คุยกับผู้ใช้:Natchaya07 kl

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สารบัญ

[แก้] จากห้องสมุดดั้งเดิม สู่ Digital Library

การศึกษาเรียนรู้เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งในการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตประจำวัน การพัฒนาความรู้จึงต้องอาศัยวิธีการเรียนรู้ด้วยตนเอง จากบุคคลทั่วไป จากสถาบันหรือองค์กรทางวิชาชีพ หรือจากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว แหล่งเรียนรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการศึกษาค้นคว้า(ศันสนีย์ สุวรรณเจตต์, 2546 : 1) และในปัจจุบันนี้ ห้องสมุดนั้นถือว่ามีความสำคัญต่อการศึกษาอย่างมาก และนับวันจะทวีความสำคัญยิ่งขึ้นทุกที เพราะห้องสมุดเป็นสถานที่รวบรวมสรรพวิทยาการต่างๆ อันเป็นผลิตผลจากสติปัญญาของมวลมนุษย์ เป็นศูนย์กลางของการศึกษาหาความรู้ และนอกจากนี้ห้องสมุดยังช่วยให้คนรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อีกด้วย (นนทนา เผือกผ่อง, 2531 : 19)

ห้องสมุดเป็นคลังความรู้ของสังคมมายาวนาน ถ้าไม่นับห้องสมุดดินเหนียวในหอสมุดประจำวิหารนาบู ห้องสมุดปาปิรัสที่อียิปต์ ห้องสมุดอเลกซานเดรีย ห้องสมุดแผ่นหนัง จนถึงยุคของการคิดค้นกระดาษจากประเทศจีนและเมื่อโยฮันน์ กูเตนเบิร์กประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ขึ้นครั้งแรก ในโลกเมื่อปี ค.ศ. 1440 เมื่อมีการพิมพ์หนังสือด้านศาสนาและสาขาวิชาต่างๆ ห้องสมุดที่ให้บริการหนังสือจึงเกิดขึ้นนับแต่นั้น เช่น ค.ศ. 1753 มีการก่อตั้งหอสมุดแห่งชาติอังกฤษ ส่วนหอสมุด รัฐสภาอเมริกัน ตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1800 และมีห้องสมุดมหาวิทยาลัยเกิดขึ้นหลายแห่ง ดังนั้นวิวัฒนาการของห้องสมุดที่มีหนังสือจึงมีมากกว่า 500 ปี และได้มีการคิดค้นระบบจัดหมวดหมู่ ตามสาขาวิชาต่างๆ เผยแพร่และเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางทั่วโลก(น้ำทิพย์ วิภาวิน, 2548 : 53) เพราะฉะนั้น ห้องสมุดจึงมีส่วนสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมหรือพัฒนาสังคมให้เจริญก้าวหน้า เพราะห้องสมุดได้รวบรวมหนังสือ และวัสดุการศึกษาที่ดีมีประโยชน์ เพื่อเสนอความรู้ความคิดใหม่ๆ แก่ผู้อ่านอย่างกว้างขวาง ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข และมีประสิทธิภาพ อันจะก่อให้สังคมและประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองด้วย ดังนั้นสังคมที่เจริญย่อมจะขาดห้องสมุดไม่ได้(ธาดาศักดิ์ วชิรปรีชาพงษ์, 2543 : 14)

การศึกษาค้นคว้ากับห้องสมุดเป็นของคู่กัน ในสมัยโบราณห้องสมุดเป็นแหล่งเรียนรู้ของนักปราชญ์ ปัจจุบันห้องสมุดก็ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ของผู้ต้องการความรู้ ทุกองค์กรที่ตระหนักถึงความจำเป็นของการเรียนรู้จึงจัดให้มีแหล่งเรียนรู้ เช่นห้องสมุดในองค์กร การเรียนรู้และการวิจัย มีกระบวนการศึกษาค้นคว้าเพื่อแสวงหาความรู้ใหม่ ห้องสมุดมีไว้เพื่อการศึกษาค้นคว้า และเป็นคลังความรู้ของประชาชน การส่งเสริมให้ประชาชนศึกษาหาความรู้เป็นการสร้างสังคมแห่ง การเรียนรู้และสังคมที่ฉลาด ห้องสมุดจึงต้องตอบสนองความต้องการของสังคมและชุมชน ความรู้ต้องมีการสืบทอดถึงคนในแต่ละยุคแต่ละสมัย(น้ำทิพย์ วิภาวิน, 2548 : 54) เช่นเดียวกับที่ห้องสมุดก็จะต้องพัฒนาเพื่อให้สามารถรองรับกับความต้องการของผู้ใช้ที่มีอย่างไม่จำกัด และวิวัฒนาการต่างๆ ของห้องสมุดที่ได้พัฒนามานั้น จากอดีตที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงในยุคปัจจุบัน ห้องสมุดได้มีการพัฒนา ปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร และเพื่อให้สามารถมองเห็นภาพพัฒนาการของห้องสมุดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราก็ควรที่จะมาทำความรู้จักและได้เรียนรู้เกี่ยวกับห้องสมุดในแต่ละประเภท ดังนี้

[แก้] ห้องสมุดดั้งเดิม(Classical Library)

ห้องสมุดในระยะแรกๆ มักเริ่มต้นจากการรวบรวมคัมภีร์และหลักธรรมทางศาสนา เช่น ห้องสมุดของไทยก็เริ่มต้นในวัดวาอารามเช่นกัน ตัวอย่างเช่น หอไตรในสมัยอยุธยา หอหลวงในสมัยกรุงธนบุรี และหอมณเฑียรธรรมในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามหรือวัดโพธิ์ ในปี พ.ศ. 2424 รัชกาลที่ 5 ได้จัดตั้งหอสมุดวชิรญาณ เพื่อรวบรวมหนังสือที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ต่อมาได้มีการรวมหอพระมณเฑียรธรรม หอพระสมุดวชิรญาณ และหอพุทธสาสนสังคหะ ไว้เป็นหอสมุดเดียวกัน ในรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาสนับสนุนให้มี หอสมุดสำหรับพระนคร(น้ำทิพย์ วิภาวิน, 2546 : 53) ในยุคต่อมา ห้องสมุดก็ได้มีการพัฒนาไปแบบก้าวกระโดดจนกระทั่งถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ระบบงานของห้องสมุดของไทยหลายแห่งไม่แตกต่างกับการจัดการระบบงานห้องสมุดในต่างประเทศ จะแตกต่างกันก็เพียงด้านสถาปัตยกรรมของอาคารสถานที่และความสวยงามโอ่อ่า จำนวนหนังสือและทรัพยากรห้องสมุดและงบประมาณของห้องสมุด จำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในการดำเนินงานและให้บริการและความพร้อมของโปรแกรมจัดการระบบงานห้องสมุด อีกทั้งจรรยาบรรณวิชาชีพของบรรณารักษ์ห้องสมุดและทัศนคติในการให้บริการ(น้ำทิพย์ วิภาวิน, 2546 : 54)

