พูดคุย:สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

จากกระทู้ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ใน วิชาการ.คอม โดยคุณเทาชมพู

หนังสืออ้างอิง

  • สมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ ของ สมภพ จันทรประภา
  • พระบรมราชินี และเจ้าจอมมารดา ของ ส.พลายน้อย
  • ราชสกุลวงศ์ รวบรวมโดย กรมศิลปากร
  • พระอนุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าในพระราชวงศ์จักรี รวมรวมโดย พลตรีม.ร.ว. ศุภวัฒย์ เกษมศรี และน.ส.รัชนี ทรัพย์วิจิตร
  • ชาวต่างชาติในประวัติศาสตร์ไทย ของ ส. พลายน้อย

ตัดทอนข้อความส่วนที่เป็นกระทู้โต้ตอบออก เพื่อให้อ่านต่อเนื่อง (ไม่ได้จัดรูปหน้า และแก้ไขครับ)

" เราได้ตั้งนามของบุตรีในราชตระกูลนี้ว่า "สว่างวัฒนา" ดังนี้ ขอบุตรีนั้นจงเป็นผู้มีสุข เลี้ยงง่าย ไม่มีโรค ไม่มีอุปัทวันตราย มั่งคั่งสมบูรณ์ มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก ดำรงอิศริยยศ ตั้งอยู่ในพระบรมราชวงศ์ที่ประเสริฐสูงสุดของพระบิดา ยั่งยืนสิ้นกาลนานเทอญ"

ข้อความข้างบนนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงแปลจากพระราชนิพนธ์พระราชทานพรภาษามคธในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานพระราชธิดาซึ่งประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเปี่ยม (ต่อมาในรัชกาลที่ 6 ได้รับการสถาปนาพระอัฐิเป็นสมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา) เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๕ เป็นพระเจ้าลูกเธอชั้นเล็ก คือลำดับที่ ๖๐ ในจำนวนทั้งหมด ๘๒ พระองค์

กล่าวกันว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯได้ทรงตรวจสอบดวงชะตาก่อนพระราชทาน พรพระราชทานจึงสอดคล้องและเหมาะสมกับดวงชะตาของพระราชโอรสและพระราชธิดาแต่ละพระองค์

อย่างพรที่พระราชทานพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าสว่างวัฒนา ก็ตรงกับพระชะตา โดยเฉพาะประการท้าย "ดำรงอิศริยยศ ตั้งอยู่ในพระบรมราชวงศ์ที่ประเสริฐสูงสุดของพระบิดา"

และประการแรก "เป็นผู้มีสุข" ก็ทรงเป็นสุขจริง ไม่มีใครเทียบเท่า ในเบื้องต้นของพระชนม์ชีพ ก่อนจะกลายเป็น "ทุกข์จริง" ยิ่งกว่าคนทั้งแผ่นดินในเวลาต่อมา


ขอเริ่มด้วยการย้อนกลับไปถึงเจ้าจอมมารดาเปี่ยมก่อนนะคะ

เจ้าจอมมารดาเปี่ยมเป็นธิดาหลวงอาสาสำแดง(แตง) ขุนนางในรัชกาลที่ ๓ มารดาชื่อนาค ต่อมาเป็นท้าวสุจริตธำรง ต้นราชินิกุลสุจริตกุล

เจ้าจอมมารดาเปี่ยมเข้าวังตั้งแต่ยังเยาว์ เมื่อเจริญวัยก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นนางละครหลวง ในรัชกาลที่ ๔ ท่านได้รับบท อุณากรรณ ในพระราชนิพนธ์ละครในเรื่องอิเหนา อุณากรรณก็คือบุษบานางเอกของเรื่อง ตอนปลอมตัวเป็นชาย แต่ยังงามตามเพศสตรีไม่ผิดจากเดิม ดังที่มีบทชมโฉมไว้ว่า

" ต่างพินิจพิศโฉมอุณากรรณ ว่างามดังอสัญแดหวา อันบุรุษสุดสิ้นแดนชวา ทั้งในใต้ฟ้าไม่เทียมทัน

บ้างว่าเปรียบเทวัญนั้นเห็นผิด ดูจริตรูปร่างเหมือนนางสวรรค์ นวลละอองผ่องพักตร์ผิวพรรณ ดังบุหลันวันเพ็ญอำไพ"

เจ้าจอมมารดาเปี่ยมเป็นเจ้าจอมผู้เป็นที่โปรดปรานท่านหนึ่ง มีพระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกเธอรวม ๖ พระองค์ ๑ พระองค์เจ้าอุณากรรณอนันตนรไชย (พระองค์นี้ได้รับพระนามตามบทบาทของเจ้าจอมมารดา) ๒ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ) ๓ พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์( สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวีพระองค์แรกในรัชกาลที่ ๕) ๔ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา (สมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) ๕ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ) ๖ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฏ์)


คนมักจะวาดภาพกันว่า เจ้านายในวังคงจะมีความเป็นอยู่โอ่อ่าฟุ่มเฟือยไปเสียทุกอย่าง ห่างไกลจากความประหยัดอดออมอย่างชาวบ้าน แต่ในความเป็นจริงแล้ว พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนา แม้เป็นพระราชธิดา ก็มิได้ทรงมีชีวิตที่หรูหรามากมายอะไร ในฐานะ "ลูกคนกลาง" ก็เป็นธรรมดาที่รับเสื้อผ้าที่คับแล้วของพี่สาวคนโต มาสวมใส่อีกทีหนึ่ง ในเมื่อเสื้อผ้านั้นยังไม่ขาด ส่วนขนาดจะพอดีหรือไม่พอดีตัวก็ต้องรับมาอยู่ดี ใช้จนหมดอายุ ส่วนน้องสาวคนเล็กถึงจะมีเสื้อผ้าใหม่ ด้วยเหตุนี้ ฉลองพระองค์จึงตกทอดมาจากพระองค์เจ้าสุนันทาฯ ไม่ใคร่จะมีของใหม่ ทางด้านของเสวย ทรงเล่าประทานผู้ใกล้ชิดว่า โปรดเสวยเซ่งจี๊มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ แต่เป็นของหายาก ราคาแพงจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้เสวย ได้แต่หมูสับซึ่งเป็นของหาง่ายกว่า "ฉันน่ะได้กินแต่บะช่อ พอวันไหนมีพวกพ้องทางบ้านเขาเอาหมูมาให้ แกงบะช่อวันนั้นก็มีหมูมาก ถ้าวันไหนต้องจ่ายเอง ก็มีหมูน้อย มีแต่ต้นหอม" เมื่อเฉลิมพระยศขึ้นเป็นสมเด็จฯ เครื่องเช้าที่เสวยเป็นประจำจนถึงสวรรคต ที่ขาดไม่ได้คือแกงเซ่งจี๊

ความหรูหราตามประสาเด็กมีอยู่ประการหนึ่ง คือเมื่อใดได้เงินพระราชทานมาจากสมเด็จพระบรมราชชนก ก็ทรงให้พี่เลี้ยงไปซื้อลูกกวาดซึ่งเป็นของใหม่สั่งเข้ามาจากนอก มาเสวยกันองค์ละ ๑ ขวด ในหมู่พี่ๆน้องๆ

แต่พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี พระขนิษฐาเสวยส่วนของพระองค์หมดก่อน ก็มารบเร้าเอากับพระพี่นางองค์กลางขอเสวยส่วนที่ยังมีอยู่ จะไม่ทรงให้ก็ไม่ได้ เพราะเจ้าจอมมารดาเปี่ยมจะเตือนว่า "หวงน้องไม่ได้" ก็ต้องประทานให้ตามคำขอ บางครั้งถึงกับต้องทรงซ่อนขวดลูกกวาดไว้ไม่ให้ทรงเห็น จึงจะหมดปัญหาไปได้

พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนาทรงได้รับการศึกษาอย่างดีแบบกุลสตรีในวังหลวง ในยุคที่อิทธิพลตะวันตกแพร่เข้ามาในสยาม สมเด็จพระบรมราชชนกทรงเห็นประโยชน์ของการศึกษาทั้งชายหญิง พระราชโอรสและพระราชธิดาจึงได้เล่าเรียนเขียนอ่านเหมือนๆกันตั้งแต่พระชันษา ๓ ขวบไปจน ๗ ขวบ แล้วจึงแยกกันไปเรียนวิชาที่เหมาะสมของชายและหญิง

พระราชธิดาทรงได้เล่าเรียนภาษาอังกฤษถึงขั้นอ่านออกและฟังเข้าพระทัย แต่ว่าไม่โปรดที่จะรับสั่ง

ความสุขเมื่อครั้งทรงพระเยาว์อีกเรื่องหนึ่งคือได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมราชชนกและได้ตามเสด็จไปไหนๆเวลาเสด็จออกข้างนอก ถ้าเสด็จโดยพระราชยาน พระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกเธอพระองค์เล็กๆก็ได้โดยเสด็จประทับไปด้วย พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนาเป็นพระเจ้าลูกเธอชุดสุดท้ายที่ได้ตามเสด็จ ถ้าเป็นทางใกล้ก็ประทับบนพระเพลา(ตัก) ถ้าเป็นทางไกลก็ประทับข้างๆพระองค์ สิ่งที่สนุกสนานที่สุดก็คือเสด็จแวะห้างฝรั่ง ทรงซื้อของเล่นหรือของเสวยมาพระราชทานเจ้านายพระองค์เล็กๆเสมอ

แต่ความสุขในวัยเยาว์ของพระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนาก็ต้องสะดุดหยุดลงเมื่อพระชนม์เพียงแค่ ๖ พรรษา เมื่อสมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จสวรรคตหลังจากเสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่หว้ากอ แล้วทรงติดเชื้อไข้ป่าอย่างรุนแรง จนพระอาการทรุดหนัก เสด็จสวรรคตภายในเวลาไม่กี่วัน


การเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ มิได้มีผลเพียงแค่ทำให้พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนาทรงเปลี่ยนฐานะจากพระเจ้าลูกเธอเป็นพระเจ้าน้องนางเธอในพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่เท่านั้น ชีวิตความเป็นอยู่ในพระบรมมหาราชวังก็ผันแปรไปจากเดิมเช่นกัน

ความผันแปรที่ว่า เห็นได้ตั้งแต่ราชการงานแผ่นดินทั้งปวงไม่ได้มีศูนย์รวมที่พระเจ้าแผ่นดินอย่างในรัชกาลก่อน แต่ว่าอยู่ในมือของผู้สำเร็จราชการ คือเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ส่วนเรื่องของราชสำนัก ถ้าเป็นฝ่ายหน้าก็อยู่ในความดูแลของเจ้านายชั้นผู้ใหญ่พระองค์หนึ่งคือสมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๒ ที่ประสูติแต่เจ้าฟ้ากุณฑลฯ

แต่ถ้าเป็นเรื่องภายในเขตพระราชฐานชั้นใน หรือเรียกว่าฝ่ายใน เจ้าฟ้ามหามาลาถวายให้พระองค์เจ้าหญิงลม่อม (ภายหลังสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จกรมพระยาสุดารัตนราชประยูร) พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอภิบาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทรงเป็นที่รักและเคารพและยกย่องว่า "เสด็จยาย" ส่วนชาววังเรียกว่า "ทูลกระหม่อมแก้ว"

สมเด็จกรมพระยาสุดารัตนฯทรงมอบหมายให้เจ้าคุณหญิงนุ่ม บุนนาค ธิดาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติเป็นผู้ดูแลเจ้าจอมท้าวนางทั้งหลาย

พร้อมกันนั้นก็เริ่มมีการจัดระเบียบอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง เช่นมีการสำรวจทรัพย์สินที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯเคยพระราชทานให้พระราชโอรสธิดาว่าอยู่ครบหรือไม่ เนื่องจากในวังมีการเล่นการพนันกันอยู่ประปราย เจ้าจอมมารดาบางท่านก็อาจจะทำให้ทรัพย์สินร่อยหรอลงไป เมื่อสำรวจแล้วก็ลงบัญชีไว้เป็นหลักฐาน

เรื่องต่อมาคือกำหนดการแต่งกายชาววัง เปลี่ยนจากนุ่งโจงกลับมานุ่งจีบอย่างที่เคยเป็นในรัชกาลที่ ๓ ความเปลี่ยนแปลงในระเบียบใหม่ๆนี้ บวกกับความเป็นอยู่ที่ขาดแคลนลงเมื่อสิ้นแผ่นดินที่สี่ เพราะขาดลาภผลพิเศษที่ได้รับพระราชทานอย่างเมื่อก่อน มีแต่เงินปีจำนวนไม่มาก ทำให้เจ้าจอมหลายท่านปลีกตัวจากวังหลวงออกมาอยู่ข้างนอก ด้วยรู้สึกว่าสบายเป็นอิสระกว่า หนึ่งในจำนวนนั้นคือเจ้าจอมมารดาเปี่ยม

ท่านมีโอกาสดีเพราะพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าอุณากรรณอนันตนรไชยเจริญพระชนม์มากพอจะมีวังส่วนพระองค์เอง อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณปากคลองตลาด ตรงโรงเรียนราชินีในปัจจุบัน เจ้าจอมมารดาเปี่ยมก็ออกจากวังหลวง

มาพำนักที่วังครั้งละนานๆ พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนาจึงได้ตามออกมาด้วย เป็นเหตุให้ว่ายน้ำได้เก่งและแจวเรือเป็น เป็นอีกช่วงหนึ่งที่ทรงมีความสุขมาก จนกระทั่งถึงปีที่ต้องโสกันต์(โกนจุก)ซึ่งหมายถึงการจบของช่วงชีวิตวัยเด็กลงเพียงแค่นั้น


พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนาทรงเจริญพระชนม์ขึ้นเป็นเด็กสาวที่ร่าเริง แจ่มใส ช่างเล่น ทรงมีพระพี่นางพระน้องนางต่างเจ้าจอมมารดาที่สนิทสนมกลมเกลียวเป็นเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกัน คือพระองค์เจ้าแขไขดวง พระองค์เจ้านภาพรประภา(ต่อมาทรงกรมเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี (ในสี่แผ่นดิน เรียกว่า เสด็จอธิบดี) พระองค์เจ้าพวงสร้อยสอางค์ และอีกพระองค์ที่สนิทกันมากก็คือพระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี

นอกจากเสน่ห์ตามธรรมชาติในพระอุปนิสัยแล้ว พระโฉมนั้นก็งดงามเป็นที่ยกย่องกันมาก จะเห็นได้จากบันทึกของ Prince Oscar, Duke of Cotland แห่งสวีเดนที่เสด็จมาถึงสยาม ทรงเล่าไว้ว่า

