การแพทย์ไทยกับเศรษฐกิจพอเพียง
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
![]() |
คุณสามารถช่วยตรวจสอบ และแก้ไขบทความนี้ได้ด้วยการกดที่ปุ่ม แก้ไข ด้านบน กรุณาเปลี่ยนไปใช้ป้ายข้อความอื่น เพื่อระบุสิ่งที่ต้องการตรวจสอบ หรือแก้ไข ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ วิธีการแก้ไขหน้าพื้นฐาน คู่มือการเขียน และ นโยบายวิกิพีเดีย และเมื่อแก้ไขตามนโยบายแล้ว สามารถนำป้ายนี้ออกได้ |
[แก้] การแพทย์ไทยกับเศรษฐกิจพอเพียง
ปัจจุบันเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงไม่เพียงเป็นแนวคิดด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่สามารถนำไปประยุกต์ด้านอื่นๆได้ด้วย เหมือนที่ถามว่าด้านการแพทย์จะสามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างไร ผมมองว่าเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกับการมองเชื่อมโยงกัน มองว่ามนุษย์กับเทคโนโลยีและธรรมชาติสิ่งแวดล้อมควรจะอยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืน ถ้าพูดถึงพลังงานก็หมายถึงการสร้างประโยชน์สูงสุดจากพลังงานโดยที่ยังคงกระบวนการรักษาต้นทุนทางสังคมเช่นทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรบุคคลไว้ ในทางการแพทย์ก็คงต้องพูดถึงในท่วงทำนองเดียวกันคือ
- ต้องเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และมีระบบการจัดการทรัพยากรทุกๆส่วนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สังคมส่วนรวม การจัดการที่เน้นประสิทธิภาพ ประสิทธิผลจะเกิดขึ้นได้ยากถ้ายังใช้ระบบระเบียบราชการแบบเดิม ต้องปรับเปลี่ยนให้ยืดหยุ่นมากขึ้น กระจายอำนาจมากขึ้น ใช้ระบบคุณธรรมในการดูแลบุคลากร และมีการส่งเสริมเรื่องการศึกษาการพัฒนาความรู้ให้บุคลากร ระดับต่างๆมากกว่าที่เป็นอยู่ เมื่อพัฒนาแล้วก็ต้องมีระบบค่าตอบแทนที่เหมาะสมเพื่อจะสามารถทำงานได้อย่างเต็มขีดความสามารถ การกระจายอำนาจจะช่วยให้เรื่องต่างๆ ตัดสินใจรวดเร็วขึ้น ในระดับปฏิบัติการบางครั้งอาจะจะต้องปรับหลายสิ่งหลายอย่างให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในขณะนั้น ถ้าไม่ปรับระบบให้ยืดหยุ่น ก็จะไม่สามารถบริการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้ ในแง่ปฏิบัติก็สามารถใช้ระบบ IT มาเสริมให้การติดต่อ อนุมัติด้านการเงินต่างๆสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นโดยอาจจะกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบตามลำดับขั้นลักษณะแบบเดิมก็ได้ครับ การจัดสรรทรัพยากรโดยเน้นเรื่องผลงานเป็นหลัก น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าระบบรวบอำนาจแบบปัจจุบัน โดยที่มีระบบการตรวจสอบที่เหมาะสมจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากส่วนกลางและจากในชุมชนเอง
- ควรจะเป็นการใช้เทคโนโลยีที่อยู่บนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเองได้ มีงานวิจัย และองค์ความรู้ในด้านการรักษาพยาบาลของตนเอง ของกลุ่มประชากรของเราเอง ถ้าจะใช้การแพทย์แผนไทย สมุนไพรต่างๆก็ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของงานวิจัยที่ถูกต้อง ข้อดีจึงจะเกิดขึ้น และการนำทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้มาใช้ก็ควรจะตั้งอยู่บนความเป็นไปได้ของการปลูกทดแทนที่เหมาะสมด้วย เรื่องการประยุกต์ใช้ยา ก็มีความสำคัญ ส่วนใหญ่เราใช้ตามฝรั่ง ถ้าจะดีควรมีการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อจะได้นำมาปรับใช้ตามความเหมาะสมของประเทศเราโดยมีฐานข้อมูลของเรา รองรับอยู่ สังเกตมั้ยครับว่าสถาบันการศึกษาของเรา มีข้อมูลต่างๆพวกนี้เยอะแยะ ต่างก็ทำกันไปเก็บกันไป ไม่นำมาเชื่อมโยงกัน ไม่มีปฏิสัมพันธ์กัน นั่นหมายถึงต้องมีงบประมาณสนับสนุนการวิจัยด้านต่างๆมากขึ้น มีบุคลากรที่สนใจและมีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนองานลักษณะเช่นนี้ต่อสังคมมากขึ้น และต้องเป็นงานวิจัยที่เชื่อมโยงได้นำมาประยุกต์ใช้ใด้เหมาะสมกับสภาพสังคมไทยของเรา
