ไอทีวี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน)
ชื่อ | บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) |
ลักษณะธุรกิจ | สื่อและสิ่งพิมพ์ |
รหัสหลักทรัพย์ | ITV |
ผู้บริหาร | นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ประธานกรรมการบริหาร |
เว็บไซต์ | www.itv.co.th |
บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) (ITV Public Company Limited) เป็นกลุ่มบริษัท ที่ทำธุรกิจ เกี่ยวกับ สื่อโทรทัศน์ โดยรับสัมปทาน สถานีโทรทัศน์ ระบบ UHF จาก สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) จำนวน 1 ช่องสถานี โดยใช้ชื่อว่า สถานีโทรทัศน์ไอทีวี เดิมชื่อ บริษัท สยามอินโฟเทนเมนท์ จำกัด ก่อตั้งโดย ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัทอื่นๆ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 เปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.ไอทีวี (บริษัทฯ) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2541 ปัจจุบัน บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ
[แก้] ความเป็นมา
แนวคิดการก่อตั้งไอทีวี เกิดขึ้นในรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 เนื่องจากในขณะเกิดเหตุการณ์ สื่อโทรทัศน์ จำนวน 5 ช่อง ในขณะนั้น คือ ช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 7 ช่อง 9 ช่อง 11 มิได้รายงานข่าวเหตุการณ์นองเลือด ตามความเป็นจริง ประกอบกับ มีเสียงเรียกร้องจากประชาชน ให้เปิดดำเนินการสถานีโทรทัศน์เสรี ในระบบยูเอชเอฟ เพื่อให้คนไทยมีโอกาสได้รับรู้ ข่าวสารที่ถูกต้องเป็นกลางอย่างแท้จริง
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) โดย นายมีชัย วีระไวทยะ ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแล การเปิดสัมปทาน สถานีโทรทัศน์ช่องใหม่ กำหนดเงื่อนไขของสัมปทานไว้ว่า ผู้รับสัมปทานจะต้องมีผู้ถือหุ้น 10 ราย แต่ละรายต้องมีสัดส่วนหุ้นที่เท่ากัน พร้อมกับแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เพื่อป้องกันการผูกขาด และมีสัดส่วนเนื้อหา รายการข่าวและสาระ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 และ รายการบันเทิง ไม่เกินร้อยละ 30
ในปี พ.ศ. 2538 ผลการประมูล สรุปว่า กลุ่มบริษัท สยามทีวีแอนด์คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รับอนุมัติ ให้เป็นผู้ดำเนินงานบริหารสถานีฯ เป็นเวลา 30 ปี ค่าสัมปทาน 25,200 ล้านบาท จากราคากลาง 10,000 ล้านบาท โดยคู่สัญญาของสปน. คือ บริษัท สยามอินโฟเทนเมนท์ จำกัด ที่มีผู้ร่วมทุน ประกอบด้วย สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เครือเนชั่น กันตนา กรุ๊ป เครือวัฏจักร หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ บริษัท ล็อกซเล่ย์ฯ และ ไจแอนท์ฯ
โดยตั้งชื่อสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ว่า สถานีโทรทัศน์ไอทีวี (สถานีฯ) เริ่มออกอากาศอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2539 โดยวางนโยบาย ให้เป็นสถานีโทรทัศน์ ที่ให้ความสำคัญกับ รายการข่าว และสถานการณ์ปัจจุบัน
[แก้] การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น
ในสมัย รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ได้มีการแก้ไขข้อกำหนด ที่ไม่ให้กลุ่มใด ถือหุ้นในบริษัทฯ เกินร้อยละ 10 และมีการซื้อขายหุ้น ส่งผลให้ ธนาคารไทยพาณิชย์ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ประกอบกับการเกิด วิกฤติเศรษฐกิจ ในปี พ.ศ. 2540 บริษัทฯ จึงขาดทุนอย่างหนัก
ธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จึงติดต่อให้กลุ่มชิน คอร์ปอเรชั่น (ชินคอร์ป) เข้ามาถือหุ้นแทน ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2544 ซึ่งชินคอร์ปได้ตอบตกลง พร้อมทั้งเสนอซื้อหุ้นสามัญฯ จากผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ด้วย ส่งผลให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ
[แก้] กรณีกบฏไอทีวี
![]() |
[แก้] การเพิ่มทุนจดทะเบียน และแก้ไขสัญญาสัมปทาน