ความหมายของห้องสมุดดั้งเดิม

ห้องสมุด (Library) คือ สถานที่รวบรวมสรรพวิทยาการต่างๆ ได้แก่ หนังสือ วารสาร เอกสาร สิ่งพิมพ์ต่างๆ รวมทั้งโสตทัศนวัสดุทุกประเภท โดยมีเจ้าหน้าที่ซึ่งมีความรู้ทางบรรณารักษศาสตร์เป็นผู้ดำเนินงานและจัดบริการให้แก่ผู้ใช้ (ธาดาศักดิ์ วชิรปรีชาพงษ์. 2525 : 42) ส่วนคำว่า ห้องสมุดดั้งเดิม (Classical Library) ความหมายก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกันที่เป็นสถานที่รวบรวมสรรพวิทยาการต่างๆ เช่นเดียวกัน ซึ่งลักษณะของห้องสมุดในแบบดั้งเดิมที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนก็เช่น ห้องสมุดของโรงเรียน หรือห้องสมุดเฉพาะบางแห่งที่ยังคงสภาพการจัดเก็บ 1. เป็นศูนย์กลางการอ่าน (Reading Center) 2. เป็นศูนย์กลางการศึกษาค้นคว้า (Study Center) 3. เป็นศูนย์กลางฝึกวิจารณญาณในการอ่านและขยายขอบเขตการอ่านให้กว้างขวางขึ้น 4. เป็นศูนย์กลางการแนะแนวการอ่าน (Reading Guidance Center) และ 5. เป็นศูนย์กลางวัสดุอุปกรณ์การสอน (Instructional Materials Center)

ส่วนประกอบของห้องสมุดดั้งเดิม

ส่วนประกอบที่สำคัญของห้องสมุดมีอยู่ด้วยกัน 4 ประการ ดังนี้ 1. อาคารสถานที่ ห้องสมุดจำเป็นต้องมีสถานที่ที่เป็นสัดเป็นส่วน อาจเป็นส่วนหนึ่งของอาคาร เป็นอาคารเดียวเอกเทศหรือหลายอาคารก็ได้ มีครุภัณฑ์และอุปกรณ์ห้องสมุดต่างๆ สำหรับใช้เป็นที่เก็บวัสดุห้องสมุด เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ และการปฏิบัติงานของ เจ้าหน้าที่ห้องสมุด 2. วัสดุห้องสมุด วัสดุต่างๆ ที่มีอยู่ในห้องสมุด แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 2.1 วัสดุตีพิมพ์ (Printer Materials) เช่น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ จุลสาร และ กฤตภาค 2.2 วัสดุไม่ตีพิมพ์ (Non-Printed Materials) ได้แก่ โสตทัศนวัสดุ (Audio-Visula Materials) ประเภทต่างๆ ที่ใช้เป็นอุปกรณ์การศึกษา เช่น รูปภาพ แผนที่ แผนภูมิ สไลด์ ฟิล์มสตริป ภาพยนตร์ ไมโครฟิลม์ แผ่นเสียง เทปบันทึกเสียง ลูกโลก หุ่นจำลอง และของตัวอย่าง เป็นต้น 3. บุคลากร ได้แก่ บรรณารักษ์ เจ้าหน้าที่ เสมียน พนักงาน และคนงานภารโรง เป็นต้น มีหน้าที่บริหารงาน ดำเนินงาน และช่วยบริการแก่ผู้ใช้ห้องสมุด 4. งบประมาณ ห้องสมุดจำเป็นต้องมีเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เช่น ค่าหนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ วัสดุ ครุภัณฑ์ต่างๆ ตลอดจนเงินเดือนของบรรณารักษ์ พนักงานและเจ้าหน้าที่ ฯลฯ

มาตรฐานของห้องสมุดดั้งเดิม (Standard of Classical Library)

มาตรฐาน(Standard) เป็นข้อกำหนดขั้นต่ำของปริมาณและคุณภาพของวัสดุหรือบริการต่างๆ การกำหนดมาตรฐานจำเป็นต้องมีการสำรวจหรือทำวิจัยจากผู้เกี่ยวข้อง ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิ แล้วนำมาเปรียบเทียบเพื่อกำหนดเป็นมาตรฐานประกาศใช้ในสิ่งที่ต้องการ มาตรฐานห้องสมุด จึงเป็นเรื่องของสมาคมห้องสมุดที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการให้ได้มาเพื่อ มาตรฐานดังกล่าว (วาณี ฐาปนาวงศ์ศานติ, 2543 : 13)

ในอดีตที่ผ่านมา ข้อกำหนดเกี่ยวกับมาตรฐานของห้องสมุดในประเทศไทยได้ถูกกำหนดขึ้นโดยสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งได้ดำเนินการเกี่ยวกับมาตรฐานห้องสมุดอย่างจริงจัง ทบวงมหาวิทยาลัยได้ประกาศมาตรฐานห้องสมุดมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2529 เป็นลำดับก่อนห้องสมุดประเภทอื่นๆ ต่อมาหลังการประชุมใหญ่สามัญประจำปี พ.ศ. 2529 จึงได้ตั้งแผนกมาตรฐาน ห้องสมุดขึ้น ปี พ.ศ. 2530 มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการจัดทำมาตรฐานห้องสมุดประเภทต่างๆ โดยมีคณะกรรมการและอนุกรรมการของห้องสมุดแต่ละประเภท สรุปผลประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 2533 (วาณี ฐาปนาวงศ์ศานติ, 2543 : 14) ซึ่งผลสรุปของสมาคมห้องสมุดฯ ได้ประกาศใช้มาตรฐานห้องสมุด เป็น 4 ประเภท ตามวาระดังนี้ 1. มาตรฐานห้องสมุดเฉพาะ พ.ศ. 2531 2. มาตรฐานห้องสมุดประชาชน พ.ศ. 2533 3. มาตรฐานห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษา พ.ศ. 2533 4. มาตรฐานห้องสมุดโรงเรียนมัธยมศึกษา พ.ศ. 2533

มาตรฐานของห้องสมุดดั้งเดิม(Standard of Classical Library) เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับมาตรฐานความต้องการเบื้องต้นของห้องสมุดที่ยังคงสภาพการบริหารและจัดการในแบบเดิมๆ ที่ยังไม่ได้นำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ ดังจะเห็นได้จากมาตรฐานห้องสมุดโรงเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่ยังคงสภาพการบริหารและจัดการในแบบเดิม กล่าวคือ ในส่วนของการจัดการและจัดเก็บวัสดุสารสนเทศ จะยังคงจัดเก็บทรัพยากรสารสนเทศต่างๆ โดยการจัดหมวดหมู่วัสดุสารสนเทศและนำออกให้บริการยังชั้นหนังสือตามปกติ และมีเครื่องมือที่ใช้ในการสืบค้น ซึ่งจะอยู่ในรูปของบัตรรายการ ตามระบบสากล มีการทำบรรณานุกรม และดรรชนีวารสาร เพื่อความสะดวกในการสืบค้น โดยใช้ระบบ Manual ช่วยในการจัดเก็บเป็นส่วนใหญ่