- กระบวนการพัฒนาและระบบการจัดการต้องไม่ทำลายระบบนิเวศน์ สังคมและวัฒนธรรม รวมถึงต้อง ลดความขัดแย้งในสังคมในด้านการใช้ทรัพยากรต่างๆในด้านการแพทย์และการสาธารณสุขด้วย การแพทย์กระแสตะวันตกที่เน้นเรื่องเทคโนโลยี ราคาแพง การระดมทุน การควบรวมกิจการให้มีขนาดใหญ่เพื่อจะให้ได้เปรียบด้านต้นทุนแบบ economy of scale จะทำให้ระบบการแพทย์เดิมที่เน้นความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแพทย์กับชุมชน แพทย์กับผู้ป่วย จะหายไป จะถูกทดแทนด้วยเรื่องต้นทุนการเงิน กำไรทางธุรกิจ เหมือนที่เมืองใหญ่ทั้งหลายกำลังเป็นอยู่ ถ้าทุนไม่หนา แข่งขันไม่ได้ ก็อยู่ไม่ได้ต้องเข้าไปอยู่กับระบบของ รพ.เอกชน แล้วระบบแบบนี้ก็เกิดผลเสียได้ถ้าเราไม่เรียนรู้และปรับตัว ประชาชนก็ต้องเรียนรู้และปรับตัวเช่นกัน ถ้าเรานำเรื่องราวต่างๆที่เกิดในสังคมตะวันตก มาเป็นบทเรียน เราก็จะเรียนลัดได้ หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดได้เช่นเรื่องการฟ้องร้อง ต้นทุนการรักษาที่แพงขึ้นเรื่อยๆเป็นต้นโดยที่ไม่ต้องเป็นไปทุกขั้นตอนตามประเทศเหล่านั้น
- เน้นการแพทย์แบบองค์รวม การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน จะช่วยตรงนี้ได้ ขุมข่าย อ.ส.ม. เข้มแข็งมากครับ ถ้ามีการนำมาผนวกเข้ากับการจัดการ การวางแผนที่เหมาะสม จะสามารถส่งเสริมงานแบบนี้ได้ น่าเสียดายที่หมอเรา สนใจเรื่องพวกนี้น้อยลง เน้นการรักษาตามเทคโนโลยีตะวันตกมากขึ้นเรื่อยๆตามกระแส อาจจะมองข้ามงานชุมชน หรือให้ความสำคัญน้อยลง(ตามกาลเวลา) ในภาพรวมจึงยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก อาจจะมีบางรพ.ที่สามารถทำได้( รพ.ที่ได้รางวัลทั้งหลายนั่นแหละครับ)แต่ส่วนใหญ่จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ทำให้ดีขึ้นได้ครับ ถ้ามีแรงจูงใจที่เหมาะสม และมากเพียงพอ ให้หมอและบุคลากรสาธารณสุขทุกระดับอยู่ได้ อยู่อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ในรพ.ชุมชน ด้วยค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับปริมาณงาน และลักษณะงานที่มองว่าสร้างสรรค์สร้างประโยชน์กับชุมชนและสังคม ถ้าสามารถทำให้มีงานวิจัยเชิงคลินิค ที่เน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ออกมาจากรพ.ชุมชนมากๆยิ่งดี
- รัฐบาลและองค์กรปกครองท้องถิ่น ต้องมีความรู้ความเข้าใจด้านการจัดการ การใช้ทรัพยากร ในด้านการแพทย์ การสาธารณสุขมากขึ้น เป็นเรื่องสำคัญครับ เพราะการเมืองและสังคมที่พัฒนามากขึ้น ท้องถิ่นจะมีความสำคัญและมีบทบาทมากขึ้น เราไม่ควรปฏิเสธ แต่ควรจะต้องยอมรับ เข้าใจ และใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้ได้ ภาพรวมในระดับประเทศยังมองไม่ออกถึงความเชื่อมโยงของทั้งสองส่วน แต่อนาคตก็คงต้องเกิดขึ้นจนได้ ผอ.รพ แต่ละที่ต้องเข้าหาชุมชนมากขึ้น สร้างสายสัมพันธ์ที่ดี และเหมาะสม หลายๆที่ก็คงกำลังทำอยู่แล้วแหละครับ
- การจัดตั้งกลไกเพื่อแก้ไขความขัดแย้งที่อยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน และเป็นที่ยอมรับของสังคม ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการักษาความมั่นคงของสังคมและวัฒนธรรมในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้ง เช่นเรื่องผลการรักษาที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวังที่นำไปสู่การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย การจัดสรรงบประมาณที่ยังเหลื่อมล้ำกันอยู่ระหว่าง รพ.ชุมชนและรพ.ขนาดใหญ่ เป็นต้น การที่มีกลไกเหล่านี้จะช่วยให้ทุกๆส่วนของสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ มากขึ้น
จะเห็นได้ว่าการแพทย์แบบที่ใช้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องที่ต้องเชื่อมโยงหลายๆส่วนเข้าด้วยกัน โดยที่เน้นการมีส่วนร่วมและความสัมพันธ์อันดีระหว่างแพทย์ ชุมชน รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล มนุษย์ เทคโนโลยี ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรจะอยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืนไม่พัฒนาแบบเดิมๆที่นำไปสู่ความขัดแย้ง ความขาดแคลน ความเสื่อมโทรมของทุกด้านแบบที่เป็นอยู่ในหลายๆประเทศในโลกปัจจุบันนี้