" ฉันแปลกใจเมื่อเข้ามาเผชิญหน้าผู้ที่มีรูปร่างอ้อนแอ้นบอบาง อายุราวๆ ๑๙ ปี แต่งกายคล้ายมหาดเล็ก แต่มีความคิดดีในการแต่งกาย ทำให้ดูหยดย้อยแสนจะหรูหรา พระเจ้าแผ่นดินแนะนำว่าเป็นพระมเหสีของพระองค์... ท่านงามสะดุดตาที่สุดอยู่แล้ว ซ้ำยังเคลื่อนไหวพระอิริยาบถด้วยท่าทีที่เชื่อมั่นในพระองค์เอง กับทรงมีพระรูปโฉมสมเป็นนางเอกในภาพที่งามวิจิตร บริวารของฉันซึ่งได้รับอนุญาตให้ตามฉันเข้าไปในที่นี้ด้วย ก็เช่นเดียวกับตัวฉัน คืองงงัน ซาบซึ้งและปีติยินดีในสิ่งที่ได้พบเห็น โดยเฉพาะในพระราชินีที่งามเลิศ"

ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีเจ้าจอมอยู่แล้ว ๒ ท่าน เมื่อเสวยราชย์แล้วก็มีเจ้าจอมอีกหลายท่านก่อนจะมีพระภรรยาเจ้า เจ้านายสตรีที่อยู่ในฐานะ "พระภรรยาเจ้า" มีทั้งหมด ๘ พระองค์ มี ๓ พระองค์ที่เป็นเชื้อสายในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนอีก ๕ พระองค์เป็นพระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ

ใน ๕ พระองค์นี้ พระองค์แรกคือ พระองค์เจ้าทักษิณชา เมื่อประสูติสมเด็จเจ้าฟ้าชายพระองค์แรก พระราชโอรสสิ้นพระชนม์ในวันประสูติ ทำให้พระชนนีเสียพระทัยมากจนประชวร มีพระอาการทางประสาทจนไม่อาจรับราชการฝ่ายในได้อีกตลอดพระชนมายุ ส่วนอีก ๔ พระองค์ แบ่งได้เป็น ๑ กลุ่ม กับ ๑ พระองค์ ๑ กลุ่มคือพระเจ้าลูกเธอที่ประสูติจากเจ้าจอมมารดาเปี่ยมทั้ง ๓ พระองค์ คือพระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระองค์เจ้าสว่างวัฒนา และพระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี ส่วน ๑ พระองค์คือพระองค์เจ้าสุขุมาลมารศรี ในเจ้าจอมมารดาสำลี บุนนาค ธิดาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ


พระภรรยาเจ้าทั้ง ๔ พระองค์นี้ในตอนแรก พระเจ้าอยู่หัวทรงยกย่องไว้ในที่เสมอกัน ไม่ได้เรียงลำดับหนึ่งสองสามสี่ พระเกียรติยศที่จะเพิ่มพูนขึ้นนั้น ขึ้นอยู่กับการมีพระราชโอรสธิดาเป็นหลักสำคัญ

พระภรรยาเจ้าพระองค์แรกที่ประสูติเจ้าฟ้า คือพระองค์เจ้าสุขุมาลมารศรี ประสูติสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้า(หญิง) สุทธาทิพยรัตน์ (ต่อมาเฉลิมพระยศเป็นเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์) นับเป็นเจ้าฟ้าโดยกำเนิดพระองค์แรกในรัชกาลที่ 5

ขอแทรกเกร็ดนิดหนึ่งค่ะว่า เจ้าฟ้านั้นมี 2 อย่าง คือเจ้าฟ้าโดยกำเนิด บางแห่งเรียกว่าเจ้าฟ้าชั้นเอก ชาววังเรียกกันว่าทูลกระหม่อม และอีกอย่างคือเจ้าฟ้าชั้นโท คือมิได้เป็นเจ้าฟ้าแต่แรกประสูติ แต่เลื่อนขึ้นภายหลัง ชาววัง เรียกว่าสมเด็จ(ชาย/หญิง)

เจ้าฟ้าหญิงพระองค์แรกทรงพระสิริโฉมงดงามมาก เมื่อประสูติพระวรกายขาวผ่องปราศจากตำหนิใดๆทั้งพระองค์ ทำให้ในวังกลัวกันมากว่าจะพระชนมายุไม่ยืน เพราะเชื่อกันว่าเด็กที่งามพร้อมจะถูกผีเอาตัวไปในเวลาไม่นาน จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อสรงน้ำ พระพักตร์ไปกระทบขอบพาน ถึงขั้นปลายพระขนงมีพระโลหิตตก เป็นแผลเป็นเล็กน้อย ก็เลยโล่งอกกันว่าเมื่อมีตำหนิแล้วก็พ้น เคราะห์ไป ก็ทรงเจริญพระชนมายุมาจนสี่สิบกว่าถึงสิ้นพระชนม์

เมื่อมีพระราชธิดา พระองค์เจ้าสุขุมาลฯได้รับพระราชทานเครื่องยศ ทองคำประดับเพชรงดงามหลายชิ้นด้วยกัน เป็นสิทธิ์ส่วนตัว ไม่ใช่ของหลวง และได้รับพระราชทานเงินรายเดือนเพิ่มจาก 2 ตำลึง(8 บาท) เป็น 5 ตำลึง (20 บาท) ส่วนเบี้ยหวัดเงินปีได้ 20 ชั่ง (1600 บาท)เท่ากับพระองค์อื่นๆ

หลังจากนั้น 9 เดือนเศษ พระราชโอรสชั้นเจ้าฟ้าพระองค์แรก ก็ประสูติจากพระองค์เจ้าสว่างวัฒนา ทรงพระนามว่า พระเจ้าลูกยาเธอสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ 2 เดือนต่อมา พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ประสูติพระธิดาพระองค์แรก สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ ถัดมาอีก 4 เดือน พระองค์เจ้าหญิงเสาวภาผ่องศรี ก็ประสูติสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพาหุรัดมณีมัย ทุกพระองค์ต่างได้รับเงินรายเดือนเพิ่มขึ้นเป็น 7 ตำลึง (28 บาท) เท่ากัน


ชีวิตในช่วงนั้นดำเนินไปด้วยความสุขราบรื่น พระภรรยาเจ้าทั้งสามพระองค์ประทับอยู่ในพระตำหนักเดิมแห่งเดียวกัน แต่ได้ตกแต่งและซ่อมแซมขยายให้กว้างขวางสมพระเกียรติ ทรงเคารพกันตามอาวุโส

พูดถึงความเป็นอยู่ในพระมหาราชวังก็ชื่นบาน และผ่อนคลายความจำเจกว่าเมื่อสมัยก่อน เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดที่จะแปรพระราชฐานไปประทับที่อื่นๆ เป็นการเยี่ยมพสกนิกรด้วยในตัว พระราชวงศ์ฝ่ายในลงมาถึงนางข้าหลวงก็ได้ตามเสด็จ ออกจากพระบรมมหาราชวังไปด้วย หลายครั้งหลายคราว หนึ่งในสถานที่ที่แปรพระราชฐานไปประทับคือพระราชวังบางปะอิน ที่ปลูกสร้างมาแต่โบราณ เป็นที่อากาศดี ทำเลดี มีที่ท่องเที่ยวตามแม่น้ำลำคลองใกล้ๆหลายแห่ง ได้พายเรือไปตามทุ่งนาหน้าน้ำ ชมธรรมชาติสวยงาม เป็นเรื่องสนุกสนานสำหรับชาววัง เวลาเสด็จไปก็เสด็จทางเรือเพราะว่าเป็นเส้นทางที่สะดวกที่สุด ถ้าหากว่าใครอ่าน "สี่แผ่นดิน" คงจำฉากที่บางปะอินได้ว่าพลอยกับช้อยสนุกสนานกันแค่ไหน ก็ไม่มีใครนึกฝันว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาจนได้ ในพ.ศ. ๒๔๒๓

คราวนั้นพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปพระราชวังบางปะอิน พร้อมด้วยพระภรรยาเจ้าและเจ้าจอมตลอดจนนางข้าหลวงอีกมาก แต่เกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง เรือปานมารุตที่พระองค์เจ้าสุนันทาฯประทับไปกับเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ พระราชธิดา ถูกเรือในขบวนเดียวกันชน จนพลิกคว่ำ ถึงสิ้นพระชนม์พร้อมด้วยพระราชธิดาและในเมื่อกำลังทรงพระครรภ์ พระเจ้าลูกเธอพระองค์นั้นก็พลอยสิ้นพระชนม์ไปด้วยอีกพระองค์หนึ่ง

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนั้น พระภรรยาเจ้าทุกพระองค์ยังไม่มีการสถาปนาฐานันดรศักดิ์แห่งพระมเหสีเทวีแต่อย่างใด จนกระทั่งถึงเวลาต้องทำประกาศทางราชการเรื่องงานพระศพ พระเจ้าอยู่หัวจึงตกลงพระทัย กำหนดให้ใช้คำว่า "สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์" ต่อมาก็ทรงจัดระเบียบเกี่ยวกับตำแหน่งพระภรรยาเจ้า ให้ลงตัวเรียบร้อย พระองค์ เจ้าสว่างวัฒนาในฐานะพระราชชนนีของสมเด็จเจ้าฟ้าชายพระองค์ใหญ่ อันอยู่ในฐานะรัชทายาทตามกฎมนเทียรบาล ก็ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระอัครมเหสี ทรงพระนามในตอนนั้นว่า สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระราชเทวี

ส่วนพระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี เป็น" พระนางเธอเสาวภาผ่องศรี" และพระองค์เจ้าสุขุมาลมารศรี เป็นพระนางเธอสุขุมาลมารศรี" ในปีเดียวกัน เมื่อถึงงานพระเมรุฯ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ก็มี ประกาศที่เป็นการยืนยันฐานะพระอัครมเหสีให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเพิ่มคำว่า "บรม" ลงไป เป็น " พระบรมราชเทวี" ทรงศักดินา ๑๐๐,๐๐๐ ไร่

ส่วนพระนางเธอเสาวภาผ่องศรี ทรงเป็นพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี ลำดับที่สอง พระนางเธอสุขุมาลมารศรี ทรงเป็นพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรีพระราชเทวี ลำดับที่สาม

เมื่อผ่านพ้นความทุกข์โศกที่สูญเสียสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทาฯไปแล้ว ชีวิตของสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯ ก็ดำเนินต่อไปด้วยความราบรื่นต่อมาอีกหลายปี

พระราชโอรสเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศทรงเจริญพระชนม์ขึ้นเป็นเด็กชายที่เฉลียวฉลาด ช่างเจรจา เป็นที่สนิทเสน่หาของพระบรมราชชนนีอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับสมเด็จพระบรมชนกนาถ สมเด็จฯทรงมีครอบครัวที่อบอุ่นพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก ในยามเล่น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จ ฯ ก็ทรงเล่นเป็นแม่งูกับพ่องู ให้พระราชโอรสเป็นลูกงู สำราญพระราชหฤทัยเหมือนพ่อแม่ลูกทั่วไปที่สนิทชิดใกล้กัน


สมเด็จฯ มีพระราชโอรส ๔ พระองค์ และพระราชธิดา ๔ พระองค์ คือ ๑. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ (สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรก) ๒. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอิศริยาลงกรณ์ ๓. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงวิจิตรจิรประภา ๔. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ ๕. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร เจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้ สมเด็จฯทรงยกให้เป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ด้วยเห็นพระทัยที่ทรงโศกเศร้าจากการสูญเสียพระเจ้าลูกเธอ การยกนั้นก็ยกให้เป็นพระราชธิดาจริงๆ โปรดให้ทรงเรียกพระองค์ว่า "สมเด็จป้า" ส่วนสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาฯ คือ "สมเด็จแม่" ๖. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงศิราภรณ์โสภณ ๗. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ) ๘. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิง (สิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษาได้ ๔ วัน ยังไม่ได้รับพระราชทานนาม)

สมเด็จพระนางเธอเสาวภาผ่องศรีทรงมี ๑๔ พระองค์ (มากที่สุดในบรรดาพระมเหสีและเจ้าจอมมารดา) คือเป็นพระราชโอรส ๗ พระองค์ พระราชธิดา ๒ พระองค์ และที่ตก(แท้ง)ระหว่างทรงพระครรภ์ ไม่ปรากฏว่าเป็นพระราชโอรสหรือพระราชธิดา อีก ๕ พระองค์

ลำดับครบ ๑๔ พระองค์ ได้แก่ ๑) สมเด็จเจ้าฟ้า(หญิง)พาหุรัดมณีมัย ๒) ตกระหว่างทรงพระครรภ์ ๓)สมเด็จเจ้าฟ้า(ชาย)มหาวชิราวุธ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ๔)สมเด็จเจ้าฟ้า(ชาย)ตรีเพ็ชรุตม์ธำรง ๕) สมเด็จเจ้าฟ้า(ชาย)จักรพงษภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ๖) ตกระหว่างทรงพระครรภ์ ๗)สมเด็จเจ้าฟ้า(ชาย)ศิริราชกกุธภัณฑ์ ๘) ตกระหว่างทรงพระครรภ์ ๙) สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง สิ้นพระชนม์ในวันประสูติ ๑๐)สมเด็จเจ้าฟ้า(ชาย)อัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ๑๑)ตกระหว่างทรงพระครรภ์ ๑๒)ตกระหว่างทรงพระครรภ์ ๑๓) สมเด็จเจ้าฟ้า(ชาย) จุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย ๑๔)สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

สมเด็จพระนางเธอสุขุมาลมารศรี มีพระราชโอรสธิดา ๔ พระองค์ แต่ว่าตกระหว่างทรงพระครรภ์เสีย ๒ พระองค์ เหลือเพียง ๒ พระองค์ คือ ๑)สมเด็จเจ้าฟ้า(หญิง)สุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์ ๒) สมเด็จเจ้าฟ้า(ชาย)บริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต

ช่วงเวลาที่เป็นสุขของสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา ทรงมีความสุขอยู่หลายปี เมื่อพระราชโอรสเจริญพระชนม์ขึ้นเป็นหนุ่ม มีพระสิริโฉมคมสันคล้ายสมเด็จพระบรมชนกนาถ เป็นที่สนิทเสน่หาของพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯ เหมือนแก้วตาดวงใจ

เมื่อพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ต่างๆเจริญพระชนม์ขึ้น ราว ๑๒-๑๓ พรรษา ก็ได้เสด็จไปศึกษาต่อในยุโรปกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ว่าเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ มิได้เสด็จไปศึกษาในต่างแดน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯโปรดที่จะให้อยู่ใกล้ชิดพระองค์เพื่อเรียนรู้งานราชการ ในฐานะทรงดำรงตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมาร เพื่อจะได้ขึ้นครองราชย์ต่อไปภายหน้า

ความทุกข์เริ่มมาเยือนสมเด็จฯในรูปของการจากไปของพระราชธิดา สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงวิจิตรจิรประภา มีพระชนม์เพียงแค่ ๕ เดือนก็สิ้นพระชนม์ ทรงบรรเทาความเศร้าโศกด้วยการรับพระธิดาในพระเชษฐาสมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการมาเลี้ยงแทน คือหม่อมเจ้าหญิงพิจิตรจิราภา นักเรียนร.ร.ราชินีคงคุ้นกับพระนามดี