อย่างไรก็ดี มาตรฐานของห้องสมุดในแต่ละประเภทนั้น ถือว่ามีความสำคัญไม่ ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เนื่องจากมาตรฐานดังกล่าวสามารถใช้เป็นแนวทางสำหรับผู้บริหารสถาบัน ที่ห้องสมุดสังกัด ให้ความสนับสนุน เพื่อพัฒนาห้องสมุดให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เป็นแนวทางให้บรรณารักษ์และผู้ปฏิบัติงานในห้องสมุด ดำเนินงานให้สอดคล้องบรรลุตามจุดมุ่งหมายของห้องสมุดแต่ละประเภท เป็นแนวทางในการวางแผนปฏิบัติงานของบุคลากรทุกคนในห้องสมุดให้ดำเนินไปอย่างมีคุณภาพ เป็นเกณฑ์ในการประเมินผล การปฏิบัติงานของบรรณารักษ์ และเจ้าหน้าที่ห้องสมุด และท้ายที่สุดคือเป็นแนวทางพัฒนาห้องสมุด และผู้ปฏิบัติงานทุกคนให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่ควรจะเป็น

ตัวอย่างของห้องสมุดดั้งเดิม

ห้องสมุดดั้งเดิมที่ยังคงสภาพการจัดเก็บและให้บริการในปัจจุบัน ได้มีการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาเป็นตัวช่วยในการจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศบ้างแล้ว ตัวอย่างเช่น ห้องสมุดโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษา หรือหอสมุดแห่งชาติ เป็นต้น แต่รูปแบบการให้บริการก็ยังคงมีตู้บัตรรายการที่เป็นเครื่องมือช่วยค้น มีบัตรรายการที่เป็นตัวชี้แหล่งเพื่อให้ไปถึง สารสนเทศได้ มีการกำหนดเลขเรียกหนังสือเป็นระบบการจัดหมู่ของห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน (LC) หรือระบบทศนิยมของดิวอี้ (DC) ฯลฯ

[แก้] ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์(Electronic Library)

เมื่อกล่าวถึง “ห้องสมุด” บุคคลทั่วไปก็มักจะนึกถึงสถานที่เก็บรวบรวมหนังสือและวัสดุตีพิมพ์อื่นๆ เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้ แต่ในขณะนี้การมองห้องสมุดว่าเป็นสถานที่หรือเป็นอาคารสำหรับเก็บหนังสือกำลังจะถูกแทนที่ด้วยมุมมองใหม่ ห้องสมุดจะกลายเป็น “ข่ายงานของ สารสนเทศ” หรือเป็น “ศูนย์เชื่อมโยงในข่ายงานที่ให้การเข้าถึงสารสนเทศทั้งในและนอกอาคารที่เรียกว่าห้องสมุด” (Taylor cited in Birdall, 1994 : 32) มุมมองดังกล่าวไม่ได้พิจารณาห้องสมุดในฐานะอาคารแต่เน้นกระบวนการและพันธกิจในการที่จะเอื้ออำนวยการเข้าถึงสารนิเทศแก่ผู้ใช้ ห้องสมุดยุคใหม่ได้รับการเรียกขานว่าเป็น ห้องสมุดที่ปราศจากกำแพง(Library without walls) บ้าง ห้องสมุดเสมือน(Virtual Library) บ้าง รวมทั้ง ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์(Electronic Library) (พิมพ์รำไพ เปรมสมิทธิ์, 2538 : 1)

หากกล่าวถึงความแตกต่างระหว่างห้องสมุดดั้งเดิมกับห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แล้ว จะเห็นว่าลักษณะความต่างกันของห้องสมุดดั้งเดิมจะเน้นการมีคอลเลคชั่นสิ่งพิมพ์เป็นของตัวเอง ขณะที่จุดเด่นของห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์คือการสืบค้นสารสนเทศผ่านคอมพิวเตอร์และระบบโทรคมนาคม หรือในอีกทางหนึ่งห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ไม่จำเป็นต้องทำให้ห้องสมุดในรูปแบบดั้งเดิมหมดไป ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์นั้นเป็นแนวคิด ส่วนห้องสมุดดั้งเดิมเป็นสถานที่ ห้องสมุดดั้งเดิมเน้นการเข้าถึง ในขณะที่ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์เป็นการพัฒนาคอลเลคชั่น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทั้งสองห้องสมุดนี้ก็สามารถอยู่รวมกันได้ ซึ่งห้องสมุดดั้งเดิมสามารถเป็นห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ได้ และห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ก็สามารถทำหน้าที่ภายในกรอบของห้องสมุดดั้งเดิมได้

ความหมายของห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์

ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์(Electronic Library) หมายถึงห้องสมุดที่ให้บริการข้อมูลหรือสารสนเทศต่างๆ ที่อยู่ในรูปสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์(Electronic information) ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์(Electrically) กล่าวคือข้อมูลทั้งหมดทั้งที่อยู่ในรูปสิ่งตีพิมพ์หรือสื่อโสตทัศน์จะถูกจัดเก็บในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งวิธีการแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปอิเล็กทรอนิกส์อาจทำได้โดยวิธีการและเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เช่น การพิมพ์ ป้อนข้อมูล(Key in) การกวาดตรวจ(Scan) ฯลฯ ลงในสื่อบันทึกต่างๆ เช่น ดิสเก็ต เทปแม่เหล็ก แผ่นซีดี ฯลฯ จากนั้นทำเครื่องช่วยค้นและอุปกรณ์ต่อเชื่อมเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อมูลแบบออนไลน์จากที่ใดๆ เช่น บ้าน ที่ทำงาน ใน รถยนต์ ฯลฯ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ คือสืบค้นโดยใช้คอมพิวเตอร์ โดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทั้งเครือข่ายภายในหรืออินทราเน็ต(Intranet) เครือข่ายเฉพาะบริเวณ หรือแลน(Local Area Network-LAN) ซึ่งเป็นเครือข่ายภายในหน่วยงานต่างๆ หรือเครือข่ายบริเวณกว้างหรือแวน(Wide Area Network-WAN) เช่น อินเทอร์เน็ต ด้วยวิธีการนี้ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลในห้องสมุดได้ทุกวันและตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่จำเป็นต้องมาที่ห้องสมุด(ชาริณี เชาวน์ศิลป์, 2544 : 16)

ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์เป็นเสมือนภาคอิเล็กทรอนิกส์ของห้องสมุดจริงที่เป็นแหล่งรวบรวมสารสนเทศที่อยู่บนเครือข่าย คือ Internet และให้ความสำคัญกับการรวบรวมจำแนกและ จัดระบบของสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้เทคนิควิธีการต่างๆ ในการค้น กลั่นกรอง และสรุป (พิมพ์รำไพ เปรมสมิทธิ์. 2548, : 1)

ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ในทัศนะของ Dowlin คือ องค์การที่ใช้การสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ช่วยในการเข้าถึงทรัพยากรที่มีทั้งในและนอกองค์การ รวมทั้งแหล่งสารสนเทศออนไลน์ในระดับภูมิภาค และระดับชาติ ผู้เชี่ยวชาญสารสนเทศ นักเอกสารสนเทศในห้องสมุดสามารถเข้าแทรกในกระบวนการติดต่อสื่อสารเพื่อช่วยผู้ใช้ในการแสวงหาสารสนเทศ(พิมพ์รำไพ เปรมสมิทธิ์, 2538 : 2) ในห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ที่สมบูรณ์แบบนั้น อาจเรียกว่าห้องสมุดเสมือน(Virtual Library) เพราะผู้ใช้สามารถเข้าถึงและดาวน์โหลดเอกสารฉบับเต็ม(Full Text) ในฐานข้อมูลต่างๆ ของห้องสมุดและฐานข้อมูลที่ห้องสมุดจัดหามาให้บริการได้ทันทีโดยไม่ต้องมายืมอ่าน หรือขอถ่ายเอกสารที่ห้องสมุด

ส่วนประกอบของห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์

ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ มีส่วนประกอบ ดังนี้ 1. สารสนเทศ เช่นเดียวกับห้องสมุดทั่วไป สารสนเทศในห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์อาจประกอบด้วย หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ แผนที่ รูปภาพ วีดิทัศน์ ฐานข้อมูลซีดีรอม ฐานข้อมูลออนไลน์ ฯลฯ ลักษณะสารสนเทศที่ได้จากห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์อาจอยู่ในลักษณะฐานข้อมูลบรรณานุกรม(Bibliographic data-base) ฐานข้อมูลเอกสารฉบับเต็ม(Full text database) ฐานข้อมูลสื่อประสม(Multimedia) ฯลฯ แต่ละสารสนเทศทั้งหมดจะถูกแปลงให้อยู่ในรูปข้อมูลดิจิทัล ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 3 ลักษณะ คือ 1.1 สารสนเทศที่ให้บริการแก่ผู้ใช้ทั่วไป คือสารสนเทศที่ผู้ใช้ทั้งที่เป็นสมาชิกของห้องสมุดและผู้ใช้ที่ไม่ใช่สมาชิกของห้องสมุดซึ่งสามารถใช้บริการได้ เช่น ฐานข้อมูลที่ให้บริการในระบบโอแพ็ค(OPAC : Online Public Access Catalog) เป็นต้น 1.2 สารสนเทศที่ให้บริการเฉพาะสมาชิก คือ สารสนเทศที่จำกัดการใช้งานเฉพาะสมาชิกหรือผู้ที่ได้รับอนุญาติจากห้องสมุดเท่านั้น โดยผู้มีสิทธิใช้จะได้รับรหัสผ่านเพื่อเข้าใช้บริการโดยมากมักเป็นฐานข้อมูลเชิงพาณิชย์ที่ห้องสมุดบอกรับมาให้บริการแก่ผู้ใช้ที่เป็นสมาชิกของห้องสมุด 1.3 สารสนเทศของห้องสมุดหรือหน่วยงานอื่นๆ นอกจากสืบค้นสารสนเทศในห้องสมุดแห่งนั้นๆ แล้ว ห้องสมุดส่วนใหญ่จะทำการเชื่อมโยง(Link) ไปยังห้องสมุดหรือหน่วยงานอื่นๆ ด้วย 2. บริการ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ สามารถให้บริการต่างๆ แก่ผู้ใช้ได้เช่นเดียวกับห้องสมุดรูปแบบปัจจุบัน เช่น 2.1 บริการสืบค้นสารสนเทศ นอกจากสารสนเทศในห้องสมุดของตนแล้ว ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ยังช่วยให้ผู้ใช้สืบค้นสารสนเทศของห้องสมุดหรือหน่วยงานอื่นๆ ทั่วโลก การสืบค้นสารสนเทศก็ทำได้ไม่ยากเพราะโดยมากใช้หลักการเดียวกับห้องสมุดในรูปแบบปัจจุบัน แม้ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แต่ละแห่งอาจจัดหาหรือจัดทำฐานข้อมูลที่ออกแบบหรือพัฒนาเครื่องช่วยค้นที่แตกต่างกันในรายละเอียด แต่โดยมากมักใช้เครื่องช่วยค้นมาตรฐานที่เหมือนหรือคล้ายกัน เช่น ชื่อผู้แต่ง หัวเรื่อง คำสำคัญ ฯลฯ 2.2 บริการตอบคำถามและช่วยการค้นคว้า ผู้ใช้บริการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์สามารถใช้บริการตอบคำถามและช่วยการค้นคว้าได้โดยผ่านไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรืออีเมล์ มีงานวิจัยบางเรื่องพบว่าในห้องสมุดบางแห่งสถิติการใช้บริการตอบคำถามและช่วยการค้นคว้าโดยทางอีเมล์สูงกว่าทางจดหมาย โทรศัพท์ หรือการมาพบด้วยตนเอง อาจเนื่องด้วยการใช้อีเมล์ประหยัดกว่าและเร็วกว่าการใช้จดหมายหรือโทรศัพท์ ขณะเดียวกันเหตุผลในทางจิตวิทยาคืออีเมล์ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องแสดงความเป็นตัวตนที่แท้จริงจึงรู้สึกเป็นอิสระและกล้าถามในคำถามที่อาจไม่อยากพูดหรือถามเมื่อมาพบด้วยตนเอง 2.3 บริการดาวน์โหลดสารสนเทศที่ต้องการ สำหรับสารสนเทศที่ไม่มีข้อห้ามเรื่องลิขสิทธิ์หรือสารสนเทศในฐานข้อมูลเชิงพาณิชย์ที่ห้องสมุดบอกรับเป็นสมาชิกและจ่ายค่าบริการให้นั้น ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดเอกสารนั้นไปใช้หรือเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวได้ โดยมากเอกสารที่อนุญาตให้ดาวน์โหลดได้มักเก็บในรูปไฟล์พีดีเอฟ(PDF File) 2.4 บริการแนะนำการใช้ห้องสมุด เนื่องจากการใช้งานห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ต้องอาศัยความรู้และทักษะหลายอย่าง ทั้งความรู้และทักษะในการค้นคว้า การใช้งานคอมพิวเตอร์ การใช้ฐานข้อมูล จึงจำเป็นที่ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์จะต้องให้การศึกษาแก่ผู้ใช้(User Education) แต่เนื่องจากผู้ใช้ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์เป็นผู้ใช้ที่มองไม่เห็นตัว(Invisible User) คือไม่ได้มาที่ห้องสมุด และประกอบด้วยผู้ใช้หลากหลายระดับความรู้ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์จึงอาจจัดทำสื่อการสอนการใช้ห้องสมุดสำหรับผู้ไม่เคยใช้หรือไม่คุ้นเคยกับระบบหรือห้องสมุดนั้นๆ ให้ศึกษาเองตามความต้องการ โดยอาจจัดทำเป็นบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ที่มีทั้งความรู้และแบบฝึกปฏิบัติให้ลองค้นคว้าเอง บางแห่งถือเป็นหน้าที่ที่ห้องสมุดจะต้องทำการปฐมนิเทศ(Orientation) สำหรับผู้ใช้ใหม่โดยการออนไลน์โดยอัตโนมัติ