ชินคอร์ป ดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทฯ เป็น 1,200 ล้านบาท และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2545 และได้เสนอขายหุ้นของบริษัทฯ แก่ประชาชนทั่วไป
เมื่อ พ.ศ.2546 ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนอีกครั้ง เป็น 7,800 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญใหม่ จำนวน 300 ล้านหุ้น เป็นเงิน 1,500 ล้านบาท เพื่อจัดสรรเป็นการเฉพาะ ให้กับพันธมิตร คือ นายไตรภพ ลิมปพัทธ์ และ บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) สถานีฯ จึงได้ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ ด้วยการปรับผังรายการใหม่ และเพิ่มรายการบันเทิง แต่ต่อมาใน พ.ศ. 2548 พันธมิตรทั้งสองราย ปฏิเสธที่จะซื้อหุ้นร่วมทุน แต่ยังคงผลิตรายการให้กับสถานีฯ ต่อไป
ในปี พ.ศ.2547 ชินคอร์ป ได้ยื่นเรื่องต่อ อนุญาโตตุลาการ ขอแก้ไขสัญญาสัมปทาน และขอลดค่าสัมปทาน ที่ต้องจ่ายให้รัฐ ปีละ 1,000 ล้านบาท โดยอ้างว่า เอกชนรายอื่นจ่ายต่ำกว่า (ช่อง 3 สัมปทาน 30 ปี (2533-2563) 3,207 ล้านบาท ปีละ 107 ล้านบาท / ช่อง 7 สัมปทาน 25 ปี (2541-2566) 4,670 ล้านบาท ปีละ 187 ล้านบาท / ช่อง 5 และ โมเดิร์นไนน์ ทีวี ไม่ต้องเสียค่าสัมปทาน เนื่องจากเจ้าของคลื่นความถี่ดำเนินการออกอากาศเอง) [1]
คณะอนุญาโตตุลาการ ได้วินิจฉัยชี้ขาด ลดค่าสัมปทานให้สถานีฯ ลง เป็นปีละ 230 ล้านบาท พร้อมทั้ง อนุญาตให้สถานีฯ แก้ไขสัดส่วนการออกอากาศ รายการสาระ ต่อรายการบันเทิง จากร้อยละ 70 ต่อ 30 เป็นร้อยละ 50 ต่อ 50 และวินิจฉัยให้รัฐ จ่ายค่าชดเชยแก่บริษัทฯ เป็นเงิน 20 ล้านบาท เนื่องจาก สปน. ทำผิดสัญญา มิได้ให้ความคุ้มครองแก่บริษัทฯ และสถานีฯ ตามที่ได้ทำสัญญาสัมปทานไว้ ในขณะเดียวกัน กองทัพบกต่อสัญญาฉบับใหม่กับ ช่อง 7, อสมท อนุญาตให้ยูบีซีเคเบิลทีวี มีโฆษณาได้ และกรมประชาสัมพันธ์อนุญาตให้ช่อง 11มีโฆษณาได้ ซึ่งส่งผลกระทบ ต่อฐานะและรายได้ของบริษัทฯ
[แก้] ข้อวิจารณ์ การนำเสนอข่าว ในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
![]() |
[แก้] ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใน ชิน คอร์ปอเรชั่น
![]() |
[แก้] การตัดสินของศาลปกครองฯ เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษา ให้เพิกถอนคำสั่งของอนุญาโตตุลาการ ที่ชี้ขาดให้ สปน. ลดค่าสัมปทานให้สถานีฯ และให้ สปน. จ่ายค่าชดเชยให้บริษัทฯ
จากคำพิพากษาดังกล่าว ส่งผลให้ สถานีฯ ต้องจ่ายค่าสัมปทาน ปีละ 1,000 ล้านบาท เช่นเดิม และ ต้องปรับสัดส่วน รายการข่าวและสาระ ต่อรายการบันเทิง กลับไปเป็น ร้อยละ 70 ต่อ 30 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังต้องเสียค่าปรับ จากการผิดสัญญาสัมปทาน จากการเปลี่ยนแปลงผังรายการ ที่ไม่เป็นไปตามสัญญาสัมปทาน คิดเป็นร้อยละ 10 ของค่าสัมปทานในแต่ละปี โดยคิดเป็นรายวัน วันละ 100 ล้านบาท นับตั้งแต่ เริ่มมีการปรับผังรายการ รวมระยะเวลา 2 ปี เป็นค่าปรับทั้งสิ้น ประมาณ 9.4 หมื่นล้านบาท
โดยศาลปกครองกลาง ได้ให้เหตุผลประกอบคำพิพากษาว่า การที่อนุญาโตตุลาการ ชี้ขาดให้ลดค่าสัมปทาน มีผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ และเป็นการแก้ไขสัญญาสัมปทานของรัฐ ซึ่งอยู่นอกเหนืออำนาจของอนุญาโตตุลาการ บริษัทฯ จึงได้ยื่นอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ต่อศาลปกครองสูงสุด
ต่อมา ในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ศาลปกครองสูงสุด พิพากษายืน ตามคำตัดสินของศาลปกครองกลาง ส่งผลให้ บริษัทฯ ยังต้องจ่ายค่าสัมปทาน ปีละ 1,000 ล้านบาท เช่นเดิม และ สถานีฯ ต้องปรับผังรายการ ตามสัดส่วนเดิม โดยปรับใช้ในวันรุ่งขึ้นทันที เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียค่าปรับเพิ่ม ในกรณีที่ตกลงกันไม่ได้
ส่วนราคาหุ้น ITV เมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา นักลงทุนก็ขายหุ้นออกมาเป็นจำนวนมาก ด้านราคาก็ลดลงอย่างหนัก จนกระทั่ง ลงไปอยู่ใน จุดต่ำสุด (New Low) นับแต่เข้ามาซื้อขายในตลาดฯ ที่ 1.98 บาทซึ่งเป็นราคาพื้น (Floor Price) หลังจากนั้น ได้มีผู้ซื้อกลับมาเล็กน้อย ส่งผลให้ราคาปิดตลาดฯ สูงขึ้นมาอีกเล็กน้อย ที่ 2.06 บาท แต่ก็เป็นราคาที่ลดลง จากราคาปิดตลาดวันก่อนหน้า ร้อยละ 26.4