สมเด็จฯเป็นผู้ที่มีพระเมตตาสูง โดยเฉพาะกับเด็ก ปราศจากการเลือกที่รักมักที่ชัง พระราชโอรสธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ไม่ว่าประสูติจากพระมเหสีหรือเจ้าจอม สมเด็จฯทรงถือเป็นลูก ไม่มีคำว่า "แม่เลี้ยง" "ลูกเลี้ยง" พระเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นพระอัธยาศัย เมื่อเจ้าจอมมารดา ม.ร.ว. เนื่องและเจ้าจอมมารดาพร้อมถึงแก่อนิจกรรม ทิ้งพระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกเธอที่ทรงพระเยาว์ไว้ 4 พระองค์ คือพระองค์เจ้าเยาวภาพงศ์สนิธ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ พระองค์เจ้าประภาพรรณพิไลย และพระองค์เจ้าวาปีบุษบากร พระเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานให้สมเด็จ ทรงเลี้ยงไว้ สมเด็จทรงทะนุถนอมให้ความรักความเมตตาเทียบเท่ากับพระราชโอรสธิดาในอุทร

เราคงจำวิกฤติการณ์ ร.ศ.112 เหตุการณ์บ้านเมืองในสยามค่อนข้างวุ่นวาย จากกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส ที่เป็นเหตุให้ไทยต้องเสียดินแดนและยังต้องจ่ายค่าปรับถึงสามล้านบาท เงินสามล้านในสมัยนั้นมากเกินกว่าท้องพระคลังจะหามาได้ อาศัยเงินถุงแดงของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวช่วยไว้ได้มาก สมกับพระราชดำรัสราวกับมีพระเนตรทิพย์มองเห็นอนาคตว่า " เก็บเอาไว้ไถ่บ้านไถ่เมือง"

ความเคร่งเครียดจากเรื่องนี้ทำให้พระเจ้าอยู่หัวถึงกับประชวร เจ้าฟ้าสองพระองค์ที่ทรงทำหน้าที่ราชเลขานุการ คือเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ และเจ้าฟ้าหญิงสุทธาทิพยรัตน์ทรงรับผิดชอบงานในหน้าที่อย่างหนัก เป็นเหตุให้ได้ทรงมีโอกาสพบปะกันบ่อย อย่างที่เคยเล่าแล้วว่าเจ้าฟ้าหญิงทรงมีพระสิริโฉมงดงามเป็นเอก แม้ว่าพระชนม์เจ้าฟ้าชายน้อยกว่าเจ้าฟ้าหญิงก็หาเป็นอุปสรรคอย่างใดไม่ เป็นเรื่องก๊อสสิปในวัง ว่าเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศทรงประดิพัทธ์ ถึงกับรู้ถึงเจ้าพระเจ้าอยู่หัว น่าเสียดายที่เราไม่มีโอกาสติดตามเรื่องของเจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์ เพราะว่าเรื่องยุติลงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ทันคืบหน้าไปถึงไหน

สมเด็จฯตั้งพระครรภ์เจ้าฟ้าหญิงพระองค์สุดท้าย แต่น่าเสียดายว่ามีพระชนม์เพียงแค่ ๔ วันก็สิ้นพระชนม์ นับเป็นทุกข์หนักอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อพ้นวิกฤติการณ์ รศ. ๑๑๒ มาแล้ว เหตุการณ์บ้านเมืองก็คลี่คลายลงกลับเข้าสู่ความสงบ แต่ก็ยังเงียบเหงาอยู่ พระเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้บำรุงขวัญราษฎรด้วยการจัดงานขึ้นอย่างครึกครื้นในพระนคร คืองานโล้ชิงช้าหรือพระราชพิธีตรียัมปวาย มีเสนาบดี เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์(ม.ร.ว. หลาน กุญชร) เป็นพระยาโล้ชิงช้า มีกระบวนแห่กันคึกคัก เป็นที่สนุกสนานเบิกบานทั้งชาวบ้านและชาววัง

ไม่มีวี่แววมาก่อนว่าพระราชพิธีนี้จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นซ้ำซ้อน สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศมีพระชันษาได้ ๑๗ ปี กำลังหนุ่มแน่น พระพลานามัยแข็งแรง ไม่เคยมีพระโรคประจำพระองค์ แต่ก็เกิดประชวรกะทันหันด้วยพระโรคไข้รากสาดน้อย ถึงขั้นเสด็จสวรรคตในวันสุดท้ายของงาน เป็นเรื่องที่ตื่นตระหนกตกใจกันไปทั้งพระบรมมหาราชวัง

พระบรมราชชนนีทรงเฝ้าไข้อยู่ตลอดเวลาไม่เป็นอันเสวย เมื่อพระราชโอรสเสด็จสวรรคต นับเป็นทุกข์ครั้งใหญ่หลวงที่สุดเท่าที่ทรงประสบมา สมเด็จฯ ถึงกับทรงล้มลงทั้งยืน ไม่ได้สติสมปฤดี เมื่อรู้สึกพระองค์ก็กันแสงรุนแรง ใคร่จะสวรรคตตามพระราชโอรสไปเพียงประการเดียว


สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯ ทรงรับรู้ความเปลี่ยนแปลงในพระเกียรติยศอย่างสงบ ปราศจากความโทมนัส จะเป็นเพราะทรงปลงตกถึงความเป็นอนิจจังของทุกสิ่ง หรือเป็นเพราะไม่มีความโทมนัสเหลือให้เป็นทุกข์อีกแล้ว ก็ไม่อาจทราบได้

อย่างไรก็ตาม ฐานะของพระอัครราชเทวี และพระบรมราชเทวี ก็ยังก้ำกึ่งกันอยู่ เวลาเสด็จพระราชดำเนินไปในงานพิธีหลวงต่างๆ พระเจ้าอยู่หัวก็โปรดให้สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯเสด็จนำหน้าสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีอยู่ดี รับสั่งว่า ให้พี่เดินหน้าน้อง

สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯจึงมักจะทรงเลี่ยงที่จะเสด็จไปพร้อมกัน อย่างตอนตามเสด็จประพาสชวา ก็ทรงเลี่ยงไปประทับอยู่ในเมือง นอกเส้นทางเสด็จประพาส เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนแก่เจ้าภาพว่าใครคือควีนพระองค์จริงกันแน่ เพราะทรงยอมรับว่าพระน้องนาง ในฐานะพระบรมราชชนนีของสยามมกุฎราชกุมารพระองค์ คือพระราชินีแห่งสยาม

พระเกียรติยศของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีในฐานะสมเด็จพระบรมราชินี ปรากฏชัดตามกฎหมาย เมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จยุโรปครั้งแรก ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนกว่าพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จคืนพระนคร

ในพ.ศ. ๒๔๓๙ สยามจึงสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถพระองค์แรก ตรงกับคำว่า Queen แทนตำแหน่งพระบรมราชเทวี โปรดเกล้าฯประกาศในราชกิจจานุเบกษา ก่อนจะเสด็จยุโรป ชาววังออกพระนามว่า สมเด็จรีเยนต์ แทน สมเด็จที่บน อย่างเมื่อก่อน ส่วนสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯ ทรงเป็น สมเด็จพระตำหนัก มาตั้งแต่ต้น

ในการเสด็จยุโรป พระเจ้าอยู่หัวทรงพาสมเด็จเจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย ตามเสด็จไปด้วย พระสุขภาพของสมเด็จพระตำหนัก ที่อ่อนแอมาหลายปี เริ่มฟื้นขึ้นมากหลังพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับจากยุโรปพร้อมพระราชโอรส สมเด็จเจ้าฟ้าสมมติวงศ์ฯบัดนี้เจริญพระชนม์ขึ้นเป็นหนุ่ม มีพระโฉมงดงามคล้ายสมเด็จพระบรมเชษฐาที่เสด็จสวรรคตไปแล้ว ทรงกรมเป็นกรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ กำกับราชการกรมมหาดเล็ก

แต่ความสุขของสมเด็จฯ ก็ยั่งยืนมาได้อีกเพียง ๓ ปี ก็สูญเสียพระราชธิดา สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงศิราภรณ์ฯ ที่พระชนม์ ๑๑ กำลังน่ารักน่าชมเป็นที่รักของชาววังโดยทั่วกัน ด้วยโรคนิวมอเนีย สิ้นพระชนม์กะทันหัน สมเด็จฯทั้งตกพระทัยและเสียพระทัยสุดขีด พระสุขภาพที่ดีขึ้นก็ทรุดลงไปอีก แพทย์ถวายคำแนะนำให้เสด็จไปประทับที่ชายทะเล พระเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จไปศรีราชาเพื่อจะดูสถานที่ปลูกตำหนักที่ประทับของสมเด็จฯในปีต่อมา ระหว่างเสด็จไปศรีราชา เรื่องร้ายที่ไม่คาดฝันก็เกิดเป็นคำรบสองเหมือนเมื่อหลายปีก่อน สมเด็จเจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย เกิดประชวรกะทันหันด้วยโรคไข้ราดสาดน้อย เพียงไม่กี่วันก็สิ้นพระชนม์ก่อนพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จกลับกรุงเทพ

ส่วนสมเด็จฯ นั้น พระอาการทรุดเพียบหนักลงไปทันทีเมื่อรู้ข่าว ถึงกับ ดำเนินไม่ได้ ทรงสูญสิ้นความรัก ความหวัง ความชื่นชมในพระราชโอรส ทรงกลายเป็นคนไข้หนักอย่างไม่มีหมอคนใดเยียวยาได้


พระพลานามัยที่ทรุดโทรมลงเรื้อรังทำให้สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯ แปรพระราชฐานไปประทับในระยะยาวที่ศรีราชา พระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปเยี่ยม ๓ ครั้งคือคราวเสด็จประพาสหัวเมืองแหลมมลายู เสด็จประพาสชวา และอีกครั้งหนึ่งในปี๒๔๔๕

ผู้ที่มาอยู่เป็นเพื่อนสมเด็จฯ ก็คือพระราชธิดา สมเด็จเจ้าฟ้าวไลอลงกรณ์ ซึ่งสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงขอไปเป็นพระราชธิดา บัดนี้ก็เสด็จกลับมาทรงอยู่กับสมเด็จแม่ และมีพระอนุชาของสมเด็จคือกรมพระสวัสดิวัดน์ฯ ทรงอยู่เป็นพระอภิบาลด้วยอีกพระองค์หนึ่ง

สมเด็จฯประทับอยู่ที่ศรีราชาถึง ๓ ปีเศษ จนพระพลานามัยค่อยดีขึ้น ทรงสร้างสถานพยาบาล ต่อมาก็พระราชทานที่ดิน อาคารและพระตำหนักให้เป็นโรงพยาบาล พร้อมทั้งเงินค่าใช้จ่ายอีกด้วย เมื่อพระพลานามัยดีขึ้น ก็เสด็จกลับกรุงเทพ

พระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระราชวังแห่งใหม่คือพระราชวังสวนดุสิต แบ่งที่ดินพระราชทานพระมเหสี เจ้าจอมและพระเจ้าลูกเธอเป็นส่วนๆ แต่ละส่วนเรียกว่า "สวน" มีคลองระบายน้ำและถนน พระราชทานชื่อตามชื่อเครื่องลายครามซึ่งนิยมกันในตอนนั้น ตำหนักที่สมเด็จฯประทับอยู่ ชื่อว่า สวนหงส์

ในสมัยนั้น ผู้น้อยไม่บังอาจเรียกผู้ใหญ่ด้วยชื่อตรงๆ ถือว่าเป็นการไม่เคารพ ในวังหลวงมีเจ้านายสตรีชั้นสมเด็จอยู่หลายพระองค์ เพื่อให้รู้กันว่าหมายถึงพระองค์ไหน ชาววังก็จะเอ่ยถึงพระนามเรียกแตกต่างกันไป อย่างสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯ ชาววังเรียกว่า "สมเด็จพระตำหนัก" ส่วนสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เมื่อก่อนเรียกว่า "สมเด็จที่บน" ต่อมาเมื่อสำเร็จราชการก็เรียกกันว่า "สมเด็จรีเยนต์"

ชาววังมีเรื่องสนุกตามพระราชนิยมกันมากมาย เมื่อครั้งพระเจ้าอยู่หัวเสด็จยุโรป สมเด็จรีเยนต์โปรดทรงจักรยาน เจ้านายและสาวชาววังก็หัดขี่จักรยานกันเป็นทิวแถว ต่อมาเมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับมาแล้ว เกิดความนิยมเล่นตลับงาที่ใช้ใส่ขี้ผึ้งสีปาก ชาววังก็พากันเล่นตามอีก เป็นที่สนุกสนาน เล่นที่นี้หมายถึงสะสม ทำให้เกิดไอเดียออกแบบตลับงาแบบต่างๆ ตั้งแต่ใบใหญ่เรียงลำดับลงไปจนใบเล็กจิ๋ว ขัดจนขึ้นลายงดงาม แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯขอถวายชื่อคล้องจองกันเป็นชุด

สมเด็จพระตำหนัก ฯมีพระอัธยาศัยสงบสุภาพ ไม่โปรดที่จะขัดผู้ใด สิ่งใดอนุโลมได้ก็ทรงอนุโลม เรื่องตลับงาก็ทรงมีบ้าง แต่ก็ทรงมีความสนพระทัยกิจกรรมบางอย่างเป็นส่วนพระองค์ คือการทอผ้า ตั้งแต่ยังทรงอยู่ที่ศรีราชา บรรดาเจ้านายสตรีและนางข้าหลวงในตำหนักพากันทอผ้าเป็น ถึงขั้นทอจำหน่ายในวังได้ สนพระทัยถึงกับสั่งหูกทอผ้าจากญี่ปุ่นเข้ามาใช้ทอ ผ้าทอของสมเด็จฯมีตั้งแต่ผ้าแบบง่ายๆอย่างผ้าพื้น(หมายถึงผ้านุ่งไม่มีลาย) ไปจนผ้าทอชนิดยากๆ อย่างผ้ายกดอกไหม และผ้าโหมด(คือผ้าทอสอดเส้นทองในเนื้อผ้า นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจส่วนพระองค์ ที่ไปได้ดีอีกมาก เช่นตั้งโรงสีข้าว ซื้อขายรับจำนองที่นา มีผู้จัดการผลประโยชน์คือคุณหญิงเอี่ยมภรรยาเจ้าพระยาอภัยราชา ทรงเป็นเจ้านายสตรีที่มั่งมีพระองค์หนึ่ง

เวลาก็ผ่านไปอย่างสงบเป็นเวลาหลายปี ไม่มีเหตุการณ์บ้านเมืองชวนให้อกสั่นขวัญหายอย่างตอนร.ศ. ๑๑๒ อีก