มาตรฐานของห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (Standard of Electronic Library)

มาตรฐานห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ยังมิได้มีการกำหนดเป็นมาตรฐานอย่างแน่ชัด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในอนาคตข้างหน้าการพัฒนาเป็นมาตรฐานจากห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์มาสู่ห้องสมุด ดิจิทัล(Digital Library) นั้น อาจจะได้มีการกำหนดเป็นมาตรฐานที่แน่ชัดขึ้น เพื่อให้เป็นข้อกำหนดหรือเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในลำดับต่อไป

ตัวอย่างห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์

ตัวอย่างที่ชัดเจนของห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์คือ อินเทอร์เน็ต ข้อมูลทั้งหมดใน อินเทอร์เน็ตไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร ภาพ เสียง ฯลฯ ล้วนจัดเก็บในรูปดิจิทัลและการค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตจะต้องกระทำผ่านเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์คือ คอมพิวเตอร์ โดยมีโปรแกรมค้นหา(Search engine) หรือนามานุกรมเว็บ(Web directory) เป็นเครื่องมือช่วยค้นหา ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศแบบออนไลน์ในอินเทอร์เน็ตได้ตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถดาวน์โหลดข้อมูลที่ต้องการลงในแผ่นดิสเก็ตหรือสั่งพิมพ์ออกทางกระดาษได้ (ชาริณี เชาวน์ศิลป์, 2544 : 16)

นอกจากนี้ ยังมีบริการของ OCLC(Online Computer Library Center) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1967 เป็นเสมือนผู้นำของห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ OCLC เติบโตมาจากเครือข่ายความร่วมมือของห้องสมุดท้องถิ่นในรัฐโอไฮโอ พัฒนามาเป็นเครือข่ายห้องสมุดในสหรัฐอเมริกาและสถานะปัจจุบันคือเครือข่ายห้องสมุดระดับนานาชาติที่ให้บริการห้องสมุดกว่า 25,000 แห่งใน 63 ประเทศและดินแดนในอาณัติของสหรัฐอเมริกา OCLC มีผู้ใช้บริการออนไลน์ใน 9 ประเทศและดินแดนในแถบเอเชียและแปซิฟิก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเรีย และนิวซีแลนด์ (Wang, 1998 : 33)

ระบบออนไลน์ OCLC

OCLC ปฏิบัติการระบบออนไลน์ มีวัตถุประสงค์เพื่อการทำราการ การใช้ทรัพยากรร่วมกัน การบริการอ้างอิง และการส่งเอกสาร ซึ่งบริการต่างๆ ของ OCLC มีดังนี้ 1) บริการ PRISM เป็นการจัดทำรายการและการบริการยืมระหว่างห้องสมุดด้วยระบบออนไลน์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สืบค้นฐานข้อมูล World Cat (OCLC Online Union Catalog) เพื่อทำรายการร่วมกันและเพื่อบริการยืมคืนระหว่างห้องสมุดด้วยระบบออนไลน์ บริการ PRISM จัดทำขึ้นเพื่อให้บรรณารักษ์ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงานใน 2 ด้านดังกล่าว 2) บริการ EPIC เป็นบริการอ้างอิงระบบออนไลน์ที่เต็มรูปแบบ โดยการสืบค้นโดยใช้หัวเรื่อง คำสำคัญ และการค้นแบบบูลีน(Boolean search) จากฐานข้อมูล World Cat และสืบค้นจากสาขาวิชาอื่นๆ อีก 50 ฐานข้อมูล จะให้รายละเอียดทางบรรณานุกรมพร้อมสาระสังเขปและมีสัญลักษณ์ของห้องสมุดที่มีสิ่งพิมพ์นั้นอยู่ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้หาแหล่งที่มีวัสดุได้ง่ายขึ้น บริการ EPIC จัดทำขึ้นเพื่อบรรณารักษ์อ้างอิง 3) บริการ First Search เป็นบริการอ้างอิงระบบออนไลน์อีกประเภทหนึ่ง จัดทำขึ้นเพื่อผู้ใช้บริการห้องสมุด เช่น อาจารย์ นักศึกษา และบุคคลทั่วไปซึ่งสามารถสืบค้นฐานข้อมูล World Cat (เป็นรายการบรรณานุกรมและแหล่งข้อมูล) Article First (ดรรชนีบทความวารสารประมาณ 15,000 ชื่อ) Contents First (รายการสารบัญของวารสารประมาณ 15,000 ชื่อ) Paper First (ดรรชนีเอกสารการประชุม) Proceedings First (รายการสารบัญของการประชุมทั่วโลก) และ Net First (แคตตาลอกของแหล่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต) ผู้ใช้สามารถค้นคืนระบบออนไลน์ได้ง่ายโดยไม่ต้องอบรมการใช้บริการ First Search ยังให้บริการเอกสารฉบับเต็มด้วยระบบออนไลน์ รวมทั้งการส่งเอกสารด้วยบริการนี้ไม่คิดราคา และช่วงเวลาที่เข้าฐานข้อมูล 4) บริการ OCLC Electronic Journals Online Service เป็นบริการสิ่งพิมพ์ฉบับเต็มในรูปอิเล็กทรอนิกส์ของวารสารต่อไปนี้ : Applied Physics Letters Online, Current Opinions in Biology, Current Opinions in Medicine, Electronic Letters Online, Immunology Today, Journal of Applied Physiology, Online Journal of Current Clinical Trails, and Online Journal of Knowledge Synthesis for Nursing และวารสารอื่นๆ ที่จะพิมพ์เพิ่มเติมในอนาคต ระบบออนไลน์ทั้งหมดนี้ผ่านอินเทอร์เน็ต

