โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

บทความนี้ต้องการ ตรวจสอบ ปรับปรุง แก้ไขรูปแบบหรือภาษา ในหลายส่วนด้วยกัน
คุณสามารถช่วยตรวจสอบ และแก้ไขบทความนี้ได้ด้วยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน
กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไข
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วิธีการแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือการเขียน และ นโยบายวิกิพีเดีย และเมื่อแก้ไขตามนโยบายแล้ว สามารถนำป้ายนี้ออกได้

โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2444 โดยมิชชันนารีอเมริกันเพรศไบทีเรียนเพื่อเผยแพร่พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เมื่อเริ่มแรกได้เปิดโรงเรียนเล็ก ๆ ใช้ชื่อโรงเรียนว่า "โรงเรียนอเมริกันสกูลฟอร์บอย (เอ เอ็ม ซี) ตั้งอยู่ที่ตำบล คลัง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช (ปัจจุบันคือ คริสตจักรเบธเลเฮ็ม) ในปี พ.ศ.2452 โดยมีศาสนาจารย์อาร์ ดับดลิวโพสท์ เป็นครูใหญ่ ต่อมา

มิสลาริยา เจ คูเปอร์ รับหน้าที่ต่อ ในปี พ.ศ. 2458 ได้มีการย้ายเด็กหญิงซึ่งแต่เดิมได้รับมาเรียนรวมกับเด็กชาย มาตั้งที่ ตำบล ปากพูน (ปัจจุบันคือตำบลท่าวัง ซึ่งเป็นที่ตั้งของแผนกอนุบาลในปัจจุบัน)โดยใช้ชื่อโรงเรียนว่า "โรงเรียนศึกษากุมารี" โดยมิสมิลเลอร์ เป็นครูใหญ่ และมิสเฮเลนแมกเคกก์ได้รับหน้าที่ต่อมา

ในปี พ.ศ. 2461 - 2466 ศาสนาจารย์เอคเคิ้ลส์ และศาสนาจารย์เอฟ แอล สไนเตอร์ได้ผลัดเปลี่ยนกันจัดการดูแลโรงเรียนอเมริกัน

หลังจากนั้นมิซซิส เฮเลน แมกเคกก์ ได้รับหน้าที่ต่อ จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2473 ครูพลอด ณ นคร ก็ได้รับหน้าที่เป็นครูใหญ ่ ในปี พ.ศ. 2484 โรงเรียนอเมริกันก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนศรีธรรมราชวิทยา" ได้ย้าย นักเรียนมัธยมศึกษามาตั้งในสถานที่ใหม่ คือทีตำบลปากพูน (โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา แผนกประถมศึกษา - มัธยมศึกษา ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นที่ดินของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ประทานแก่มิชชันนารี ส่วนนักเรียนประถมศึกษายังอยู่ที่เดิมจนกระทั่งอาคารเรียนก่อสร้างเสร็จ จึงได้ย้ายนักเรียนประถมศึกษาไปอยู่ด้วยกัน

ในปี พ.ศ. 2498 โรงเรียนศรีธรรมราชวิทยา ได้รับการรับรองวิทยฐานะจากกระทรวง ศึกษาธิการให้เทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาล

ในปี พ.ศ. 2510 มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้รับมอบกิจการโรงเรียนทั้งสองต่อจากคณะมิชชั่นนารี ได้พิจารณารวมโรงเรียนศึกษากุมารีกับโรงเรียนศรีธรรมราชวิทยาเป็น โรงเรียน " ศรีธรรมราชศึกษา" จนกระทั่งปัจจุบัน

ปัจจุบันการดำเนินกิจการของโรงเรียนอาศัยแนวทางการบริหารงานที่ได้วางไว้ในสมัยผู้บริหารรุ่นแรก ๆ และมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยการจัดการเรียนการสอนเป็น 3 ระดับ คือ 7

ระดับก่อนประถมศึกษา ระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนมุ่งอบรมสั่งสอนนักเรียนเพื่อให้บรรลุตามปรัชญาของโรงเรียนที่ว่า " ความยำเกรงพระเจ้าเป็นบ่อเกิดของความรู้" ได้ดำเนินการพัฒนางานด้านต่าง ๆ ให้เหมาะสม สอดคล้องกับ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และหลักสูตร รวมทั้งส่งเสริมให้นักเรียนได้รับการฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น เกิดการใฝ่รู้อย่างต่อ เนื่องเป็นคนเก่ง คนดี และมีความสุข

[แก้] ที่ตั้ง

โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษาเป็นโรงเรียนของมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย สหศึกษาเปิดรับนักเรียนหญิง ชาย ภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน

เปิดสอนในระดับก่อนประถมศึกษา ถึง ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รับนักเรียนไป - กลับในระดับก่อนประถมศึกษา และนักเรียนประจำในระดับประถมศึกษา - มัธยมศึกษา ตั้งอยู่เลขที่ 1/5 ถนนราชดำเนิน ตำบล ท่าวัง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช

มีเนื้อที่แผนกประถมและมัธยม 43ไร่2งาน แผนกอนุบาล 10 ไร่ รวมทั้งสิ้น 53 ไร่ 2 งาน มีอาคารเรียนและอาคารประกอบ ทั้งหมด 20 หลัง บริเวณโดยรอบเป็นชุมชนเมืองอันประกอบด้วย สถานศึกษา กองทัพภาคที่ 4 โรงพยาบาล โรงแรม ธนาคาร เทศบาลเมืองนครนครศรีธรรมราช


[แก้] นโยบายโรงเรียน

1. มุ่งพัฒนาผู้เรียนและบุคลากรของโรงเรียนให้สามารถนำคติธรรม ตามครรลองคริสตศาสนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

2. ปลูกฝังและส่งเสริมให้ผู้เรียนและบุคลากรของโรงเรียน มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และ การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

3. มุ่งพัฒนานักเรียนและบุคลากรของโรงเรียนให้เป็นผู้ที่มีคุณธรรม จริยธรรม มีระเบียบวินัย มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรัก ความสามัคคีในหมู่คณะ และบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ มีความเป็นเลิศทางวิชาการ รักความเป็นไทย ตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งแวดล้อม และสามารถแข่งขันในระดับสากล

5. มุ่งพัฒนาระบบบริหารงานให้มีประสิทธิภาพ มุ่งพัฒนาโรงเรียนให้เป็นองค์กรแห่งการ เรียนรู้ และเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ความรู้ การให้บริการแก่ชุมชน และให้ชุมชนมีส่วนสนับสนุนการบริหารงานของโรงเรียน