สมเด็จพระบรมโอรสธิราชฯ คือเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธเสด็จกลับจากศึกษาที่อังกฤษ ทรงปฏิบัติราชการ เป็นผู้แทนพระองค์ได้อย่างเรียบร้อย พระสุขภาพก็ดี แม้ว่าเคยผ่าตัดมาหนหนึ่งที่อังกฤษ แต่ว่ายังมิได้คิดเรื่องอภิเษกสมรสกับเจ้านายสตรีองค์ไหนจนแล้วจนรอด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สมเด็จพระบรมราชินีฯ ทรงกังวลอยู่ไม่มากก็น้อย ทรงเห็นว่าพระราชโอรสมีพระชนม์มากพอแล้ว ถึงกับทรงเลือกเจ้านายสตรีที่เหมาะสมให้ แต่ก็ไม่เป็นผล หนึ่งในเจ้านายสตรีที่ทรงเห็นว่าเหมาะสมคือ สมเด็จเจ้าฟ้านิภานภดล กรมขุนอู่ทองฯ พระราชธิดาที่ประสูติจากพระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินินาฏ แต่สมเด็จพระบรมโอรสาฯ ก็ทรงยืนกรานปฏิเสธว่า "ไม่ขอเอาน้องเป็นเมียเป็นอันขาด"

ทีนี้มาพูดเรื่องการสืบสันตติวงศ์ เคยอ่านพบในเน็ตว่าสมเด็จพระบรมราชินีฯทรงทูลขอพระเจ้าอยู่หัวว่า ลำดับการสืบราชบัลลังก์นั้น ขอให้ลำดับพระราชโอรสที่ประสูติจากพระองค์ไปจนหมดสายก่อน แล้วค่อยไปเริ่มที่สายของสมเด็จพระมเหสีพระองค์อื่น แทนที่จะลำดับตามพระชนม์มากน้อยของบรรดาเจ้าฟ้าชาย (โดยไม่เลือกว่าประสูติจากพระราชมารดาพระองค์ไหน) อย่างเมื่อก่อน

ถ้าหากว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นชอบตามนี้ ลำดับการสืบ ก็จะผิดไปจากเดิม กลายเป็นตามลำดับดังนี้ ๑ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ๒ สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ๓ สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ๔ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย ๕ สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ทั้ง ๕ พระองค์เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมราชินีฯ เมื่อมาถึงที่สุดของสายสมเด็จพระบรมราชินีฯแล้ว ก็ยังมีเจ้าฟ้าในอีก ๒ สาย คือ สายสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา เหลือเพียงพระองค์เดียว คือ สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมขุนสงขลานครินทร สายสมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี เหลือเพียงพระองค์เดียว คือ สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทั้งสองพระองค์นี้ ถ้าลำดับตามพระยศของสมเด็จพระราชชนนี ตั้งแต่ต้นรัชกาล สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาเคยมีพระยศสูงกว่าสมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี แต่ถ้าลำดับตามพระชนม์ของเจ้าฟ้า สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ มีพระชนม์สูงกว่าสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสงขลาฯ

ดิฉันก็ยังหาหลักฐานเรื่องทูลขอไม่พบ ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ แต่ถ้าเทียบกับหลักฐานจากที่อื่น ก็ยังแย้งๆกันอยู่ สิ่งที่จริงคือมีการสถาปนาตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารขึ้นในรัชกาลที่ ๕ แทนตำแหน่งวังหน้า ก็มีเพียง ๒ พระองค์คือเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ และเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกา หรือพระบรมราชโองการใดๆ ในรัชกาลที่ ๕ ที่มีวี่แววให้เห็นว่า พระเจ้าอยู่หัวจะโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเจ้าฟ้าในสายของสมเด็จพระบรมราชินีฯ ให้อยู่ในลำดับการสืบสันตติวงศ์ต่อจากเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ

เรื่องนี้ก็เลยน่าสงสัยว่าจริงหรือไม่ หรืออย่างน้อยถ้าสมเด็จพระบรมราชินีฯทูลขอจริง พระเจ้าอยู่หัวก็มิได้ทรงเอื้ออำนวยตามนั้น เพราะในตอนปลายรัชกาลที่ ๕ พระเจ้าอยู่หัวทรงเมตตาสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์เป็นอย่างมาก ถึงกับทรงเรียกว่า "เจ้าฟ้าองค์ที่ ๒" คือรองจากสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ผู้เป็น" เจ้าฟ้าองค์ที่ ๑" ก็อาจจะพอมองเห็นว่า ยังทรงยึดลำดับอาวุโสมากน้อยของพระราชโอรส มากกว่ายึดฐานะของพระมเหสี

อย่างไรก็ตาม ในรัชกาลที่ ๕ ปัญหานี้ก็ไม่ใช่เรื่องร้อนใจอะไรนัก หากว่าเหตุการณ์เป็นไปเหมือนรัชกาลก่อนๆ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯย่อมจะอภิเษกในวันใดวันหนึ่ง แล้วก็คงจะมีพระราชโอรสหลายพระองค์ และมีพระองค์ใหญ่เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯสืบราชบัลลังค์ต่อไป ส่วนสมเด็จพระอนุชาหลายพระองค์นั้น พระองค์ใดจะอยู่ในลำดับใดก็ไม่น่าเป็นปัญหา เพราะก็จะทรงอยู่ห่างราชบัลลังก์ออกมาอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็กลายเป็นปัญหาขึ้นมาจนได้ เพราะเมื่อสิ้นรัชกาลรัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ขึ้นครองราชย์ พระชนม์ได้ ๓๐ พรรษาแล้วก็ยังทรงเป็นโสด มิได้ถูกพระราชหฤทัยในสตรีใดไม่ว่าเจ้านายหรือสตรีสามัญ

เมื่อเปลี่ยนแผ่นดิน สมเด็จพระบรมราชินีฯ ก็ทรงเปลี่ยนฐานะเป็น "สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี" ส่วนสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯ ทรงเป็น "สมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี" ชาววังออกพระนามว่า "สมเด็จพระมาตุจฉา" ตลอดรัชกาลที่ ๖ พระราชโอรสที่ทรงเหลืออยู่เพียงพระองค์เดียวคือสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสงขลาฯ เสด็จไปศึกษาต่อ ที่ต่างประเทศ ได้เสด็จกลับมาสยามเพื่อร่วมงานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในตอนนั้นพระชนม์ได้ ๑๘ พรรษา แม่ลูกได้พบกันเพียง ๔ เดือนก็ต้องจากกันอีก เพราะพระราชโอรสจะต้องเสด็จกลับไปศึกษาต่อ สมเด็จพระมาตุจฉา ก็ทรงข่มความรักความอาลัยไว้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยธรรมะที่ทรงปฏิบัติต่อเนื่องกันมาหลายปี

ในช่วงปลายรัชกาลที่ 5 มีเค้าปัญหาเรื่องรายจ่ายในราชสำนักแล้วละค่ะ เพราะว่าเงินรายได้ของแผ่นดินเอาไปลงทุนในกิจการต่างๆเพื่อความก้าวหน้า อย่างเรื่องการรถไฟ ก็ต้องทอนงบประมาณในราชสำนักลง พระคลังถวายได้ปีละ 1 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายที่มากมายนี้รวมเรื่องเงินเดือนข้าราชการทั้งกระทรวงวัง กรมราชเลขาฯ และอื่นๆทุกแผนก เงินค่ารักษาซ่อมแซมวัดพระแก้ว พระที่นั่ง พระราชวัง ค่าเลี้ยงรับรองแขกบ้านแขกเมือง งานเบี้ยหวัดรายปีพระราชวงศ์ทั้งหมด

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เคยทรงเรียกสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ไปเข้าเฝ้า แล้วตรัสว่า เดี๋ยวนี้ทรงจนเต็มที เงินไม่พอใช้ จะขอพระคลังเพิ่มก็ทรงลั่นวาจาไว้แล้วว่าขอเพียงแค่นี้ จะทำอย่างไรดี สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ตกพระทัยที่พระเจ้าแผ่นดินทรงมีเงินไม่พอใช้ จึงกลับมาคิดตั้งสำนักงานทรัพย์สิน ถวาย ด้วยการรวมเงินของเจ้านายต่างๆมาลงทุนให้งอกเงยขึ้นเป็นค่าใช้จ่าย

พูดถึงความหรูหราในราชสำนัก ก็มีจริง ถ้าเทียบกับสมัยก่อนๆที่เรายังไม่มีอิทธิพลตะวันตกเข้ามาให้ซื้ออะไรมาก แต่ของเหล่านั้นอย่างพวกเครื่องเพชรของเจ้านายฝ่ายใน ก็ตกทอดเป็นมรดกกันไปได้ ไม่ได้สูญเปล่า ถือเป็นการเก็บออมอย่างหนึ่ง

เรื่องสมเด็จพระพันปี มีพระทัยกว้างขวางนั้น ก็ได้ยินมาว่าเป็นความจริงค่ะ ทรงชุบเลี้ยงทะนุบำรุงข้าราชบริพารอย่างดี เป็นที่เคารพรักกันมาก ตอนต้นรัชกาลที่ 6 ทรงมีรายได้จากพระคลังปีละ สามแสนบาท นี่หมายถึงว่าจ่ายเงินเดือนข้าราชการในพระองค์ (ซึ่งเทียบเท่ากับกรมหนึ่ง) ด้วยนะคะ ไม่ใช่จ่ายส่วนพระองค์ และพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ถวายเพิ่มให้อีกหนึ่งแสนบาท เพื่อบำรุงพระเกียรติยศ

เรื่องรายจ่ายสมัยรัชกาลที่ 6 ที่ว่าเปลืองจนทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจในรัชกาลที่ 7 ก็เคยมีคนออกมาแย้งว่าไม่จริง ด้วยการแสดงหลักฐานค่าใช้จ่ายให้เห็น เรื่องหนึ่งที่พูดกันมากคือทรงสร้างบ้านประทานข้าราชบริพารเสียเงินมากมาย ความจริงมีแค่ 3 หลัง ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ครบทุกหลังคือบ้านนรสิงห์ ตึกไทยคู่ฟ้า บ้านบรรทมสินธุ์หรือบ้านพิษณุโลก และบ้านมนังคศิลา

มีก๊อสสิปเรื่องนี้ ที่ดิฉันไม่ได้เอามาลงในกระทู้ก๊อสสิปนอกกำแพงวัง คือผู้เขียนเล่าจากคำบอกเล่าของคุณหลวงอีกน่ะละค่ะ ว่าบ้านที่ว่าสร้างพระราชทานนั้น ความจริงก็เป็นพระตำหนักของพระองค์ท่านเอง เพื่อจะเสด็จออกมาประทับ เวลามีพระราชประสงค์ให้พ้นจากพิธีรีตองอันเคร่งครัดต่างๆในพระบรมมหาราชวัง พูดง่ายๆว่าอยู่แบบสบายๆหน่อย แต่แทนที่จะสร้างไว้เฉยๆ นานๆจะได้ทรงอยู่เสียที ก็ให้ข้าราชบริพารคนสนิทอยู่ไป และเมื่อสิ้นรัชกาลแล้วก็พระราชทานให้พวกเขาเป็นสิ่งตอบแทนที่รับใช้เบื้องพระยุคลบาทมา นๆ

ผมรู้มาว่าเดิมนั้นสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมีพระราชประสงค์ให้พระราชโอรสที่เกิดจาพระภรรยาเจ้าชั้นลูกหลวง เรียงพี่เรียงน้องกันในการสืบสันตติวงศ์

แต่เรื่องที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ จะกราบบังคมทูลขอพระพรนั้นจริงหรือเปล่าผมก้ไม่มีหลักฐานคับ เคยได้ยินแต่เขาเล่ามา แต่หลักฐานอย่างหนึ่งที่พอจะเป็นพยานได้ว่าภายหลังพระราชโอรสของสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ ได้เป็นหลักในการสืบสันตติวงศืก็คือ เมื่อคราวสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เสด็จกลบมาจากต่างประเทศ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้พระราชทานพระชัยนวโลหะ ประจำรัชกาลที่ 5 ให้กับสมเด็จพระบรมฯ ต่อหน้าพระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนาง ไม่แน่ใจว่าใช่ที่พระที่นั่งอัมริจนทร์หรือเปล่านะคับ

รัชกาลที่ 6 ท่านเล่าว่าพระชัยนวโลหะ ประจำรัชกาลที่ 5 หล่อขึ้นที่พระราชวังบางะอิน แต่เดิมมีพระราชประสงค์จะพระราชทานให้กับเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ แต่ได้เสด็จสวรรคตเสียก่อน จึงได้พระชทานให้กับเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธต่อมา ทั้งยังทรงบอกว่า รัชกาลที่ 5 ทรงกำชับว่า พระชัยนวโลหะนี้ ให้พระราชโอรสที่พระชนมายุสูงสุด ในบรรดาพระราชโอรสของสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ เป็นผู้รักษาไว้จนกว่าจะสิ้นชีวิต ซึ่งการพระราชทานพระชัยนวโลหะนี้ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงทำตามอย่างรัชกาลที่ 4 ในการพระชทานพระชัยนวโลหะ ประจำรัชกาลที่ 4 ให้กับพระราชโอรสสายสมเด็จพระนางเธอ พระองค์เจ้ารำเพย และถ้าผมจำไม่ผิดต่อใมพระชัยนวโลหะ ในรัชกาลที่ 5 สมเด็จพระราชปิตุลาฯ ได้เป็นผู้เก็บรักษาไว้ที่วังบูรพาคับ

ขออนุญาตเล่าเกร็ดเล็กๆ เมื่อคราวที่สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา ไปรักษาพระอาการประชวรที่ศรีราชา กรมพระสวัสดิฯ ได้ทรงแอบมีรักกับหม่อมเจ้าหญิงอาภาพรรณ๊ จนความทราบถึงองค์สมเด็จฯ ทำให้ทรงกริ้วมาก ถึงกับมีรับสั่งจะจับขังสนม กรมพระสวัสดิฯ จึงพาหม่อมเจ้าหญิงอาภาพรรณีหนีไปอยู่ที่วังของกรมหลวงพิชิตปรีชากร คับ


ในรัชกาลที่ 6 สมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าและสมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงมีเวลาว่างพอจะเสด็จมาเยี่ยมเยียนกันได้บ่อยๆ สมเด็จพระบรมราชชนนีประทับที่วังพญาไท เมื่อสมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าเสด็จมา เจ้าของวังก็ทรงหมอบกราบรับเสด็จอย่างน้องพึงทำต่อพี่ ทรงสนิทสนมกันถึงกับเสด็จทางเหนือเยี่ยมราษฎรด้วยกัน เนื้อที่ในกรุงเทพสมัยรัชกาลที่ 6 ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับสมัยนี้ พญาไทยังเป็นทุ่ง เช่นเดียวกับสระปทุม เป็นชานเมืองห่างไกลตึกรามบ้านช่อง อากาศโปร่งสบายเหมือนอยู่ในชนบท

สมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าฯ ทรงปลูกตำหนักที่เรียกว่า "วังสระปทุม" ในปัจจุบัน ทรงร่างแบบเอง ให้สถาปนิกเอาไปออกแบบอีกทีหนึ่ง เป็นที่อยู่ที่ห้องหับต่างๆโปร่งโล่งสว่าง รับลมได้ ไม่มีมุมอับ สมเด็จฯทรงปฏิบัติพระองค์อย่างง่ายๆเมื่อเสด็จมาประทับแรมระหว่างวังยังสร้างไม่เสร็จ โปรดที่จะแจวเรือไปแถวประตูน้ำเพื่อซื้ออาหารสด หรือนั่งเรือลัดเลาะไปจนถึงคลองเตย เมื่อวังสระปทุมสร้างเสร็จ ก็โปรดให้ปลูกกล้วยและทำสวนครัว พืชผลที่ปลูกได้ก็ไม่ทิ้งไว้เปล่าๆ อะไรขายได้ก็ขาย อย่างใบตองที่เหลือใช้ เชือกกล้วย กล้วยสุก ทรงขายได้ทั้งนั้น ผักสดที่เสวยก็ไม่โปรดให้จัดมามากมายเกินเสวย และไม่ต้องแกะสลักเพราะจะเป็นการเสียของไปโดยเปล่าประโยชน์ ทรงมีรายได้จากพืชผลปีละหลายร้อยบาท นอกจากนี้ก็ทรงอุปการะเด็กๆไว้หลายคนทั้งชายและหญิง

สมเด็จฯทรงดำเนินชีวิตอย่างสงบเช่นนั้นมาเป็นเวลาหลายปี จนสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้น สยามตัดสินใจเข้าเป็นฝ่ายพันธมิตร ต่อต้านเยอรมนี ในช่วงนี้เองพระเจ้าลูกยาเธอ สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ พระราชโอรสที่เหลืออยู่เพียงพระองค์เดียวที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนนายเรือเยอรมนี จนได้เป็นนายเรือ ต้องเสด็จกลับบ้านเกิดเมืองนอน เป็นที่โสมนัสของสมเด็จฯเป็นอย่างมากที่พระราชโอรสเสด็จกลับมาอยู่ใกล้ชิด แต่ทรงอยู่ในสยามได้ไม่นาน ก็เสด็จไปศึกษาต่ออีกครั้ง คราวนี้ไปศึกษาด้านการแพทย์ที่สหรัฐอเมริกา พระราชชนนีแม้ทรงอาลัยเพียงใดก็ทรงอนุโลมตามไม่ขัดพระทัย

ระหว่างศึกษาที่สหรัฐอเมริกานี้เอง สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสงขลาฯ ก็ทรงพบหญิงสาวนักเรียนไทยที่ได้ทุนมาศึกษาวิชาพยาบาล มีรูปสมบัติ คุณสมบัติอันประเสริฐ เป็นที่พอพระทัย เราคงจะทราบกันว่า ต่อมาก็คือสมเด็จพระศรีนครินทรบรมราชชนนี หรือ "สมเด็จย่า" ของปวงชนชาวไทยนั่นเอง


สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสงขลาฯ โปรดที่เข้ารับราชการทหารเรือ แต่โปรดในด้านลงมือปฏิบัติงานสมกับทรงศึกษามา อย่างบังคับการเรือตอร์ปิโด และออกทะเลอย่างทหารเรืออาชีพจริงๆ แต่ความเป็นเจ้าฟ้าก็เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งที่ทำให้ราชการเห็นว่าไม่ควรเสี่ยงถึงขั้นนั้น ในสยามตอนนั้นเจ้าฟ้าชั้นทูลกระหม่อมก็เหลืออยู่น้อยมาก พระเจ้าอยู่หัวก็ยังไม่ทรงมีรัชทายาท จึงได้แต่ทรงเป็นครูสอนที่โรงเรียนนายเรือ ทำให้ทรงเบื่อหน่าย ทำงานได้ไม่ถึงหนึ่งปีก็ทรงลาออก

กองทัพเรือในสมัยรัชกาลที่ 6 มีเรืออยู่น้อย แทบจะเรียกว่า "กองทัพ" เรือไม่ได้ มีปัญหาขัดข้องหลายอย่าง อย่างเช่นการปฏิบัติการเรือรบ ทรงคิดเรื่องเรือดำน้ำ แต่ก็ไปขัดข้องเรื่องเสบียงที่จะใช้ในเรือ จึงทรงอยากจะศึกษาเรื่องอาหารที่เป็นประโยชน์เหมาะสมกับการนำไปใช้ในเรือ จึงอยากจะทรงศึกษาต่อเรื่องสุขวิทยา พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนชัยนาทฯ จึงทรงแนะนำให้ไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา นอกจากเรื่องอาหารก็ควรศึกษาเรื่องการแพทย์ด้วย


มาจากบันทึกของคุณหลวงสุขุมนัยประดิษฐะ

" ในระหว่างที่พักอยู่กับทูลกระหม่อมนี้ คืนวันหนึ่งก็เป็นคืนที่คุณสังวาลย์และคุณอุบลซึ่งออกเดินทางไปเรือเดียวกันกับข้าพเจ้า และพักที่เสียที่มลรัฐคาลิฟอร์เนียก่อน 1 ปีจะเดินทางมาถึงบอสตัน รถไฟจะมาถึงราว 2 ยาม

ทูลกระหม่อมเตรียมพระองค์จะไปรับ เพราะสองคนนี้เป็นนักเรียนของท่าน ข้าพเจ้าขอร้องขอไปรับด้วย แต่รับสั่งว่าข้าพเจ้ายังไม่สบายและดึกดื่นนัก อย่าไปเลย ประมาณสักตี 2 เศษ คือรถมาถึงแล้ว และทรงพาไปพักโฮเต็ลแล้ว

พระองค์ท่านเสด็จกลับมาถึงบ้าน ปลุกข้าพเจ้าทันที แล้วรับสั่งว่า

" ผู้หญิง 2 คนมาถึงแล้ว แม่สังวาลย์สวยเช้งเทียวแกเอ๋ย"

ข้าพเจ้ารู้สึกสงสัยทูลกระหม่อมทันทีว่า คงจะพอพระทัยในคุณสังวาลย์มาก ถึงกับปลุกข้าพเจ้าขึ้นในเวลาดึกดื่น เพื่อชมให้ฟัง ต่อนั้นมาก็ได้จัดส่งคุณสังวาลย์และคุณอุบลไปอยู่เมืองฮาร์ตฟอร์ดในมลรัฐคอนเนคติกัต หนทางโดยรถไฟจากบอสตันราว 5 ชั่วโมง ข้าพเจ้าเคยเป็นผู้นำจดหมายและข้าวของส่งไปส่งมาระหว่างทูลกระหม่อมกับคุณสังวาลย์"

ต่อมา สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสงขลา ฯ มีลายพระหัตถ์มาขอพระราชานุญาตจากสมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าฯ เพื่อทรงหมั้นนางสาวสังวาลย์ พระบรมราชชนนีทรงรักพระราชโอรสที่เหลืออยู่เพียงพระองค์เดียวดังแก้วตาดวงใจ มีหรือจะขัดพระทัย พระราชโอรส ก็ได้รับพระราชานุญาตตามพระประสงค์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสงขลาฯ จึงพาพระคู่หมั้นเสด็จกลับมาสยาม สมเด็จพระมาตุจฉาฯ นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเสกสมรส

เมื่อพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว ทรงถามถึงความเป็นมาของพระคู่หมั้น เจ้าฟ้ากรมขุนสงขลาฯ ก็ทรงมีลายพระหัตถ์กราบบังคมทูลว่า

" สังวาลย์เป็นกำพร้า...แต่งงานแล้วก็มาใช้นามสกุลหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่ได้เลือกเมียด้วยสกุลรุนชาติ ต้องเกิดเป็นอย่างนั้น ต้องเกิดเป็นอย่างนี้ คนเราเลือกเกิดไม่ได้ หม่อมฉันเลือกคนดี ทุกข์สุขเป็นเรื่องของหม่อมฉันเอง"

พิธีเสกสมรสหาอ่านได้ในกระทู้ "เจ้าพระยามหิธร" ทรงจดทะเบียนสมรสตามแบบแผนของราชสำนัก ซึ่งเป็นของใหม่มากในสมัยนั้น

หลังจากเสกสมรสแล้ว สมเด็จพระมาตุจฉาก็ต้องทรงอยู่ห่างพระราชโอรสอีกครั้ง เมื่อพระองค์ท่านและพระสุณิสากลับไปศึกษาต่อ ณ สหรัฐอเมริกา แต่ก็ไม่ได้ทรงอยู่เฉยๆ โปรดเสด็จไปตามหัวเมืองต่างๆ พร้อมกับสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชชนนี บางครั้งก็ขึ้นทางเหนือ หรือไปตามจังหวัดในภาคกลาง เรื่องเสด็จไปตามหัวเมืองเป็นเรื่องที่โปรดปรานมาก ทำให้ทรงพระสำราญทั้งพระหฤทัยและพระวรกาย ชนิดที่ว่าถ้าไม่ได้เสด็จแล้วจะไม่ทรงสบาย เวลาเสด็จก็คล้ายๆ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 คือไม่ทำเป็นเรื่องเอิกเกริก ทรงเปิดโอกาสให้ราษฎรข้าเฝ้าได้ใกล้ชิด รับรู้ทุกข์สุขของพวกเขา ถ้าหากว่าทรงช่วยเหลือจุนเจือได้ไม่ว่ากับวัด โรงพยาบาลหรือโรงเรียน ก็จะพระราชทานทรัพย์ให้เป็นประจำ

พระพลานามัยของสมเด็จพระมาตุจฉาฯ นับว่าแข็งแรงเมื่อเทียบกับสมเด็จพระศรีพัชรินทรฯ ซึ่งความตรากตรำหนักในภาระราชการแผ่นดินสมัยที่ทรงดำรงตำแหน่ง "สมเด็จรีเยนต์" เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เสด็จยุโรปครั้งแรก ทำให้มีผลเสียต่อพระสุขภาพต่อเนื่องยาวนาน อย่างหนึ่งก็คือโรคบรรทมไม่หลับ และอีกอย่างคือไตวายเรื้อรัง ต่อมาเมื่อสิ้นรัชกาลที่ 5 แล้ว ทรงกลายเป็นคนป่วยเรื้อรัง บางครั้งก็ดีขึ้น บางครั้งก็ทรุดลงไป เมื่อทรงทราบว่าพระโรคที่เป็น ไม่มีวันหายขาด ก็ทรงปล่อยให้เป็นไปอย่างไม่อาลัยไยดี หมอสมิธซึ่งเป็นแพทย์ประจำพระองค์ก็ได้แต่รักษาประคองพระอาการเอาไว้มิให้ทรุดลงเร็วเกินไป พระอาการทั้งหมดนี้สมเด็จพระมาตุจฉาฯทรงเข้าพระทัยดี ทรงห่วงใยเสด็จไปเยี่ยมเยียนพระอาการ แม้จะไม่บ่อยนักแต่ก็เสมอต้นเสมอปลาย แม้ในช่วงที่สมเด็จพระศรีพัชรินทรฯทรงมีพระอารมณ์อย่างคนป่วย ที่ผู้ใกล้ชิดจะต้องอดทน ก็ทรงมีพระเมตตากรุณาอย่าสม่ำเสมอ ไม่เคยถือสา ความเมตตาของสมเด็จพระมาตุจฉา เผื่อแผ่กว้างไกลไปถึงราษฎร มากเสียกว่าผู้ใกล้ชิดพระองค์ เคยรับสั่งว่า " ฉันน่ะไม่เคยขี้เหนียวหรอก แต่เห็นเสียแล้ว เมื่อเวลาฉันมีบุญน่ะ ล้วนแต่มาห้อมล้อมฉันทั้งนั้นแหละ เวลามีงานมีการอะไร ฉันก็ช่วยเต็มที่ไม่ขัด แต่พอฉันตก ก็หันหนีหมด ไปเข้าตามผู้ที่มีบุญต่อไป ฉะนั้น ฉันจึงตัดสินใจไม่ทำบุญกับคนรู้จัก แต่จะทำการกุศลทั่วไป"


ความกังวลพระราชหฤทัยของสมเด็จฯ เมื่อพระราชนัดดาได้ขึ้นครองราชย์ เป็นอย่างไร สะท้อนในพระราชดำรัสนี้ "ทำกรรมให้กับเด็ก เพราะลูกแดง( หมายถึงสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ฯ)ไม่ได้มุ่งหวังที่จะให้ลูกเป็นพระเจ้าแผ่นดิน อยากให้หัดเป็นคนธรรมดา พลเมืองช่วยบ้านเมือง"

ในเมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ ยังทรงพระเยาว์ จึงต้องมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คือพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอ๊อศคาร์นุทิศ กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา และเจ้าพระยายมราช

สมเด็จฯทรงเปลี่ยนฐานะ จากสมเด็จพระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า (ซึ่งหมายถึงสมเด็จป้า) มาเป็นสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า(หมายถึงสมเด็จย่า) ในรัชกาลใหม่ การเฉลิมพระนามาภิไธยใหม่ มิได้ทำให้สมเด็จฯทรงยินดี แต่กลับเศร้าพระทัย ดังที่มีพระราชดำรัสในปลายพระชนม์ชีพ เมื่อความโทมนัสครั้งแล้วครั้งเล่าได้จู่โจมมาถึง

"ดูใครๆก็ตายกันไปหมด ได้มีชีวิตยืนอยู่นี่ก็ไม่เห็นมีอะไรจะดี เปลี่ยนชื่อไป เปลี่ยนชื่อไป จนจะจำชื่อตัวเองไม่ได้"

แม้ว่าเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ เหตุการณ์ในบ้านเมืองก็มิได้สงบปลอดโปร่งขึ้น เรื่องเลวร้ายหลายเรื่องเกิดขึ้น ล้วนเป็นเรื่องน่าสะเทือนพระทัยสำหรับเจ้านายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จนแทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ไม่กี่ปีก่อนนี้เอง บ้านเมืองไม่มีสงครามกลางเมือง ราษฎรจงรักภักดีอยู่ใต้พระบารมี พระบรมวงศานุวงศ์เคยเป็นที่เคารพกราบไหว้ของผู้คนโดยทั่วไป

มาบัดนี้อย่าว่าแต่เจ้านายสำคัญต้องทรงลี้ภัยการเมืองไปต่างประเทศ แม้แต่เจ้านายสตรีที่พระชนมายุสูงและดำรงพระองค์อย่างสงบเงียบมาหลายสิบปีอย่างสมเด็จฯ ก็ไม่วายเป็นเป้าหมายของการโจมตีใส่ร้าย และถูกบีบคั้นในหลายๆประการ