และท้ายที่สุดเป็นข่าวคราวความเคลื่อนไหวในวงการห้องสมุดของเมืองไทย นั่นก็คือมติชนเปิดบริการใหม่"ห้องสมุดออนไลน์" นายสมหมาย ปาริจฉัตต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และนายปิยะชาติ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้จัดการทั่วไป ได้ลงนามในสัญญากับนายอุดม ไพรเกษตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เธิร์ดเวฟ เอ็ดดูเคชั่น จำกัด และนายเอกสิทธิ์ ยังสุข กรรมการผู้มีอำนาจ ให้เป็นตัวแทนจำหน่าย Matichon e-Library เป็นระยะเวลา 3 ปี ทั้งนี้ทางกลุ่มบริษัทเธิร์ดเวฟ เอ็ดดูเคชั่นจะทำหน้าที่บริหารการตลาดและการขายห้องสมุดข่าวในระบบดิจิทัลของศูนย์ข้อมูลมติชนไปยังองค์กรต่างๆ สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย วิทยาลัย ตลอดจนโรงเรียนมัธยมทั่วประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจข่าวสาร โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษาทุกระดับมีโอกาสเข้าถึงข่าวสารข้อมูลในศูนย์ข้อมูลมติชน ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นห้องสมุดหนังสือพิมพ์ที่ดีที่สุดในประเทศไทยในขณะนี้ Matichon e-Library เป็นศูนย์ข้อมูลข่าวในระบบดิจิทัลที่จะเปิดให้บริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยสมาชิกห้องสมุดจากทั่วโลกสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลข่าวได้ตลอดเวลาโดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ ในราคาประหยัด เริ่มตั้งแต่แพ็กเกจสำหรับห้องสมุดขนาดเล็กคิดค่าบริการเพียง 12,000 บาท/ปี หรือเพียง 1,000 บาทต่อเดือนเท่านั้น จนถึงห้องสมุดขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่คิดค่าบริการ 60,000 บาท/ปี และ 12,000 บาท/ปี ตามลำดับ โดยเธิร์ดเวฟฯคาดว่าตลอดระยะเวลาของสัญญานี้น่าจะทำรายได้ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาทจุดเด่นของ Matichon e-Library คือฐานข้อมูลข่าวกฤตภาค (news clipping) ที่ศูนย์ข้อมูลมติชนตัดเก็บรวบรวมจากหนังสือพิมพ์รายวันและรายสัปดาห์ทุกฉบับที่วางจำหน่ายอยู่ในเมืองไทย จัดแยกประเภทหมวดหมู่ข่าวออกเป็น 10 หมวดใหญ่ และจัดแบ่งเป็นหัวข้อย่อยต่างๆ อีกกว่า 500 หัวข่าวในระบบดิจิทัลพร้อมโปรแกรมสืบค้นข้อมูลที่ออกแบบคิดค้นเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ "มติชน" เพื่อให้สืบค้นข่าวได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ เหมาะสำหรับการค้นคว้า อ้างอิง และเพิ่มพูนความรู้ โดย Matichon e-Library จะให้บริการข้อมูลปัจจุบันย้อนหลังไปถึง 5 ปี ซึ่งยังไม่มีห้องสมุดข่าวดิจิทัลแห่งใดทำได้มาก่อน ทั้งนี้สมาชิก Matichon e-Library สามารถเข้าไปใช้บริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ภายใต้ โดเมนเนม http://www.matichonelibrary.com ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หรือสนใจทดลองใช้บริการฟรีได้ (http://digital.lib.kmutt.ac.th/news_content.php?n_id=234#6530)

[แก้] ห้องสมุดดิจิทัล(Digital Library)

ห้องสมุดดิจิทัล(Digital Library) เกิดขึ้นจากความก้าวหน้าและการพัฒนาของเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมเป็นหลัก ในการติดต่อสื่อสารที่เชื่อมโยงกันเป็นลักษณะโครงข่าย(Network) ที่สามารถส่งทอดสัญญา โดยใช้สัญญาดิจิทัลที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงมากผ่านเคเบิลใยแก้ว หรือผ่านดาวเทียมไปยังผู้รับสัญญาณ ที่ได้ทั้งเสียงและภาพตลอดจนคุณภาพของสัญญาณที่รับมีคุณภาพคมชัด สมบูรณ์ และชัดเจน (สุกัญญา มกุฏอรฤดี, 2539 : 36) ห้องสมุดดิจิทัลจึงเกิดขึ้นมาเพื่อสามารถติดต่อสื่อสารโทรคมนาคม ผ่านเครือข่ายใยแก้วด้วยสัญญาณดิจิทัล ผ่านโครงข่ายข้อมูล สามารถติดต่อกันโดยใช้โทรศัพท์ เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต การบริการของ ห้องสมุดดิจิทัลจึงเริ่มมีบทบาทเด่นชัดในปัจจุบัน กลายเป็นความจำเป็นที่วงการห้องสมุดโลกต่างให้ความสำคัญและมีนโยบายที่เน้นต้องมีบริการในห้องสมุด

ห้องสมุดดิจิทัลต่างจากห้องสมุดโดยทั่วไปคือ สารสนเทศที่มีนั้นจัดเก็บอยู่ในรูปแบบดิจิทัลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งอาจอยู่ในสื่อจัดเก็บหลายรูปแบบ เช่น ความจำอิเล็กทรอนิกส์ หรือ จานแม่เหล็ก หรือ จานออปติคัล ไม่มีหนังสืออีกต่อไป เนื้อหาของสารสนเทศดิจิทัลแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ เรื่องราวที่สร้างมาและอยู่ในรูปแบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์อ่านได้ประเภทหนึ่งและเนื้อหาในวัสดุที่เปลี่ยนจากรูปแบบดั้งเดิม(เช่น หนังสือ จุลสาร รูปภาพ ภาพยนตร์ และเสียง ที่บันทึกไว้) เป็นวัสดุดิจิทัล จำเป็นต้องใช้เครื่องอ่านมัลติมิเดียเอนกประสงค์ เช่นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โน๊ตบุ๊ค ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศจากที่ห่างไกลโดยผ่านโมเด็มหรือผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ กลไกสำคัญที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการเข้าถึงบริการของบรรณารักษ์ก็คือ การใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และการเลียนแบบพฤติกรรมบรรณารักษ์โดยการใช้เทคโนโลยีระบบผู้เชี่ยวชาญ (นงลักษณ์ ไม่หน่ายกิจ, 2541 : 2)

ความหมายของห้องสมุดดิจิทัล

คำว่า “ห้องสมุดดิจิทัล” เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงต้นปี ค.ศ. 1990 โดยห้องสมุดมหาวิทยาลัยและสถาบันทั่วไปได้ริเริ่มการสร้างฐานมวลทรัพยากรสารสนเทศในรูปแบบดิจิทัล และมีการจัดหาการเข้าถึงข้อมูลของมวลทรัพยากรเหล่านี้ผ่านระบบเครือข่าย ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาระบบการให้บริการข้อมูลที่มีคุณภาพหลายร้อยรายการในรูปแบบของห้องสมุดดิจิทัล (ปัทมาภรณ์ ธรรมทัต, 2545 : 1)

