั้น เป็นรถถังของทหารม้า มันเป็นรถถังเบาที่เร็วมาก มันถูกออกแบบมาเพื่อสู้กับรถถัง แต่ไม่ใช่กับทหารราบ รถถังทั้งสองแบบมีเกราะบาง ป้องกันอาวุธเล็กได้ แต่ต้านปืนยาวต่อสู้รถถัง และ ปืนต่อสู้รถถังขนาด 37 มม.ไม่ได้ ขณะที่เครื่องยนต์น้ำมันก๊าดของมันก็มักมีปัญหาไฟลุกอยู่บ่อยครั้ง รถถังทั้งสองแบบ ต่างก็พัฒนามาจากมันสมองของชาวต่างชาติทั้งสิ้น โดยที-26 นั้นพัฒนามาจากรถถัง วิคเกอร์-6 ตัน ของอังกฤษ ส่วน บีที ก็เป็นการออกแบบโดยวอลเตอร์ คริสตี้ วิศวกรอเมริกัน
ปี ค.ศ.1937 กองทัพแดงมอบหมายให้ มิคาอิล กอชกิ้น( Mikhail koshkin ) ซึ่งเป็นวิศวกรให้เป็นผู้นำทีมออกแบบรถถังที่จะมาแทนรถถังบีที โดยให้ไปทำกันที่โรงงานรถไฟที่เมืองคาร์คอฟ (ปัจจุบันเรียกคาร์คิฟ อยู่ในยูเครน)ทีมออกแบบได้รถถังต้นแบบที่เรียกกันว่า เอ-20 ตามขนาดของเกราะที่หนา 20 มม.ติดปืนขนาด 45 มม.และใช้เครื่องยนต์ วี-2ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ใช้น้ำมันดีเซล ซึ่งติดไฟได้ยากกว่า มันมีล้อขนาด 8x6 คล้ายกับล้อขนาด 8x2 ของบีที ที่สามารถวิ่งได้แม้ไม่มีตีนตะขาบ ทำให้ไม่ต้องซ่อมบำรุงรักษาตีนตะขาบที่ในยุคนั้นยังไม่สมบูรณ์มากนัก และมันสามารถทำความเร็วบนถนนได้กว่า 85 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนั้น ทีมออกแบบยังได้ยืมแนวคิดจากการวิจัยโครงการรถถังบีทีก่อนหน้านี้ เรื่องการโค้งของเกราะ เพื่อให้กระสุนที่ถูกยิงมาแฉลบมาใช้ด้วย เรื่องแต่ข้อได้เปรียบในด้านการบด้านอื่นๆของ เอ-20 ยังไม่มี
กอชกิ้นได้ขอสตาลิน เพื่อเดินหน้าพัฒนารถถังต้นแบบรุ่นที่ 2 เพื่อให้เป็นรถถังครอบจักรวาล ติดอาวุธหนักกว่า มีเกราะหนากว่า และสามารถใช้ทดแทนได้ทั้งรถถัง ที-26 และ บีที รถถังต้นแบบนี้พวกเขาเรียกมันว่า เอ-32 ตามความหนา 32 มม.ของเกราะด้านหน้า มันติดปืนขนาด 76.2 มม. และใช้เครื่องยนต์แบบ เอ-20 รถถังรุ่นนี้เคลื่อนที่ได้ดีพอๆกับ เอ-20 แม้จะหนักกว่า
ต่อมาได้เกิดสงครามฤดูหนาวระหว่างโซเวียตกับฟินแลนด์ และรถถังของโซเวียตแสดงผลงานในการรบได้ย่ำแย่มาก ปัญหาการไม่ยอมรับรถถัง เอ-32 ของบรรดานายทหาร และปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการผลิตรถถังรุ่นใหม่ที่สูงมากจึงถูกมองข้ามไป ประกอบกับมีประเด็นเรื่องความสำเร็จของการทำสงครามสายฟ้าแล่บของเยอรมนีในฝรั่งเศสมาเสริม รถถัง เอ-32 รุ่นที่มีเกราะด้านหน้าหนา 45 มม.และมีตีนตะขาบที่กว้างกว่าเดิม จึงเข้าสู่สายพานการผลิต โดยใช้ชื่อว่า ที-34 คอชกิ้นเลือกที่จะใช้ชื่อนี้ก็เพราะปี ค.ศ.1934 เป็นปีที่เขาเกิดแนวคิดเกี่ยวกับรถถังรุ่นใหม่ และเพื่อเป็นการร่วมฉลองการออกกฤษฎีกาขยายกองกำลังยานเกราะ