เรื่องหนึ่งในจำนวนนี้คือ กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ ประธานผู้สำเร็จราชการฯ บังเกิดความคับแค้นพระทัยจากถูกบีบคั้นด้วยอำนาจทางการเมือง จนถึงขั้นปลงพระชนม์พระองค์เอง ข่าวลือที่ปราศจากความจริงก็แพร่ออกมาว่า เป็นเพราะน้อยพระทัยที่ถูกสมเด็จพระพันวัสสาทรงตำหนิติเตียน ทำให้สมเด็จฯเสียพระทัยมาก เพราะไม่ทรงทราบถึงสาเหตุเลยจนนิดเดียว


เรื่องที่สอง ก็คือรัฐบาลยึดทรัพย์สินของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ แต่ทรัพย์สินนั้นมีอยู่มากที่มิใช่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่เป็นของสมเด็จพระพันปีหลวงรวมอยู่ด้วย ในเมื่อยากจะแยกออกว่าส่วนไหนเป็นของใคร รัฐบาลก็ต้องมาทูลเชิญสมเด็จพระพันวัสสาไปเป็นผู้ชี้ สมเด็จฯก็ทรงทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรง ทรงนำหลักฐานไปแสดงเป็นการยืนยัน แต่ก็ทรงโทมนัส ที่ทรัพย์สินซึ่งเคยเป็นตกทอดกันมาตั้งแต่พระบูรพมหากษัตริย์ กลับต้องตกอยู่ในอำนาจตัดสินของบุคคลกลุ่มใหม่ กระทำตามที่พวกเขาเห็นสมควร


ลำดับเจ้านายผู้ทรงมีสิทธิ์สืบราชสันตติวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาล พ.ศ. 2467

๑. สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ ๒. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ๓. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช ๔. สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ๕. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฎพงศ์บริพัตร ๖. สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร ๗. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ๘. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรณ์มงคลการ ๙. พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาท ๑๐. หม่อมเจ้าอมรสมานลักษณ์ ๑๑. หม่อมเจ้านักขัตมงคล ๑๒. หม่อมเจ้าขจรจบกิติคุณ ๑๓. พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงปราจิณกิตติบดี ๑๔. หม่อมเจ้ากัลยาณวงศ์ ประวิตร ๑๕. หม่อมเจ้าจิตรปรีดี ๑๖. หม่อมเจ้าวิกรมสุรสีห์ ๑๗. พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ๑๘. หม่อมเจ้าประสบศรีจีรประวัติ ๑๙. หม่อมเจ้านิทัศนาธร ๒๐. หม่อมเจ้าขจรจิรพันธุ์ ๒๑. พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ๒๒. พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา


ระยะเวลาตั้งแต่พ.ศ. 2479-81 เป็นช่วงเวลาสำราญพระทัยช่วงสั้นๆของ สมเด็จฯเมื่อตัดสินพระทัยเสด็จประพาสทางทะเล ออกนอกประเทศไทย ไปทางใต้ ครั้งแรกก็ไปสิงคโปร์ ทรงพบพระบรมวงศานุวงศ์ที่ลี้ภัยทางการเมืองไปประทับอยู่นอกประเทศ อย่างสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ อีกไม่ถึงปีก็เสด็จอีก ครั้งนี้ทรงพบสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ ฯสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ และกรมหลวงทิพยรัตน์ฯ ที่มาเฝ้ารับเสด็จที่สิงคโปร์ ความสะเทือนพระทัยของเจ้านายที่ต้องทรงพลัดพรากกันไปเพราะการเมืองเป็นอย่างไร สะท้อนอยู่ในพระดำรัสสั้นๆว่า " โถ ถูกรังแก พลัดบ้านพลัดเมือง ฉันทนไม่ได้จริง" กรมหลวงทิพยรัตน์ฯ เสด็จเข้ามาสวมกอด และทรงกันแสงกันทั้งสองพระองค์

ครั้งที่สอง เสด็จทางเรือไปไกลถึงชวา เพื่อจะได้ทรงพบเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯซึ่งเสด็จอยู่ที่เมืองบันดุง ในครั้งนี้เกิดประชวรขึ้นมาตอนขากลับ เพราะทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายมากเกินไป

สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ ประทับไปในรถยนต์ด้วย สมเด็จฯประทับครึ่งบรรทมมาตลอดทาง ทรงเพ้อเรียกสมเด็จกรมพระนครสวรรค์ฯว่า "ลูกแดง " (ซึ่งหมายถึงสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสงขลาฯซึ่งสิ้นพระชนม์ไปหลายปีแล้ว) ด้วยความห่วงว่าจะทรงหิวและเหนื่อย ทำเอาสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ ถึงกับน้ำพระเนตรกบพระเนตร แต่ก็ไม่ทรงปฏิเสธ ทรงรับเป็น "ลูกแดง "ทุกครั้งที่ทรงเรียก

อย่างไรก็ตาม พระอาการประชวรก็ดีขึ้นในขากลับ จนเกือบเป็นปกติ ทรงแวะสิงคโปร์ ณ ที่นี้ทรงพบสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ อีกครั้ง แต่ความสุขที่ทรงพบกัน ก็เจือปนด้วยความโทมนัสอีก เพราะเท่ากับเริ่มการพลัดพรากในหมู่พระญาติสนิทอีกครั้ง เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯตามเสด็จมาส่งได้เพียงแค่นี้ ก็ต้องเสด็จกลับเมืองบันดุง ไม่เข้ามาในประเทศไทย

สมเด็จฯมิได้ทรงรู้ล่วงหน้าเลยว่า เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ทรงพบผู้ที่เป็นตัวแทนของ "ลูกแดง" อีก 6 ปีต่อมา สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ ก็สิ้นพระชนม์ที่เมืองบันดุงนั่นเอง พระชันษา 63 ปี ส่วนสมเด็จฯยังมีพระชนมายุต่อมาอีกยาวนาน

ปี 2481 เมื่อสมเด็จฯ เสด็จกลับมาถึงกรุงเทพ ก็มีเรื่องให้สุขพระราชหฤทัยไปตลอดปีอีกครั้งอย่างไม่เคยเป็นมานานแล้ว คือข่าวพระราชนัดดาทั้ง 3 พระองค์เสด็จกลับจากยุโรป สมเด็จฯถึงกับเสด็จโดยทางเรือออกไปรับถึงปากน้ำ หลังจากไม่ได้ทรงพบกันนานถึง 4 ปี พระราชนัดดาทั้งสามทรงเจริญพระชนมายุขึ้นมาก พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลขณะนั้นพระชนมายุ 13 พรรษา สมเด็จพระอนุชาธิราชทรงอ่อนพระชันษากว่า 2 ปี ส่วนสมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา พระชันษา 15 ปี ล้วนทรงพระโฉมน่ารักน่าชม และมีพระพลานามัยแข็งแรงดี มีพระจริยวัตรอันงดงาม สมกับพระชนนีทรงอบรมมาเป็นอย่างดี เป็นที่โสมนัสของสมเด็จฯอย่างยิ่ง ทั้งสามพระองค์และพระชนนีประทับร่วมกันที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน


ความสุขของเจ้านายทุกพระองค์เป็นไปอย่างเรียบๆง่ายๆ แต่เต็มเปี่ยม อย่างในวันคล้ายวันประสูติของพระราชนัดดาพระองค์เล็ก สมเด็จฯก็โปรดให้จัดละครลิงเข้าไปเล่นถวายในวังสระปทุม ทรงพระสรวลเมื่อเห็นลิงเล่นอะไรขันๆ อย่างที่ไม่เคยทรงพระสรวลบ่อยนัก

นอกจากนี้ แม้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน สมเด็จฯก็มิได้โปรดให้ฟุ่มเฟือย เมื่อพระราชนัดดาเสด็จกลับมาใหม่ๆ ยังไม่ทรงรู้จักธนบัตรไทย สมเด็จฯก็ทรงอธิบายให้ฟังและพระราชทานให้บ้าง ตั้งแต่ใบละ 1 บาทไปจน 20 บาท แต่พอถึงธนบัตรใบละร้อยบาท ซึ่งเป็นธนบัตรมูลค่าสูงสุดในสมัยนั้น ก็รับสั่งว่า " นี่ใบละร้อย มากไป อย่าเอาเลย"

แต่ความชุ่มชื่นพระราชหฤทัยของสมเด็จฯก็เปรียบได้กับหยดน้ำกลางแผ่นดินซึ่งแห้งแล้งร้อนระอุเพิ่มขึ้นทุกวัน

เมืองไทยในยุคนั้นได้ผู้นำคนใหม่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี คือนายทหารหนุ่มที่เคยเป็นแม่ทัพฝ่ายรัฐบาลในการปราบปรามกบฏบวรเดช เขาคือจอมพล ป.พิบูลสงคราม ผู้มีกำลังกองทัพหนุนหลังอยู่อย่างแข็งแกร่ง

นโยบายสำคัญของจอมพลป. เท่าที่จะกล่าวถึงในกระทู้นี้ มี 2 เรื่อง คือ การปลุกความคิดชาตินิยม ให้เกิดสำนึกในความเป็นไทย หวงแหนและภูมิใจในแผ่นดินไทย ทำให้เกิดกระแสการเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศสที่ไทยสูญเสียไปในสมัยรัชกาลที่ 5

กระแสเรียกร้องนี้ทำให้เกิดมีผู้หวังได้ดีทางลัด นอกจากสนับสนุนนโยบายอย่างเต็มที่แล้วยังลามปามไปถึงการตำหนิติเตียนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ว่าทรงเป็นผู้ทำให้ประเทศเสียดินแดนไปมากมาย

นอกจากนี้ ยังรุนแรงขึ้นถึงขั้นมีหนังสือพิมพ์ลงบทความจ้วงจาบหยาบคายถึงพระราชวงศ์ เรียกว่า "ครอบครัวประหลาด" และพาดพิงมาถึงสมเด็จฯ แม้ไม่ออกพระนามโดยตรงแต่ก็รู้ว่าหมายถึงใคร

ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอดรนทนไม่ได้ ลุกขึ้นเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกับหนังสือพิมพ์ รัฐบาลก็ดำเนินการตามถึงขั้นศาลตัดสินให้จำคุกบรรณาธิการ แต่มีคำบอกเล่าว่า มีการผ่อนปรนเป็นการภายในในเวลาต่อมา

นโยบายประการที่สองคือมีการกวาดล้างผู้ที่ต้องสงสัยว่ากระทำการเป็นปรปักษ์ต่อรัฐบาล แม้ว่าไม่เคยมีการกระทำใดๆ ถึงขั้นพิสูจน์ได้ว่ามีการลงมือ หรือตระเตรียมการก่อกบฏ แต่อำนาจของรัฐบาลในยุคนั้นกว้างมาก จนจับกุมได้แม้ว่าไม่มีข้อพิสูจน์ เพียงแต่ตั้งข้อหาก็จับกุมคุมขังได้แล้ว

บุคคลผู้เคราะห์ร้ายอย่างยิ่งในการ "เป็นผู้ต้องสงสัย" คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนชัยนาทนเรนทร พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระราชโอรสที่สมเด็จฯทรงเลี้ยงดูมาตั้งแต่พระชนมายุได้ 12 วัน


ถ้าจะถามว่า กรมขุนชัยนาทฯ เคยทรงมีพฤติกรรมหรือบทบาทอะไรแสดงว่าทรงฝักใฝ่ทางการเมืองมาก่อนหรือไม่ ดิฉันเองไม่เคยเห็นหลักฐานว่าทรงเกี่ยวข้องอะไรทั้งตอนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 และตอนกบฎบวรเดช 2476 ตรงกันข้าม ทรงเป็นเจ้านายที่มีความเป็นอยู่อย่างสงบพระองค์หนึ่ง แต่ก็ถึงขั้นถูกจับกุมอย่างผู้ต้องหา

ขอเรียบเรียงตัดตอนจากคำบอกเล่าของ หลวงอายุรกิจโกศล มาลง ค่ะ " ในปี 2481 ระหว่างเดือนสิงหาคม หรือกันยายน จำไม่ได้แน่ เสด็จในกรมฯ(หมายถึงกรมขุนชันนาทฯ) ได้เสด็จไปจังหวัดเชียงใหม่ ก่อนเสด็จได้มีลายพระหัตถ์ถึงข้าหลวงพระจำจังหวัด แจ้งพระประสงค์ว่าเพื่อทรงศึกษาลู่ทางที่จะให้หม่อมเจ้าสนิทประยูรศักดิ์ พระโอรสองค์เล็กซึ่งทรงศึกษาวิชามนุษย์วิทยา ไปสอบสวนและศึกษาเรื่องชาวละว้า ซึ่งทางเหนือเรียกชาวลัวะ เพื่อนำไปทำวิทยานิพนธ์เสนอมหาวิทยาลัยซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในสิ้นปีหน้า"

การขอความร่วมมือไปทางจังหวัด ทรงตกลงจ่ายค่าใช้จ่ายทุกอย่างด้วยทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ และมีผู้ตามเสด็จหม่อมเจ้าสนิทประยูรศักดิ์ไปด้วยก็คือหลวงอายุรกิจโกศลซึ่งเป็นสาธารณสุขจังหวัดในช่วงนั้น ตั้งใจจะไปตรวจและบำบัดไข้มาเรียแก่ชาวบ้านในเวลาเดียวกัน

เรื่องนี้ก็ได้ตระเตรียมกันเรียบร้อยโดยไม่มีปัญหาอะไร กรมขุนชัยนาทเสด็จเชียงใหม่จนเสร็จการตระเตรียมแล้วก็เสด็จกลับกรุงเทพ อีก 2 อาทิตย์ก็เสด็จกลับไปอีกครั้งพร้อมด้วยหม่อมเจ้าสนิทประยูรศักดิ์ แล้วทรงแยกทางกันที่เชียงใหม่ ท่านชายสนิทฯ มุ่งหน้าไปสำรวจข้อมูลที่อำเภอฮอด เสด็จในกรมฯ เสด็จกลับกรุงเทพโดยทางรถไฟ มีข้าหลวงและผู้ที่ทรงคุ้นเคยมาส่งเสด็จที่สถานี ตามปกติ ไม่มีใครคิดฝันว่าจะเกิดเหตุร้ายให้ตระหนกตกใจกันไปทั่ว เมื่อวิทยุกระจายเสียงไปทั่วประเทศว่า มีการจับกุมกรมขุนชัยนาทนเรนทรฯ ที่สถานีลำปาง พอถึงกรุงเทพ ตำรวจก็ส่งพระองค์เข้าห้องขังรวมกับผู้ต้องขังทั้งหลาย เหมือนเป็นผู้ต้องหาทั่วไป

ถ้าจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ก็คือในช่วงนั้น รัฐบาลได้กวาดล้างจับกุมบุคคลต่างๆในกรุงเทพ ที่ต้องสงสัยว่ามีการกระทำเป็นปรปักษ์กับรัฐบาล มีแม้แต่ข่าวว่าผู้ถูกจับกุมคนหนึ่งทางภาคใต้พยายามหนีแล้วถูกตำรวจยิงตาย