ห้องสมุดดิจิทัลเป็นห้องสมุดที่ให้บริการสืบค้นสารสนเทศที่อยู่ในรูปแบบของดิจิทัล สารสนเทศดิจิทัลเป็นสารสนเทศที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผลได้โดยตรง สารสนเทศ ดิจิทัลมีได้หลายรูปแบบ ทั้งที่เป็นตัวอักษร, รูปภาพ หรือสารสนเทศที่เกิดจากการประมวลผลในขณะที่ใช้บริการ เช่น ภาพที่แสดงระยะทางภูมิศาสตร์ (Spatial Information) รวมไปถึงสารสนเทศที่ไม่สามารถนำมาจัดพิมพ์ลงกระดาษได้เช่น ภาพเคลื่อนไหว, เสียง เป็นต้น จะเห็นว่าสารสนเทศที่ให้บริการโดยห้องสมุดดิจิทัลมีความหลากหลายของสารสนเทศมากกว่าห้องสมุดแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งข้อดีของการใช้สารสนเทศดิจิทัลนั้นมีด้วยกันหลายประการ เช่น สามารถทำสำเนาได้ตามต้องการ และสำเนาที่ได้จะมีลักษณะเหมือนกับต้นฉบับทุกประการ สื่อที่ใช้เก็บอยู่ได้นานไม่เสื่อมสลาย ถ้าเสื่อมสภาพไปก็สามารถทำสำเนาได้ ไม่เปลืองเนื้อที่ในการจัดเก็บ สามารถนำมาประมวลผลกับคอมพิวเตอร์ได้ ทำให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย และท้ายสุดคือนำมาซึ่งความเข้าใจได้ง่ายกว่า อาทิเช่น ภาพเคลื่อนไหว, ภาพสามมิติ เป็นต้น (สมชาย สมผดุง, 2541 : 34)

ห้องสมุดดิจิทัล(Digital Library) เป็นการนำเทคโนโลยีหลายๆ รูปแบบทั้งที่เป็น สิ่งพิมพ์และข้อมูลดิจิทัลมาประสมประสานในการจัดการกับทรัพยากรสารสนเทศ ซึ่งเป็นแนวความคิดใหม่ในเรื่องของการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นสื่อประสม(Multimedia) ทั้งที่เป็นภาพและเสียง โดยที่การจัดเก็บอยู่ในรูปของข้อมูลดิจิทัลและมีการเชื่อมโยงกันด้วยระบบเครือข่ายผ่านเส้นใยแก้วนำแสง(Fiber Optic) หรือผ่านดาวเทียมเพื่อให้ผู้ใช้จากทั่วโลกสามารถเข้าถึงสารสนเทศได้ องค์ประกอบสำคัญของห้องสมุดดิจิทัลได้แก่ เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดการข้อมูลดิจิทัลและการเชื่อมโยงห้องสมุดดิจิทัลหลายๆ แห่งเข้าด้วยกัน โดยที่ผู้ใช้ไม่สามารถเห็นการเชื่อมต่อดังกล่าวทางกายภาพได้

อย่างไรก็ตาม ห้องสมุดดิจิทัลมิได้หมายถึงเฉพาะสารสนเทศในรูปดิจิทัลและเครื่องมือในการจัดการสารสนเทศแต่เพียงประการเดียว แต่ยังหมายถึงการให้บริการคู่ขนานทั้งทรัพยากรห้องสมุดที่เป็นสิ่งพิมพ์และข้อมูลออนไลน์ไปพร้อมๆ กัน เพราะฉะนั้น ความหมายของห้องสมุด ดิจิทัล จึงกินความครอบคลุมไปถึงสภาพแวดล้อมทำให้ผู้ใช้เข้าถึงสารสนเทศและบริการที่ช่วยให้มีการนำสารสนเทศไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางเพิ่มขึ้น นับเป็นการส่งเสริมการสร้างสรรค์ทางปัญญาและอนุรักษ์มรดกแห่งความรู้ของมนุษยชาติให้คงอยู่(จันทนีย์ พานิชผล,[254-?])

ส่วนประกอบของห้องสมุดดิจิทัล

ส่วนประกอบของห้องสมุดดิจิทัล ประกอบด้วยส่วนสำคัญๆ ดังนี้ 1. ผู้ใช้ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย 2. เนื้อหา ในรูปดิจิทัลหรือเอกสารที่จะใช้แปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปดิจิทัล 3. บุคลากรที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้พัฒนาระบบ เจ้าหน้าที่คอมพิวเตอร์ บรรณารักษ์ และเจ้าหน้าที่ห้องสมุดหรือศูนย์ข้อมูล 4. เทคโนโลยีสารสนเทศ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โปรแกรมสร้างเอกสารและโปรแกรมจัดการฐานข้อมูล และระบบเครือข่าย ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โปรแกรมสร้างเอกสารและโปรแกรมจัดการฐานข้อมูล และระบบเครือข่าย ได้แก่ 4.1 เครื่องสแกนเนอร์(Scanner) 4.2 กล้องดิจิทัล(Digital Camera) 4.3 วิดีโอดิจิทัล(Video Camera) 4.4 โปรแกรมสร้างเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Adobe Acrobat(pdf), FrontPage(html) เป็นต้น 4.5 โปรแกรมจัดการฐานข้อมูลระบบห้องสมุดดิจิทัล 4.6 โปรแกรมสร้างภาพกราฟิค 4.7 โปรแกรม OCR(Optical Character Recognition) 4.8 เครื่องคอมพิวเตอร์ Server 4.9 เครื่องคอมพิวเตอร์ Workstation 4.10 เครื่องพิมพ์ 4.11 อุปกรณ์ Zip Drive/Disk 5. เงินทุนหรืองบประมาณ ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบห้องสมุดดิจิทัล ได้แก่ 5.1 ค่าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และโปรแกรมแปลงเอกสาร การสร้างเอกสาร โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล การบำรุงรักษาระบบ 5.2 ค่าจ้างบุคลากรในการดำเนินงานตามขั้นตอน

มาตรฐานของห้องสมุดดิจิทัล(Standard of Digital Library)

ปัจจุบันยังไม่ได้มีการกำหนดรูปแบบที่แน่นอนของห้องสมุดดิจิทัล แต่ก็ได้มีการนำเสนอความเห็นในการกำหนดรูปแบบมาตรฐานของห้องสมุดดิจิทัลออกมามากมาย ซึ่งก็ยังไม่มี ข้อสรุปที่แน่นอน อาจเป็นเพราะห้องสมุดดิจิทัลยังอยู่ในลักษณะของงานวิจัยเพื่อหาทางขยายขีดความสามารถในการให้บริการของห้องสมุดและงานวิจัยทางด้านการประมวลผลสารสนเทศ ความหลากหลายของเทคโนโลยีก็เป็นตัวแปรในการกำหนดรูปแบบการบริหารของห้องสมุดดิจิทัล เช่นกัน เทคโนโลยีที่ใช้พัฒนาโปรแกรมระบบงานที่ใช้งานในเครือข่ายคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ ดิจิทัลมีมากมายและมีการปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ห้องสมุดดิจิทัลแต่ละแห้งต้องเลือกเอาเฉพาะเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการประมวลผลสารสนเทศของตนเอง ส่งผลให้มีรูปแบบการให้บริการที่หลากหลายตามไปด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ได้มีการกำหนดเป็นมาตรฐานขึ้นมาบ้างใน บางประการ เพื่อใช้เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับห้องสมุดดิจิทัล ดังนี้ 1. การพัฒนามาตรฐานของระบบหรือที่เรียกว่า SONET(Synchronous Optical Network) ที่ทำให้การสื่อสารข้อมูลในเครือข่ายดิจิทัลที่ใชเคเบิลใยแก้วนำแสงเป็นสื่อรับ-ส่งข้อมูล มีความยืดหยุ่น และถูกต้องแม่นยำน่าเชื่อถือมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการกำหนดมาตรฐานของอุปกรณ์ในการรับ ด้วยการกำหนดมาตรฐานของความเร็ว ในการส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ผ่านเคเบิลใยแก้วที่เรียกว่า FDDI (Fiber Distributed Data Interface) 2. The Machine Readable Cataloging (MARC) เป็นรูปแบบของระเบียนรายการ (Catalog Records) ที่กำหนดให้เป็นมาตรฐานสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลทางบรรณานุกรมระหว่าง ได้แก่มาตรฐานแห่งชาติ (NISO Z39:2) และมาตรฐานแห่งชาติ (ISO2709) ซึ่งใช้มากกว่า 20 ปี และมีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบห้องสมุดอัตโนมัติซึ่งมาตรฐานMARC ช่วยให้ข้อมูลบรรณานุกรมสามารถนำมาแลกเปลี่ยนได้ในระบบคอมพิวเตอร์ (น้ำทิพย์ วิภาวิน, 2545) 3. Z39.50 เป็นมาตรฐาน “Search and Retrieve Protocol” หรือเรียกว่า “Linked Systems Protocol,” (ISO 10162/10163; US NISO Z39.50). ในระบบห้องสมุดอัตโนมัติระยะแรก ผู้ใช้ต้องสืบค้นข้อมูลออนไลน์จากฐานข้อมูลแต่ละแห่งทีละครั้งแยกจากกันทีละระบบ โดยแต่ละระบบมีคำสั่งในการค้นที่แตกต่างกันไป จึงมีการพัฒนามาตรฐานการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลใดฐานข้อมูลหนึ่งให้สามารถสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลอื่นได้โดยใช้หน้าจอเดียวกัน โดยใช้มาตรฐาน Search and Retrieve เพื่อช่วยให้สามารถแลกเปลี่ยนระบบสืบค้นข้อมูลระหว่างแต่ละฐานข้อมูลได้โดยการเข้าใช้ฐานข้อมูลของระบบอื่นได้ (“Search and Retrieve” standard enables retrieval systems to be shared.) การใช้ “Search and Retrieve” (Z39.50) Protocol ผู้ใช้สืบค้นโดยรู้วิธีสืบค้นข้อมูลของระบบที่ตนใช้ (Local Catalog) และรู้การสืบค้นในรายละเอียดไปยังจากฐานข้อมูลในระบบอื่นได้จากหน้าจอเดิม 4. Markup Language เช่น SGML (Standard Generalized Markup Language). HTML (Hypertext Markup Language) และ XML (Extensible Markup Language) SGML เป็นมาตรฐานสากลตั้งแต่ปี 1986(ISO Standard 8879) ที่กำหนดกฎเกณฑ์หรือกรอบในการแสดงผลข้อมูลหรือให้ความหมายของภาษาในการแสดงผลผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นรูปแบบการแปลงข้อมูลบรรณานุกรมในห้องสมุดได้นอกเหนือจากรูปแบบ MARC มีการใช้ HTML ใน WebOPAC มาตั้งแต่ปี 1990 ตัวอย่างของโปรแกรมที่ใช้ เช่น SIRSI’S WebCAT และ DRAWeb เป็นต้น

ตัวอย่างของห้องสมุดดิจิทัล(Digital Library)

ตัวอย่างห้องสมุดดิจิทัลในต่างประเทศ ได้แก่ ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ที่เออร์บางนา-แชมป์เปนซ์(Urbana-Champaign) เป็นห้องสมุดระบบดิจิทัลสำหรับวิศวกรที่จะสามารถใช้วารสาร แม็กกาซีน และวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์ได้และเพื่อให้ผู้ใช้ระบบเมกกะไบต์ที่วกวนได้ ผู้ออกแบบระบบได้เพิ่มการค้นชุดคำสั่งจากโมเซอิค เป็นโปรแกรมสำหรับค้นฐานข้อมูลอินเทอร์เน็ตเพื่อหาทรัพยากรสารสนเทศ ระบบของอิลลินอยส์ สามารถจะให้บริการแก่ผู้ใช้มากกว่า 100,000 คน ของมหาวิทยาลัย 10 แห่ง ทางภาคตะวันตกตอนกลาง สามารถเข้าถึงตำราฉบับสมบูรณ์ และภาพของเอกสารที่มีเป็นจำนวนหมื่นได้ (น้ำทิพย์ วิภาวิน, 2542 : 27)

สำหรับในประเทศไทยนั้นก็ได้มีการพัฒนาห้องสมุดให้เข้าสู่ระบบห้องสมุดที่จัดเก็บในรูปของสื่อดิจิทัล ซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าถึงทรัพยากรสารสนเทศต่างๆ ได้โดยง่าย และไม่ต้อง เดินทางมายังห้องสมุดก็สามารถสืบค้นสารสนเทศต่างๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ซึ่งห้องสมุดที่มีการพัฒนามาเป็นห้องสมุดดิจิทัล(Digital Library) นั้น ที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น สำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยบูรพา หรือสำนักวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น โดยได้มีการพัฒนาและจัดเก็บเป็นคอลเลคชั่นของทรัพยากรสารสนเทศ ซึ่งได้จัดเก็บไว้ยังเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรมช่วยในการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ เพื่อให้สามารถสืบค้นได้โดยง่าย สะดวก และรวดเร็ว และนอกจากนี้ยังมีการจัดเก็บงานวิจัย และวิทยานิพนธ์ต่างๆ ไว้ในรูปแบบฉบับเต็ม(Full text) ซึ่งจะมีเนื้อหาครบถ้วนผู้ใช้สามารถเข้ามาสืบค้นได้ทั้งหมดเหมือนการมาสืบค้นภายในห้องสมุดเลยทีเดียว