การกวาดล้าง"ผู้ต้องสงสัย" กินเขตแดนมาถึงพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย ส่วนหลักฐานมีอะไรอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นเรื่องมืดมนกันอยู่


เมื่อความทราบถึงสมเด็จฯ ทั้งตระหนก และเสียพระราชหฤทัยมาก มีพระอาการโทมนัสเหมือนครั้งที่ทรงสูญเสียสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ทรงรำพันว่า " ทำไมรังแกอย่างนี้ มันจะเอาชีวิตฉัน มาทำไมลูกชายฉัน เห็นได้เทียวว่ารังแกฉัน"

ทรงรวบรวมพระสติได้ ก็มีพระราชเสาวนีย์ให้เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน(อุ่ม อินทรโยธิน) หนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการฯ เข้าเฝ้า เพราะเจ้าพระยาพิชเยนทรฯเคยเป็นข้าหลวงเดิมในสมเด็จพระบรมโอรสธิราชฯ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ทรงคุ้นเคยมาก่อน

ตรัสว่า " เธอกับฉันก็เห็นกันมาตั้งแต่ไหนๆ ครั้งนี้ทุกข์ของฉันเป็นที่สุด ขอให้เธอไปช่วยบอกจอมพลทีว่า อย่าจับกรมชัยนาทฯ เข้าห้องขัง มีผิดอะไรส่งมาที่ฉัน ฉนจะขังไว้ให้เอง ให้มาอยูที่บ้านนี้ ข้างห้องฉันนี่ เพราะฉันเลี้ยงของฉันมาตั้งแต่ 12 วัน พระพุทธเจ้าหลวงอุ้มมาพระราชทาน ฉนเอง ถ้ากรมชัยนาทฯหนีหาย ฉันขอประกันด้วยทรัพสมบัติทั้งหมดที่ฉันมีอยู่ ถ้าหนีหาย ฉันก็ยอมเป็นคนขอทาน"

แต่รัฐบาลก็ปฏิเสธคำขอ บอกว่าเป็นเรื่องของบ้านเมือง อะลุ้มอะล่วยกันไม่ได้ ทรงฟังก็กันแสง ค่อนพระทรวง ตรัสว่า "เขาจะแกล้งให้ฉันตาย ฉันไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ลูกตาย ไม่ได้น้อยใจ ช้ำใจเหมือนครั้งนี้เลย เพราะมีเรื่องหักได้ว่าเป็นธรรมดาโลก ครั้งนี้ทุกข์สุดที่จะทุกข์แล้ว"

แล้วตรัสกับเจ้าพระยาพิชเยนทรฯอีกว่า " เธอจะไปทำอย่างไรก็ได้ ขอให้ช่วยด้วย เห็นแก่ฉันเถอะ ฉันไม่พูดหรอกกับพระองค์อาทิตย์ เพราะเธอเป็นเด็ก และเป็นญาติด้วย" เจ้าพระยาพิชเยนทรฯ ถึงกับร้องไห้ กราบพระบาทถวายบังคมลาออกไปทั้งน้ำตา

แต่ผลจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดดีขึ้น รัฐบาลยังสอบสวนดำเนินการกับกรมขุนชัยนาทฯ ต่อไปอย่างนักโทษการเมืองคนหนึ่ง สิ่งต่อไปที่สมเด็จฯดำเนินการอย่างฉับไว คือให้ม.จ.สนิทประยูรศักดิ์ เสด็จไปต่างประเทศทันที

เพราะเกรงว่าจะทรงถูกรังแกมีชะตากรรมเหมือนเสด็จพ่อ เงินทองที่ทรงเก็บออมไว้ถูกนำมาเป็นค่าเดินทาง จนท่านชายเสด็จออกพ้นประเทศไทยไป ถึงเบาพระทัย ต่อจากนั้น สมเด็จฯทรงห้ามพระประยูรญาติทุกพระองค์ที่ทรงรับราชการ ไม่ให้เข้ามาเฝ้าที่วังสระปทุม เพราะทรงเกรงว่าจะถูกเพ่งเล็งจากทางการ และถูกข้อหากบฎเช่นเดียวกัน

เคราะห์ไม่ได้มาหนเดียว ความโทมนัสของสมเด็จฯที่ว่าหนักที่สุดแล้ว ก็ยังมีหนักกว่านี้อีก เมื่อพระราชธิดาพระองค์เดียว ที่เหลืออยู่คือสมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ประชวรเรื้อรังด้วยโรคพระวักกะ(ไต)พิการ มีพระอาการทรุดลง จนสิ้นพระชนม์ในปีนั้นเอง

กรมขุนชัยนาทฯ ถูกตั้งข้อหากบฏในพระราชอาณาจักร ถูกขังอยู่ 10 เดือน การพิจารณาคดีจึงสิ้นสุดลง ศาลตัดสินประหารชีวิตแล้วลดโทษลงเป็นจำคุกตลอดชีวิต ทรงถูกถอนฐานันดรศักดิ์ลงเป็น "นักโทษชายรังสิต" เป็นสิ่งที่ย้อนหลังไปสัก 10 ปี ย่อมจะไม่มีใครคาดฝันเลยว่าพระราชโอรสในสมเด็จพระปิยมหาราช จะทรงประสบชะตากรรมเลวร้ายถึงเพียงนี้

ทั้งที่เสด็จในกรมฯ เคยรับสั่งไว้ว่า " ทำไมหนอรัฐบาลหลายรัฐบาลมาแล้วจึงไม่ยอมที่จะเข้าใจเลยว่า ฉันไม่มีความทะเยอทะยานในเรื่องอำนาจวาสนา ฉันต้องการอยู่ตามลำพังอย่างคนสามัญทั้งหลาย"

ข่าวร้ายนี้นำความโทมนัสมาสู่สมเด็จพระพันวัสสาฯ อย่างแสนสาหัสอีกครั้งหนึ่ง ถึงกับทรงพระกันแสงรำพันว่า " ฉันตายแล้ว ฉันจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าหลวงท่านได้อย่างไร ท่านอุ้มมาพระราชทานฉันกับพระหัตถ์เองทีเดียว เมื่อ 12 วัน แท้ๆ"

จากเรื่องสมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีฯสิ้นพระชนม์ ซึ่งทำให้สมเด็จพระพันวัสสาฯ ไม่ทรงเหลือพระราชโอรสธิดาทั้ง 8 พระองค์ อีกเลยจนพระองค์เดียว มาถึงเรื่องกรมขุนชัยนาทฯ ที่สมเด็จฯทรงรักและเมตตาประดุจพระราชโอรสในพระอุทร ทรงตกเป็นนักโทษ ความทุกข์ของสมเด็จฯ ไม่ได้จบลงเพียงเรื่องนี้ ข่าวร้ายระลอกใหม่ที่ตามมาก็คือข่าวเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ประเทศอังกฤษ เมื่อพ.ศ. 2484 พระราชนัดดาทั้งสามพระองค์ทรงอยู่ไกล ณ ต่างประเทศ อีกครั้งหนึ่ง ในตอนนั้นเอง สยามก็เข้าสู่สงครามมหาเอเชียบูรพา ใต้นโยบาย "เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย"ของจอมพล ป.พิบูลสงคราม


รัฐบาลเอาจริงเอาจังเรื่องการแต่งกาย เช่นยกเลิกโจงกระเบนมานุ่งกางเกง (สำหรับผู้ชาย) และผ้าซิ่นหรือกระโปรงสำหรับผู้หญิง ออกจากบ้านต้องสวมหมวก

แม้สมเด็จฯทรงอยู่ในวังสระปทุมอย่างสงบ จำกัดการติดต่อกับโลกภายนอกไว้น้อยที่สุด เว้นแต่พระราชกรณียกิจเช่นเรื่องสภากาชาดไทยที่ทรงไม่เคยละทิ้ง ยุค "วัธนธัม"ของรัฐบาลก็ยังยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวเข้าจนได้

เช่นมีเจ้าหน้าที่ตัวแทนไปเข้าเฝ้า ขอพระราชทานฉายพระบรมฉายาลักษณ์ ให้ทรงพระมาลา เพื่อนำไปเผยแพร่ภายนอกว่า สมเด็จฯทรงร่วมมือปฏิบัติตัวตามนโยบายของรัฐบาล เป็นตัวอย่างแก่ประชาชน

สมเด็จฯ กริ้ว ตรัสตอบว่า "ทุกวันนี้ จนจะไม่เป็นตัวของตัวอยู่แล้ว นี่ยังจะมายุ่งกับหัวกับหูอีก ไม่ใส่ อยากจะให้ใส่ก็มาตัดเอาหัวไปตั้ง แล้วใส่เอาเองก็แล้วกัน" หมดเรื่องหมวกไปเรื่องหนึ่ง แต่ก็ยังไม่จบสิ้นอยู่ดี

รัฐบาลมีนโยบายให้ประชาชนเปลี่ยนชื่อ ผู้ชายมีชื่อฟังรู้ว่าเป็นชาย ผู้หญิงมีชื่อฟังรู้ว่าเป็นหญิง รัฐบาลเกิดเห็นว่าพระนาม "สว่างวัฒนา" สมควรเป็นชื่อผู้ชาย ก็ส่งตัวแทนมาขอให้ทรงเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับ "รัฐนิยม"

สมเด็จฯทรงกริ้วทันทีเมื่อทรงทราบ ตรัสด้วยความแค้นพระทัยว่า " ชื่อฉัน ทูลหม่อม( หมายถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) พระราชทาน ท่านทรงทราบดีว่าฉันเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย" ผลก็คือ ทรงดำรงพระนามไว้ได้ตามเดิมจนกระทั่งหมดยุค ก็ไม่มีใครมาเซ้าซี้ให้เปลี่ยนพระนามอีก


ไฟสงครามโลกครั้งที่สองในยุโรปลามมาถึงไทย ในรูปของกองทัพญี่ปุ่นบุกขึ้นฝั่งอย่างสายฟ้าแลบ ประชาชนไทยตื่นขึ้นมา

ในวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ก็พบว่าตกอยู่ในภาวะสงครามเสียแล้ว ทั้งที่เมื่อวานยังฉลองงานรัฐธรรมนูญกันอยู่อย่างครึกครื้น

รัฐบาลของจอมพลป.พิบูลสงครามยอมทำสัญญาประนีประนอมเป็นไมตรีกับญี่ปุ่น ให้ใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางผ่านไปสิงคโปร์ แต่ขอให้ญี่ปุ่นเคารพต่อเอกราชอธิปไตยของไทยด้วย

นโยบายนี้ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาไม่ให้นองเลือดกันทั่วประเทศในตอนต้นได้ก็จริง แต่ก็ไม่อาจช่วยให้กรุงเทพรอดพ้นจากสภาพยับเยินในสงครามทิ้งระเบิดระหว่างฝ่ายพันธมิตรกับฝ่ายญี่ปุ่น และภาวะตึงเครียดของสงครามซึ่งดำเนินมาตลอด ๔ ปีหลังจากนั้น

เมื่อสมเด็จพระพันวัสสาทรงทราบว่าไทยยอมประนีประนอมกับญี่ปุ่น หรือพูดง่ายๆแบบชาวบ้านว่ายอมแพ้ญี่ปุ่น ก็ทรงมี พระราชวินิจฉัยอันแม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์ว่า " สู้อังกฤษไม่ได้หรอก เรื่องจะไปตีสิงคโปร์ พระพุทธเจ้าหลวงท่านเคยรับสั่ง อังกฤษไม่ยอมดอก"


คนไทยเริ่มต้องเผชิญภาวะพรางไฟในตอนกลางคืน ต้องขุดหลุมหลบภัยจากระเบิดและหนีลงในหลุมหลบภัย ทีแรกก็เครื่องบินก็มาทิ้งระเบิดเฉพาะบางคืน แต่ต่อมาก็ไม่เลือกทั้งกลางคืนกลางวัน น้ำท่วมใหญ่ในปีพ.ศ. ๒๔๘๕ และข้าวยากหมากแพงช่วยซ้ำเติมให้เกิดความยากลำบากโดยทั่วกัน แม้เจ้านายอย่างสมเด็จฯเองก็ไม่ต่างจากราษฎรทั่วไป เป็นความเดือดร้อนทั้งพระวรกายและพระราชหฤทัย

แต่อย่างหนึ่งที่ทรงพระทัยชื้นขึ้นก็คือพระเจ้าหลานเธอทั้งสามพระองค์มิได้ประทับอยู่ในเมืองไทย แต่ก็อาจจะไม่ทรงทราบว่า ในยุโรปเองภัยสงครามก็ลุกเป็นไฟเกือบจะทุกด้าน ล้อมรอบประเทศสวิตเซอร์แลนด์อยู่

เมื่อภัยสงครามรุนแรงขึ้น สมเด็จฯเสด็จไปประทับอยู่ที่ศรีราชาตามคำกราบบังคมทูลของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ซึ่งเสด็จกลับจากปีนังมาทรงพำนักในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง มีเจ้านายฝ่ายในตามเสด็จไปด้วยหลายพระองค์ นับว่าเป็นการแคล้วคลาดอย่างมาก เพราะเสด็จได้แค่ ๑๕ วันระเบิดก็ลงที่วังสระปทุม ทำให้ต้องประทับอยู่ที่ศรีราชาถึง ๓ เดือน

ความทุกข์ที่รุมเร้าอย่างหนักค่อยเบาบางลง เมื่อสมเด็จทรงเริ่มลืมเรื่องต่างๆได้ รวมทั้งเรื่องกรมขุนชัยนาทฯทรงถูกคุมขัง ณ เรือนจำบางขวาง ทรงเข้าพระทัยไปว่าขณะนั้นประทับอยู่ต่างประเทศ ไม่มีใครกราบทูลให้ทราบความจริงเพราะเกรงว่าจะกลับโทมนัสขึ้นมา

เมื่อกรมขุนชัยนาทฯถูกปล่อยจากที่คุมขัง เสด็จกลับวังได้ในฐานะ "นายรังสิต" ก็ตรงไปที่ศรีราชาทันที แต่ก็ไม่กล้าเข้าเฝ้า และห้ามผู้คนที่นั่นไปกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ ด้วยทรงเกรงว่าสมเด็จฯจะย้อนรำลึกถึงความจริงเรื่องทรงถูกจับกุมคุมขังได้ แล้วจะทรงเศร้าโศกพระราชหฤทัยอย่างรุนแรงขึ้นมาอีก กรมขุนชัยนาทฯก็ได้แต่ทรงแอบทอดพระเนตรดูสมเด็จฯ อยู่อีกห้องหนึ่งอย่างเงียบเชียบ พลางน้ำพระเนตรไหลไปพลาง


ครบ ๓ เดือน สมเด็จฯเสด็จกลับกรุงเทพ แต่ทรงย้ายเข้าไปพำนักในพระบรมมหาราชวัง เพราะแถววังสระปทุมเต็มไปด้วยพวกญี่ปุ่น ภายในพระบรมมหาราชวังแม้ว่าปลอดภัยในตอนนั้น แต่ก็รกร้างทรุดโทรมอย่างไม่น่าเชื่อเลยว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นที่สถิตย์ของหัวใจของแผ่นดิน พระที่นั่งต่างๆปรักหักพัง กลายเป็นที่อาศัยของงูเหลือมและค้างคาว ตำหนักต่างๆและแถวเต๊งก็พรางไฟมืดสนิท น่าพรั่นพรึง

ประทับอยู่ได้ ๖ เดือน สถานที่ที่น่าจะปลอดภัยก็ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เมื่อระเบิดลงที่พระที่นั่งบรมพิมานและพระที่นั่ง พิมานรัถยา ห่างที่ประทับไปไม่มากนัก จึงต้องทรงอพยพลี้ภัยสงครามไปบางปะอิน ความในพระราชหฤทัยในตอนนั้นเป็นอย่างไร สะท้อนในพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า " ฉันเคยเล่นโครเกต์ กับพระพุทธเจ้าหลวงที่สนามข้างใน นี่ไม่มีใครจะเล่นกับฉันได้ ตายกันเสียหมด"


ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะสงคราม มีเครื่องบินมาทิ้งระเบิดกันไม่เลือกว่ากลางวันหรือกลางคืน ความอกสั่นขวัญหายของประชาชนดำเนินอยู่ถึง ๔ ปี ต่อเนื่องกัน จนในที่สุด เมื่อถึงพ.ศ. ๒๔๘๘ สงครามโลกครั้งที่สองก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายอักษะ คือเยอรมัน และญี่ปุ่น สันติภาพกลับคืนมาสู่ไทยอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าเราต้องเสียค่าชดใช้สงครามให้ฝ่ายพันธมิตรมากมายเอาการในการที่ร่วมมือกับญี่ปุ่นก็ตาม แต่บ้านเมืองก็ปลอดภัยแล้ว

หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีใหม่ต่อจากจอมพลป.พิบูลสงคราม คือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นอยู่ ๔ เดือนก็ลาออก นายควง อภัยวงศ์ขึ้นเป็นนายกฯต่อได้เพียง ๔๕ วันก็แพ้โหวตในสภา

สภาผู้แทนสนับสนุนให้นายปรีดี พนมยงค์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

ความโสมนัสของสมเด็จพระพันวัสสาฯทรงกลับคืนมาอีกครั้งเมื่อพระเจ้าหลานเธอทั้งสามพระองค์เสด็จกลับสู่พระนคร

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงเจริญพระชันษาเป็นชายหนุ่ม ทรงพระโฉมสง่างาม พร้อมด้วยพระจริยาวัตรอันประเสริฐ เป็นที่ชื่นชมโสมนัสของประชาชนชาวไทย ไม่ว่าจะเสด็จที่ไหนก็มีผู้คนมาเฝ้าแหนกันคับคั่ง ชื่นชมพระบารมีอย่างที่พวกเขาไม่มีโอกาสได้เฝ้าพระมหากษัตริย์มาหลายปี

แม้ว่าทางด้านพระอนามัยของสมเด็จพระพันวัสสาฯยังทรงแข็งแรงดี แต่พระอาการทางสมองได้เสื่อมลงเป็นลำดับ บางเรื่องก็ทรงจำได้ดี บางเรื่องก็ทรงลืมเลือน ไม่ทรงทราบว่าลึกลงไปภายใต้ความสงบราบรื่น มีกระแสคลื่นใต้น้ำยุ่งเหยิงอยู่มาก โดยเฉพาะในราชสำนัก


เมื่อสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ระเบียบในราชสำนักเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผน มีผู้รับผิดชอบหน้าที่อย่างเคร่งครัด แต่แล้วเมื่อเปลี่ยนมาเป็นประชาธิปไตย ระเบียบบางอย่างก็หย่อนคลาย กลายเป็นวุ่นวายไม่รู้การควรมิควรอยู่หลายเรื่อง อย่างเช่นมีการตั้งหนึ่งในคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ประจำพระองค์ ระดับราชเลขาฯ ราชเลขาฯผู้นี้กระทำการหลายอย่างตามใจชอบ เช่นนั่งไขว้ห้างในรถยนต์เข้าไปเทียบถึงพระที่นั่ง สวมแว่นตาดำ สูบบุหรี่ไปเข้าเฝ้าถึงพระองค์ ยืนค้ำพระองค์ที่โต๊ะทรงพระอักษรฯ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของข้าราชบริพาร

นอกจากนี้ การถวายพระเกียรติก็เป็นปัญหา เช่นบางครั้ง พระเจ้าอยู่หัวไม่มีรถพระที่นั่งใช้ เพราะหนึ่งในสองคันที่มี ราชเลขาฯส่งไปให้นายกรัฐมนตรีใช้ อีกคันเอาไปซ่อมให้แขกเมืองใช้ ต้องทรงให้มหาดเล็กไปตามจึงได้รถสำหรับแขกเมืองกลับมา แต่พอได้กลับมา รถก็หายไปจากโรงเก็บรถในพระบรมมหาราชวังเสียเฉยๆ ทั้งที่มีทหารยามเฝ้าอยู่ ตามหาไม่พบเป็นเวลาหลายเดือน

ต่อมา ราชองครักษ์ประสบอุบัติเหตุรถยนต์พระที่นั่งเสียชีวิต และมหาดเล็กเก่าแก่ก็ถึงแก่กรรมลงปัจจุบัน ทันด่วน เหมือนเป็นลางร้ายให้รู้ว่าความน่าสะพึงกลัวยิ่งกว่านี้กำลังจะตามมา

วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ เป็นวันสุดวิปโยคของคนไทยทั้งแผ่นดิน เมื่อพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จ สวรรคตกระทันหัน ด้วยพระแสงปืน ในพระแท่นที่บรรทม


ก่อนหน้านั้น ๒ วัน สมเด็จพระพันวัสสาฯทรงขัดตลับงาซึ่งเป็นงานอดิเรกมายาวนานอยู่ในตอนพลบค่ำ ประทับหันไปตรงพระฉากตรงเฉลียงชั้นบน ทันใดนั้นก็ตรัสขึ้นมาลอยๆว่า " จะพูดอะไรก็พูดมาซี มาทำหน้าบึ้งยังกับจะร้องห่มร้องไห้" ม.จ.อัปภัสราภา เทวกุลซึ่งเฝ้าอยู่ ไม่ทรงเห็นผู้ใดในที่นั้น จึงทูลถามว่า "รับสั่งว่ากระไรเพคะ" " ดูซี" สมเด็จฯตรัส " กรมเทววงศ์มานั่งอยู่นานแล้ว ไม่พูดไม่จา ทำหน้ายังกับจะร้องไห้ มันเรื่องอะไร"

ขอแทรกเกร็ดความรู้ไว้ตรงนี้อีกครั้งหนึ่งว่า สมเด็จฯมีพระเชษฐาพระองค์ใหญ่คือสมเด็จกรมพระยาเทววงศ์วโรปการ สมเด็จกรมพระยาเทววงศ์ฯ มีพระโอรสองค์ใหญ่คือ หม่อมเจ้าชายไตรทศประพันธ์ เทวกุล ซึ่งโปรดเกล้าฯสถาปนาเป็นพระวรวงศ์เธอกรมหมื่นเทววงศ์วโรทัยในรัชกาลที่ ๗ 'กรมเทววงศ์ฯ' ที่สมเด็จฯรับสั่งเรียก เป็น "หลานอา" ที่โปรดปรานของสมเด็จฯ แต่จะมาเข้าเฝ้าสมเด็จฯอย่างประยูรญาติพระองค์อื่นๆไม่ได้ เพราะสิ้นพระชนม์ไปก่อนหน้านี้แล้ว ๓ ปี เมื่อพ.ศ. ๒๔๘๖ ม.จ.อัปภัศราภาเสด็จไปเปิดไฟให้สว่างขึ้น พอไฟสว่าง สมเด็จพระพันวัสสาฯ ก็ตรัสว่า "อ้าว" แล้วทรงขัดตลับต่อไป

ข่าวพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตรู้มาถึงวังสระปทุม ทุกคนลงความเห็นกันว่าจะไม่กราบบังคมทูลให้ทรงทราบ เพราะไม่มีใครแน่ใจว่าความโทมนัสครั้งนี้จะสาหัสสักเพียงไหน ยากที่มีใครในแผ่นดินจะประสบความสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่ามากเท่าสมเด็จฯ ทรงสูญเสียพระราชสวามี สูญเสียพระราชโอรสธิดาไปองค์แล้วองค์เล่าจนหมด ๘ พระองค์ ทรงสูญเสียพระขนิษฐภคินีสมเด็จพระพันปี สูญเสียพระเชษฐา พระราชโอรสบุญธรรมแม้ไม่ได้สูญเสียพระชนม์ ก็ประสบชะตากรรมที่เลวร้ายกว่าเจ้านายทุกพระองค์ พระประยูรญาติก็ต้องกระจัดพลัดพรายกันไปคนละทาง ด้วยเหตุทางการเมือง ล้วนแล้วแต่เป็นความทุกข์หนักหนาสาหัส


ด้วยเหตุนี้ ชาววังสระปทุมจึงไม่แต่งไว้ทุกข์ด้วยเกรงว่าจะทรงผิดสังเกต ใครทำงานอะไรก็ทำไปตามหน้าที่

ปกติเหมือนวันอื่นๆ ไม่ร้องไห้ให้ทรงเห็น ในวันที่เชิญพระบรมศพพระเจ้าอยู่หัวลงพระโกศ สมเด็จฯไม่ทรงระแคะระคายเรื่องสวรรคต แต่จู่ๆก็รับสั่งว่า " วันนี้เป็นอะไร ฟ้าเศร้าจริง นกสักตัว กาสักตัวก็ไม่มาร้อง เศร้าเหลือเกิน นี่ทำไมมันเงียบเชียบไปหมดอย่างนี้ล่ะ" ไม่มีใครกล้ากราบบังคมทูลตอบ ใครทนได้ก็เฝ้าอยู่ต่อไป ใครเหลือทนก็คลานหลบออกมาร้องไห้อยู่ข้างนอก ไม่ให้ทอดพระเนตรเห็น

สมเด็จพระพันวัสสาฯไม่ทรงทราบว่าทรงเสียพระราชนัดดาไปแล้วอย่างไม่มีวันได้คืนมา แม้เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ เสด็จมาเฝ้าในภายหลัง ก็ยังไม่มีใครกล้ากราบบังคมทูลอยู่ดี สมเด็จฯเคยรับสั่งถามอย่างสงสัยว่า " หลานฉันสองคนนี่" คำตอบที่ทรงได้รับตลอดมาก็คือ อีกพระองค์หนึ่งเสด็จอยู่ต่างประเทศ ผู้ทูลตอบก็ยอมผิดศีลข้อมุสา เพื่อประคับประคองพระราชหฤทัยไว้ไม่ให้แตกสลายจากความจริง

ด้วยเหตุนี้จึงไม่ทรงทราบแม้แต่พิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘

ความทรงจำต่างๆค่อยๆถดถอยน้อยลงไปอีกตามพระชนมายุที่สูงขึ้น เท่ากับป้องกันมิให้ความทุกข์ได้รุกรานมากไปกว่านี้ มีเหตุการณ์เดียวที่เป็นความโสมนัส คือเมื่อมีวันราชาภิเษกสมรส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถเสด็จมาถวายดอกไม้ธูปเทียน ณ วังสระปทุม เมื่อพ.ศ. ๒๔๙๓

สมเด็จพระพันวัสสาฯถวายน้ำพระมหาสังข์และทรงเจิมทั้งสองพระองค์ แล้วรับสั่งกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ ว่า " เอ้า หันออกไปยิ้มกับผู้คนที่เขามางานซิ เขาอุตส่าห์มากันเต็มๆ ออกไปให้เขาเห็นหน่อย" กระแสพระราชดำรัสนั้นมหัศจรรย์มาก เพราะไม่มีใครคิดว่าจะตรัส

หลังจากนั้นก็ประชวร พระเพลาหักเพราะพลาดตกจากพระที่ แต่แพทย์ก็รักษาจนหายประชวรได้เป็นปกติ ทรงมีพระชนม์ยืนยาวมาถึง ๙๓ พรรษา ระยะหลังนี้ทรงลืมได้อย่างเด็ดขาดทั้งความทุกข์และความสุข จนถึงวันประชวรครั้งสุดท้าย


คุณสมภพ จันทรประภา บรรยายเหตุการณ์ในคืนสุดท้ายไว้ว่า " วันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาถึงวังสระปทุมเวลาประมาณ ๒ ยาม เพราะคณะแพทย์กราบบังคมทูลว่าพระอาการหนักสุดที่จะเยียวยาแล้ว คงจะเสด็จสวรรคตในไม่ช้า อากาศหนาวเย็น รอบๆ พระตำหนักเงียบสงัด ในห้องพระบรรทมมีแต่สมเด็จฯประทับอยู่บนพระที่ นายแพทย์และพยาบาลเฝ้าพระอาการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยืนอยู่ปลายพระบาท นานๆก็เสด็จพระราชดำเนินออกมาที่เฉลียงครั้งหนึ่ง แล้วเสด็จฯกลับเข้าไปทรงยืนทอดพระเนตรพระอาการอีก หน้าห้องบรรทม สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถประทับอยู่ นอกจากนั้นก็มีพระองค์เจ้าวาปีฯ หม่อมเจ้าหลานๆ และข้าหลวงหมอบเฝ้าเต็มไป เพราะเป็นที่ทราบกันแล้วว่าพระอาการจะไม่รอดตั้งแต่ ๕ ทุ่ม จึงมาคอยส่งเสด็จกันพร้อมหน้าในวาระสุดท้าย สองยามผ่านไป...ตีหนึ่งผ่านไป...ตีสองผ่านไป..ชาววังที่เฝ้าอยู่ในที่นั้นทั้งปวงต่างก็ได้ยินเสียงสวดมนต์เบาๆ ติดต่อกันโดยหาตัวผู้สวดไม่ได้ พอผ่านไปได้ ๑๖ นาที สมเด็จฯก็เสด็จสู่สวรรค์อย่างสงบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหมอบกราบถวายบังคมอยู่ปลายพระบาทนั้นเอง"

สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าฯ เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ เวลา ๒.๑๖ น. พระชนมายุได้ ๙๓ ปี ๓ เดือน ๗ วัน ถวายพระเพลิง ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๙


รายชื่อหนังสืออ้างอิง ๑ สมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ ของ สมภพ จันทรประภา ๒ พระบรมราชินี และเจ้าจอมมารดา ของ ส.พลายน้อย ๓ ราชสกุลวงศ์ รวบรวมโดย กรมศิลปากร ๔ พระอนุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าในพระราชวงศ์จักรี รวมรวมโดย พลตรีม.ร.ว. ศุภวัฒย์ เกษมศรี และน.ส.รัชนี ทรัพย์วิจิตร ๕ ชาวต่างชาติในประวัติศาสตร์ไทย ของ ส. พลายน้อย ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